ความคิดเห็นที่ 1 กรดกัดเคลือบฟันรึเปล่า รอผู้รู้มาตอบอีกที จากคุณ : Big Zhow เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 17:47:33

ความคิดเห็นที่ 2 ***จ้อเรื่อง "โคล่า" ดีกว่าครับ***         โดยก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่อง "โคล่า" นั้นเพื่อนๆทุกท่านต้องทำความเข้าใจกันอย่างหนึ่งก่อนครับว่า  ความจริงแล้วมันมีน้ำอัดลมที่มีรสซาบซ่าอยู่ตัวหนึ่งซึ่งได้ถูกคิดค้นแลพัฒนาขึ้นมาก่อนหน้าโคล่าเป็นระยะเวลานานแล้วครับโดยเจ้าน้ำดังกล่าวนั้นก็คือ "โซดา" นั่นเองครับ  จากบันทึกหลายแห่งเชื่อว่าผู้ที่คิดค้นโซดาเป็นคนแรกก็คือนักวิทยศาสตร์ชาวผู้ดีตีนแดงอังกฤษที่ชื่อว่า "โจเซฟ พริสต์ลีย์"  ซึ่งในวงการเคมีจะยกย่องกันให้บุรุษผู้นี้เป็น "บิดาแห่งก๊าซ" ครับ  เพราะพี่แกเล่นค้นพบก๊าซต่างๆจากการทดลองเป็นจำนวนมากทั้ง ออกซิเจน คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนตรัส แอมโมเนีย แลก๊าซที่เราๆท่านๆรู้จักกันดีอีกหลายตัวนั่นเอง (รูปของนาย "โจเซฟ พริสต์ลีย์" บิดาแห่งก๊าซ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:05:02

ความคิดเห็นที่ 3 ***     โดยต้นกำเนิดของ "โซดา" นั้นมาจากการที่วันหนึ่ง "พริสต์ลีย์" มานั่งพินิจดูฟองอากาศแปลกๆในถังหมักเบียร์แลเกิดความสงสัยว่าเจ้าฟองนี้มันคืออะไรกันแน่  เขาจึงได้ทดลองจุดเทียนจนพบว่าก๊าซในถังเบียร์สามารถเหนี่ยวนำควันของเทียนให้ไหลไปตามถังไม้โอ๊คได้  ดังนั้นเขาจึงนำแก้วน้ำสองใบมาเทสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วเหนือถังหมักเบียร์ที่มีฟองฟอด  กระทั่งปรากฏว่าเจ้าก๊าซในถังได้ผสมเข้ากับน้ำเปล่าในแก้วจนเกิดฟองขึ้นมา  แลเมื่อ "พริสต์ลีย์" ทดลองชิมจึงพบว่ามันมีรสซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนซึ่งนี่จึงเป็นต้น กำเนิดของ "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์" แล "น้ำโซดา" นั่นเองครับ (รูปเครื่องไม้เครื่องมือในห้องทดลองของ "โจเซฟ พริสต์ลีย์" ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:06:21

ความคิดเห็นที่ 4 ***     ด้วยการค้นพบอันสุดวิเศษนี้เองจึงทำให้ "พริสต์ลีย์" เขียนผลการทดลองแลวิจัยออกมาให้ผู้คนในวงกว้างได้ทราบ  นอกจากนี้เขาได้ทำการปรับปรุงวิธีผลิตน้ำโซดาขึ้นใหม่ด้วยอุปกรณ์ที่ใช้หลักการถ่ายเทของก๊าซ(ในรูป)  แลยังได้เขียนหนังสือเรื่อง "Impregnating water with fixed air" ขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1772 เพื่อเผยแพร่สรรพคุณของน้ำโซดาซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วยครับ       ถึงแม้ว่า "พริสต์ลีย์" จะเป็นบิดาของน้ำโซดาก็ตามแต่เรื่องตลกอย่างหนึ่งก็คือคนที่สามารถหากำไรเข้ากระเป๋าจากโซดานั้นกลับเป็นเภสัชกรชาวอังกฤษชื่อ "โทมัส เฮนรี่"  ที่คิดค้นอุปกรณ์ผลิตน้ำโซดาจากน้ำแร่ซึ่งเขาเชื่อว่ามีสรรพคุณมากกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป  อีกทั้งนายเฮนรี่ยังได้ทดลองใส่ส่วนผสมจำพวกน้ำตาลแลน้ำมะนาวเข้าไป  จนเกิดเป็นน้ำอัดลมรสหวานซาบซ่านตัวแรกของโลกขึ้นอีกด้วยครับ (รูปของอุปกรณ์ผลิตน้ำโซดาเวอร์ชั่นปรับปรุงของนาย"พริสต์ลีย์"  ซึ่งถูกนักธุรกิจหัวเสรายอื่นนำไปดัดแปลงจนนำไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตน้ำอัดลมในเวลาต่อมา) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:07:21

ความคิดเห็นที่ 5 ***     ดังนั้นจึงทำให้ในประเทศอังกฤษช่วงปลาย คริสต์ศตวรรษที่18 นั้นมีนักธุรกิจจำนวนมากต่างพากันผลิตน้ำอัดลมออกมาวางขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จแลล้มเหลว  แต่ทว่าในสงครามโซดาครั้งนี้กลับมีชายสองคนสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในหัวแถวได้ก็ คือ "นายนิโคลาส พอล" กับ "นายจาคอป ชเวป" นั่นเอิงครับ    โดยสองคนนี้แต่แรกนั้นเป็นคู่หูในการทำธุรกิจกันซึ่งประสบความสำเร็จจนร่ำ รวยเพราะสามารถส่งน้ำอัดลมรสหวานไปขายยังตลาดต่างประเทศได้ตอนช่วงปี ค.ศ.1800  แต่เพราะเงินแลผลประโยขน์มูลค่ามหาศาลนี้เองที่เป็นตัวการทำให้ความสัมพันธ์ของชายทั้งสองต้องขาดสะบั้น     กระทั่งในที่สุดต่างฝ่ายจึงต่างแยกย้ายไปขายน้ำอัดลมในแบรนด์ของตัวเอง  ซึ่งนาย "ชเวป" นั้นดูจะสามารถผลิตน้ำอัดลมซึ่งเป็นที่นิยมของผู้คนได้มากกว่า (เห็นได้จากน้ำอัดลมแบรนด์ของเขายังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเองครับ) (รูปขวดบรรจุน้ำอัดลมยุคแรกๆของบริษัท "ชเวป" ครับ  ซึ่งสติ๊กเกอร์ดำแดงในภาพนั้นเป็นของที่ทำออกมาติดเองในยุคนี้) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:08:26

ความคิดเห็นที่ 6 *****     ตอนนี้ขอพักเรื่องของโซดาในเกาะอังกฤษไว้ก่อนแล้วมองมายังแผ่นดินอเมริกาซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำอัดลมโคล่าอันลือชื่อบ้างครับ  โดยต้นกำเนิดของโคล่าในมะริกันนั้นต้องกล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งคือ "นายเบนจามิน ซิลลิแมน"  ซึ่งเขาเป็นนักเคมีที่ออกเดินทางไปยังเกาะอังกฤษเพื่อค้นคว้าหาตำรับตำราแลอุปกรณ์ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนการสอนใน "มหาวิทยาลัยเยล" ที่เขาเป็นอาจารย์อยู่       โดยที่อังกฤษนี้นาย "เบนจามิน" พบว่าผู้คนส่วนมากล้วนชอบดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อ "ชเวป" กัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน  นายเบนจามินเลยนำวิธีผลิตน้ำโซดารสหวานนั้นกลับมาทำที่อเมริกาจนพัฒนากลายเป็นกิจการที่ทำกำไรให้แก่เขาได้จำนวนหนึ่ง    ในที่สุดธุรกิจโซดานี้ก็แผ่ขยายไปทั่วอเมริกาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  แต่ชาวอเมริกันส่วนมากในยุคนั้นก็ยังมองว่าโซดาเป็นเพียงยาแขนงหนึ่งที่ใช้รักษาโรคเล็กๆน้อยๆเท่านั้น  ทำให้ในยุคแรกๆชาวอเมริกันจึงสามารถหาซื้อ "น้ำโซดา" ได้ตามร้านขายยาต่างๆ       จนกระทั่งได้มีหนุ่มหัวเสนาม "โจเซฟ ฮอกกินส์" ผลิตอุปกรณ์ซึ่งมีชื่อว่า "น้ำพุโซดา" ขึ้นมา(Fountain Soda)  โดยใช้หลักการให้น้ำโซดาในถังเก็บไหลผ่านท่อเหล็กมายังก๊อกจนเป็นต้นกำเนิดของเครื่องกดน้ำอัดลมอัตโนมัติในสมัยนี้นั่นเองครับ (รูป "เครื่องน้ำพุโซดา" ในช่วงประมาณปี1890ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:09:45

