กระทู้เก่ากลายเป็นกระทู้แตกแยกเรื่องเชื้อชาติไปแล้ว
อยากจะเล่าให้ฟังถึงครอบครัวคนจีน ครอบครัวเล็กๆ จนๆ อีกครอบครัวนึง ที่มาอาศัยเมืองไทย อยู่ครับ
ครอบครัวนี้ พ่อเป็นคนจีนมาจากแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ 6 ขวบ โตเมืองไทย จนตายในเมืองไทยตอนอายุเกือบ แปดสิบ
ตอนเด็ก เข้ามาใหม่ๆ ได้อาศัยญาติ ที่มาจากเมืองจีนก่อนหน้าและพอตั้งตัวได้ ได้เรียนหนังสือไทย ถึงป.2 แล้ว ก็ต้องออก ทำมาหากินดิ้นรนเลี้ยงตัวเอง
แม่เป็นลูกครึ่งจีนไทยเกิดไทย ในชนบท ไม่ได้เรียนหนังสือ ตลอดมา ตอนนี้อายุ 84 ยังมีชีวิตอยู่อาศัยกับลูกชาย
พ่อดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว มาจาก 0 หรือ ติดลบ มาเรื่อยๆ เปลี่ยนงานมาหลายอย่างล้มลุกคลุกคลาน มาหลายรอบ และโชคร้าย ตัวพ่อ ประสพอุบัติเหตุ ขาขาดระดับเข่าข้างนึง ตั้งแต่ตอนหนุ่มๆ ใส่ขาเทียมที่เค้าทำเองจากการหล่อจากปีกอลูมิเนียมเครื่องบินหลังยุคสงครามโลก แต่ก็ยัง ทำงานหนักลุยมาได้ตลอด
บ้านนี้ พ่อไม่เคยปลูกฝัง ให้ลูกๆ คิดว่าพวกเค้าเป็นคนจีน ต้องดูถูกคนไทย หรือรังเกียจคนไทย
ตรงกันข้าม กลับสอนให้ลูกรู้ว่า โชคดี ที่ได้อยู่เมืองไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ยากแค้นเหมือนที่เมืองจีนสมัยนั้น
ลูกๆทุกคนโตมา โดยรู้สึกว่า พวกเค้าเป็นคนไทย ร้อยเปอร์เซนต์
แต่ว่า ได้รับทราบ ได้ฟังเรื่องราวที่พ่อเล่า ถึงความลำบาก ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองจีน และ มาถึงเมืองไทยใหม่ๆให้ฟังตลอด
พ่อเล่าว่าตอนอยู่นั่น เฉพาะผู้ชาย ที่ทำงานหรือลูกชายคนโปรดๆ เท่านั้น ที่จะได้กิน เนื้อข้าวต้ม กับผักกาดดอง แต่ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง หรือ ผู้หญิง กินน้ำข้าวต้ม และน้ำผักดอง กรวดแข่น้ำเกลือเอามาดูดอมแก้มข้าว ที่เราฟังกันเหมือนโจ๊กที่เล่าล้อคนจีน นั่นคือ อาหารที่พ่อเล่าให้ฟัง ว่าต้องกินกันจริงๆ
ดังนั้น ตอนเด็กแม้ครอบครัว จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เทียบกับที่พ่อเล่าให้ฟัง ตอนอยู่เมืองจีน ลูกๆก็รู้สึกว่ามันดีกว่ากันเยอะ
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาต้องช่วยกันทำงานหาเงินเข้าบ้าน พวกลูกๆ เลยไม่ค่อยมีใครเกี่ยงงอน กันเท่าไร
ลูกชายเองกลับจากโรงเรียน ต้องช่วยที่บ้านทำงาน ดึกๆ รวมทั้งเสาร์อาทิตย์ เห็นเพื่อนๆ ได้เที่ยวเล่น อยากไปบ้าง แต่ก็เข้าใจความจำกัดของบ้านเรา ก็ต้องยอมรับความจริง
ตัวลูกชายเอง นี่พอโตมาประมาณเรียนช้น ป 3 ปอ 4 (อายุ 9-10 ขวบ) ต้องช่วยที่บ้านทำงาน ไปด้วยเรียนไปด้วย เพราะว่า ขณะนั้นฐานะที่บ้านไม่ดีนัก หาเช้ากินหมดแค่ตอนบ่ายๆ ไม่เหลือถึงค่ำ ต้องดิ้นรนกันไป
