ความคิดเห็นที่ 1 ผมเห็นด้วยครับ ตัวผมก็จบวิศวะจากมหาลัยในไทยเช่นกัน ตอนนี้เรียนโทอยู่แถบยุโรปครับ เห็นอย่างชัดเจนนอกจากโอกาสและวิํธีการเรียนการสอนต่างๆที่คุณว่ามาแล้ว ผมว่าปัจจัยสำคัญมากๆอีกอย่างคือ "สังคมรอบตัว" ครับ หมายถึง เพื่อน, คนรู้จัก, ทุกคนที่คุณมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ทั้งทางตรงและทางอ้อม คนกลุ่มนี้แหละครับ ที่จะเป็นส่วนสำคัญมากๆในการหล่อหลอมวิธีการคิดของคุณ คำกล่าวที่ว่า "อยู่ที่ตัวเราเอง" ผมคิดว่ามันใช้ได้แค่ในทางทฤษฎีแต่ในทางปฏิบัติมันเป็นไปได้น้อยมากๆ จะอยู่ทีตัวเราเองได้นั้น ต้องใช้ความเป็นระเบียบวินัยในตัวเองและการบังคับจิตใจสูงมากๆ ซึ่งถ้าเทียบกันกับให้สังคมรอบตัวเป็นตัวผลักดันแล้วเป็นไปได้มากกว่าเยอะ แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 00:37:21 จากคุณ : หุ่นเหล็กสีน้ำทะเล เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:20:30

ความคิดเห็นที่ 2 ผมก็ไม่เห็นด้วย จนกระทั่งเรียนจบสถาบันราชภัฎแห่งหนึ่ง จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:20:32

ความคิดเห็นที่ 3 การเรียนให้ประสบผลสำเร็จ อยู่ที่ทั้งตัวผู้เรียน และสถาบันที่ไปใช้บริการ การมุ่งความสำคัญไปที่ส่วนใด โดยไม่สนใจอีกส่วน ก็ไม่สมบูรณ์ จากคุณ : Zeichnung (Zeichnung) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:24:57

ความคิดเห็นที่ 4 ศรีนิวาสะ ไอเยนการ์ รามานุจัน สมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย ซึ่งได้สร้างงานวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบทต่างๆ ทางทฤษฎีจำนวน อนุกรมอนันต์ และเศษส่วนต่อเนื่อง "โดยที่ไม่เคยรับการศึกษาด้านคณิตศาสตร์อย่างเป็นทางการเลย" ก็อดฟรีย์ ฮาร์ดี้ นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวถึงอัจฉริยภาพของรามานุจันว่าเทียบเท่ากับนักคณิตศาสตร์ระดับตำนาน เช่น ออยเลอร์ เกาส์ นิวตัน และอาร์คิมีดีส ตลอดช่วงชีวิตอันแสนสั้น รามานุจันสร้างผลงานของตนเองทั้งสิ้นกว่า 3,900 รายการ (ส่วนมากเป็นเอกลักษณ์หรือสมการ) บางส่วนในจำนวนนี้ซึ่งเป็นจำนวนน้อยมาก มีบางส่วนที่ผิด และบางส่วนก็มีผู้ค้นพบไปแล้ว แต่งานส่วนใหญ่ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ผลงานเหล่านั้นเป็นงานที่สร้างขึ้นใหม่ มีความแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เช่น จำนวนเฉพาะรามานุจัน และ ฟังก์ชันทีตาของรามานุจัน งานเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการวิจัยต่อยอดขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ดี การค้นพบชิ้นสำคัญของเขาบางส่วนก็เข้าสู่คณิตศาสตร์กระแสหลักค่อนข้างช้า เช่นเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งมีการค้นพบว่าสามารถนำสมการของรามานุจันไปประยุกต์ใช้กับ crystallography และ ทฤษฎีสตริง ได้ วารสารนานาชาติ ชื่อ Ramanujan Journal จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานคณิตศาสตร์ทุกแขนงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเขา แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 00:27:52 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:27:07

ความคิดเห็นที่ 5 คห 2: ผมแต่สงสัยว่าแล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณไปเรียนอีกที่คุณจะไม่เก่งขึ้นหรือแย่ลงในเมื่อคุณไม่มีอีก data point มาเปรียบเทียบ คห 3: แต่ถ้าคุณใช่ความพยายามเท่ากัน ผมคิดว่าเรียนที่ๆหนึงจะทำให้คุณเก่งกว่าอีกที่นะครับจากวิธีการเรียนการสอนและสังคมรอบตัวที่แตกต่าง จากคุณ : volta เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:30:31

ความคิดเห็นที่ 6 คห4: อันนี้เป็นexceptional caseหรือเปล่าจะมีกี่คนในโลกที่ทำได้ครับ อันนี้ผมพูดในทางคน on average, คนปกติโดยทั่วไป จากคุณ : volta เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:33:49

ความคิดเห็นที่ 7 มหาลัยอันที่ 2 ของคุณ volta  มีคนกี่เปอเซ็นที่เปิดบริษัทแล้วคนไทยรู้จักคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:38:00

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 7 อาจมีเปอร์เซ็นต์น้อยที่เปิดบริษัทที่คนไทยรู้จัก แต่บริษัทที่เปิดหรืองานที่ทำนั้นดีกว่าการเปิดบริษัทที่คนไทยรู้จักหลายเท่าก็ได้ครับ จากคุณ : zzz เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:45:33 A:115.87.193.164 X: TicketID:091648