ความคิดเห็นที่ 7 ***     เมื่อมีการคิดค้นเครื่องน้ำพุโซดาออกมาธุรกิจการบรรจุโซดาใส่ขวดก็เริ่มซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด  เพราะผู้คนมักจะออกไปซื้อหาโซดาใส่แก้วเย็นเจี๊ยบจากเครื่องพวกนี้ตามร้านขายยามากกว่านั่นเองครับ  จนกระทั่งช่วงปลายคริสตศตวรรษที่19ซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังรุ่งเรืองแลเครื่องจักรไอน้ำก็กำลังเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศใหญ่ๆ จำนวนมาก  "นายจอห์น แมททิวส์" ชาวอเมริกันได้ทำการประดิษฐ์เครื่องผลิตโซดาบรรจุขวดซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่การเติมน้ำ อัดก๊าซ ใส่รสชาติยันล้างทำความสะอาดขวดออกมา      ซึ่งเครื่องจักรของนายแมททิวส์นี้เองที่เป็นตัวเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมน้ำอัดลมบรรจุขวดอีกครั้งครับเพื่อนๆ  เพราะมันสามารถลดเวลาการผลิตแลจำนวนแรงงานลงไปได้มาก  ธุรกิจการผลิตโซดาบรรจุขายในขวดจึงเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งพร้อมๆกับการกำเนิดของน้ำโคล่านั่นเอง  แลจุดเริ่มต้นของการใช้โคล่ามาทำเครื่องดื่มนั้น "เจไดหนุ่ม" จะต้องขอเล่าย้อนไปในทวีปอเมริกาใต้ยุคบุกเบิกครับ      โดยในสมัยก่อนนั้นชาวอเมริกาใต้เช่นเผ่าอินคารึมายันได้มีการรู้จักแลเพราะ ปลูกพืชที่ชื่อว่า "โคคา" มานมนานแล้ว  โดยใบของต้นโคคานั้นจะมี "สารอัคคาลอยด์" ซึ่งพวกเรารู้จักกันดีในชื่อของ "โคเคน" ที่มีฤทธิ์ไปกระตุ้นการทำงานของประสาทได้อย่างดีทำให้ใบโคคาจึงมักถูกนำไปใช้ทำยากระตุ้นแลรักษาอาการเหนื่อยล้า     จนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่19ก็ได้มีการสกัดสารเสพย์ติดโคเคนออกมาจากใบโคได้สำเร็จแลใช้เป็นยารักษาอาการป่วยบางโรค  โดยคนสมัยนั้นเองก็ยังไม่รู้ซึ้งว่าความจริงแล้วโคเคนก็ไม่ต่างกับ "ฝิ่น" ซึ่งเป็นสารเสพย์ติดอันตรายซึ่งมีการปลูกในประเทศจีนเลยนั่นเอง (รูปของเครื่องผลิตโซดาบรรจุขวดฝีมือ "นายจอห์น แมททิวส์" ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:11:11

ความคิดเห็นที่ 8 ***     แลเพราะความวิเศษของเจ้าต้นโคคานี่เองจึงทำให้มีเภสัชกรจากเมืองแอตแลนต้าชื่อนาย "จอห์น เพมเบอร์ตัน" ซึ่งก็มีความคิดเหมือนหมอคนอื่นๆในยุคนั้นที่ได้ทดลองนำใบแลสารสกัดจากต้นโคคาไปทำยารักษาโรคแขนงต่างๆ  แล้วเรื่องบังเอิญที่จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์วงการน้ำอัดลมของโลกก็บังเกิดแก่เขาในช่วงปีค.ศ.1886   (เรื่องนี้ทางบริษัทโค้กในอเมริกาเป็นผู้บันทึกไว้เองว่าคือต้นกำเนิดน้ำอัดลมของตนครับ)       เมื่อนายเพมเบอร์ตันรู้สึกปวดหัวมากจึงได้อาศัยประสบการณ์ของเภสัชกรนำตัวยาหลายขนานรวมทั้ง "ใบโคคา" มาปรุงรวมกันจนกลายเป็นของเหลวข้นหนืดสีน้ำตาลเข้ม  ก่อนที่เขาจะนำมันไปผสมกับน้ำโซดาจนกลายเป็นเครื่องดื่มโคล่าอย่างที่เราๆท่านๆรู้จักกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ ** สูตรในการทำหัวเชื้อของน้ำอัดลมโคคา-โคล่านั้นถูกปิดเป็นความลับมาตลอดเวลา  แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันคนที่รู้ก็จะมีเพียงผู้บริหารแลนักวิจัยระดับสูงของบริษัทเท่านั้น**     แต่ก็มิใช่ว่าความสำเร็จจะมาเยือนนายเพมเบอร์ตันเสียทีเดียวเมื่อโคล่าในยุคแรกยังมีรสประหลาดๆคล้ายยาแลต้องใช้ "แอลกออลล์" เป็นส่วนผสมจนถูกต่อต้านจากทางการ  ทำให้นายเพมเบอร์ตันต้องปรับปรุงสูตรอีกครั้งโดยตัดแอลกอฮอลล์ทิ้ง ลดโคเคน แลเพิ่มความหวานเข้าไปก่อนจะตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า "โคคา-โคล่า" ตามส่วนผสมที่ใช้ทำแลเริ่มออกวางขายให้ผู้คนทั่วไปได้ลิ้มลอง       นอกจากนี้เขายังว่าจ้างให้นาย "แฟรงค์ โรบินสัน" หุ้นส่วนของตนให้โหมกระหน่ำโฆษณาในสื่อต่างๆรวมทั้งสร้างตัวอักษรโคคา-โคล่า อันเป็นที่จดจำง่าย  ซึ่งต่อมาตัวอักษรที่ออกแบบโดยนายโรบินสันนั้นจะเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่จะใช้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  ทว่าแม้หนทางข้างหน้าจะดูสดใสแต่ผู้ที่สามารถคว้าชิ้นปลามันของธุรกิจโค คา-โคล่าไปครองจากมือ "นายเพมเบอร์ตั้น" นั้นกลับเป็นบุคคลอีกนายหนึ่งซึ่ง "เจไดหนุ่ม" กำลังจะกล่าวถึงในความคิดเห็นถัดไปครับ (รูปภาพนาย "จอห์น เพมเบอร์ตัน" บิดาของน้ำอัดลม "โคคา-โคล่า" หรือ "โค้ก" ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:11:40

ความคิดเห็นที่ 9 ***     ตอนนี้ความร่ำรวยดูเหมือนจะมาเยือนนายแพมเบอร์ตันอย่างรวดเร็วเพราะในห้วงเวลานี้เขาสามารถขายน้ำโคล่าจำนวนมากให้แก่ร้านขายยาต่างๆทั่วเมืองแอตแลนต้าที่ตนเองอาศัยอยู่  โคล่าแลเครื่องน้ำพุโซดาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในภาพลักษณ์ของร้านขายยาที่ผู้คนทั่วไปคุ้นตากันแล้วแต่แล้วเค้าลางแห่งความวุ่นวายก็ตามมาเมื่อลิขสิทธิ์ในการผลิตโคล่าได้ถูก ขายต่อไปให้นักธุรกิจจำนวนหลายต่อหลายคน     ทั้งนี้เป็นเพราะนาย "เพมเบอร์ตั้น" ต้องการหาเงินมารักษาโรคมะเร็งที่ตนเองเป็นอยู่  จนลิขสิทธิ์นี้มาถึงมือของนาย "อาซา คันเลอด์" ซึ่งซื้อมันมาด้วยเงิน 2,300 ดอลลาร์จนกระทั่งนายเพมเบอร์ตันเสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคมปี1888  นาย อาซา คันเลอด์จึงกลายเป็นผู้ผูกขาดการผลิตน้ำดำยี่ห้อโคคา-โคล่าแต่เพียงเจ้าเดียวในอเมริกาแทนครับ     ซึ่งแม้ช่วงแรกคันเลอด์จะสามารถขายโคล่าได้มากแค่ไหนแต่เขาเองก็ยังเป็นแค่เภสัชกรครับ  ดังนั้นการวางจำหน่ายโคล่าของเขาจึงมีเพียงแค่การผลิตหัวเชื้อจากโรงงาน แล้วส่งไปขายตามร้านยาต่างๆเพื่อเอาไปใส่ในเครื่องน้ำพุโซดาเอง  โดยธุรกิจโคล่านี้ได้แผ่ขยายแตกกระจายออกไปยังหลายๆมลรัฐทั่วอเมริกา  กระทั่งในปีค.ศ.1899ได้มีนักธุรกิจหัวเส2คนซึ่งกำลังจะกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีในอนาคตข้างหน้าก็คือ "นายเบนจามิน โทมัส" (เบนจามินอีกแล้ว-_-") กับ "นายโจเซฟ ไวต์เฮด" มาขอคันเลอด์ว่า  เราสองคนอยากจะเอาโคล่านี่ไปบรรจุขวดขายจะได้ไหม"       ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดเมื่อคันเลอด์เองกลับมองการณ์ใกล้ๆไม่ต่างจากเจ้าของผู้บุกเบิก "ร้านอาหารแมคโดนัลด์" เลยตอบไปแบบลอยๆว่า "เอ็งอยากจะเอาไปบรรจุขวดบรรจุหม้อบรรจุปิ๊ปอะไรวางขายก็ช่างเถอะ  อั๊วไม่สนใจอยู่แล้วฮ่าๆๆ"  นั่นก็เพราะในตอนนั้นคันเลอด์เชื่อว่าต่อให้2คนนี้นี่ขายดียังไงแต่หัว เชื้อน้ำโคล่าที่ใช้ก็ต้องสั่งจากเขาเท่านั้น  ดังนั้น2นักธุรกิจหัวเสจึงสามารถนำโคล่ามาใส่ขวดขายในชื่อ "โคคา-โคล่า" ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์อะไรให้คันเลอด์เลยซักแดงเดียว -_-" (รูปขวดโคคา-โคล่าในยุคแรกๆที่มีการออกวางจำหน่ายครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:12:27

