ความคิดเห็นที่ 1 มาร์คกี้ ครับ แต่ถ้ามีทักกี้ด้วย อาจจะต้องคิดหนักกว่านี้ จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 11:41:28

ความคิดเห็นที่ 2 1.สตีฟ วอสเนค 2.บิล เกต 3.แลรี เพจ 4สตีฟ บอลเมอ 5เจฟ โกสลิ่ง 6มาค ซัคเคอเบิก 7.สตีฟ จ๊อบ 8.ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ จากคุณ : harvardวิทยาคม เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:03:13

ความคิดเห็นที่ 4 ^_^ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:08:47

ความคิดเห็นที่ 5 สอบตกหมดผ่านแค่เลขกับภาษาอังกฤษเพราะอ่านโจทย์ไม่ออก จากคุณ : เกียงอุยศิษย์มังกรหลับ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:10:00

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามาฮา กับ คุณชูวิทย์ กมลวิศิฎ์  ติดผังกับเขาด้วย จากคุณ : sagonlapat เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:20:16

ความคิดเห็นที่ 7 1.สตีฟ วอสเนค 2.บิล เกต ~ สตีฟ จ๊อบ 3.แลรี เพจ 4สตีฟ บอลเมอ ~ มาค ซัคเคอเบิก 5เจฟ โกสลิ่ง 80}*20 .ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ จากคุณ : sagonlapat เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:22:08

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าผมฉลาดกว่า เราะรับรองได้ว่าพวกเขาเหล่านี้ ทำวิชา ไทย สังคม ได้ไม่ถึง 40 แน่นอน 555 จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:54:05

ความคิดเห็นที่ 9 สตีฟ วอสเนค เก่งกว่าบิลเกตอีกเหรอคะ ใครมีประวัติบ้าง จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:54:21

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบความคิดเห็นที่ ๙ ครับ มันเป็นเรื่องของนานาจิตตังครับ  ส่วนที่ผมให้เขาเป็นลำดับ ๑ ในส่วนตัวผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับ คีย์แมน ที่อยู่เบื้องหลังครับ ถ้านับความฉลาดคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ใช้คีย์เวิร์ดชื่อตรงตามการออกเสียงจะเป็น สตีฟ วอซเนียก และจะสามารถเจอข้อมูลได้ไม่ยากครับ  ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666 คลิปวีดีโอการกล่าวถึงจ๊อป โดย สตีฟ วอซเนียก เป็นการพูดถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา น้ำตาแห่งมิตรภาพ ครับ ใครฟังภาษาได้คิดว่าจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของสองคนนี้ครับ  ช่วงท้ายๆ วอซเนียก ถึงกับพูดไม่ออก และเสียน้ำตา  ขอให้ไปดีนะครับ คุณ สตีฟ จ๊อป แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 13:24:53 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 13:22:07 จากคุณ : sagonlapat เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 13:20:07

ความคิดเห็นที่ 11 เคยอ่านประวัติคุ้น ๆ ว่า บิลเกต ไม่เคยเข้าเรียนกฏหมาย แต่อ่านแล้วไปสอบได้ top ด้วย แสดงว่าไม่ได้เก่งแต่คำนวณแน่ ๆ จากคุณ : X-Sy เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 14:42:01