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเคยเห็นด้วยจนกระทั่งถูกธนูยิงที่เข่า..อิอิล้อเล่น ผมเคยคิดว่าจบที่ใหนก็เหมือนกันครับจนไปสมัครงานบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนึง มีคนรอสัมภาษซัก 20-30 คนมั้งไครมาสมัครเขาจะให้กรอกเอกสารเสร็จแล้ว จะให้ข้อสอบไปสอบอีกห้องสอบเสร็จรอสัมภาษส่วนคนจบราชภัฏอย่าว่าแต่ได้สัมภาษเลย กรอกเสร็จให้นั่งรอซักพักแล้วประชาสัมพันธ์บอกจะติดต่อกลับไปค่ะ ผมนั่งรอสัมภาษอยู่แล้วไม่ได้พกแม๊กมาด้วยเลยเดินไปยืมกาวเด็กฝึกงานตรงเค้าเตอร์ นั่นละเห็นเขากำลังหั่นเอกสารสมัครงานคนจบราชภัฏเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆเหลือไว้แค่ใบ แรกที่กรอกพร้อมรูปถ่ายน่าสงสารโครตๆไครจบราชภัฏมาเขาจะแยกเป็นกองๆไว้รอ ดึงใบแรกออกแล้วเอาเอกสารไปทำพินอิท ป.ล.แต่การทำงานกับเด็กราชภัฏมันก็ลำบากจริงๆนั่นละไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ พอประชุมแจกงานรอทำเอกสารก่อนเพื่อนเลยไม่รู้ทำไม จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:46:02

ความคิดเห็นที่ 10 อยากจะบอกว่ารู้จักอยู่คนนึงครับเรียนถึงแค่ ปวช. แต่ทำงานเป็นฝ่ายวิจัยและพัฒนา ผลงานเค้าคือเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ 4 - 10 เท่า คนๆ นี้ยังไม่ได้เรียนมหาลัยนะครับ จากคุณ : Zeve เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:48:58

ความคิดเห็นที่ 11 #6 เรามองอีกมุมนึงนะคะ ในเมื่อคุณเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ดังๆไม่ได้ คุณจะเลือกเป็น exceptional case หรือคุณ จะเป็นแค่ คนปกติทั่วไป ( อัจฉริยะ เกิดจากความพยายาม หรือ สภาพแวดล้อมมากกว่ากัน ) ที่ยอมรับแค่ ความคิดที่ว่า มหาลัยเรามันกระจอก เราจบออกไปเราก็กระจอก เราสู้ใครไม่ได้แน่ ของแบบนี้มันต้องลองสักตั้งให้มันรู้ไป ไม่ได้หมายความว่า มหาลัยไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะคะ เข้าใจค่ะว่า มหาลัยดี นั้นช่วยพาชีวิตให้ดีแน่นอน แต่บางครั้งชีวิตคนเรามันก้อไม่ได้มีทางเลือกเสมอไป  ดังนั้น ข้อเท็จจริงของกระทู้นี้ที่ว่า "เรียนที่ไหนก็เหมือนกันอยู่ที่ตัวเรา" >> มิ้นๆว่าแล้วแต่คน ส่วนตัว เห็นด้วย 80 เปอเซ็นต์ 20 เปอเซ็นคือสภาพแวดล้อม เพื่อนๆหลายคน เข้าจุฬาได้เกรดก็ดี จบมาเงินเดือนสูงทั้งนั้น เมื่อก่อน โง่จะตาย เข้าได้เพราะโควต้าบ้าง ฟิตอ่านหนังสือ ท่องจำบ้าง เวลาสอบก็ไปติวกับเพื่อนๆ รวมกลุ่มกัน มีสอนกัน ช่วยกัน แต่เรานิยมการช่วยตัวเองมากกว่า สุดท้ายก็ได้คะแนนเยอะกว่า มันก็แล้วแต่คนนะ ^^ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:50:49

ความคิดเห็นที่ 12 คห 8: มันคงพูดยากว่ามีกี่บริษัทที่คนไทยรู้จักเพราะมันมีบริษัทเยอะมากที่คนไทยไม่รู้จักและใหญ่ระดับพันๆ-หมื่นๆล้าน เช่นพวกบริษัท Biotech,Clean Energy,Tech หรืออะไรที่เฉพาะกลุ่มมากๆ(niche) แต่ถ้าเทียบจำนวนบริษัทที่เปิดต่อปีและเงินที่ทำได้นั้นมากกว่ามหาลัยไทยหลายสิบถึงร้อยเท่า สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือความช่วยเหลือและเงินทุนที่มีให้เด็กนักเรียนเปิดบริษัท จากคุณ : volta เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:58:25

ความคิดเห็นที่ 13 พอเห็นภาพแล้วค่ะ ถ้าเรื่องการสนับสนุนด้านการเงินดี อะไรก็ดีไปหมด เมื่อก่อน เวลาผลิตอะไรได้ ต้องไปขายตามอีเบย์ รันทดมาก จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 01:30:52

ความคิดเห็นที่ 14 พูดให้มันถูก มันก็ถูก พูดให้ผิด มันก็ผิด ง่ายๆ "เสือเหมือนวัว" เพราะ กินอาหาร  หายใจ เคลื่อนไว ขับถ่าย แพร่พันธุ์   มีขาสี่ขา มีหาง มีฟัน ขนเต็มตัว  ฯลฯ สรุป  เสือ เหมือนกับวัว จากคุณ : พลังจิต เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 01:41:31

ความคิดเห็นที่ 15 บิลเกต จบที่ไหน จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 01:42:39 A:27.130.172.198 X: TicketID:216886

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเห็นด้วยกับ จขกท จากคุณ : Pomzazed เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 01:43:16

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนที่ไหนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว บริบทก็ไม่เหมือนกัน อยู่ที่เอาอะไรเป็รตัวตั้ง ถ้าเอาเราเป็นตัวตั้งมันก็อยู่ที่เราซิ  แม้กระทั่งไม่ได้เรียน ใช้ครูพักลักจำ ก็เป็นส่วนของเราอยู่ดี จบมาแล้วยังใฝ่รู้ พบเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ก็ได้ความรู้ใหม่ๆ เช่นกัน ถ้าเอาสถาศึกษาเป็นตัวตั้ง ก็ต้องอิงสถานศึกษาไป ก็ได้เพื่อน ได้ความรู้ตามสถานศึกษานั้นๆ มีเพื่อนจะบอกจะไปเรียน MBA มันบอกจะไปหาคอนเนคชั่น....ก็ได้เกื้อกูลกันไป จากคุณ : DangDame เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 01:46:46

ความคิดเห็นที่ 18 ความเห็นที่สิบห้า บิล เกต เลิกเรียน "ฮาร์วาร์ด"  แล้วคะแนน SAT ก็อยู่ในระดับเกือบเต็ม เก่งอยู่แล้วครับ ไม่เกี่ยงว่าจบจากไหน คนไทยธรรมดาสักกี่คนทำได้อย่างเขา จากคุณ : Fred_Flintstone เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 02:11:12

ความคิดเห็นที่ 20 คห 15... ตามคห.18เลยครับ บิล เกตนี้เรียนเก่งมากๆนะครับ และเอาจริงๆขนาดในอเมริกามีไม่กี่คนที่เรียนไม่จบมหาลัยและทำได้แบบนั้น อีกคนที่ผมคิดออกคือมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊กที่เลิกเรียนฮาร์วาร์ดเหมือนกันโดยในช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่ฮาวาร์ดเขามีกิตติศัพท์ด้านความอัจฉริยะในการเขียนโปรแกรมแล้ว พวกนี้ผมคิดว่าเป็น exceptional caseที่หนึ่งในล้านคนจะมีสักคน ไม่น่าจะเอามาเทียบกับคนปกติได้ จากคุณ : volta เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 02:33:10

ความคิดเห็นที่ 21 #18 งั้น บิลเกตส์ เรียนที่ไหนก็เหมือนกันอยู่ที่ตัวของบิล เกตส์... ไม่เห็นต้องเรียนฮาวาร์ดเลย... ฮาวาร์ด ไม่ได้ทำให้บิล เกตส์เก่งครับ แต่บิลเกตส์ เก่งเลยเข้าฮาวาร์ดได้ เหมือน เด็กที่เรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ ดังๆ เก่งอยู่แล้วครับ ถึงเข้าได้ ไม่ใช่ เข้าได้ แล้วจึงเก่ง ...แต่ก็ไม่ใช่ว่า ถ้าคนเก่ง เลือกไปเรียนมหาลัยไม่ดัง จะกลายเป็นคนไม่เก่งไปนี่... จากคุณ : Adios2nd เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 02:42:17

ความคิดเห็นที่ 22 ต้องผสมผสานกันครับ ความเก่งของตัวเองส่วนหนึ่ง แต่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เช่น อาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น บรรยากาศของสถาบัน ความพร้อมในด้านสถานที่และอุปกรณ์ และอื่น ๆ ก็มีผลกระทบเช่นกัน ถ้าได้สภาพแวดล้อมที่ดีก็เป็นตัวเสริมหนุนให้สามารถเปล่งประกายได้โดดเด่นขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าสภาพแวดล้อมแย่ก็อาจจะเป็นตัวฉุดความสามารถให้ด้อยลงได้เช่นกัน จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 02:54:56

ความคิดเห็นที่ 23 ผมเคยสัมภาษณ์รับคนเข้าทำงานแผนก IT เห็นมาหลายมหาลัยแล้วให้สงสารราชภัฎจริงๆนะครับ เด็กที่เก่งของเขาก็มีแต่น้อยมาก พวกที่จะเก่งจริงๆ เอา Notebook มาเสนองานที่เคยทำให้ดู นอกนั้นผมบอกได้เลยว่าหลักสูตร"บางแห่ง"ทำให้เด็กเสียจริงๆ หลักสูตรเก่าเมื่อหลายปีมาแล้ว และเอื้อให้พัฒนาทักษาได้ลำบาก เช่นสอน VB6 แล้ว ภาษาที่จะให้ต่อยอดได้ง่าย หรือพัฒนาทักษะแบบ C หรือ Java ก็ไม่มี ให้ทำข้อสอบ หรือถามตอนสัมภาษณ์ก็ตอบแทบไม่ได้เลย ต้องพัฒนาหลักสูตรและตัวผู้สอนกันแล้วล่ะครับ แต่ผมว่าอาจจะยาก เพราะงบประมาณคงน้อยมาก จากคุณ : PakornCS เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 03:24:25

ความคิดเห็นที่ 24 มันก็มีส่วนทั้งหมดแหล่ะครับ เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ จากคุณ : hahesfha เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 03:24:56

ความคิดเห็นที่ 25 ดิฉันว่าเด็กจากม.ธรรมดาที่ขยัน มุ่งมั่นหาคนมาสนับสนุนโปรเจ็คตัวเอง หาทุนเอง หาความรู้เองโดยไม่ต้องรอใครมาป้อนให้ สามารถสู้เด็กเก่งๆจบม.ดังๆได้สบาย จากคุณ : จนใจจริงจ้า เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 05:02:35

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ถ้าได้อย่างนั้นมันก็จริงครับแต่มันไมใช่เรื่องง่ายกับการหาทุนไปด้วยเรียนไปด้วย และต้องแสวงหาความรู้ที่อาจารย์ไม่ได้สอนแต่เนื้อหามีแต่ไม่ลึกซึ้ง สู้ไปอยู่มหาลัยที่พร้อมมีหนังสือต่างๆวิทยานิพนธ์หนังสืออ้างอิงงานวิจัย ที่เราเข้าไปสืบค้นได้ครบตลอดเวลาไม่ดีกว่าหรือครับ ป.ล.ใบแรกผมก็จบเอกชนใหญ่ไม่ดังครับเรียนตามมหาวิทยาลัยจัดมาห้องสมุดก็ไม่พร้อมซักเท่าไหร่ ทำงานมาซักพักอยากเรียนอีกใบพอเรียนในกรุงเทพทุกอย่างพร้อมอยากศึกษาอะไรในห้องสมุดมีครบไมต้องเสียตังซักบาทนอกจากค่าบำรุงปีละ 100 เดี๋ยวนี้ดีหน่อยมีอินเตอร์เนตแต่มันก็มีค่าใช้จ่ายดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือก จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 05:10:44

ความคิดเห็นที่ 27 เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่จริงเเน่ โรงเรียนA โรงเรียนB มหาลัยA มหาลัยB ก็ไม่เหมือนกัน คัดเด็กตั้งเเต่จะสอบเข้าเเล้ว จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 06:54:48

ความคิดเห็นที่ 28 ไหนก็เหมือนกัน นึกว่าเป็นคำพูดของคนสอบไหนไม่ติดซะอีก - -' จากคุณ : nutxnut เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:04:19

