ความคิดเห็นที่ 1 กลัวเด็กรู้ว่า ตนเรียนพิเศษวิชานั้นๆมาแล้วทำได้คะแนนเท่าไร เหมือนข้อสอบพยายามออกหนีพวกเด็กเรียนพิเศษ ยิ่งออกหนี เด็กที่ไม่เรียนยิ่งตาย ตายยยิ่งกว่าเด็กเรียนพิเศษ เจริญ จากคุณ : PP เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:13:21 A:110.168.181.14 X: TicketID:281593

ความคิดเห็นที่ 2 มหาวิทยาลัยเขาถึงรับตรงแถบจะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ จากคุณ : ชื่อสมาชิก เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:26:03

ความคิดเห็นที่ 3 ก้อคัดเด็กเก่งชีวะไปเปนวิศวะ เก่งฟิสิกไปเรียนชีววิทยาไงครับ จากคุณ : คนไร้สมอง เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:26:21

ความคิดเห็นที่ 4 แย่ครับ เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยที่สุดของระบบการสอบใหม่ วิชาที่ใหญ่มากๆ 3 ตัวดันอัดเหลือตัวเดียว แล้วมันจะทำข้อสอบให้ได้ครบทุกสาระการเรียนรู้ได้ยัง? สามวิชานี้ตัวเนื้อหาก็แตกต่างกันมาก น้ำหนักของแต่ละวิชาในแต่ละคณะ-ภาค ก็ต้องไม่เท่ากันด้วย ไร้สาระมากครับสำหรับเรื่องนี้ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:31:39

ความคิดเห็นที่ 5 กระทรวงนี้เค้ารับคนเข้าทำงานยังไงน้อ สงสารลูกหลานในอนาคต จากคุณ : Moonui เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:37:01

ความคิดเห็นที่ 6 มีอยู่ปีหนึ่งตอนแอดมิชชั่น  วิศวะจุฬา ถูกรีพีท รีไทร์ เกือบครึ่งคณะ เพราะเด็กสอบเข้าได้ด้วยวิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ แล้วเรียนไม่ไหว แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนมาสอบผ่านระบบกลาง ก็ออกข้อสอบฟิสิกส์แค่ 25 ข้อ กลัวเด็กจะทำมากเกินไป แล้วเครียด ลองคิดดูว่า เนื้อหาฟิสิกส์ ม.ปลาย มันมากขนาดไหน อัดมาเหลือแค่ 25 ข้อ มาตรฐานข้อสอบที่จะวัดเด็กได้ ควรเป็น 100 ข้อ สอบเข้าแพทย์ ก็เหมือนกัน สอบแล้วเก็บข้อสอบเป็นความลับ และไม่บอกวิธีให้คะแนน บางมหาวิทยาลัยใช้สัมภาษณ์อย่างเดียว ใครอยากเรียนเภสัช ถ้าสัมภาษณ์ผ่านก็ได้เรียน บางมหาวิทยาลัยเปิดสอบตรงหลายรอบ คนอยากเข้าแพทย์ ต้องเสียค่าสมัคร 1,200 บาททุกครั้ง ครั้งหนึ่ง เก็บค่าสมัครได้ห้าหกล้าน แม้ กสพท. จะบังคับให้สอบรวมกัน แต่ก็ยังมีบางแห่งรับตรง บางที รับแค่ 5 คนก็ประกาศสอบ เด็กสมัครเป็นพัน สมัยก่อน เอนทรานซ์  เสียค่าสมัครแค่ 350 บาท ครั้งเดียว และข้อสอบก็ยุติธรรมกว่าด้วย ตอนนี้ระบบการศึกษาเละเทะมาก  เหมือนมีใครบางคนต้องการให้เป็นแบบนี้ จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:42:54