ความคิดเห็นที่ 10 ***     จากนั้นชายสองคนนี้ก็ได้เริ่มการผลิตโคล่าบรรจุขวดขายจนโด่งดังแลทำกำไรเข้ากระเป๋าบานเบอะแล้วพวกเขาก็เกิดปิ๊งไอเดียคือ  ถ้าตนเองสามารถเอาลิขสิทธิ์โคคา-โคล่าไปขายต่อกล่าวคือคนที่ซื้อลิขสิทธิ์นี้ไปจะสามารถเอาหัวน้ำเชื่อมไปบรรจุขายลงขวดในชื่อโคคา-โคล่าได้เช่นกัน  แต่สิ่งที่สองคนนี้ประสบความสำเร็จมากกว่านายคันเลอด์ก็คือเขาตั้งราคาของค่าลิขสิทธิ์นี้ไว้สูงมาก (แต่ตัวเองได้มาฟรีๆโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ -_-")  แลด้วยวิธีการเช่นนี้นั่นเองโคล่าบรรจุขวดจึงได้ถูกผลิตแลวางขายออกไปในวงกว้างทั่วอเมริกาครับ     จวบจนกระทั่งต้นยุคศตวรรษที่20ได้นำเนินผ่านไปบริษัทโคคา-โคล่าก็ได้กระหน่ำ โฆษณาแลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโคล่าให้กลายเป็นเครื่องดื่มของทุกผู้คนในครอบครัว  ในอเมริกาตอนนั้นจึงสามารถหาซื้อโคล่าได้มากมายอีกทั้งยังมีผู้ผลิตรายอื่นต่างพากันคิดค้นน้ำโคล่าในสูตรต่างๆออกมาวางขายจนเกร่อ  แลเมื่อยุคทศวรรษที่30'ดำเนินมาถึงยักษ์ใหญ่แห่งวงการโคล่าที่เหลือรอดอยู่จากพิษเศรษฐกิจตกต่ำจนมายืนอยู่ในแถวหน้าได้ก็คือ "โค้ก" แล "เป็ปซี่" นั่นเองครับ  (เป๊ปซี่เองก็ตุปัดตุเป๋มานานครับจนมีผู้ถือหุ้นรายใหม่จึงเริ่มโอเคขึ้นใน สมัยนี้)    แลในยุคนี้นี่เองที่โคล่ากำลังจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมไปทั่วโลก  เมื่อจอมเผด็จการ "ฮิตเลอร์" แห่งเยอรมันได้สั่งกรีฑาทัพกองทหารนาซีอันเกรียงไกรเข้าเหยียบย่ำแลยึดครองแผ่นดินโปแลนด์ในเดือนกันยายนปีค.ศ.1939  สงครามโลกครั้งที่2จึงอุบัติขึ้นพร้อมๆกับการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรในยุโรปเริ่มเพลี่ยงพล้ำให้กับกองทัพนาซีอันเข้มแข็ง  จนกระทั่งอเมริกาต้องมาทบทวนถึงบทบาทของตนในเวทีโลกใหม่ครับ (รูปจำลองของตู้ขายโคล่าบรรจุขวด  ในอเมริกาช่วงทศวรรษที่1930ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:12:56

ความคิดเห็นที่ 11 <คิดว่า>หินปูนทีี่เกาะอยู่ที่ฟันมันละเอียดและมีผิวเรียบ เมื่อโดนกรดคอร์บอนิกที่อยู่ในน้ำอัดลม จึงสึกร่อนออกมา ทำให้ผิวไม่เรียบเหมือนเดิม จากคุณ : พลังจิต (พลังจิต) เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:15:41

ความคิดเห็นที่ 12 ***     โดยช่วงต้นๆของสงครามโลกครั้งที่2นั้นชาวมะริกันชนคนเสรียังยึดติดอยู่กับหลักการไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของประเทศในยุโรปครับ  จึงทำเพียงแค่จัดส่งทหารอาสาจำนวนหนึ่งกับเครื่องอุปโภคบริโภคแลยุทธภัณท์ไปช่วยเกาะอังกฤษซึ่งกำลังถูกล้อมกรอบอยู่อย่างเดียวดาย  เพราะในห้วงเวลานั้นฝรั่งเศสแดนน้ำหอมก็โดนทัพนาซีใช้ "ยุทธวิธีสายฟ้าแลบ"(Blizkerg) เข้าใส่จนแตกกระเจิงโดนยึดครองอย่างรวดเร็วในปีค.ศ.1940แล้วครับ       ส่วนพวกมะกะโรนีอิตาลีก็ดันมาตลบหลังเข้าร่วมกับฝ่ายนาซีอีก  แถมเฮียหนวดสตาร์ลินแห่งโซเวียตที่แม้พึ่งจะส่งยอดนายพล "ซูคอฟ" กับกองทหารดาวแดงไปตีกองทัพญึ่ปุ่นในแมนจูเรียจนกระเจิงมาหมาดๆแต่ก็ยังดันมาเซ็นสัญญาไม่รุกรานกันกับเยอรมันซะนี่  ตอนนี้ชาวผู้ดีตีนแดงในยุโรปจึงถูกล้อมกรอบอย่างเดียวดาย หันไปทางไหนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้ตายเท่านั้นครับ     แต่ก็เหมือนฟ้าช่วยเมื่ออีกฟากหนึ่งของโลกกองทัพญี่ปุ่นในแปซิฟิคดันไปโจมตีฐานทัพเรือของมะริกันที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์เข้าในปี1941  จนยักษ์หลับอย่างอเมริกาได้กระโดดเข้าสู่สนามรบครั้งนี้อย่างเต็มตัว  อาวุธยุทธภัณท์ในการรบแลกองทหารจำนวนนับสิบล้านนายได้ถูกจัดสร้างแลฝึกฝนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทหารจำนวนมากนี่แหละครับที่จะกลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัทโคคา-โคล่าแลช่วยปูพรมให้โคล่าเป็นที่นิยมไปในต่างแดนนั่นเองครับ (รูปโปสเตอร์ของโคคา-โคล่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่2  ที่มักใช้ทหารมะริกันมาเป็นตัวชูโรง) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:16:54

ความคิดเห็นที่ 13 *****    จาการที่อเมริกาเข้าร่วมสงครามทำให้บริษัทโคคา-โคล่าพลอยได้รับอนิสงค์ไปด้วย  ก็เพราะเหล่าทหารในกองทัพนั้นนิยมดื่มโคล่ามาก  เนื่องจากมันเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานคืนความสดชื่นแลที่สำคัญคือมันสะอาดแลรสชาติดีกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่นซึ่งทางกองทัพแจกจ่ายให้บรรดาทหาร       เพราะไม่ว่าจะเป็นกาแฟผงหรือน้ำผลไม้ชนิดซองที่กองทัพแจกจ่ายนั้นบรรดาทหารหลายต่อหลายคนต่างก็ลงความเห็นว่ามีรสชาติสุดแสนเกินจะบรรยาย  แลเมื่อโคล่าได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจึงทำให้ทางบริษัท โคคา-โคล่า ต้องเร่งสร้างโรงงานผลิตแลบรรจุขวดขึ้นในฐานทัพตามดินแดนต่างๆซึ่งพวกทหาร จี.ไอ.ไปรบครับ       กระทั่งในที่สุดทางกองทัพถึงกับต้องเข้ามาควบคุมการบรรจุโคล่าด้วยตนเองเพราะมันก็เปรียบสเมือนกับยุทธภัณท์อย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อเหล่าทหารหาญไปเสียแล้ว  โดยในห้วงเวลานี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่โคล่าได้สร้างชื่อให้ตนเองเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกพร้อมๆกับกับการรุกคืบของทหารมะริกันทำให้ที่ไหนมีทหารจี.ไอ.ที่นั่นต้องมีโคล่าให้เห็นอยู่เสมอ     ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิทะเลทรายอันร้อนระอุในแอฟริกาเหนือ การรุกคืบของฝ่ายสัมพันธมิตรในคาบสมุทรอิตาลี ยุทธภูมิวันดี-เดย์ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นฝั่งที่นอร์มังดี กระทั่งสงครามกับพี่ยุ่นบริเวณหมู่เกาะในแปซิฟิค  โคคา-โคล่านับร้อยนับพันล้านขวดก็ยังถูกส่งไปขายแก่บรรดาทหารจี.ไอ.ผู้กล้าให้ได้ลิ้มลองรสชาติของมัน (แม้ว่าบางที่โคล่าจะหาได้ยากจนมีราคาแพงกว่าปรกติก็ตาม) - รูปบน นายทหารมะริกันที่โกดังของบริษัทโคคา-โคล่าในอเมริกา  ซึ่งยุคนี้ทางกองทัพได้เข้ามาควบคุมการผลิตแลบรรจุขวดแทนเอกชนชั่วคราว - รูปล่าง ทหารมะริกันกับถังใส่ "โคล่า" เย็นเจี๊ยบกลางสมรภูมิรบ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:24:47