ความคิดเห็นที่ 29 ถูกทั้งคู่ สถานศึกษาและตัวเรามีส่วนพอๆกัน ตอนประถมผมเรียนโรงเรียนเอกชนแล้วมาเรียนโรงเรียนประชาบาล ตอนมัธยมผมเรียนโรงเรียนประจำอำเภอถึงมอสี่ แล้วไปสอบเข้าโรงเรียนดังๆเรียนมอสี่ใหม่ จากประสบการณ์ทั้งสองเห็นได้ชัดว่ามาตราฐานการเรียนผิดกันมาก แม้จะหลักสูตรเดียวกันกระทรวงศึกษาเหมือนกัน สุดท้ายเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อแห่งหนึ่ง แต่ตอนเรียนไม่ตั้งใจ(กรูเจ๋ง) ผลคือเกรดผ่านแบบฉิวเฉียดน่าเกลียดเลย อันหลังนี้ขึ้นกับคนจริงๆ จากคุณ : I love Alpha เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:04:37

ความคิดเห็นที่ 30 ผมจบ ปวช ตำแหน่งล่าสุด รองผู้จัดการ แผนกวิจัยและพัฒนา สำหรับคนที่มีความคิด มีความรับผิดชอบ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ เรียนที่ไหนๆ ก็เหมือนกันครับ จากคุณ : BAMICUP เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:12:57

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เป็นคำพูดปลอบใจของพวก ent  ไม่ติด จากคุณ : godgo99 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:40:06

ความคิดเห็นที่ 32 ประสบการณ์จากคนรอบข้าง และน้องชายสองคนทีเรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ทำให้รู้ว่า 1) ชีวิตระหว่างเรียนทำให้มีเพื่อน เมื่อจบออกมาทำงาน ไปทางไหนก็มีเพื่อน อันนี้เป็นประโยชน์มากกว่า เรียนแล้วได้อะไร 2) เด็กเรียนดี เพราะตัวเด็กเอง ไม่ใช่เป็นเพราะ ม. ดัง 3) วิธีการสอนของไทย ไม่ส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็กรู้จักต่อยอดความคิด เรียนอะไรมา ก็คิดในกรอบที่เรียน พูดนอกกรอบสักนิด จะอ้างว่า "ฉันไม่ได้เรียนมาทางนี้" ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเครื่องมือ เครื่องใช้ประกอบการเรียน มีราคาแพง ผู้สอนก็ดี เด็กก็ดี จึง "ขยาด" ที่จะหยิบจับ จะได้ใช้ บางแห่งและหลายแห่งได้รับเครื่องมือทันสมัยมาจากต่างประเทศ ก็เอา"ผ้าคลุมไว้" ไม่ได้ใช้ประโยชน์จริงจัง ต่างกับการเรียนการสอนในต่างประเทศ เขาให้เด็กได้ใช้อย่างจริงจัง ...พังก็พังซิ เขาผลิตเองได้ ตรงนี้ทำให้ ม. เมืองไทย ต่างกับ ม. ต่างประเทศ เมื่อเด็กมีโอกาสเรียน และ ได้ใช้อย่างจริงจัง ทำให้คุณภาพการเรียนดีกว่า ครับ ส่วนหนึ่งคือ การใช้ชีวิตต่างแดน สภาพสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ เป็นอีกส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กมีความคิดกว้างกว่า กล้าทำ และกล้าคิด โดยเฉพาะคิดออกจากกรอบที่ครูสอนครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:42:34

ความคิดเห็นที่ 33 ขึ้นอยู่กับทั้งสองอย่าง แต่ผมว่าคน ผู้เรียนมีส่วนมากกว่า ม.ราม ถ้าตั้งใจจริง นักศึกษาคนนั้นก็เก่งได้ครับ นิติ กับ ภาษาต่างประเทศ ของรามนี่เยี่ยมมากครับ ตัวอย่างของเจ้าของกระทู้ เรียนป ตรี ในไทย แล้วไปต่อโท เมืองนอก ใช่มั้ยครับ คนละหลักสูตร คงเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ น่าจะเทียบ ตรีกับตรี โทกับโท ด้วยกัน แต่เมืองไทยก็มีอุปสรรคเรื่องงบประมาณวิจัย แต่เรื่องความรู้ ม.ดังๆในไทย ก็ไม่แพ้ที่อื่น นักศึกษาราชภัฏ ถ้าเก่งจริง ก็สามารถเรียนต่อในระดับโทเอก ในม.รัฐดังๆ ที่สื่อการเรียนการสอนพร้อมกว่าได้ อย่าลืมเรื่องเงินของผู้เรียนด้วยครับ อังกฤษ ออส เมกา ค่าเล่าเรียนแพง ถ้าไม่รวยจริง เรียนไม่ได้ จากคุณ : no login เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:55:49 A:80.118.75.106 X: TicketID:221104

ความคิดเห็นที่ 34 อย่ามองในมุมของคุณสมบัติการจบมาแล้วได้เป็นลูกจ้างชั้นดีสิครับ คำพูดว่าเป็นลูกจ้างชั้นดีนี่ผมได้มาจากการสมัครงานบริษัทแห่งหนึ่ง เค้าบอกว่าพวกเรียนจบมหาลัยดังๆ มันเหมาะกับองค์กรใหญ่ๆที่เค้าคุมกะลาหัวได้มากกว่าจะไปเริ่มต้นใหม่จาก0(บริษัทรากหญ้า) เพราะพวกนี้น้อยคนจริงๆที่จะเริ่มจาก0ได้ไหว  ต่างกับอีกพวกที่โดนกีดกันจากบริษัทใหญ่ๆ จนหันเหมาเริ่มต้นกันเอง พวกนี้กลับไปได้รอดและเป็น SME ได้มาจนปัจจุบันครับ edit: แก้จากคำว่าขรี้ข้าเป็นลูกจ้าง เพราะโดนกรอง แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 08:44:16 จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 08:43:13