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเคยสนับสนุนให้ยุบกระทรวงวัฒนธรรมทิ้ง เพราะเปลืองภาษีประชาชน วันนี้ผมจะสนับสนุนให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการทิ้ง ด้วยเหตุผลเดียวกัน จากคุณ : Zeichnung เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:49:19

ความคิดเห็นที่ 8 คิดว่าจริงๆ ไม่น่าวัดขาเข้า น่าวัดเฉพาะขาออก ใครอยากเรียน อะไร ให้มันเรียน เรียนไม่ได้ ความสามารถไม่พอก็ตกไป เท่า นั้นเอง รีบไปตัดสินก่อนเรียนให้มันได้อะไรขึ้นมา จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:58:03

ความคิดเห็นที่ 9 ห่วยแตกมาก เจอมาแล้ว นิสิตคณะวิทยาศาสตร์ คุณภาพตกต่ำสุด ๆ ทั้งที่เกรดตอนมัธยมนี่มาอย่างหรู (ไม่ต้องพูดถึงคณะอื่นซึ่งปกติก็เกลียดกลัววิทยาศาสตร์กันอยู่แล้ว) ทีนี้พอวิทยาศาสตร์อ่อนมาก หรือเห็นความสำคัญน้อย ก็ส่งผลถึงเรื่องเหตุ-ผล พื้นฐานในชีวิตประจำวัน ทำอะไรง่าย ๆ  เช่น ให้ถอดปลั๊กเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้งาน เขาก็ถอดได้ แต่ทั้งเต้าเสียบทั้งปลั๊ก ยับเยินภายในเวลาไม่เท่าไหร่ เขาบอกว่ากลัวไฟดูดแล้วก็จับสายไฟเส้นเท่านิ้วชี้ดึงพรวดออกมา หรือให้เจือจางสารเคมี ให้เปลี่ยนหน่วยปริมาตร คิดความเข้มข้นสารง่าย ๆ  ซึ่งเด็กคณะวิทย์โบราณที่ผ่านการเรียนเคมี 1-2 มา เขาทำได้หมด แต่สมัยนี้ปีสี่แล้วยังอึก ๆ อัก ๆ  ตัวเลขกลม ๆ แค่หลักพัน หลักสิบ วิ่งหาเครื่องคิดเลข ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 18:05:00 จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 18:04:34

ความคิดเห็นที่ 10 พวกบัณฑิต มหาบัณฑิตวิทยาศาสตร์ถึงได้เสียเงินไปซื้อน้ำต้มไก่เข้มข้น น้ำเต้าหู้ที่ย่อยด้วยเอนไซม์ สารเคมีสกัดเข้มข้นจากพืช ฯลฯ เอามากิน หรือไม่ก็ไปซื้อคอลลาเจนมากินให้หายเหี่ยวย่น  เชื่อว่าปลาบู่จะชนเขื่อนภูมิพลแตก นั่งด่านายสมิทธ แต่ไปดูหมอกะหมอฟันธง แอบไปหาหมอเขมรทำเสน่ฯ สาธยายไม่หมด  ถ้าบัณฑิตวิทยาศาสตร์มีคุณภาพก็จะไม่เสียเงิน แล้วถ้าบัณฑิตมีคุณธรรมสินค้าพวกนี้ก็จะไม่ถูกผลิตขึ้นและโฆษณาเกินจริง แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 18:15:44 จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 18:13:48

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเอน เมื่อ10กว่าปีก่อน มันก็โอเคนี่ครับ ทำไมมันเจริญลงเจริญลง ตั้งใจหรือเปล่าเนี่ยะ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 18:24:29

ความคิดเห็นที่ 12 แย่จริงๆนะ เห็นด้วยทุกข้อ แต่แมร่งไม่รู้จะไปถามใคร จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 18:36:09

ความคิดเห็นที่ 13 คิดเหมือนคห.8 จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 19:16:33 A:119.46.176.222 X: TicketID:343518