ความคิดเห็นที่ 14 ***    แม้สงครามจะดำเนินไปอย่างดุเดือดโคค่า-โคล่าจำนวนมากก็ยังถูกผลิตเพื่อป้อนเข้าสู่กองทัพอย่างเต็มที่  แลเมื่อกองทัพมะริกันสามารถเข้าควบคุมแลปลดปล่อยฝรั่งเศสรวมถึงประเทศในแถบที่ราบต่ำได้  เวลานี้ชาวยุโรปจำนวนมากต่างก็ได้ลิ้มรสของเครื่องดื่มอันสุดแสนจะวิเศษ  นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่โคคา-โคล่าได้เข้าไปทำตลาดในประเทศแถวยุโรปจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในเวลาต่อมา     กระทั่งเยอรมันแลญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ.1945  ทหารจี.ไอ.จำนวนมากได้พกพาชัยชนะกลับสู่แผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง  แต่ทว่าจาการที่อเมริกาได้ทิ้งกองกำลังทหารไว้เพื่อควบคุมดูแลกรุงเบอร์ลินแลยุโรป  นั่นจึงทำให้สายการผลิตแลจัดส่งโคล่าในยุโรปไม่ได้ขาดตอนไปด้วย  จนนำไปสู่การตั้งโรงงานแลวางขายโคคาโคล่ากันอย่างจริงจังนั่นเองครับ       แต่ทว่าเมื่อสงครามเย็นระหว่างอเมริกาแลโซเวียตเริ่มระอุ "โคล่า" ก็เริ่มถูกแบนในประเทศคอมมิวนิสต์  เพราะชาวค้อนเคียวจะถือกันว่า "โคล่า" เป็นสินค้าตัวแทนของพวกทุนนิยมอเมริกันครับ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัทโคคา-โคล่ากำลังเตรียมจะผลิต "โคล่าไร้สี" ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือน "เหล้าว๊อดก้า" ของชาวรัสเซียไปส่งขายอยู่ทีเดียวเชียว  แต่เพราะความขัดแย้งดังกล่าวโครงการนี้จึงต้องล้มเลิกไปอย่างน่าเสียดาย (รูปอันโด่งดังที่ประธานาธิบดี "นิกิต้า ครุสชอฟ" แห่งโซเวียตกับรองประธานาธิบดี "ริชาร์ด นิกสัน" กำลังดื่มโคล่ายี่ห้อ "เป็ปซี่" ที่ซุ้มในงานมหกรรมสินค้ากลางกรุงมอสโคว์เมื่อปีค.ศ.1959ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:26:42

ความคิดเห็นที่ 15 ***     เมื่อเวลาดำเนินผ่านไปพร้อมๆกับที่สงครามเย็นเริ่มครุกกรุ่น  บัดนี้ดูจะเป็นที่แน่นอนเสียแล้วว่าโคล่าของบริษัท "โคคา-โคล่า" แลคู่แข่งเจ้าอื่นๆกำลังเสียสิทธิ์ในการจะผันตัวเองเข้าไปเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของชาวค้อนเคียวคอมมิวนิสต์  เพราะเนื่องมาจากคำสั่งห้ามของบรรดาสหายท่านผู้นำที่ทำให้ภาพของโคล่ามะริกันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม  โดยในดินแดนโซเวียตสมัยนั้นการจะหาซื้อโคคา-โคล่าซักขวดดูจะเป็นเรื่องที่ยากแลวุ่นวายมากกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกครับ       เนื่องจากโคล่าจำนวนน้อยนิดนั้นล้วนมีขายอยู่ในร้านค้าซึ่งจำหน่ายสินค้าของฝั่งประเทศโลกเสรี  แถมไม่ต้องมาพูดเรื่องราคาเนื่องจากสินค้าแต่ละตัวในร้านจำพวกนี้ล้วนแพงระยับจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเอื้อม  จะมีก็เพียงสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์แลผู้มีเงินถุงเงินถังเท่านั้นที่มีสิทธิ์ซื้อสินค้าดังกล่าวมาใช้  ซึ่งข้อห้ามแลความแตกต่างทางสังคมที่มากมายนี้เองที่ทำให้อาณาจักรโซเวียตต้องล้มครืนลงในกาลเวลาต่อมา    แม้ว่าชาวคอมมิวนิสต์พากันแบนโคล่าของฝั่งอเมริกาแต่มีรึว่าโคล่าจะหยุดการเติบโตไปด้วยเพราะด้วยปณิธานที่ว่า "ในเมื่อขายที่นี่ไม่ได้ก็ไปขายมันที่อื่นซะสิ"  โคล่าจึงได้แพร่กระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆในประเทศโลกเสรีทั้งเอเซียตะวันออก แอฟริกา อเมริกาใต้  ตะวันออกกลางจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่ต้องการแสวงหาความสดชื่นในราคาย่อมเยา     ส่วนในประเทศไทยเองนั้นโคล่าเจ้าแรกๆที่มีการนำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการก็คือ "โค้ก"  ซึ่งมาถึงประมาณปีพ.ศ. 2492 พร้อมๆกับพวกทหารจี.ไอ.อเมริกาที่เข้ามาตั้งฐาน ทัพในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง (เป็นเวลาประมาณ60ปีมาแล้วซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงก่อนสงครามเกาหลีนิดเดียวครับ) (รูปใบโฆษณาของโคคา-โคล่าในประเทศไทยยุคแรกๆ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:27:53

ความคิดเห็นที่ 16 ***     แล้วเรื่องตลกร้ายอย่างนึงก็บังเกิดกับโคล่าของสองผู้ผลิตยักษ์ใหญ่  นั่นก็คือสงครามระหว่างชาวอิสราเอลกับบรรดาประเทศอาหรับซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรงครับ  โดยฝ่ายอาหรับนั้นมี "อียิปต์" ซึ่งตอนนี้เป็นเอกราชจากอังกฤษแล้วเป็นหัวหอก  โดยฝ่ายอาหรับจำนวนมากล้วนได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากฝั่งโซเวียต  ขณะที่อิสราเอลนั้นได้รับการสนับสนุนด้านกำลังอาวุธยุทธภัณท์จากพวกมะริกันแลบางประเทศในยุโรปครับ  ซึ่งในเวลานั้นโคล่าของ "โคคา-โคล่า"(โค้ก) เองได้มีการวางจำหน่ายในดินแดนตะวันออกกลางของชาวอาหรับมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว      แต่เมื่อเกิดสงครามขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ 60' ทำให้ชาวอาหรับลูกค้าคนสำคัญของ "โคคา-โคล่า" ต่างเริ่มพากันบอยค็อตโคล่าครับ  สาเหตุก็มาจากการที่บริษัทเตรียมจะเข้าไปจำหน่ายหัวเชื้อให้แก่โรงงานบรรจุใน "อิสราเอล" ซึ่งเป็นศัตรูของพวกอาหรับ  โดยการรบของสงครามครั้งนั้นผลไปจบลงที่อิสราเอลสามารถตีโต้พวกอาหรับแลยึดพื้นที่ในแหลมไซนายจวบจนไปสุดที่คลองสุเอชซึ่งแต่เดิมเป็นของชาวอียิปต์ได้       ส่วนสงครามน้ำอัดลมนั้นไปสิ้นสุดเมื่อ "โคคา-โคล่า" ตัดสินใจยกเลิกการจำหน่ายสินค้าของตนแก่ประเทศแถบอาหรับเพื่อรักษาลูกค้าชาวยิวจำนวนมากในดินแดนมะริกัน (โค้กกลับมาทำตลาดในแถบนี้อีกครั้งช่วงทศวรรษที่80จนถึงปัจจุบันครับ)  ซึ่งในห้วงเวลานั้นทำให้ "เป๊ปซี่" มีโอกาสเข้าไปสร้างแบรนด์ของตนจนกลายเป็น "โคล่า" ยอดนิยมของชาวอาหรับแทน "โค้ก" ไปโดยปริยายครับ (รูปขวดโค้กที่มีการวางจำหน่ายอยู่ใน "อิสราเอล" ยุคปัจจุบันครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:30:49

