วันรุ่งขึ้นถ้าว่าในแง่ของตำนานเกี่ยวกับพญานาคแล้วก็ต้องถือว่า เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพราะตามที่ริชาร์ดบอก วันที่ ๑๓ ตุลาคม เช่น วันนั้นของทุก ๆ ปี ( เขาคงหมายถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ทาง จันทรคติ ) จะมีลูกไฟสีแดงลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง ซึ่งคนพื้นเมือง ที่นั่นเชื่อกันว่าเป็นลมหายใจของพญานาค และบอกให้รู้ว่าฤดูฝนได้ สิ้นสุดลงแล้ว เรื่องนี้ทำให้ริชาร์ดคิดถึงงูยักษ์ของลุ่มแม่น้ำอะเมซอน ที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับดวงไฟสีฟ้า
ตกค่ำฝูงชนนับแสนมาออกันอยู่ตรงบริเวณที่จัดงาน มีการจุดพลุและ ล่องเรือประดับประดาด้วยดวงไฟไปตามลำน้ำ สักพักก็มีเสียงตะโกน บอกว่าแลเห็นบั้งไฟแล้ว ริชาร์ดมองหาครู่เดียวก็แลเห็นเป็นลูกไฟ สีแดงผุดขึ้นมาจากผิวน้ำที่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็จางหายไป แล้วก็ลอย ขึ้นมาใหม่ คราวนี้มากกว่าเดิม ทีแรกก็หนึ่ง แล้วก็สอง สาม สี่ ความคิด แวบหนึ่งเกิดขึ้นมาในสมองของริชาร์ด นี่ถ้าหากเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วมันก็น่าจะเกิดขึ้นมาจากบริเวณที่มองเห็นแสงไฟแวม ๆ และดูว่าจะมีคน อยู่แถวนั้นด้วย ลูกไฟนี้ดูน่าจะเป็นพลุชนิดไม่มีเสียงดังและค่อย ๆ ดับไป เหมือนอย่างพลุสัญญาณของชาวเรือ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับตามความเห็นของริชาร์ด เขาว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ชาวลาวฝั่งโน้นทำขึ้นเพื่อล้อชาวไทยเล่นสนุก ๆ
สถานที่อีกแห่งที่นักล่าพญานาคชุดนี้ไปก็คือ วัดแห่งหนึ่งในอำเภอโพนพิสัย ท่านสมภารได้เล่าให้พวกเขาฟังว่าเมื่อแปดปีก่อนวัดของท่านมีโบสถ์เก่า ชำรุดทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง ท่านตั้งใจจะรื้อลงแล้วสร้างหลังใหม่ขึ้นมาแทน แต่ทุกครั้งที่คนงานจะเข้าไปรื้อก็จะพบงูสีดำตัวใหญ่มากอยู่ในโบสถ์ มันชูคอ คอยจะฉกกัดผู้ที่จะเข้าไปรื้อ คนงานพระลูกวัด รวมทั้งตัวท่านเองต่างก็ได้เห็น แต่ไม่อาจประมาณขนาดความยาวของมันได้ เพราะมันขดตัวอยู่ สุดท้าย ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกกล่าว รุ่งขึ้นงูนั้นก็หายไป
อีกท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์เรื่องพญานาคเป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับ ของที่นั่นท่านเล่าว่าเมื่อสามปีก่อนขณะที่ท่านกับคณะอีกราว ๓๐ คน เดินกัน อยู่บนผาสูงที่ชะโงกง้ำอยู่เหนือลำน้ำโขง มองลงไปเห็นมีซุงลอยน้ำอยู่ แต่พอมันเข้ามาใกล้ถึงได้รู้สึกว่าที่คิดว่าเป็นซุงนั้นเห็นจะไม่ใช่ เพราะมัน ลอยทวนน้ำ แล้วเมื่อมองดูให้ถนัดตาจึงพบว่าเป็นงูยักษ์สีดำ เมื่อริชาร์ดถามว่า ตัวโตขนาดไหน ท่านก็บอกว่ายาวประมาณ ๘๐ เมตร ริชาร์ดเข้าใจว่าฟังผิด จึงถามย้ำอีก ท่านก็ยืนยันว่าไม่ต่ำกว่า ๗๐ เมตร หรือ ๒๓๐ ฟุต และท่านเล่า ต่อไปว่า ดูไป ๆ เกิดกลัวจึงพากันหนีกลับ ท่านได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระ ภิกษุรูปหนึ่งฟัง พระท่านก็บอกว่าที่เห็นนั้นคือพญานาคจริง เมื่อหลายปีก่อน เรือที่บรรทุกพระพุทธรูปจะนำข้ามแม่น้ำเกิดพลิกคว่ำ พระพุทธรูปจมลงไป อยู่ใต้น้ำ พวกพญานาคจึงพากันมาเฝ้าปกป้องพระพุทธรูปองค์นี้ ริชาร์ดรู้สึก ว่าพญานาคที่นายตำรวจผู้นี้บอกออกจะมีขนาดใหญ่มากเกินไปหน่อย บางที อาจจะเป็นว่ามีหลายตัวว่านติด ๆ กันมาหรือไม่ก็เป็นเพราะระลอกน้ำที่กระเพื่อม ตามหลังทำให้กะขนาดผิดไปก็เป็นได้