ความคิดเห็นที่ 35 เรียนที่ต่างกันก็ต่างกันแน่นอน แต่ก็ขึ้นกับตัวผู้เรียนด้วย จากคุณ : เจกัน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 09:04:53 A:115.87.122.56 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 36 #5 ใช่ครับ เราต้องcontrol factorให้ได้ว่าใช้ความพยายามเท่าๆกัน แต่การกระทำของมนุษย์นั้นวัดได้ยากไงครับ เรียนสองU ใช้ความพยายามเท่าๆกัน ทำอย่างไร เวลาเรียน เวลาอ่านหนังสือ เท่าๆกัน? ปัจจัยมันมีมากกว่านั้น เกินกว่าจะควบคุมได้ทั้งหมด ผมไม่คิดว่าใครจะมีสิทธิ์บอกหรอกนะว่าเรียนที่AหรือBดีกว่ากัน ยกเว้นคนที่ผ่านการเรียนหลักสูตรเดียวกันมาทั้งสองที่แล้วจริงๆ(ยังหาคนทำวิจัยไม่ได้กระมัง เทียบ2ที่ยังใช้เวลาตั้ง8ปี) คนเราเกิดมาไม่เท่ากันครับ(ยกเว้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์) ความรู้และประสบการณ์ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่เท่ากัน ยากที่จะควบคุมตัวแปรตรงจุดนี้ได้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบ แต่ถ้าเอาแค่ที่ผมเคยพบเห็นมา ผู้จบการศึกษาจากสถาบันราชภัฎส่วนใหญ่(ย้ำว่าส่วนใหญ่)มักถูกดูถูกแต่แรก ในการทำงานว่าความคิดและสติปัญญาสู้มหาวิทยาลัยดังๆไม่ได้  ส่วนคนที่จบมหาวิทยาลัยดังๆก็ถูกดูถูกว่าหนักไม่เอา เบาไม่สู้ อยู่ไม่นาน เราเน้นการพิจารณาไปที่สถาบันมากไปหรือเปล่า? หากให้ผมคิด ผู้ที่เข้าเรียนสถาบันราชภัฎส่วนใหญ่ มักไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่จะเข้าเรียน สถาบันราชภัฎส่วนใหญ่เป็นที่รองรับผู้ที่คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ถึงพอจะไปเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังต่างๆ กล่าวคือคัดสรรสติปัญญากันตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้ว นี่คือส่วนของผู้เรียน ส่วนสถาบันจะดีแค่ไหนและจะพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถที่พอจะพัฒนาได้ ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสถาบัน ส่วนมหาวิทยาลัยดังๆที่คะแนนสูง ผู้ที่สอบเข้าได้ก็มักเป็นผู้ที่มีสติปัญญาดี และผ่านการเรียนพิเศษ กวดวิชา มากมาย ที่ครอบครัวต้องมีเงินพอจะรองรับได้ อาจกล่าวได้ว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ที่จบมหาวิทยาลัยดังๆส่วนมากนั้นดีกว่า ผู้ที่จบจากสถาบันราชภัฎ ทำให้บัณฑิตออกมามีแนวโน้มจะหนักไม่เอา เบาไม่สู้ อยู่ไม่นาน เพราะไม่อดทนต่อความลำบาก ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็คิดว่าเขาจะทนไปทำไม ในเมื่อที่อื่นให้รายได้ดีกว่า จากคุณ : Zeichnung เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 09:22:16

ความคิดเห็นที่ 37 มันไม่เหมือนแต่นอน จบออกมารับปริญญากะใครก็ต่างกันแล้ว ลองไปเช็คข้อมูลดูตั้งแต่อดีตมา มหาลัยก็มีrakingอยู่แล้วอย่างน้อยก็ในใจคน ดูง่ายๆจากคะแนนentrance แต่ความแตกต่างของมหาลัย ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดทั้งหมด ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเรา หากเราไอคิวต่ำกว่าคนอื่นแต่เราพยายามกว่าขยันกว่าอาจจะชดเชยได้  การที่บอกว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันนั้นเป็นการพูดรวมๆในบริบทที่จะบอกว่า หากเราพลาดจากมหาลัยที่หวัง เรียนที่อื่นซึ่งมหาลัยเปิดหรือเอกชนเดี๋ยวนี้พัฒนาคุณภาพขึ้นมากบางด้านดีกว่ามหาลัยดังๆเยอะ  จะไปตอกย้ำว่าฆ่าตัวตายเหอะคุณไม่ได้เรียนมหาลัยrankingสูงอย่างงี้หรอ  เหมือนเมื่อตอนเด็กๆก็คงไม่มีใครรู้ว่าซานตาคลอสมีจริงไหม หากโตมาแล้วจะเชื่อเรื่องซานตาคลอสอยู่แสดงว่าโง่แล้ว ภาพรวมเป็นอย่างนั้น ม.ดังๆมีเด็กเก่งมากกว่าและเด็กโง่ก็มี  แต่ ม.ไม่ดังก็มีเด็กเก่งเหมือนกันแต่อาจจะไม่มากเท่า ก็ต้องเลือกๆเอา จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 09:35:43