พี่สาว ที่เป็นคนเรียนเก่งที่สุดของบ้าน ต้องออก โรงเรียนตั้งแต่ ป 4 เพื่อมาช่วยงานที่บ้านทำงานเต็มเวลาเพื่อให้พอไปรอด
น้องสาวคนเล็ก เป็นคนเดียวในบ้าน ที่อาจจะเรียกได้ว่าสบายสุด ที่ไม่ต้องช่วยงานบ้านมากนัก เนื่องจากตอนเด็ก ป่วยบ่อย เป็นบาดทะยัก (ซึ่งสมัยนั้นไม่ค่อยรอดกัน) แต่หายมาได้ ก็ ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เลยเป็นภาระนึงที่ทางบ้านต้อง ช่วยกันหาเงินรักษาเค้า อยู่นาน
ครอบครัวนี้ ดิ้นรนสู้กันมา สามคน พ่อ ลูกสาวคนโต และ ลูกชาย เกือบสิบปีเต็ม จนลูกชาย ที่เป็นกำลังหลัก ในธุรกิจตอนนั้น จบมัธยมปลาย ฐานะครอบครัว ถึงพอตั้งตัวได้
ตอนนั้น ลูกชายสอบติด แพทย์แล้ว ทางครอบครัว เลยให้ตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจของที่บ้านต่อ หรือว่า อยากจะไปเรียน ให้ตัดสินใจเลือกเอง เพราะว่า ทำงานกันหนัก และเหนื่อยมามากแล้ว และโตพอที่จะตัดสินใจเองได้
หลังจากตัดสินใจ แล้ว ลูกชายก็ตกลงไปเรียนแพทย์ โดยหยุดธุรกิจเดิมของครอบครัว ทั้งหมดไว้ตรงนั้น ใช้ทุนที่มีเหลืออยู่บ้าง ดำรงชีวิต และ เรียนหนังสือกันต่อ
ลูกสาวคนโต ที่เรียนดีที่สุดของบ้าน และ หยุดเรียนไปตั้งแต่ ป. 4 ได้กลับมาเรียนศึกษาผู้ใหญ่ เรียน 3 เดือน สอบเทียบ ป7 เรียนต่อไปอีก 6 เดือน สอบเทียบ มศ 3 แล้วใช้วุฒิ นี้ เข้าเรียน ปวช.บัญชี 3 ปี แล้ว ลงเรียน บัญชี ม.ราม ต่อ จบบัญชี ราม ก็ไปต่อ โท MBA แล้วก็เข้าสอน เป็นอจ.มหาลัย ตอนนี้ จบ PhD และยังเป็นอจ.ในมหาลัยรัฐแห่งนึง
ลูกสาวคนเล็กที่บอกว่าโชคดี ไม่ต้องทำงาน ช่วยงานบ้าน เนื่องจากป่วยบ่อย โตขึ้นแข็งแรงขึ้นได้เรียนจนจบ ป.ตรีการตลาด และ ต่อ โท MBA ตอนนี้เป็นผจก. ฝ่าย Customer Service ของ บริษัทมือถือใหญ่ไทย แห่งนึง ของไทย
ลูกชาย เรียนจบแพทย์ แล้ว ออกมารับราชการ ห้าปี ก่อน ออกมาทำกิจการส่วนตัว ทั้ง ด้านวิชาชีพหลัก (คือด้านแพทย์ ) และอื่นๆ จนพอมีฐานะตั้งตัวได้ ตอบแทน บริจาคคืนให้กับสังคม เท่าที่จะทำได้ตามกำลังทรัพย์
ครอบครัวนี้ เป็นตัวอย่างครอบครัวคนจีนเล็กๆ จนๆครอบครัวหนึ่ง ทีมาอาศัยเมืองไทยอยู่ และรู้สึกว่า พวกเค้าทุกคนเป็นคนไทยเหมือนๆกับคนไทยอื่นๆ ไม่เคยสร้างภาระให้กับแผ่นดินไทย แต่พร้อมจะตอบแทนคืนให้กับแผ่นดินที่ให้พวกเค้าอาศัยอยู่ ในฐานะเจ้าของบ้านอีกคน
แม้จะเป็นครอบครัวคนจีนเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดัง มีคนรู้จัก แต่ว่าอาจจะเป็นครอบครัวที่พวกเรา ที่เล่นในพันทิป อาจจะคุ้นเคยกันบ้าง เพราะว่า ลูกชายคนที่เล่านั้น ใช้ Log In -=Jfk=- นี่แหละ 