ความคิดเห็นที่ 14 เด็กอยากเป็นวิดวะ ไม่อยากสอบชีวะ แล้ว มอ ปลายเรียนทำไม? โดนบังคับตามหลักสูตร ก็สอบด้วยซิ จากคุณ : stlive เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 19:18:02

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องข้อสอบเราขอไม่ออกความเห็นแล้วกันนะคะ เพราะว่ามันห่างรุ่นกันมว๊ากกกกก - -' และความยากง่ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำเก่งบอกว่าข้อสอบประยุกต์ยาก อะไรแบบนี้ แต่จากประโยคนี้ "หลายคณะไม่จำเป็นต้องใช้ชีวะ" เราเดาว่าคุณ จขกท น่าจะเล็งคณะแบบนั้นไว้สินะคะ แต่เรามีเรื่องของเราจะเล่าให้ฟัง เราเป็นพวกตรงข้ามคุณ จขกท น่ะ อิอิ เราเป็นพวกชอบชีวะ (ตอนสอบเราได้ 84 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดของการสอบรอบนั้น) และเกลียดเลขกับฟิสิกส์เข้าไส้ (ที่เกลียดเพราะว่าโง่เอง ได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง - -' อย่ามาถามนะว่าเท่าไหร่ 555+) ตอนนั้นเรามีแนวคิดว่าวิชาอื่น "ไม่ต้องใช้" เพราะทุกคนควรจะมีความเป็น specialist ในศาสตร์ของตนเอง เมื่อเราเรียนเลือกเรียนสาขาพฤกษศาสตร์ เราจึงเน้นเรียนแต่วิชาทางอนุกรมวิธานเท่านั้น ใน transcript เรา มีแต่วิชากลุ่ม taxonomy/morphology/anatomy/orchid biology/bryology ฯลฯ ส่วนวิชาอื่นแทบจะเรียกได้ว่า ไปให้ไกลๆ (ตรีน) เลยทีเดียว :p นับจำนวนรายวิชาได้เท่ากับตามที่หลักสูตรบังคับเป๊ะ แม้แต่เคมีที่เราไม่ได้เกลียด เราก็ไม่ลงเพิ่ม!!! (ประมาณว่า ที่กุเรียนเนี่ย เพราะเค้าบังคับหรอก ถ้าไม่บังคับอย่าหวังได้มาปรากฏชื่อใน transcript กุ) เรื่องตลกมีอยู่ว่า ตอนเรียน ปี 1 ที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั้งหมดของสายวิทย์ วิชาเลขกับฟิสิกส์ที่เราเกลียดเป็นข้อสอบอัตนัย เขียนเองทั้งหมด!!! (สองวิชานี้ ตอนสอบเราอ่านไปร้องไห้ไป T^T) แต่วิชาชีวะที่เราถนัด ดันเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก!!! ยุติธรรมมากๆ - -' แถมมีเพื่อนเราคนนึงที่ถนัดฟิสิกส์เค้าพูดประมาณว่า วิชาชีวะต่อไปไม่ได้ใช้ แถมออกเป็นช้อยส์ เอาตรีนเขี่ยๆ กาๆ ไป ยังงัยก็ผ่าน ด้วยความเคียดแค้น มากกกกกกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆ เราเลยแอบไปหาอาจารย์ที่สอนชีวะ ไปขอให้อาจารย์ออกข้อสอบแบบอัตนัยค่ะ!!!! (ร้่ายมั้ยคะ 555+) แต่อาจารย์ไม่เอาด้วยค่ะ เพราะว่าขี้เกียจตรวจ (ประมาณว่ามันตรวจยากกว่าเลขหรือฟิสิกส์ที่มีเกณฑ์ให้คะแนนตายตัวกว่า) แหม เสียดาย ไม่งั้นคนเรียนรุ่นเดียวกับเรา คงได้เจอข้อสอบชีวะเวอร์ชั่นโหดแน่เลยค่ะ อิอิ ;) ---------------------------------------------------------------------------------------------------- แต่เอาเข้าจริงๆ พอเราได้มาทำงาน คุณ จขกท เชื่อมั้ยว่าทัศนคติเราเปลี่ยนไปเลย ที่ทำงาน (เดิม) เราทำงานด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบบ "บูรณาการ" เต็มรูปแบบ งานที่เราทำมีขั้นตอนตั้งแต่เริ่มสกรีนพืชที่จะนำมาใช้ ตรวจสอบชื่อวิทยาศาสตร์ ทดสอบฤทธิ์เบื้องต้น มาสกัดแยกสาร ตรวจสอบโครงสร้างทางเคมี ตรวจสอบฤทธิ์และความเป็นพิษในระดับเซลล์ พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ ทดสอบกับอาสาสมัคร ไปจนถึงการขยายสเกลไปใช้ผลิตจริงโรงงาน โดยแต่ละส่วนก็จะมี specialist คอยดูแลอยู่ค่ะ ในส่วนที่เราทำงานอยู่จะเป็นส่วนเริ่มต้น คือ ตั้งแต่การสกรีนพืช มาจนถึงการทดสอบในระดับเซลล์ แต่ก็จำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวมด้วย จึงจะสามารถทำงานให้สอดคล้องและไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ จากประสบการณ์ของเรา เราพบว่ากว่า 90% ของ specialist นั้นคุยกันเองไม่รู้เรื่องค่ะ งานในจุดที่ต้องร่วมกันทำ หรือเป็นรอยต่อของแต่ละส่วน มีปัญหาเรื่่องการสื่อสารมาก เพราะ specialist แต่ละคนไม่มีแม้กระทั่งความรู้พื้นฐานของอีกศาสตร์หนึ่งเลยค่ะ หลังจากมีปัญหาแบบนี้ ทำให้เราต้องกลับไปอ่านเรื่องพื้นฐานในสาขาอื่นๆ ทบทวน (อ่านในหนังสือหรือชีทที่เรียน ม ปลาย/ป ตรี เนี่ยแหละ ซึ่งเคยโดนหลักสูตร "บังคับ" ให้เรียนมาแล้วทั้งนั้น) มันทำให้เรามองภาพรวมของโปรเจคได้ดีขึ้น และช่วยประสานงานในช่วงรอยต่อของแต่ละส่วนได้ด้วย จนได้รับคำชมเชยจากหัวหน้าเลยทีเดียว ^^ มาถึงตอนนี้เราเลยเชื่อว่า "ไม่มีคณะไหนที่ไม่ต้องการใช้วิชาไหนหรอกค่ะ" -------------------------------------------------------------- ปล - ปัจจุบันเราใช้พื้นฐานด้านกลศาสตร์และไฟฟ้า แบบเบาๆ    ในการคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการออกแบบและการทำงานของเครื่องจักรที่ใช้ในส่วนของโรงงาน    ซึ่งเป็นเนื้อหาของวิชาฟิสิกส์ที่เราเคยเกลียดมันมากกกกกก 555+ นึกแล้วขำ ^^ - เราใช้สถิติในการแปลผลการทดลองของเราหลายอย่าง ทั้งจากการทดลองในห้องแลปและจากการทดสอบกับอาสาสมัคร    ซึ่งเป็นเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ ที่เราโง่มากกกกกก (แม้แต่สูตรคูณยังท่องผิดๆ ถูกๆ T^T) - เราทำงานที่ต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์หลายอย่าง ทั้ง HPLC MS NMR    ซึ่งเป็นเนื้อหาของวิชาเคมีที่เราไม่เคยสนใจมันเลย ไม่อยากแม้กระทั่งให้มันมาอยู่ใน transcript - ในการทำงานของเรานั้น เราใช้ทุกวิชาที่เราเคยคิดว่า "ไม่ต้องใช้" แหม... ก็ตอนนั้นใครจะไปรู้อนาคตได้นี่ เนอะ! - ยาวไปหน่อย (เยอะ) แถมไม่ค่อยตรงประเด็น หวังว่าคงไม่ว่ากันนะคะ จากคุณ : group A Rh negative เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 19:26:50