ความคิดเห็นที่ 12 Mark Zuckerberg ครับ Mark สอบ SAT ได้เต็ม ในขณะที่บิลเกตส์ได้แค่ 1590 (สงสัยทำผิด 1 ข้อ) 2 คนนี้ ทำข้อสอบเก่ง และ เอาชนะเก่ง Page กับ Sergey เป็นระดับ Phd ซึ่งมีลักษณะความสนใจแคบ แต่ฉลาด ให้มาสอบเอนท์แบบครอบจักรวาล ผมว่าน่าจะเบื่อชีวิต และได้คะแนนน้อย ส่วน Wozniak ผมว่า แกอินดี้ไปหน่อย ไม่น่าจะทนอ่านหนังสือเอนท์ได้ Jobs นี่ไม่ต้องพูดถึง ที่โหล่แน่นอน คนนี้ทำตามใจตัวสุด ๆ และจะทำแต่สิ่งที่สำคัญกับชีวิตเท่านั้น เพราะให้มาสอบคณิตศาสตร์ อินทิเกรต สตีฟ จ๊อบส์ จะบอกว่า เสียเวลาชีวิตมัน มันจะตายตอน 50  เมิงจะให้ตรูมาเสียเวลาเป็นเดือนฝึกอินทิเกรต ---------------- ผมเคยเรียน แคลคูลัส และอาจารย์สมัยมหาลัยบอกว่า ต่อไปคุณจะอินทิเกรตโจทย์ได้ 98% ของทั้งหมดบนโลกแล้วนะ ผมภูมิใจมาก และหลังจากจบคอร์สนั้น ผมก็ไม่ได้ใช้การอินทิเกรตอีกเลย แม้แต่แคลของ ม ปลาย ก็ไม่ค่อยได้ใช้ และผมเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ และนั่นคือความห่วยของระบบการศึกษาไทย.... ถ้าแคลเป็นวิชาหลักของคุณเหมือนกัน คุณลองถามตัวเองว่า 5 ปีที่ผ่านมา คุณใช้แคลทำประโยชน์อะไรบ้าง (นอกจากใช้โชว์สาว สอนแคลในมหาลัย?) แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 23:29:18 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 14:59:43 จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 14:57:57

ความคิดเห็นที่ 13 สอนพิเศษไงคะ ^^ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 15:11:26

ความคิดเห็นที่ 14 บิลเกตครับ ดูแว่นก็รู้ละ จากคุณ : เจกัน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 15:49:18 A:115.87.122.56 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 15 #12 ถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ตัวจริง ไม่เขียนซอฟท์แวร์คณิตศาสตร์ ออกมาละครับ เก่งขนาดนี้แล้ว เปลืองเวลาที่ร่ำเรียนมาหลายปี จากคุณ : .eAT เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 15:52:27

ความคิดเห็นที่ 16 ผมก็เป็นทั้งดีไซน์เนอร์และเว็บโปรแกรมเมอร์ อย่างที่ คห. 15 บอก อะไรคือซอฟแวร์คณิตศาสครับ ผมว่าในโลกนี้มีเกือบทั้งหมดแล้วซอฟแวร์พวกนี้ ในเครื่องคิดเลขในคอมในเน็ตหาได้เยอะแยะ มีซอฟแวร์ทางฟิสิกซ์ก็มี  เสียเวลาไปกับซอฟแวร์พวกนี้หากคุณไม่รวยและไม่มีเวลาว่างมาก ก็ควรไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่า คำถามก็คือ เมื่อเราได้คำตอบพวกนั้นแล้วเราเอาไปทำอะไร นอกจากไปทำข้อสอบ ส่วนคำถามเจ้าของกระทู้ผมว่า หลายๆคน ให้มาทำข้อสอบจริงๆอาจจะไม่ต่างจากคนธรรมดาก็ได้ พวกนี้ที่มาถึงจุดนี้ได้ อาจจะเพราะใจรักทำอะไรทำสุดๆ บวกกับโอกาสโชคบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่จินตนาการและความมุ่งมั่นครับ จากคุณ : เป็นไปไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 16:40:01

ความคิดเห็นที่ 17 คห.๑๕ ปล่อยเขาไปเถอะครับ เขาทำงานที่ไม่ได้ใช้ แล้วก็ดุถูก  ปล่อยเขาไปเถอะครับ พวก soft พวกนี้ indy home use ไม่ใช่ indy hi programer จากคุณ : sagonlapat เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 17:24:48

