ไทยพับลิก้า : จุลินทรีย์อีเอ็มคืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วงที่ผ่านมา
เจษฎา : ถ้าจะพูดเรื่องอีเอ็มก็ต้องรู้ก่อนว่าอีเอ็มมาจากคำว่าอะไร อีเอ็ม มาจากภาษาอังกฤคำว่า Effective Micro Organism โดยคำมันเอง ฟังแล้วก็งงๆว่า เป็นเชื่อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่จริงแล้วมนุษย์เราใช้เชื่อจุลินทรีย์มาเป็นพันๆปี ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ เราใช้หมักสารพัดอย่าง โยเกิร์ตที่เรากินก็มาจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งนั้น โดยในธรรมชาติมีทั้งเชื้อที่ดีและเชื้อที่ไม่ดี
ต่อมาก็มีทีมนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นได้สร้างชื่อใหม่ขึ้นมา ด้วยการรวบรวมพันธุ์จุลินทรีย์ต่างๆที่เจอในดิน เขาบอกว่าคัดเชื้อมาตั้ง 80 กว่าตัว แล้วสุดท้ายก็ลดลงมาเหลือจุลินทรีย์ 3 กลุ่ม แล้วก็นำมาใช้กัน ซึ่งเชื้อที่ว่านี้มันเก่งในการหมักเอามากๆ ฉะนั้นในบ่อน้ำเน่า กองปุ๋ยหมัก เชื้อพวกนี้จะเก่งมาก พอหยิบนำมาใช้ในกรณีนี้มันก็ทำงานได้ดี มีการใช้ต่อๆกันมาเป็นสิบปี โดยตอนแรกเอามาใช้เพื่อทำการเกษตร
ผมว่ามันน่าสนใจตรงที่ มันเริ่มกลายเป็นยาผีบอก มีการเอาไปใช้หลากหลายวิธี จนเริ่มไปไกลกว่าที่เราคาดถึง ถ้าพูดน้ำหมักจากอีเอ็มจะมีประโยชน์สารพัด คนไทยอาจจะงง แต่ถ้าเราเรียกว่าน้ำป้าเช็งจะเห็นภาพ ที่จริงไอเดียป้าเช็งหรือไอเดียของเกษตรอินทรีย์หลายๆเจ้าก็ทำคล้ายกันคือ เอาอะไรมาหมักแล้วคิดว่าได้น้ำหมักที่ดีก็นำไปใช้ประโยชน์ ทั้งการไปใช้ในเรื่องของปุ๋ย เรื่องของการหมักให้ไม่มีกลิ่น
แต่เมื่อไรก็ตามที่มันเริ่มไปไกลกว่านั้น เช่นมีคนบอกว่ากินแล้วรักษามะเร็งได้ เอามาทาหน้าแล้วลดสิว หรือแม้แต่ที่ญี่ปุ่นคนทำเขาเชื่อขนาดว่า เอาไปผสมปูน สร้างคอนกรีต สร้างตึก ตึกจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม มันเริ่มไปไกลแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นยาผีบอกเกินเหตุไปหน่อย
ในวงการวิทยาศาตร์ของทุกอย่างโต้เถียงกันได้ เราอาจจะมีกลุ่มที่เชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งสามารถโต้เถียงในเชิงวิชาการได้ แต่ที่ผมพูดว่ายาผีบอก เพราะเราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเท่าไรเลย สมมติเราซื้อยามากินสักขวด ที่ขวดจะต้องบอกว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง กี่เปอร์เซนต์ รู้ปริมาณ แต่นี่เราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเราซื้อถังน้ำเชื้ออีเอ็มมา ถึงจะเป็นยี่ห้อแท้ๆของเขาเอง เขาก็ไม่เขียนว่ามีเชื้ออะไรบ้าง และยิ่งตอนนี้มีสารพัดเจ้านำมาทำ เราก็ยิ่งไม่รู้อะไรเลย แต่มีคนเคลมว่ามันใช้ได้
แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็เป็นแบบนี้ ถ้าคุณไป คุณก็อาจจะเจอโรงแรมอีเอ็ม เข้าไปจะมีอาหารอีเอ็มให้กิน มีน้ำอีเอ็มให้ดื่ม มีแชมพูอีเอ็มให้ใช้ ซึ่งนักวิทยาศาตร์ญี่ปุ่นผมว่า 99 % ก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ แต่สำหรับประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีการนำวัฒนธรรมการใช้อีเอ็มเข้ามา ที่ผมเรียกว่าวัฒนธรรมเพราะมีกระบวนการ มีการมาสอน มาถ่ายทอด จัดอบรมเป็นองค์กร ไม่ใช่นำมาขายอย่างเดียว และพอเริ่มดูเหมือนจะเวิร์ค มีการนำไปใส่ในบ่อน้ำเสีย แล้วกลิ่นดีขึ้น น้ำใสขึ้น ก็เกิดเป็นเจ้าที่หนึ่ง เจ้าที่สอง เริ่มมีคนทำมากขึ้น แต่ทุกเจ้าจะเหมือนกันคือไม่มีข้อมูลรายละเอียดว่าคืออะไร แต่เคลมว่าของฉันคัดเชื้อมาเอง ทำเอง มีเทคนิคที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่ของฉันวิเศษเหมือนกัน เริ่มมีการแข่งกัน การเติบโตเป็นเหมือนลูกโป่งมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ รอวันที่ลูกโป่งระเบิด
แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 12:54:04
จากคุณ |
:
JD300
|
เขียนเมื่อ |
:
วันรัฐธรรมนูญ 54 12:48:31
|
|
|
|