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ งั้นต้องสอบ พุทธศาสนา สุขศึกษา ด้วยงั้นสิ? จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 19:45:03

ความคิดเห็นที่ 17 #15 งานด้านชีวะใช้ความรู้จากด้านฟิสิกส์มากกว่างานด้านฟิสิกส์ที่ใช้ความรู้ด้านชีวะครับ ยกเว้นคนฟิสิกส์พยายามจะมาแก้ปัญหาชีวะเท่านั้นเอง จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 19:45:08

ความคิดเห็นที่ 18 คห #16 เกี่ยวอะไรกับสองวิชานั้นคะ? รู้สึกประเด็นคือ ควรจะแยกรายวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หรือรวมเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ เพราะว่าบางคณะไม่ได้ใช้ ----------------------------------------------------------------------------- คุณ คห#17 เราไม่ได้มองแยกว่าปัญหาด้านชีวะ บ่อยครั้งต้องใช้ฟิสิกส์ด้วย ส่วนปัญหาด้านฟิสิกส์ ไม่ต้องใช้ชีวะ อะไรแบบนี้นะคะ คือเรามองว่าการแก้ปัญหาหนึ่งๆ ที่มีส่วนผสมขององค์ความรู้หลายศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์แต่ละด้านที่ทำงานร่วมกัน ควรมีความรู้พื้นฐานนอกศาสตร์ของตัวเองด้วย ไม่อย่างนั้นมันร่วมงานกันยากค่ะ เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจส่วนของอีกฝ่าย เราเลยเชื่อว่า "ไม่มีคณะไหนที่ไม่ต้องการใช้วิชาไหน" แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 20:13:38 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 20:12:09 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 20:11:36 จากคุณ : group A Rh negative เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 20:01:43

ความคิดเห็นที่ 19 คิดว่า เป็นการตัดสินใจ ที่โง่มาก มีผลเสีย มากกว่าผลดี ส่วนผลดี นั้น  ผมยังมองไม่เห็น จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 20:20:18

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่เห็นด้วยกับการรวมครับ ผมเจอนศ.ที่มีปัญหามากซึ่งไม่อยากโทษนศ. แต่เป็นเพราะระบบการสอน การคัดเลือก ทำให้ได้นศ.ที่ไม่เหมาะสมการเข้ามาเรียน วิธีการสอบคัดเลือกที่ผมเห็นว่าดีที่สุดคือสอบสองรอบแบบหลายปีก่อน น้าหยึม ไม่คัดเลือกไม่ได้ครับ ไม่งั้นทุกคนจะแห่เข้าคณะแพทย์หมด ซึ่งมันรับไม่ไหวครับ แต่ละคณะมีความสามารถในการรับ/สอนนศ.จำกัดครับ ผมเคยพูดไว้นานมาแล้วว่านศ.ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยตอนนี้มีประมาณครึ่งนึงที่ไม่มีความสามารถและเหมาะสมกับคณะที่เรียนอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐ เรื่องอยากให้ทุกคนจบมหาวิทยาลัย แต่ผมมองว่าอาชีวศึกษาน่าจะเป็นกลไกที่สำคัญมากกว่านี้ มหาวิทยาลัยไม่ต้องมีมากหรอกครับ แต่ให้มันมีคุณภาพ นศ.ก็ไม่ต้องแยะแต่ขอคุณภาพ แต่ก็นั่นแหละนศ.มากเงินเข้าม.มันก็มากด้วย ดังนั้นวิธีการหาเงินที่ง่ายที่สุดคือเพิ่มจำนวนรับนศ. แต่เมื่อเพิ่มจำนวนรับ สิ่งที่ได้มาคือนศงที่มาตรฐานไม่ถึง พอเป็นงั้นก็ต้องลดมาตรฐานไป วนเวียนเป็นวงจรอุบาทย์ ถ้ามีคนถามว่าแล้วอาจารย์ทำไมไม่สอนให้นศ.เหล่านั้นเก่ง ผมตอบสั้นๆว่าคุณไม่สามารถปั่นเครื่องปั่นดินเผาชั้นดีด้วยดินเหนียวปนทรายครับ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 20:27:45