ความคิดเห็นที่ 18 #16 ก็คุณไม่ไปทำงานที่ใช้เองนี่ครับ แล้วดันมาบ่นทีหลังว่าทำไมไม่ได้ใช้ ลองไปเป็นโปรแกรมเมอร์ในองค์กรวิจัยที่เค้าทำแนว R&D สิครับ รับรองใช้กันสนุกมือ คุณเลือกอยากทำงานแบบนั้นเองนี่ครับ แล้วจะมาบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ได้ยังไง ผมว่ามันตลกนะที่คนเราจะมาบ่นเรื่องสอนไปทำไมไม่ได้ใช้ ในเมื่อคนสอนคนจัดหลักสูตรเค้าก็ไม่อาจจะไปรู้ล่วงหน้าได้ว่าชีวิตคุณแต่ละคนสุดท้ายจะเลือกทำอาชีพอะไร เค้าก็ต้องสอนตามที่สมควรไว้ก่อน ปล. ซอฟต์แวร์ทางคณิตศาสตรบางตัวได้เงินเยอะมากนะครับ ค่าลิขสิทธิ์เป็นล้านต่อชุดก็มี ยิ่งพวกที่ใช้ทำงานทางวิศวกรรมด้วย พวกที่คุณใช้เรียนในวิศวโยธานี่ซื้อมาทีหลายล้านนะครับ หรือพวกอุปกรณ์ช่วยในการ Trading ที่ธนาคารใช้ก็หลายล้านเหมือนกัน จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 19:45:32

ความคิดเห็นที่ 19 เอ่อ  เกมส์ angry bird ที่ดังๆ ใช้ความรู้ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์เยอะอยู่นะครับ จากคุณ : เคยใช้สมองหรือไม่เคย? (ชีวิตจะรุ่งอย่ามายุ่งกับผม) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 21:00:35

ความคิดเห็นที่ 20 #18 ครับ งานบ้างด้านต้องใช้ แคลคูลัสครับ แต่มันส่วนน้อยครับ มันเหมาะไหม ที่จะสอนให้กับทุกคนทั้งหมด โดยทำเป็นวิชาหลักในหลักสูตร ถ้าใช้ตรรกะเดียวกัน คงต้องเรียนชีวะด้วย ทำเป็นวิชาหลัก แล้วก็ไล่โปรแกรเมอร์ทุกคน ไปทำวิจัย Bioinformatics ให้หมด และ Software Bioinformatics ก็ขายได้หลายล้านนะ เออ! และถ้าตามหลักการเดียวกัน คงต้องสอนทุกวิชาในจักรวาล และทำเป็นวิชาหลักด้วย เพราะซอฟแวร์ในทุกสาขา ก็ขายได้ดีหมด ผมไม่ได้ใช้แคลครับ และปล่อยผมไปได้ครับ ผมก็ไม่สนใจ แต่บังคับให้ผมเรียนแคลทำไมครับ? มันเสียเวลาชีวิตผม ------------------------------------ แก่นของการเขียนโปรแกรม คือ การแปลงไอเดียเป็น Code และ การแก้ปัญหาด้านคณิตศาสตร์พื้นฐาน เราควรจะสอนแต่ ความรู้ที่อยู่บน ๆ ซึ่งจะได้ใช้ในทุกสาขา ที่ไปทำ ไม่ว่าจะ Bioinformatics, ทำ simulation ในฟิสิกส์ หรือ ทำซอฟต์แวร์คณิตศาสตร์ ครับ บริษัทใน Silicon Valley ใช้ 2 ทักษะนี้ในการกรองคนครับ เช่น ให้เขียน Code ที่ reverse ทุกคำใน string (เฉพาะคำนะ) แล้วให้ได้ O(n) หรือ จะทดสอบการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์พื้นฐาน ก็ให้ "มีลูกสนุ๊กอยู่บนโต๊ะ สี่เหลี่ยม 1x1 ให้หาว่า ยิงด้วยมุมเท่าไหร่บ้าง ลูกสนุ๊กถึงจะวิ่งเป็น Cycle" (ใช้แค่ geometry กับ ปิทากอรัส แต่ใช้ทักษะการแก้ปัญหาสูงมาก) รวมพวกเทคนิคการแก้ปํญหา Algorithm ไปด้วย เช่น Greedy และ Dynamic Programming วิชาพวกนี้แหละ ควรจะทำเป็นวิชาหลัก และ สอนหลาย ๆ ตัว แล้วส่วนพวก ชีวะ, คณิตศาสตร์ระดับสูง เช่น แคล หรือ สถิติ, เคมี ให้เด็กเลือกเรียนเอาเองดีกว่าครับ โปรแกรมมิ่ง ต้องใช้คณิตศาสตร์พื้นฐาน ถึงประมาณระดับ ม. 3 ลองดู การแข่งเขียนโปรแกรมได้ ของทุกเจ้า ใช้เลขไม่เกิน ม. 3 และคนที่ชนะได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกนะครับ (ลองดู Google CodeJam ได้) ------------------------ และนั่นคือเหตุผลที่โปรแกรมเมอร์ไทยไม่เก่งครับ เพราะไม่เคยเน้นตรงที่มันสำคัญจริง ๆ แต่ดันไปสอนแคล สอนฟิสิกส์ สอนสถิติ สุดท้ายกลายเป็นจับกัง ไม่ได้เก่งอะไรสักอย่าง จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 23:45:12