ความคิดเห็นที่ 17 โดยในช่วงยุคทศวรรษที่ 1960 นั้นสถาณการณ์ความเป็นไปของโลกเริ่มจะง่อนแง่นพอ สมควร  เนื่องจากสงครามเย็นระหว่างอเมริกันกับโซเวียตนั้นกำลังบานปลายแลทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  ขณะที่สงครามโคล่านั้นก็รุนแรงไม่แพ้กันครับเมื่อมีการคิดค้นโคล่ากระป๋องขึ้นมาในช่วงปลายยุค50'  ทำให้ทั้ง "โคคา-โคล่า"(โค้ก) แล "เป็ปซี่" สองผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ต่างก็เริ่มทุ่มทรัพยากรสุดขีดเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าตลาด       แต่ในเวลานี้ "โคคา-โคล่า" ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในประเทศมะริกันรวมทั้งชาวยิวมากกว่า  นั่นก็เพราะบริษัทโค้กได้ทำการสนับสนุนแลจัดจำหน่ายโคล่าของตนในดินแดน อิสราเอลอย่างเปิดเผย  ขณะที่ฝั่ง "เป๊ปซี่" เองก็ถือโอกาสเข้ามาแย่งฐานการตลาดของลูกค้าชาวอาหรับจากโคคา-โคล่า  ซึ่งในห้วงเวลานั้นชาวอาหรับจำนวนมากกำลังเป็นศัตรูกับชาวอิสราเอลอยู่พอดีจึงพากันบอยค็อค "โค้้ก" ไปโดยปริยายครับ     แต่แล้วความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเล็กๆในเอเซียตะวันออกซึ่งชื่อว่า "เวียดนาม" ก็ปะทุขึ้นจนกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่  เมื่อประธานาธิบดี "ลินดอน จอห์นสัน" ได้หว่านล้อมแลยื่นมติต่อสภาครองเกสให้อนุมัติการจัดส่งกองกำลังทหารมะริกัน จำนวนมหาศาลเข้าสู่พื้นที่เวียดนามใต้  ทั้งนี้เพื่อปราบปรามพลพรรคคอมมิวนิสต์แลกองทัพเวียดนามเหนือ(ก่อนหน้านั้นมะริกันส่งแต่ที่ปรึกษาทางทหารแลอาวุธยุทธปัจจัยเข้าไปครับ)  แลเป็นที่แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้งว่าเมื่อทหารจี.ไอ.ไปไหนโคล่าของ "โค้ก" ก็ต้องตามไปด้วยครับ      โดยในยุค60'นี้โค้กได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองในการสนับสนุนเหล่าทหารหาญ  ด้วยการบรรจุน้ำดำลง "กระป๋องอลูมีเนียม" ซึ่งเป็นวัสดุภัณท์ที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลา นั้นเพราะมีน้ำหนักเบาแลทนทานต่อการขนส่งกว่า  จนเราสามารถเห็นภาพของทหารมะริกันที่เวียดนามใต้ในเวลาพักผ่อนพร้อมด้วยบุหรี่แลเครื่องดื่มกระป๋องชนิดต่างๆในมือกันจนชินตาครับ       แลเมื่อสงครามทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นยุทธปัจจัยจำนวนมากจึงถูกส่งไปสนับสนุนทหารหาญในแนวหน้ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  ซึ่งนี่เป็นโอกาสดีของ โคคา-โคล่า (โค้ก)ที่จะสร้างชื่อให้กระฉ่อน  โดยโคล่าของโค้กทั้งรูปแบบขวดแลกระป๋องจำนวนนับล้านๆได้ถูกจัดส่งไปยังเวียดนามใต้แลประเทศพันธมิตรของมะริกันในแถบนั้น  จนทำให้ภาพของทหารมะริกันกับเครื่องดื่ม "โคล่า" ดูจะเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออกเสียแล้ว (รูปทหารจี.ไอ.ผิวดำชาวมะริกันกับแรงงานชาวเวียดนามใต้กำลังดื่มโค้กบรรจุขวด  ระหว่างการขุดพื้นผิวดินเพื่อเตรียมตัวสร้างบังเกอร์ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:32:29

ความคิดเห็นที่ 18 *****     จวบจนกระทั่งยุค70'เริ่มขึ้นพร้อมๆกับการพ่ายแพ้สงครามในเวียดนามของยักษ์ใหญ่อเมริกาจนสร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาประเทศเสรีทั่วโลก (ยกเว้นโซเวียตและพลพรรคคอมมิวนิสต์ที่นั่งขำแลยิ้มร่าจนฟันแทบหลุด)  แต่ทว่าแม้อเมริกาจะแพ้แต่โคล่าก็ไม่ได้แพ้ครับเพราะในยุคนี้ "สื่อทีวี" ได้มีอิทธิพลมากขึ้นกว่าทุกคราจนสามรถสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่ๆมากมาย  ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลจากการที่ราคาของทีวีรุ่นต่างๆนั้นถูกลงจนประชาชนคนมะริกันต่างมีทีวีไว้ติดบ้านกันแทบทุกครัวเรือน       นั่นจึงมาถึงยุคของสงครามโฆษณาที่โคล่าของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างก็คิดค้นกลเม็ดเด็ดพรายในการเรียกลูกค้ามาบลัฟใส่กันอย่างสุดฝีมือ  เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับโคล่าของคู่แข่งแล้วยังต้องมาเจอกับเครื่องดื่มชนิดอื่นทั้ง กาแฟ น้ำหวาน หรือแม้กระทั่งยาชูกำลังที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเช่นกัน  จนโคล่าของสองยักษ์ใหญ่ได้มีการใช้ดาราแลศิลปินที่ประชาชนชื่นชอบมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าของตนเองเรื่อยมาอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันครับ    ซึ่งทริคในการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นคนดังนั้นดูท่าโคล่าของบริษัทเป๊ปซี่จะ เดินเกมส์ได้เก่งกว่าโค้กอยู่หลายเท่าตัว  จะเห็นได้จากการที่เป๊ปซี่ได้ปรับแบรนด์สินค้าของตนเองให้กลายเป็นเครื่องดื่มของคนยุคใหม่ภายใต้สโลแกน "New Generation"  จึงทำให้ยอดขายของทั้งเป๊ปซี่แลโค้กสูสีคู่คี่กันมาติดๆ  แต่แล้วบริษัทโคคาโคล่าก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในช่วงกลางยุคทศวรรษ80'เมื่อมีการผลิตโค้กรสชาติใหม่ออกมา  โดยนักวิจัยแลผู้บริหารของบริษัทนั้นหมายมั่นปั้นมือว่าโค้กรสชาติใหม่นี้จะสามารถมาแทนที่โค้กรสชาติเดิมๆที่วางขายกันมาหลายสิบปีได้      ทว่าเมื่อตัวสินค้าวางตลาดออกไปจริงๆเสียงบ่นจากผู้บริโภคก็ดังระงมไปทั่ว ถึงความไม่ถูกปาก  นั่นก็เพราะผู้คนจำนวนมากต่างคุ้นเคยในรสชาติของโค้กรสดั้งเดิมไปแล้ว  ดังนั้นการจะมาเปลี่ยนรสชาติไปดื้อๆแบบนี้จึงมีแต่ผลเสียกับเสีย  ซึ่งผลของความผิดพลาดครั้งนั้นคือโคคาโคล่าต้องขาดทุนมหาศาลกับการผลิต "โค้กรสชาติใหม่" ซึ่งทำยอดขายขาดทุนบานเบอะจนต้องนำสินค้าบางส่วนไปโยนทิ้ง  แลหวนกลับมาผลิตโค้กรสชาติเก่าโดยได้นำคำว่า "Classic" มาต่อท้ายเพื่อตอกย้ำถึงรสชาติแบบดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซึ่งผู้คนทั่ว ไปชื่นชอบนั่นเองครับ (รูปของทหารมะริกันกับ2เครื่องดื่มกระป๋องสุดฮิตในสมรภูมิเวียดนาม "โค้ก" กับ "เบียร์ บัดไวเซอร์" ครับ ^_^) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:33:06

ความคิดเห็นที่ 19 กิ๊ฟหมด โหวตแทนละกันครับ จากคุณ : basicguy เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:34:07

ความคิดเห็นที่ 20 *****     แลจากยุค80'มาจนถึงสมัยปัจจุบันดูเหมือนว่า "สงครามโคล่า" ของบริษัทสองยักษ์ใหญ่นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นลงง่ายๆ  โดยในช่วงนี้เองที่โคล่าได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องรสชาติ ผลิตภัณฑ์ แลภาพลักษณ์ออกมาสู่สายตาของผู้บริโภคอย่างมากมายหลายหลาก  ซึ่งเมื่อเราเหลียวมองกลับไปไปในสมัยที่ "โจเซฟ พริสลี่ย์" ค้นพบน้ำโซดาแล "โรเบิร์ต แพมเบอร์ตั้น" คิดค้นเครื่องดื่มโคล่าตัวแรกของโลกขึ้นมาเป็นผลสำเร็จนั้น        คงไม่มีใครคิดว่ามันจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ของมนุษยชาติอย่างมากมายหลายต่อหลายครั้ง  จนกลายเป็นบ่อเกิดของเครื่องดื่มซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนทั่วโลกแลแปรสภาพเป็นสัญลักษณ์อันเอกอุของประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจอย่างที่เราๆท่านได้ประสบพบเจอกันอย่างในทุกวันนี้  แลตราบใดที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติยังคงวนเวียนเป็นกงล้อวัฏจักรต่อไปอย่างไม่จบสิ้น  ผมเชื่อว่าตราบนั้นประวัติศาสตร์ของเครื่องดื่มโคล่าก็จะเดินเคียงคู่เราไปจวบจนสิ้นยุคของมนุษย์ชาติเช่นกันครับ..... (สำหรับวันนี้ "เจไดหนุ่ม" ต้องขอปิดท้ายกันด้วยคลิปโฆษณาของพรีเซ็นเตอร์เป๊ปซี่รายนึง ที่ทุกท่านน่าจะรู้จักกันดี  ซึ่งในยุคหนึ่งนั้นถือกันว่าบุคคลในคลิปดังกล่าวนี้อาจจะเป็นผู้ที่สามารถทำรายได้ให้แก่เป๊ปซี่อย่างมากมายเป็นกอบเป็นกำที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:34:16

ความคิดเห็นที่ 21 ***     ด้านล่างนี้เป็นรูปกระป๋องของ "นิวโค้ก" ที่ออกวางขายตอนช่วงปี ค.ศ. 1985 ครับ  สังเกตุว่าตัวอักษรโคคาโคล่าแบบเดิมนั้นถูกดีไซน์ใหม่แลเปลี่ยนเป็นคำว่าโค้ก  ส่วนด้านขวาคือ "โค้ก" รสดั้งเดิมที่ออกวางขายใหม่หลังจากนิวโค้กเจ๊งไม่เป็นท่า  จนโคคาโคล่าต้องเอาคำว่า "Classic" มาต่อท้ายเพื่อบอกผู้บริโภคว่า "โค้กรสดั้งเดิมกลับมาแล้วนะ" (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:35:18