ความคิดเห็นที่ 38 + + + + เรียนที่ไหนก็เหมือนกันอยู่ที่ตัวเรา + + + + ไม่รู้นะ สำหรับมหาวิทยาลัย  เพราะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียว ไม่มีข้อเปรียบเทียบ แตในระดับมัธยม ถ้าเรียนในโรงเรียนดัง สังคมย่อมจะดีกว่า โรงเรียนด้อย  เพื่อนๆขึ้นใจกันเรียน คุยกันเรื่องเรียน เช่น ข้อนี้ทำยังไง  จะไปกวดที่ไหนดี เมื่อนักเรียนตั้งใจเรียน เอาใจใส่ต่อการเรียน  ครูก็มีกำลังใจที่จะสอนในเรื่องที่ยากๆ ท้าทาย ที่โรงเรียนไม่ดัง เด็กก็จะคุยกันเรื่องเที่ยว ร่วมมือกันไม่ส่งการบ้าน  ครูก็จะสอนแค่ให้ผ่านๆ หรือถ้าไม่ผ่านก็ให้ทำงานกันไป บางครั้ง งานที่มอบหมายให้ทำก็ไม่เกี่ยวกับการเรียนด้วยซ้ำ สรุปว่า เรียน ที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนกันหรอก แต่ก็มีข้อโต้แย้ง  ยกมาเมื่อไรก็ได้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ไม่มีการยอมแพ้จนต้องเหนื่อยและเลิกรากันไปเอง น้องเมย์ เรียนที่โรงเรียนดังเล่าให้ฟังว่า ครูสอนไม่ได้เรื่องเลย สอนไวยิ่งกว่าจรวด ตามก็ไม่ทันบางเรื่องไม่สอนเสียด้วยซ้ำ  เด็กไม่สนใจการเรียนเลยมีแต่คุยกัน  เพราะเด็กไปเรียนกวดวิชา มีความรู้มาก่อนแล้วทั้งนั้น เวลาสอบก็ได้คะแนนกันเยอะๆทั้งนั้น  น้องเขาฝากบอกมาว่า ถ้าไม่เก่งจริงอย่าไปเรียนโรงเรียนดังๆเลย โรงเรียนดังไม่ได้สอนดี ไม่ได้สอนจนเด็กเก่ง  แต่เด็กที่ไปเรียน เขาเก่งเอง เขาแข่งกันไปขวนขวายหาความรู้ให้แก่ตนเอง เอง โรงเรียนที่สอนดี มักจะเป็นโรงเรียนที่กำลังพัฒนาสู่ความเป็นโรงเรียนดัง น้องแนน เรียนที่โรงเรียนห่วยๆ ครูก็สอนห่วย เพราะถ้าสอนเข้มเด็กก็เรียนไม่ไหว แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่เด็กสนใจการเรียน  ว่างๆน้องเมย์ก็นำโจทย์ยากๆไปถามครู ครูเห็นว่าน้องแนนสนใจก็พยายามาหาแบบฝึกที่ยากๆมาให้ทำ   แล้วน้องแนนก็สอนเพื่อนๆที่สนใจการเรียน ทำให้มีความชำนาญและเชี่ยวชาญมากขึ้น นอกจากนี้น้องแนนยังหาโอกาสไปเรียนกวดวิชาอีก (ผู้เขียนไม่ได้เทิดทูนโรงเรียนกวดวิชานะครับ แต่นำมาเล่าไปตามสภาพจริง) ผลการสอบแต่ละครั้ง น้องแนนได้เกรด 4 ทุกวิชา ได้รับรางวัลเรียนดีทุกปี และได้รับโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยหลายแห่งโดยไม่ต้องสอบแข่งกัน แต่ก็เลือกเรียนมหาวิทยาลัย(ที่ชอบที่สุด)ได้แห่งเดียว เรียนจบไปแล้ว ทางโรงเรียนยังเชิญมารับรางวัลและปรากฎตัวอยู่บ่อยๆ นี่คือตัวอย่างหนึ่งของคนที่เรียนในโรงเรียนไม่ดัง แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 10:08:01 จากคุณ : พลังจิต เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 10:05:31

ความคิดเห็นที่ 39 รับรองว่าไม่เหมือนครับ โรงเรียนประถมในชนบทบางแห่งในระดับ ป.5 ป.6 ไม่มีการสอนภาษาอังกฤษก็มีน่ะ บอกว่าสอนไปก็ไม่ได้ใช้ เหอๆ อยากมาเรียนไหม จากคุณ : rdo เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 10:10:32

ความคิดเห็นที่ 40 พูดเรื่องโรงเรียน ดูเวลามาออกทีวี แล้วดูทรงผมพวกนักเรียนบ้านนอกเซาะกราว กะ นักเรียนเมืองหลวงดูซิ ต่างกันเห็นๆอีกพวกนึงหัวเกรียนอีกพวกนึงผมยาว นี่มันใช้กฎกระทรวงอันเดียวกันหรือเปล่า เห็นไหมว่าเรี่ยนที่ไหนไม่เหมือนกันแน่นอน จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 10:54:40

ความคิดเห็นที่ 41 ผมก็ว่าเรียนที่ไหนก้ไม่เหมือนกันหรอก ไม่เหมือนกันสักที่ ขนาดเด็กซิ่วบางคนจะโอนหน่อวยกิจจากมอหนึ่ง ไปอีกมอหนึ่ง บางที่ยังไม่รับเลย (บางที่ต้องดูเนื้อหาซะด้วยครับ) โอเค หลักสูตรโดยรวมอาจคล้ายกัน แต่ยังไม่ก็ไม่เหมือนกัน มหาลัยดี ครูดี ครูเก่ง ก็มีโอกาสทำให้เด็กที่ตั้งใจอยู่แล้วเก่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าครูไม่เก่ง เช่น ครูจบ ปริญญาตรี แต่มาสอน ปริญญาตรี อย่างนี้ความรู้ของครูก็ไม่กว้างพอที่จะสอนให้เด็กเก่งไปกว่านั้นได้ ถูกไหม ผมไม่ได้ดูถูกสถาบันตัวเองนะ คือผมก็จบสถาบันแห่งหนึ่ง ที่มีครูบางคนก็จบ ป.ตรี แล้วก็มาสอนป.ตรีเหมือนกัน เป็นคุณๆจะรู้สึกอย่างไร ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าคนที่บอกว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน และถ้าคนๆนั้นเรียนอยู่ จุฬาฯ อย่างนี้คุณลองลาออกมาเรียน ม. อื่นๆดูไหม ดูซิว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร ว่าแล้วเดี๋ยวผมจะตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่า อย่าลืมตามมาอ่านด้วยนะครับ คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ครูที่จะปริญญาตรี แต่มาสอนระดับปริญญาตรี ตามมาครับ จากคุณ : ลาลาตุ้ย เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 11:04:15 A:119.46.176.222 X: TicketID:342414