ความคิดเห็นที่ 21 Algorithm Design นี่ผมว่ามันเกิน ม. 3 นะครับ เอาเป็นทำงานในระดับวิเคราะห์สิ่งที่ตัวเองเขียนได้ด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนงานให้สำเร็จ ส่วนสิ่งที่คุณยกมาที่อื่นผมไม่รู้นะ แต่ที่ผมเรียนเค้าสอนครบนะ Dynamic, Greedy ส่วน Reverse คำนี่ถ้าเอาแค่สำเร็จไม่รวมเรื่อง Big-O เรียนกันตั้งแต่ยังไม่แยกเป็นวิศวคอมด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าให้เน้นกว่านี้ผมก็ไม่รู้จะเพิ่มรายวิชายังไงให้เหมาะ ถ้าคุณเอาแคลออก มันต้องมีวิชาที่เหมาะสมกว่าเข้ามาสอนไงครับ แล้วมันจะเป็นวิชาไหน ผมมองว่าถ้าเอาออกเพราะมีวิชาที่ดีกว่ามาเรียนอันนี้ก็เหมาะสม แต่ถ้าเอาออกเพราะแค่ว่ามีคนกลุ่มนึงไม่ได้ใช้แล้วบ่นว่าเสียเวลาเรียนฟรี ผมว่ามันตลกอ่ะครับ ทุกคณะทุกวิชาทุกสายอาชีพ แม้แต่แพทย์ที่เรียนตรงสาย ก็มีวิชาที่เรียนฟรีเยอะครับ การเรียนมันต้องมีบางอย่างที่เรียนไปแล้วไม่ได้ใช้อยู่แล้ว ผมถึงได้บอกไงคุณไม่ได้ใช้เลยไม่อยากเรียนแล้วจะมาบ่นมันไม่ได้ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าจบไปแล้วคุณจะผันตัวไปทำอาชีพอะไร แต่ถ้าคุณบอกว่าวิชาโน้นนี้นั้นเข้าท่ากว่า คนส่วนใหญ่ต้องการใช้มากกว่า ตรงกับตลาดงานมากกว่า อันนี้ก็น่าฟังครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 11:11:14