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนอันนี้เป็นโฆษณาของ "เป็ปซี่" ที่ทำออกมาเกทับ "โค้ก"ครับ  โดยในปีค.ศ.1985นั้นเมื่อ "นิวโค้ก" เริ่มไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคแลออกแววเจ๊งไม่เป็นท่า  เป๊ปซี่เลยรีบฉวยโอกาสเอาโฆษณาตัวนี้ออกฉายกระหน่ำทางทีวีเลยครับ  ซึ่งดูแล้วเป็นการจิกกัดได้แสบสันต์พอสมควรเลย "They change my Coke"  ^_^ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:36:05

ความคิดเห็นที่ 23 คุณเจได เขียนเองเหรอ สำนวนใช้ได้ อ่านเข้าใจง่าย ความรู้ก็ปึ้ก เยี่ยมยอดเลย อันนี้ของโปรด อร่อย แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 19:23:50 จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:14:48

ความคิดเห็นที่ 24 ตกลงคำตอบ สำหรับจขกท. อยู่ตรงไหนครับ? จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:39:21

ความคิดเห็นที่ 25 ตกลงทำไมถึงสากครับ - - จากคุณ : underground1 เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 20:19:46

ความคิดเห็นที่ 26 สงสัยหน่อยหนึ่งครับท่านเจได ไหง โค้ก เขายึดชื่อ โคคา-โคล่า ไปเป็นชื่อบริษัทตัวเองได้ละครับ หรือว่า โค้ก นี้นิยมเรียกเฉพาะบ้านเรา เห็นส่วนใหญ่คนต่างประเทศเขาเรียก โคคา-โคล่า กันอ่ะครับ เวลาซื้อ จากคุณ : The_Last_Shadow เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 20:39:35

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ^ ^ อ่านให้จบแล้วจะเข้าใจครับ ชื่อโค๊ก เพราะว่า โคคาโคล่า ทำรสชาติใหม่ แต่ได้เจ๊งไป ไทยคงอยู่ในช่วยนั้นพอดี (มั๊ง) จึงเรียดติดปาก จากคุณ : กระจั๊วเรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 21:25:58

ความคิดเห็นที่ 28 เขอเล่อ จากคุณ : Organic_D เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 21:31:07

ความคิดเห็นที่ 29 มาลุ้น จขกท จะได้คำตอบรึเปล่า 55+ จากคุณ : topcivil เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 22:56:07

ความคิดเห็นที่ 30 30 แล้วก็ยังไม่ได้ จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 23:18:33

ความคิดเห็นที่ 31 31 ก็ยังไม่ได้ แต่ผมได้ความรู้อีกแล้วว จากคุณ : ลูกกอล์ฟสีขาว เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 00:31:44

ความคิดเห็นที่ 32 สุดยอดเลย 555 ตกลง จขกท. ดื่มโค้กหรือแป้บซี่ครับ จากคุณ : ReiLove เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 00:43:33

ความคิดเห็นที่ 33 สาก เพราะกรดกัดเคลือบฟันครับ จากคุณ : Pomzazed เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 01:46:28

ความคิดเห็นที่ 34 ...นึกยังไงไปชิม ของเหลวที่ได้จากการทดลองแปลกๆน้า =v='' จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 01:46:57

ความคิดเห็นที่ 35 ผมกินบิ๊กโคล่า 555 จากคุณ : joker773 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 01:58:34

ความคิดเห็นที่ 36 ถามดินเดียวตอบซะยาวเชียว จากคุณ : JackOnell เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 02:06:47

ความคิดเห็นที่ 37 รบกวนคุณเจไดหน่อยครับ แล้วเป๊ปซี่ เกิดตอนไหน อย่างไร เพราะในเรื่องมีกำเนิดโคคา-โคล่า แล้วตัดมาเป๊ปซี่ตีตลาดอาหรับเลย จากคุณ : เขียว เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 02:43:29 A:59.164.109.106 X: TicketID:287847

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านสนุกได้ความรู้มาก ๆ เลยครับ ขอบพระคุณจขกท.และคุณเจไดหนุ่มนะครับผม ^^ จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 03:19:56

ความคิดเห็นที่ 39 555+ สนุกดีครับ ชอบๆ อ่านแล้วเพลินๆ เจ้าของ กราทู้ โดนเทกโอเวอร์ เรียบร้อย อิอิ จากคุณ : RoBoCooP เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 12:10:31

ความคิดเห็นที่ 40 เราเคยไปกับเพื่อน ร้านที่ยุโรป เพื่อนสังโค้ก คนขายงง เราเข้าไปทีหลังเลยบอกโคคาโคล่า ฝรั่งร้องอ๋อ  เพื่อนบอกดีนะที่แกมาทันไม่งั้นชั้นจะเปลี่ยนเป็นเป็บซี่อยู่แล้ว จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 12:31:59

ความคิดเห็นที่ 41 ตอน ม.ต้น มีโค้กเชอรี่ ชอบมาก นึกว่าจะขายนานๆ หน่อย จากคุณ : เลือนลางร่ำไร เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 12:32:31

ความคิดเห็นที่ 42 ผมเข้าใจว่า Big Cola เป็นของคนไทยอยู่ตั้งนาน ที่ไหนได้ สัญชาติเปรู ซะงั้น http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2 จากคุณ : ลุงบุญคำ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 12:44:43

ความคิดเห็นที่ 43 พี่เจไดพูดตั้งแต่เริ่มเลย คารวะท่านอาจารย์เจได!! จากคุณ : ศิษย์อนาคิน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:42:34 A:58.9.118.192 X: TicketID:340242

ความคิดเห็นที่ 44 ไมว่าจะยี่ห้อไหนผมเขย่าขวดให้หายซ่าตลอด 555 จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:28:53

ความคิดเห็นที่ 45 ท่านเจไดน่ากดแตกประเด็นนะ = = จากคุณ : wsteven เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:33:09

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับ จากคุณ : Fatdiary เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:41:19

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมากครับคุณเจได จากคุณ : เขียนบนมือถือ nokia 3310 (ยำปลากระป๋องใส่ซอสมะเขือเทศ) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 15:17:24

ความคิดเห็นที่ 48 ***ถึงเพื่อนสมาชิก wsteven*** ผมตั้งใจจะไม่แตกประเด็นตั้งแต่แรกแล้วครับ  เหตุผลคือผมเคยตั้งกระทู้ประวัติ "โคล่า" ไว้ในห้องหว้ากอครั้งหนึ่งแล้วเมื่อช่วงปลายปี 2551  อีกเหตุผลหนึ่งคือส่วนตัวชอบตอบแบบเงียบๆในกระทู้เพื่อนสมาชิกท่านอื่นครับ ...ถ้าเรื่องราวที่ผมนำมาเสนอเป็นที่ชอบใจของเพื่อนๆ  ก็ต้องขอน้อมรับคำขอบคุณของเพื่อนๆทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณมากๆครับ... ***เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ  ความจริง "โค้ก"(Coke) นั้นเป็นชื่อเล่นของ "โคคา-โคล่า" มาตั้งแต่ก่อนยุคสงครามโลกครั้งที่2แล้วครับ*** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 16:05:43 จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 15:27:51

ความคิดเห็นที่ 49 ดังนั้นคนส่วนมากจึงเรียกโคล่าของบริษัท "โคคา-โคล่า" ว่า "โค้ก" จนถึงปัจจุบันครับ ป.ล. ซึ่งคำว่า "โค้ก" นี้ยังถูกนำไปเรียกชื่อของ "ยาเสพย์ติด" ที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทแบบเดียวกับพวก "ยาไอซ์" ด้วยครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เขียนบน Motorola DynaTAC 8000X (เจไดหนุ่ม) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 16:09:38

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ นอกเรื่องนิดนึง   Motorola  ของ คุณเจไดหนุ่ม นี่สุดยอดมากนะ เข้า pantip ได้ด้วย :P จากคุณ : Neo007 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 16:59:15

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับ   ส่วนตัวผมรู้อยู่ 80-90 % อยู่แล้ว เพราะ ผมสะสมของโค้กมานานครับ จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:20:39

ความคิดเห็นที่ 52 เล่าได้สนุกครับ และได้ข้อคิดดี อาการเสพติดของมนุษย์ มีความพิเศษ ที่ ไม่เน้นประโยชน์ ไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร เน้น อร่อยเป็นพอ แบบเดียวกับการเสพ เรื่องอื่น เช่น เสพทีวี เสพดารา เสพงานศิลป์ เสพร้านเหล้า ร้านเบียร์ เสพ กระทิงแดง เสพศาสนา เสพ แอปเปิ้ล ผู้ที่หากล่องดำเจอก็รวยกันถ้วนหน้า ลองคิดดูว่า น่าแปลกที่ชาติที่เสพ น้ำอัดลมเป็นหลัก ครองโลกได้ เพราะ ทุกชาติ ก็ชอบเสพ สิ่งเดียวกัน ทั้งที่มีคำพูดว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา น่าสนใจมาก ขอบคุณครับ จากคุณ : spirituallking เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:23:11