ความคิดเห็นที่ 42 ระดับอุดมศึกษานะ ไม่ใช่เด็กๆต้องมารอรับการสอนจากครู แล้วสมัยนี้ข้อมูลข่าวสาร ตำรา มันทันกันหมดแล้วล่ะ มันอยู่ที่ว่าคนเรียนน่ะใฝ่ด้านที่เรียนขนาดไหน และปัญหาตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ที่ว่าคนเรียนไม่มีปัญญาจะแข่งขันเข้า ม.ดัง ปัญหามันอยู่ที่ว่าเข้าไปแล้วคิดว่าการต่อสู้จบ นี่คือมาม่าสำเร็จรูป แค่เรียนแล้วได้บัตรผ่านไปทำงาน รับนักศึกษามาเยอะขึ้น มาตรฐานผู้เรียนต่ำลง ความน่าเชื่อถือของใบปริญญากต่ำลง ว่างงานมากขึ้น ความฝักใฝ่มุ่งมั่นของผู้เรียนถ้ามีอยู่แล้ว ได้ ม.ดัง ก็เยี่ยม (แต่แพ้เด็กนอก สรุปแพ้เงินอยู่ดี?) แต่ถ้าพลาดพลั้งสอบเข้าไม่ได้มันก็ไม่ได้จบแค่นั้น เรียนที่ไหนก็ได้อยู่ดี จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 11:37:05 A:180.180.40.69 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 43 ดูอย่างมหาลัยหนึ่งที่มีเยอะแยะแทบทุกจัวหวัด วิชาแคลคูลัสหรืิิิอสถิติที่มีในหลักสูตร ลองเปิดดูชีตของหลาน พวกดันไปเอาของ ม ปลาย มาสอน ขณะที่มหาลัยรัฐ top 5 ของประเทศ แคลคูลัสหรือสถิติยากมาก คนละเรื่องกับที่เรียนสมัย ม ปลาย ถามว่า เกรดที่ได้จากทั้งสองมหาลัยข้างต้น ถ้าได้ A เท่ากัน คุณคิดว่าเด็กที่ไหนเก่งกว่ากันหละ จากคุณ : เอ (godgo99) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:06:24

ความคิดเห็นที่ 44 มันก็แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเอง เอาเขาจริงท้ายสุดพอผ่านไปหลายๆเขาจะดูจากประสบการณ์กับผลงานแล้วครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:29:31

ความคิดเห็นที่ 45 รู้ไหมโรงเรียนทุกโรงเรียนมาตราฐานใกล้เคียงกันหมดแหละ ทั้งรัฐและ เอกชน แต่ที่พ่อแม่พยายามส่งให้เรียนโรงเรียนแพงๆถ้าทำได้ นั่นเป็นเพราะ เป็นตัวเลือกในการซื้อสภาพสังคม ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด แน่นอน ทุกสังคมมีดีมีเสีย คนนิสัยเสียก็มีเยอะ แต่แนวความคิด การพูดจาสุภาพ มีมารยาท หรือแม้กระทั่ง อนาคต ได้เป็นเพื่อนกับลูกคนใหญ่คนโตในแต่ละยุค คนที่ดีเก่งฉลาด เรียนในโรงเรียนสลัม ก็ต้องชนะใจตัวเองห่างจากสิ่งไม่ดีงาม คนที่ดีเก่งฉลาด เรียนในโรงเรียนแพงเข้ายาก เรื่องพวกนี้ก็ Soft ลง แต่ยังไงหลักๆมันก็ขี้นอยู่กับตัวคน 51 เปอร์เซนต์อยู่ดี แต่อีก 49 เปอร์เซนต์ ตัวแปรทางสภาพสังคม ก็อาจจะเปลี่ยนให้คนฉลาดกลายเป็นคนที่มีแนวความคิดร้ายกาจ เป็นโจรแห่งยุคก็เป็นได้ จากคุณ : sagonlapat เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:32:56

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าเป็นลูกน้องเค้ายังไงก็ควรเลือกจบที่ดีๆ แต่ถ้าเป็นเจ้านายเค้าเรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญ จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:34:53

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้ามาสมัครงานในเมืองไทย  จบที่ไหนมีผลอยู่แล้ว แต่เด็กจบแถวสยามก็แพ้เด็กราชภัฏฯ ถ้าเด็กราชภัฏลอยมากับ "เส้น" จากคุณ : XziBitch เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 13:17:27

ความคิดเห็นที่ 48 #33 ม.รามนี่ภาษาต่างประเทศเยี่ยมมากจริงเหรอ? แน่ใจนะ? จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 19:44:57

ความคิดเห็นที่ 49 สิ่งหนึ่งซึ่งต่างกัน และทำให้การเรียนรู้ต่างกัน คือ ทรัพยากรต่าง ๆ ของสถาบันนั้น ๆ ครับ สถาบันเล็ก ๆ งบประมาณน้อยทรัพยากรน้อย การใช้ทรัพยกรเพื่อเรียนรู้ย่อมต่างกัน ถ้าใครคิดว่าไม่จริง ลองนึกภาพว่า ถ้าเอา น.ศ.แพทย์ พร้อมตำราและอาจารย์แพทย์เก่ง ๆ ไป ปล่อยไว้ที่เกาะ ไม่ต้องมีเครื่องมืออะไร ไม่ต้องมีอาจารย์ใหญ่ ไม่ต้องขึ้นวอร์ด แพทย์ที่จบมา จะเรียนรู้สู้แพทย์ที่เรียนมาโดยมีทรัพยกรพร้อมหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 21:48:03 จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 21:47:27

ความคิดเห็นที่ 50 #33 ม.รามนี่ภาษาต่างประเทศเยี่ยมมากจริงเหรอ? แน่ใจนะ? หมายถึง คนที่เรียนเป็นวิชาเอก เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน พวกนี้ต้องเรียนกลุ่มเล็ก ยังไงก็โดดไม่ได้ ต้องตั้งใจเรียน ไม่เหมือน พวกกลุมใหญ่ เช่่น en101 ใช่มั้ย หรือ รัฐศาสตร์ พวกนี้ซื้อหนังสือติวแนวข้อสอบ อ่านแป๊ปเดียว ก็สอบได้ เคยมีครูฝรั่งเศสสอนภาษา บอกว่านักศึกษา ป เอก ราม รู้คำศัพท์มากกวาเขาซึงเป็นเจ้าของภาษาเสียอีก จากคุณ : รี 33 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 03:29:54 A:80.118.75.106 X: TicketID:221104