ความคิดเห็นที่ 22 ต้องถามว่า คุณวัดความฉลาดด้วยอะไรครับ IQ , EQ, ผลการสอบ, รายได้, หรืออะไร..... ถ้าคุณได้ indicator แล้ว จะเอาไปวัดแค่นั้นก็ทราบแล้วครับ ดังนั้น ต้องนิยามคำว่า "ฉลาด" ก่อนครับ ว่า ในความคิดของคุณคืออะไร ซึ่งต้องพิสูจน์ ปอลิง  ดี ชั่ว เกิดจากการคิด การกระทำของเราเองครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบการศึกษา หรือ สังคม จากคุณ : เขียนบน PC (mahnoitammada) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 11:39:15

ความคิดเห็นที่ 23 เอามั่ง ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ แค่จะสื่อว่า ถ้าทุกวันนี้ แคลคูลัสผมปึ้กกว่านี้ ผมว่าผมจะไปได้ไกลว่านี้ แต่ถ้าจะให้ผมกลับไปเรียนแคลใหม่ ผมไม่ไป เพราะทุกวันนี้ผมได้เลือกเส้นทางชีวิตผมไปแล้ว เส้นทางที่ไม่ต้องมีแคล และไม่จำเป็นต้องยุ่งกะแคลด้วยตัวเองแล้ว จะให้กลับไปเรียน ก็แน่นอน มันก็เสียเวลาผม ก็เหมือนกับก่อนหน้าผมอยู่กรุงเทฑ จะไปเชียงใหม่ก็ได้หลายทาง รถยนต์ เรือ รถไฟ เครื่องบิน มอ'ไซค์ จักรยาน เดิน และสมมุติว่าตอนนี้ผมนั่งรถยนต์มาเรียบร้อยและ จะให้ผมไปด่าเส้นทางที่ไม่ได้เลือกมา มันก็ใช่ที่ แม้จะรู้ว่าเครื่องบินมันไวกว่า ก็คงจะไม่บ้ากลับไปที่กรุงเทพ เพื่อไปนั่งเครื่องมาที่เชียงใหม่อีกทีหรอกครับ เอ.... Programmer ส่วนใหญ่เข้าใจเชิงเปรียบเทียบหรือเปล่าหว่า ไม่สิ ผมยังเข้าใจ จากคุณ : SuperTee (itCrazy) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 14:44:06

ความคิดเห็นที่ 24 กลายเป็นเกือบดราม่าโปรแกรมเมอร์ -*-"... จากคุณ : NongKaiJeaw เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:36:36

ความคิดเห็นที่ 25 มาสอบเลขในไทยเดี๋ยวก็เจอโจทย์ 3 กับ 24 ต่างกันกี่เท่าหรอก อ่อ ยังมี "ทำไมนิดถึงท้องก่อนแต่ง" ด้วยนะ ^^" อัจฉริยะแค่ไหนก็อึ้งครับ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 20:36:30

ความคิดเห็นที่ 26 คือเอาจริงๆ ประเด็นของผมคือเวลาในมหาลัยยังไงมันก็ต้องใ้ช้เรียน ตีซะ 24 หน่วยกิตต่อเทอม สมมติ 18 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ คุณบอกว่าใน 18 ชั่วโมงนี้มีบางคาบที่สอนไปแล้วคุณไม่ได้ใช้ มีแค่คนส่วนน้อยได้ใช้ ดังนั้นควรเอาออก ตัดให้เหลือ 6 ชั่วโมงเรียนชิลๆ เฉพาะของที่ใช้ทุกคน มันไม่ได้ เรียนก็ต้องเรียนหมดนั่นแหละ แต่ถ้าบอกว่ามีบางวิชาตรงกับตลาดงานมากกว่า เปลี่ยนมาแทนได้มั้ย อันนี้สิค่อยน่าคิดครับ และผมก็ยอมรับนะว่าแคลใช้นิดเดียว แต่ถ้าบอกว่าเอาออกไปเฉยๆ ให้เด็กสบาย แล้วบอกว่าเป็นผลดีต่ออนาคตเด็กมากกว่า ผมว่ามันไม่ถูกต้องครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 21:43:58