ความคิดเห็นที่ 53 เป็นอย่างนี้รึเปล่าครับ Ca10(PO4)6(OH)2(s) + 8H+(aq) → 10Ca2+(aq) + 6HPO42-(aq) + 2H2O(l) hydroxyapatite              acid                mineral sl:-) dissolves hydroxyapatite= ส่วนประกอบของฟัน แต่มันคงไม่มีผลกับเรามากหรอกมั้ง ถ้าเราไม่อมมันไว้เป็นชั่วโมงๆ เป็นวันๆ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 17:31:34 จากคุณ : เขียนบนบก (Yoshitomi) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:26:51

ความคิดเห็นที่ 54 แลส่วนตัวเราว่าระหว่างเป๊บซี่แลโค้กในไทย เป๊บซี่แลน่าจะขายดีกว่าโค้กแล http://www.youtube.com/watch?v=h8qtsUaoVak จากคุณ : Edna Mode เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:58:25

ความคิดเห็นที่ 55 เพิ่งเคยเห็นสโลแกนอันนี้ของเป๊บซี่ มันไม่ใช่แค่ New Generation ซะแล้ว จากคุณ : Edna Mode เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 18:00:12

ความคิดเห็นที่ 56 5555+ เจ้าของกระทู้อย่าคิดมาก คิดเสียว่าโดนขมขื่นก็แล้วกัน ก็โดนยัดไปซะ 21 ความคิดเห็น โดนซะบานเลย แถมไม่ได้คำตอบซักคำ ไม่มีคำแก้ตัวด้วย อยากให้สาระมากตั้งกระทู้ใหม่เลยดีใหม ทำไปได้คิดได้ไงฟะ ผมเกรียนมากเลยละ รับประกัน จากคุณ : jackmaster (jackmaster) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 18:13:36

ความคิดเห็นที่ 57 น้ำท่วมหากินยากอะ จะขาดใจแล้ววววว ชอบเป๊บซี่มากกว่า โค้กหวานไป แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 19:01:45 จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:01:24

ความคิดเห็นที่ 58 น้ำท่วม หาโค้กแป๊บซี่ ยากมาก จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:03:05

ความคิดเห็นที่ 59 มีประโยชน์แต่ไม่ตรงคำถาม ตอนสอบผมตอบไปเต็มหน้าเอสี่ ได้ศูนย์คะแนน อาจารย์บอก ที่เขียนๆมาน่ะชั้นถามแกหรอ ต้องโทษจขกท.ที่ถามไม่ตรงคำตอบเองนะ (May the sperm be with you) (ขอเสปิร์มอยู่คู่ตัวเทอว์) แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 19:30:41 จากคุณ : nohaha เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:27:08

ความคิดเห็นที่ 60 อ่านสนุกดีครับ คุณเจได ช่างขยันค้นหามาให้อ่านได้เรื่อยเลยนะครับ จากคุณ : สารวัตรซัดโป้ง เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 20:57:13

ความคิดเห็นที่ 61 ทำไมคนถึงชอบอ่านเป๊ปซี่ ว่า แป๊บ--ซี่ ? จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:18:37

ความคิดเห็นที่ 62 (เข้ามากวนประสาท จขกท.ครับ) โค้ก (ครก) มันเข้าไปทำปฏิกิริยาเหนี่ยวนำให้สิ่งอยู่ในปากของเรานั้นกลายเป็นของคู่กันคือ ''สาก'' ครับ จากคุณ : ekawatchaow เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:20:41

ความคิดเห็นที่ 63 เคยอ่าน หนังสือ "ต้องโค้กสิ" ของสำนักพิมพ์เนชั่นกรุ๊ป อ่านเพลินมากเช่นกันครับ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:21:32

ความคิดเห็นที่ 64 ปีหน้าจะไม่มีเป๊บซี่ให้กินกันแล้วนะครับ ใครอยากกินก็รีบกันหน่อย เพราะเสริมสุขที่เป็นบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายในไทยมีปัญหากับบริษัทแม่จนปัจจุบันถึงขั้นบอกเลิกสัญญา จากคุณ : หางแหลม เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 22:57:04

ความคิดเห็นที่ 65 ูู^ 64 ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่น่าวิตก เพราะเดี่ยวก็จะมีบริษัทใหม่มาแทนอยู๋ดี จากคุณ : PP เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 00:15:47 A:115.87.172.124 X: TicketID:281593

ความคิดเห็นที่ 66 #64 จริงดิ ผมชอบกินเป็ปซี่มาก กินจนอ้วนเลย จากคุณ : seeder เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 00:24:16

ความคิดเห็นที่ 67 #64 เรื่องของเรื่อง เขาอยากที่จะเข้ามาบริหารและจำหน่ายเอง ถ้าถึงขั้นเลิกสัญญากันจริงๆ เด๋วเขาก็หาบริษัทอื่นมาเป็นตัวแทนใหม่เองแหละครับ จากคุณ : The_Last_Shadow เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 00:45:49

ความคิดเห็นที่ 68 เป๊ปชี่ กับ โค้ก ต่างกันยังไง ผมยังแยกไม่ออก จากคุณ : Jackchan เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 01:31:45

ความคิดเห็นที่ 69 ผมว่าถ้าเลิกกันจริงๆมีคนรอเสียบอยู่แล้วครับ จากคุณ : rebornz132 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 02:26:46

ความคิดเห็นที่ 70 โฆษณาที่ทำให้โค้กอยากจะกินตับเป๊บซี่ จากคุณ : hideto b1 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 03:17:18

ความคิดเห็นที่ 71 หาซื้อไม่ได้เลยช่วงนี้เซงๆ จากคุณ : FFK-KZ@Fiesta เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 09:10:27

ความคิดเห็นที่ 72 เป็นการออกทะเลแบบอลังการเรือสำราญเดินสมุทรสินะสินะ  =.=a ตอบเจ้าของกระทู้ ถ้ารู้สึกสากๆที่ฟันกันก็ให้ทำ foreplay ให้นานขึ้นครับ ^^ จากคุณ : หมีอ้วนขนนิ่มสมัครอมยิ้มมาเฮฮา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 11:00:25

ความคิดเห็นที่ 73 14 จังหวัดภาคใต้ ดื่มโค๊ก ของ บ. หาดทิพย์ รสชาด มันเหมือนที่ กทม. เปล่าหว่า  คริๆๆ รบกวนถามต่ออีกนิด  ทำไมเมืองไทย ถึงมีผู้ผลิตโค๊ก 2 เจ้าครับเนี่ย ส่วน ดื่มแล้ว ฟันสากๆ  ผมก็เป็น แต่พอดื่มไปสักพักก็หาย  เป็นแค่คำแรกๆ จากคุณ : ดักไซแห้ง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 12:19:12

ความคิดเห็นที่ 74 คุณเจไดครับ ฝิ่นไม่ได้ปลูกในจีนนะครับ แต่อังกฤษ ปลูกที่อื่นแต่นำเข้ามาขายในจีนต่างหาก เพราะยุคนั้นมีการค้าระหว่างอังกฤษกับจีน อังกฤษอยากได้หลายอย่างจากจีน แต่จีนกลับไม่อยากได้อะไรจากอังกฤษ เลยต้องไปเอาฝิ่นมาทำตลาด จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 12:21:55

ความคิดเห็นที่ 75 อธิบายแบบสั้นๆครับ - พอกินโค้กแล้วมีBiofilmที่สร้างจากบัคเตรีขึ้นมา โดยเชื้อที่อยู่ที่เหงือกและฟันจับน้ำตาลแล้วก็สลายสร้างสารมาเคลือบไว้ - ความรู้สึกสากเกิดจากส่วนนึงลิ้นเราเจอกรด+โซดาในโค้ก ความรูสึกที่ปลายลิ้นที่ไปแตะฟันก็เปลี่ยนไปหน่อยนึง ประกอบกับไปเจอไบโอฟิล์มที่สากๆก็เลยสากๆไปกันใหญ่ - การกินน้ำอัดลมจะเกิดความรู้สึกได้บ่อยกว่าอาหารหวานธรรมดา เพราะว่าน้ำอัดลมเป็นกรดอ่อนๆอยู่แล้ว และบัคเตรีที่สร้างไบโอฟิล์มและทำให้ฟันผุ ส่วนมากชอบกรด - เวลากินไดเอทโค้กจะไม่เกิดความรู้สึกนี้ เพราะไม่มีน้ำตาล จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 13:22:48

ความคิดเห็นที่ 76 กว่าจะได้อ่านคำตอบ ขอบคุณ หมอแมวครับ จากคุณ : Deadhunt เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:14:15

ความคิดเห็นที่ 77 ติดใจหน่อยครับ ปีหน้าจะไม่มีเป๊บซี่ให้กินกันแล้วนะครับ ใครอยากกินก็รีบกันหน่อย เพราะเสริมสุขที่เป็นบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายในไทยมีปัญหากับบริษัทแม่จนปัจจุบันถึงขั้นบอกเลิกสัญญา อันนี้จริงหรือครับ ที่บ้านรับเป๊บซี่มาขาย สงสัยจะต้องย้ายกลับมาโค้กเหมือนเดิมซะแล้ว --" จากคุณ : น้องหยิก เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:47:49

ความคิดเห็นที่ 78 กะว่าจะมาเช็คชื่อ ว่ารู้สึกสากลิ้นเหมือนกัน แต่ต้องลงเรือจากฝั่งอันดามันข้ามมาฝั่งอ่าวไทยก่อน "ทดลองชิมจึงพบว่ามันมีรสซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน" เอิ่ม ช่างกล้ามากเลยค่ะ นึกถึงตอนเด็กๆเล่นขายของ ยังไม่กล้าชิมของที่ตัวเองทำเล่นๆเลย จากคุณ : มินเอง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:58:01