ความคิดเห็นที่ 21 คห.10อ้าวสุดท้ายมาลงที่เด็กไม่คิดบ้างหรอไอ้พวกที่มาคุมกระทรวง สั่งนู่นสั่งนี่ มันก็มาจากระบบเอนรวมครั้งเดียวทั้งนั้นนิ เด็กแอดมิดชั่นรุ่นลองยาพึ่งจบมาทำงานได้2ปี ไม่นับไอ้พวกโดนไทร์ ซิ่วไปตั้งแต่ปีแรก มันจะไปมีอำนาจบงการอะไรให้วงการวิทยาศาสตร์หมองมัว ว่าเอามันเลยซินะ เสื่อมจริงๆ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 20:59:23

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบ คห.15 ผมยอมรับเลยครับ ว่าผมกำลังศึกษาคณะที่ไม่ได้ใช้ชีวะในการสอบเข้า ซึ่งเป็นโชคดี ที่มหาวิทยาลัยที่ผมต้องการ เปิดรับตรง โดยยังคงใช้คะแนนจากการสอบส่วนกลาง แต่ปรับน้ำหนักให้ไม่ใช้วิชาวิทยาศาสตร์ และใช้คณิตศาสตร์แทน (เด็กปีนั้นคงรู้ครับ ว่าม.ไหน) เพราะแอดกลางใช้วิชาิวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ใช้คณิตศาสตร์ ซึ่งบอกตามตรงว่า ใช้อะไรคิด วิศวะ ไม่ใช้คณิต? การรอบรู้ผมว่าเป็นผลดีครับ แต่การคัดเด็กผมคิดว่า ควรจะเน้นให้ตรงจุดมากกว่า และหลังจากนั้น การประกอบอาชีพ เราสามารถศึกษาเพิ่มได้ครับ แต่ความถนัดมันแก้กันไม่ได้ คือการรวมวิชา ทำให้การคัดเด็กด้อยลงครับ ยกตัวอย่างเลย ในคณะผม มีคนบอกว่า เกลียดวิชาฟิสิกส์มากสุด แต่ดันมาเรียนคณะที่เจอแต่ฟิสิกส์ ซึ่งผมคิดว่ามันดูตลกร้ายมากครับ และผมยังเจอสิ่งที่เหลือเชื่อเกินจะอธิบายได้อีกมากครับ บางคนอ่อนคำนวณสุดยอดมาก แต่วิชาจำเป็นเลิศสุดขีด เป็นสิ่งที่ต่ำจากความคาดหมายของเด็กบ้านนอกเข้ากรุงคนนี้มาก ที่คาดว่ามาเรียนจะเจอความโหดร้ายทารุณของเพื่อนๆที่สุดยอดวิชาคำนวณ อีกอย่างคือ คิดเกรดเป็นน้ำหนักคะแนน ผมว่าไม่ควรใช้เลย เกรดแต่ละที่มันไม่เท่าเทียมมาก แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 21:51:42 จากคุณ : int.anti เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 21:50:15

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยกับคุณกรุ้ป เอ ลบ #15 ผมเรียนบริหาร ไม่เข้าใจว่า จะให้เรียนบัญชี การเงิน(ตัวบนๆ ไม่ใช่พื้นฐาน) ไปทำไมในเมื่อเราไม่ได้เลือกเมเจอร์นั้น ตอนนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะเรียนมันทุกบรรทัดเลยทีเดียว จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 22:25:16