ยังมีปริศนารอให้ริชาร์ดไขอยู่ที่โพนพิสัยนั่นอีกอย่างคือ กระดูกพญานาค ซึ่งถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของที่นั่น ความเป็นมาของกระดูกที่ว่านี้ก็น่าสนใจ ไม่น้อย คือครั้งหนึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของกระดูกอยู่เดี๋ยวนี้ได้ฝันไปว่า พญานาคได้ มาหาเขา บอกให้เขาข้ามสะพานไปฝั่งลาว ที่นั่นเขาจะได้พบชายผู้หนึ่งมี กระดูกพญานาคอยู่ในครอบครองให้เขาขอซื้อกระดูกพญานาคจากชายผู้นั้น วันรุ่งขึ้นชายผู้นั้นก็ข้ามสะพานไปตามที่พญานาคเข้าฝันบอก และก็ได้พบ กับคนที่เป็นเจ้าของกระดูกจริง ๆ ดังฝัน แต่ผู้นั้นปฏิเสธไม่ยอมขายให้ เขาจึง ต้องกลับมือเปล่า ตกกลางคืนพญานาคก็มาเข้าฝันอีก และบอกให้ลองไปถาม ชาวลาวผู้นั้นว่าจะยอมขายกระดูกให้เขาแค่ครึ่งเดียวได้หรือไม่ ครั้งนี้ก็อีก ชาวลาวปฏิเสธที่จะขาย ชายผู้นั้นก็ต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกหน สุดท้ายพญานาค ก็กลับมาเข้าฝันอีก และบอกให้เขาลองไปขอซื้ออีกสักครั้ง ครั้งนี้คนลาว ผู้นั้นคงจะไม่กล้าปฏิเสธ แล้วก็เป็นจริงตามที่พญานาคบอก คนลาวยอมขายกระ ดูกพญานาคให้
ริชาร์ดรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะนี่จะเป็นหลักฐานที่สำคัญพิสูจน์ว่าพญานาคนั้นมีจริง แม้เขาจะได้รับแจ้งล่วงหน้าว่าเจ้าของไม่ต้องการให้ถ่ายภาพ หรือนำกระดูก ไปพิสูจน์ดีเอ็นเอก็ตาม ริชาร์ดเคยเป็นภัณฑารักษ์ด้านสัตว์เลื้อยคลานมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าเขาสามารถดูออกว่าเป็นกระดูกของงูอะไร พร้อมกับหวังว่า พวกเขาคงจะชนหลักฐานเข้าอย่างจังเบอร์คราวนี้ กระดูกพญานาคถูกนำใส่***บ ลั่นกุญแจ ไปคอยอยู่ที่สถานีตำรวจ รอจนกว่าคณะของริชาร์ดมาถึงจึงจะเปิด และริชาร์ดได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพและจับต้องกระดูกชิ้นนี้ได้ ทุกคนรอดูด้วย ใจระทึกตอนที่ฝา***บถูกเปิดเผยให้เห็นของที่อยู่ภายในนั้น มันเป็นกรามช้าง ริชาร์ดอดประหลาดใจไม่ได้ที่ว่าคนที่นั่งต่างรู้จักช้างดี แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือ กรามช้าง ไปคิดว่ามันเป็นกระดูกพญานาค
วันต่อมาริชาร์ดกับคณะได้เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลมาก ต้องนั่งรถเป็นชั่วโมง ๆ แล้วยังจะต้องเดินบุกป่าไปอีก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ ที่เชิงเขา คณะสำรวจชุดนี้ดั้นด้นมาก็เพื่อจะมาหาชายชราผู้หนึ่ง ชื่อนายพิมพา อยู่ในวัย ๗๐ ซึ่งครั้งหนึ่งแกเคยเผชิญหน้ากับพญานาคอย่างใกล้ชิดที่ในถ้ำ แห่งหนึ่งแถวนั้น ลุงพิมพายินดีพาพวกเขาไปดูถ้ำที่แกพบพญานาคเมื่อสิบปี ก่อน ปากถ้ำนั้นเล็กมาก ซ่อนอยู่ที่ด้านหนึ่งของภูเขา เล็กเสียจนดูไม่น่าเป็นถ้ำ แต่ลุงพิมพาบอกว่ามันจะนำไปสู่ถ้ำข้างในที่เชื่อมโยงกันเป็นไยแมงมุมอยู่ใต้ ภูเขายาวสัก ๑๖ กิโลเมตรได้ และติดต่อกันไปถึงแม่น้ำโขง
จากคุณ |
:
Ballmakoto2
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ย. 54 17:03:55
|
|
|
|