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณที่คิดค้นมิกเซอร์ให้นะขอรับ คุคุคุคุ จากคุณ : 2 กลม (moshita) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 15:39:29

ความคิดเห็นที่ 80 กว่าจะรู้ว่ากินแล้วทำไมฟันสาก ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มค้นพบเมื่อกว่า 200ปีที่แล้ว สุดยอดมาก หุหุหุ จากคุณ : bozopop เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 15:49:24

ความคิดเห็นที่ 81 #70 โค้กเลยขายดีกว่าเป็บซี่เพราะแบบนี้นี่เอง จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:27:29

ความคิดเห็นที่ 82 ท่านเจได คราวหลังตั้งกระทู้ใหม่เห๊อะะ เข้ามาหาคำตอบ เพราะสงสัยเหมือนกัน แต่กว่าจะเจอก็โน่นนน ปาเข้าไปความเห็นหลังๆ เลื่อนลงมาเกือบจะท้อ ดีว่าได้หมอแมวมาช่วยตอบ = = แปะสิ่งที่มีความรู้ แต่ไม่ตรงประเด็น มันไม่ได้สาระเลยนะท่านเจได แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 16:42:55 จากคุณ : คุโรดะรุ่นที่4 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:42:36

ความคิดเห็นที่ 83 มีส่วนร่วมกับสงครามมานานแล้วครับ จากคุณ : Capaldi เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:02:07

ความคิดเห็นที่ 84 โชคดีที่โลกนี้มีหมอแมว ;) ขอบคุณมากค่ะ วันหลังตั้งกระทู้ใหม่จะมีประโยชน์กว่า และดูเข้าท่ากว่านะท่านเจได จากคุณ : หมูอ้วน เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:09:19 A:180.183.68.201 X: TicketID:330431

ความคิดเห็นที่ 85 ผมไม่ค่อยเชื่อหมอแมวเท่าไหร่ ถ้าอธิบายแบบนั้น น้ำอัดลมชนิดอื่นน่าจะเป็นด้วย แต่นี่ผมว่า มันสากเฉพาะโค้กกับเป๊ปซี่นะ จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:11:05

ความคิดเห็นที่ 86 ผมไม่รู้คำตอบที่ จขกท.ถามหรอกครับ แต่อยากบอกว่าชอบกินเป๊ปซี่มากกว่า เพราะมันทั้งหวานทั้งซ่ากว่าโค้ก จากคุณ : อาทิตย์ (Athijaran) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:26:12

ความคิดเห็นที่ 87 ถึงจะสาก แต่ผมก็รัก โค้ก ครับ จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:17:16

ความคิดเห็นที่ 88 ขอบคุณครับ จากคุณ : คนไม่เคยหล่อ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 23:42:51

ความคิดเห็นที่ 89 โอ้ เส้นทางสาย โคคา-โคล่า จากคุณ : sweet shine เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 00:01:36

ความคิดเห็นที่ 90 ในน้ำโีคล่านี่มันมีสารเสพติดแบบโคเคนอยู่ใช่้ไหมครับ เพราะมันสกัดมาจากต้นโคคาเหมือนกัน จากคุณ : toronado เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 01:37:00

ความคิดเห็นที่ 91 ผม จขกท.ขอแย้งความเห็นของคุณหมอแมวน่ะครับ ที่ คห.75 น่ะครับ เพราะสาเหตุที่ผมตั้งกระทู้ถามก็เพราะช่วงนี้ผมลดน้ำหนักอยู่ พอเวลาเพลียๆเลยจะซื้อโค๊กซีโร่หรือแป๊ปซี่แม๊ก มาดื่มเพื่อความสดชื่ออยู่บ่อยๆ อนิจจาดื่มทีไร มันสากฟันทุกที เลยมาตั้งกระทู้ถามในนี้แหละครับ จากคุณ : Fatdiary เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 03:11:37

ความคิดเห็นที่ 92 มาบอกเจ้าของกระทู้ ผมก็ออกกำลังลดน้ำหนักเหมือนกัน เวลาผมขี่จักรยานออกกำลังกายหนักๆ จนเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ Hypoglycemia (ของผมระดับน้ำตาลต่ำเหลือ 87 mg/dl) ผมจะรียแวะ 7/11 สั่ง เปาหมูสับ 2 กับ 1 Coke ครับ ขอบคุณ จขกท และ คุณ เจไดหนุ่ม ที่นำเรื่องราวดีๆ มาฝาก จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 06:40:05

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านมา 92 เม้น ก็ยังไม่รู้แน่ชัดอย่างที่ จขกท ถาม  นี่ตกลงผมโง่สินะเนี่ย d-_-b จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 14:28:04

ความคิดเห็นที่ 94 คห. 49 Motorola DynaTAC 8000X จากคุณ : เขียนบน Nokia 3310 (redzaaboom) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 16:01:52

ความคิดเห็นที่ 95 รูปไม่ขึ้น จากคุณ : เขียนบน Nokia 3310 (redzaaboom) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 16:03:15

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณ เจไดหนุ่ม ครับ จากคุณ : pinhead เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 18:03:44

ความคิดเห็นที่ 97 กินเป๊บซี่ใส่เกลือจะมีใครกินแบบเราบ้างมั้ย   ในบ้านมีพวกกินโค้กไม่เอาเป๊บซี่ ,พวกที่กินยี่ห้ออะไรก้อ กับ เราเป๊บซี่เท่านั้น(ต้องใส่เกลือด้วยนะ ไม่งันกินแต่ไม่เยอะเท่าปกติ ) โค้ก กินเฉพาะขาดแคลนเท่านั้นค่ะ จากคุณ : Miracles in my life เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 18:42:07

ความคิดเห็นที่ 98 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 20:02:19

ความคิดเห็นที่ 99 โอย กว่าผมจะไล่มาเจอคำตอบจริงๆของคำถามจขกท. เล่นซะเหนื่อยเลย จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 22:45:49

ความคิดเห็นที่ 100 ได้ความรู้มากเลยครับ จากคุณ : เขียนบน ssgt wifi 3g (หมูกรอบพริกเผา) เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 07:37:19

ความคิดเห็นที่ 101 ทำไมเวลาดื่มโคล่าถึงรู้สึกสากๆที่ฟันกัน...Coke and Teeth โค้กทำให้บักเตรีเพิ่มในปาก Regular Coke by far had the most bacterial growth กรดฟอสปอริกทำให้ฟันผุ Phosporic acid used as acidulant. Phosporic acid corrodes the surface of the enamel, clearing the way for the microorganisms. โค้กทำให้ฟันเป็นหลุม Coca Cola seems to cause cavities. It seems like that coca cola will cause holes in someones teeth and reduce the size by a little bit and change the white or slightly yellowish color to something else. โค้กทำให้ปากเป็นกรดเป็นชั่วโมง ทำลายฟัน Coca cola, whether it is diet or regular, has a very negative effect on enamel by increasing the acid pH in the mouth for a period of at least an hour. The increased acid strips the natural protective layer on your teeth (pellicle) and the enamel begins to sl:-) lose its natural minerals and therefore breakdown, causing decay. โค้กทำให้น้ำตาล/ปลั๊ก(plaque)เคลือบฟัน เปลี่ยนสีฟันได้...คงเป็นคำตอบจขกท. Coca Cola adds on layers of sugar and plaque, and sl:-) staining it. http://wiki.answers.com/Q/What_effect_does_Coca_Cola_have_on_teeth จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 09:10:25

ความคิดเห็นที่ 102 cola wars จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 09:16:04

ความคิดเห็นที่ 103 ทำไมเวลาดื่มโคล่าถึงรู้สึกสากๆที่ฟัน ปลั๊ก(Plaque) คือแผ่นใสเหนียวของบักเตรีบนฟัน  ลิ้นจะรู้สึกฟันสากๆ Plaque is the sticky, colorless film of bacteria that forms on teeth. It makes teeth "feel fuzzy" to the tongue and is most noticeable when teeth are not brushed. ปลั๊ก(Plaque)เกิดจากอาหารพวกน้ำตาล/แป้ง เครื่องดื่ม ขนม เกิดกรดทำลายฟัน-ฟันผุ Plaque develops when foods containing carbohydrates (sugars and starches) such as milk, soft drinks, raisins, cakes, or candy are frequently left on the teeth. Bacteria that live in the mouth thrive on these foods, producing acids as a result. Over a period of time, these acids destroy tooth enamel, resulting in tooth decay. Plaque can also develop on the tooth roots under the gum and cause breakdown of the bone supporting the tooth. http://www.webmd.com/oral-health/guide/plaque-and-your-teeth จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:38:24

ความคิดเห็นที่ 104 คห 48    ผมว่าน้อมรับคำชมคำขอบคุณแล้ว   น่าจะน้อมรับคำติด้วยนะครับ ....รึผมคิดมากไป จากคุณ : takatin เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:39:30

ความคิดเห็นที่ 105 .. จากคุณ : takatin เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:43:02

ความคิดเห็นที่ 106 .... จากคุณ : takatin เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:44:17

ความคิดเห็นที่ 107 อ่านแล้วซ่าส์เลย ^^ จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 13:47:48