ความคิดเห็นที่ 51 องุ่นประเทศไหนก็ไม่เปรี้ยวเท่าองุ่นบ้านเรา จริงมั้ยครับ ผมมองว่า ความเก่ง ความสามารถมาจาก 1.ตัวเอง 50 % (ex. พันธุกรรม ) 2.การพัฒนาตัวเองอีก 50% ซึ่งในส่วนนี้มีปัจจัย ด้านครอบครัว การเงิน การศึกษา สังคมเเละสิ่งเเวดล้อมมาเป็นตัวกำหนด ถ้าปัจจัยเหล่านี้ดี บวกกับ ตัวเองดี ก็พุ่งกระฉูดเหมือน Bill gate เเต่ถ้าปัจจัยไม่เอื้ออำนวย มันก็จะออกมากระท่อนกระเเท่นเหมือนรามานุจัน ซึ่งตรงนี้เราก็ได้เเต่เสียดายกันไป ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก กำหนดให้มันตายตัวไม่ได้ หลายๆครั้งในสังคมเราจะเรียกมันว่า วาสนา จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 09:55:43

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่เหมือนกัน เพราะ มันต่างกันที่สภาพแวดล้อมในสถาบันที่เรียนมากกว่าครับ ม.ชื่อดัง มีแต่คนเก่ง ๆ สอบได้ แน่นอนย่อมเกิดแรงกดดัน ให้ตั้งใจเรียน ส่วน ม.ไม่ดัง เด็กบางคนไม่ตั้งใจเรียน เพื่อนไปไหน ก็ไปด้วย แม้หลักสูตรจะเหมือนกัน แต่ต่างสถาบัน ต่างคนสอน ต่างสังคม ผมว่ามันก็ออกมาไม่เหมือนกันครับ จากคุณ : zaxofone เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 18:05:29

ความคิดเห็นที่ 53 "เรียนที่ไหนก็เหมือนกันอยู่ที่ตัวเรา" คำพูดนี้ก็บอกชัดเจนอยู่ในตัวแล้วค่ะว่า "อยู่ที่ตัวเรา" ระบบการคัดเลือกของมหาวิทยาลัยก็เป็นตัวกรองอยู่แล้วว่าเด็กที่เก่ง ขยัน มีความตั้งใจ จะต้องเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำดีๆได้ ในขณะที่เด็กที่ขี้เกียจ ไม่ขยัน ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำดีๆไม่ได้ การที่จะเข้าไปเรียนได้ก็ "อยู่ที่ตัวเรา" แล้วทั้งนั้น แล้วจะมาอ้างว่าทุกมหาวิทยาลัยเหมือนกันได้อย่างไร Community College ต่างๆจะดีกว่า Harvard หรือ มหาวิทยาลัยเอกชนหรือราชภัฏต่างๆจะดีกว่าจุฬาฯหรือ (ไม่ได้ต้องการจะดูถูก แต่อยากให้มองตามความเป็นจริง) แต่ถ้าบางท่านจะยกตัวอย่างบุคคลบางบุคคลมาแล้วบอกว่าคนนี้ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยดังๆเลย ก็ประสบความสำเร็จกว่าคนที่จบมหาวิทยาลัยดังๆหลายๆคน ก็กรุณามองตามความจริงเป็นจริงด้วยค่ะว่ามีบุคคลเหล่านั้นคิดเป็นสักกี่เปอร์เซ็นต์ของคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหมด คุณอาจจะเคยผิดหวังจากการที่สอบไม่ได้ จนกลายเป็นอคติต่อคนที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำดีๆมาก็แล้วแต่ แต่โปรดมองความจริงด้วยนะคะ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอะไรคืออะไร แล้วคนที่บอกว่ามีแต่เมืองไทยที่จะดูแต่คนจบจากมหาวิทยาลัยดังๆมา ก็ลองไปสมัครงานบริษัทชั้นนำที่อเมริกาดูนะคะจะได้รู้ความจริงว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันเลย เพราะระบบนี้มันใช้ได้ผลดีไงคะ คนตั้งใจเรียน ได้เรียนมหาวิทยาลัยดังๆ จบมาก็ได้งานที่บริษัทดีๆ แล้วคุณคนที่ไม่ตั้งใจแต่แรกจะมาเรียกร้องหาอะไรคะ คนบางเค้าตั้งใจเรียนกันแทบตาย ส่วนคุณไม่ตั้งใจเรียนเลย เรียนๆเล่นๆ แล้วจะมาบอกว่าคุณมีสิทธิได้เหมือนคนที่เค้าตั้งใจเรียนมาหรือ โลกมันก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ สรุปแล้วเราคิดว่าคำพูดที่ว่า "อยู่ที่ตัวเรา" นี่เป็นความจริงแน่ๆค่ะ แต่ "เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน" ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน อาจจะเป็นแค่คำพูดของคนที่สอบได้ได้เรียนที่ดีๆ พูดให้กำลังใจคนที่สอบไม่ได้ให้ได้รู้สึกดีขึ้น พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็หลอกตัวเองไปวันๆค่ะ จากคุณ : Gina เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 20:27:41 A:58.8.141.90 X: TicketID:308671

ความคิดเห็นที่ 54 เห็นเหมือน คห.18 ครับ  มีอยู่อย่างหนึ่ง  อยากให้มองภาพ  มหาวิทยาลัย  เปรียบเสมือนโรงงาน  ผู้เรียน เปรียบเสมือนวัตถุดิบ   อย่างข้างบนกล่าวถึงสถาบัน..ภั..       ความจริงอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือ เด็กที่เรียนที่นั่้น บางคน  ไปรับจ้างได้ชม.ละ20 เพื่อหาเิงินมาเรียน  และใช้จ่าย จากคุณ : dogmatist เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 18:23:36

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่เข้าใจพวกคุณเลยอะ ทำไมต้องมาว่าอย่างนั้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า ฉันเรียนเมืองนอกที่นี้ดีกว่า เรียนมหาลัยอับดับหนึ่งของของประเทศดีกว่า เรียนราชภัฏโอกาสตกงานมีมากกว่า ทำไมพวกคุณไม่มองที่โอกาสการศึกษาของแต่ละคนละ ทำไมไม่มองที่พื้นฐานละของสังคมละว่ามันเป็นอย่างไง เราว่า การที่พูดว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันมันไม่ใช่คำปลอบใจหรอก แต่มันเป็นคำที่ให้เราภาคภูมิใจในตัวสถาบันที่เราเรียนมากกว่า ที่เราจะมานั่งนึกว่าเราไม่พอใจเราไม่รักในตัวสถาบันที่เราเรียน จากคุณ : ramona104 (ramona104) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 00:28:49