ความคิดเห็นที่ 24 ท่าน สยึมกึ๋ย #8 ทำไม่ได้ครับ มันอยู่ที่ต้นทุน + ค่าเสียโอกาสด้วยครับ - ระบบคัดเลือกที่ดีคือระบบทีนำคนที่เหมาะสม(ไม่จำเป็นต้องเก่ง) มาขัดเกลาเพื่อให้ได้ยอดคน - ไม่ได้แล้วฝืนมาเรียน เสียเวลาทั้งคนเรียน คนสอนครับ จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 22:27:43

ความคิดเห็นที่ 25 ขอชื่นชมคุณ amscmu คห#20 ค่ะ เป็นอาจารย์หรือเปล่าคะ? ชอบแนวคิดมากๆ ที่ว่าเด็กไม่ได้โง่แต่อาจไม่เหมาะกับการเรียนสาขานี้ เราก็เป็นคนนึงที่ตอนเรียนโง่คณิตศาสตร์มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาสถิติ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ ที่ใช้ในการสรุปผลการทดลองทางชีววิทยาและการศึกษาทางอนุกรมวิธาน อาจกล่าวได้กลายๆ ว่า เรานี่ไม่เหมาะที่จะเรียนวิทยาศาสตร์สาขานี้เลยมั้ง แหะๆ :p ตอนนั้นเราเรียนไม่รู้เรื่องมากๆ ถึงขนาดเรียนไปด่าไปเลยทีเดียว ฮาๆๆ ก็แหม SPSS มีก็ไม่ให้ใช้ ให้กรูหา regression ด้วยเครื่องคิดเลข !!! ด่าไปหลายเรื่องทีเดียวค่ะ คะแนนออกมาก็แหกตามระเบียบ -*- แต่รู้มั้ยคะ พอเรามาทำงาน แล้วเรามาอ่านทบทวนในสิ่งที่เรียนมา หน้าอาจารย์ เสียงอาจารย์ ลอยมาเลยค่ะ มาช่วยอธิบายให้ฟังตอนที่อ่าน พูดแล้วขนลุก (ด้วยความติ้นตันนะคะ ไม่ได้กลัวผีหรือปวด...) แล้วเรากลายเป็นคนที่เข้าใจสถิติขึ้นมาเลยค่ะ (คิดว่านะ) สิ่งที่อยากจะบอกก็คือสิ่งที่คุณสอน อาจไม่ได้เห็นผลตอนที่วัดผลหรือคะแนนสอบ แต่ว่าสักวันหนึ่ง มันต้องมีประโยชน์แก่ชีวิตของเค้าในภายภาคหน้าแน่นอนค่ะ แล้วในวันนั้น เค้าจะรู้สึกขอบคุณคุณจากใจเลยทีเดียว เหมือนที่ในตอนนี้เรารู้สึกขอบคุณอาจารย์ของเราเหมือนกัน ^^ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 22:51:08 จากคุณ : group A Rh negative เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 22:42:51

ความคิดเห็นที่ 26 ทำได้ครับท่าน (Anna_NSW) เพราะ ? ๑. ผู้เรียนตอนนี้ทุกคน ต้องจ่ายค่าเทอมครับ อยู่ที่แขนงวิชาที่    เรียนครับ ๒. คนสอน มีเงินเดือนกินครับ อันนี้ไม่ต้องคิดมาก จะมีคนเรียน    ๕ คน หรือ ๕๐ คนก็เหมือนเดิมคือ แกต้องสอนคาบเท่าเดิม ๓. ส่วนคนที่ไม่เจียมตัว เจือกมาเรียนก็ตกไป รับผิดชอบตัวเอง     ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ มันจะมีข้อดี คือ ... คนที่ไม่รู้ แต่ ตั้งใจเข้าไปเรียน จะได้เรียนใน สิ่งที่ตนเองอยากเรียนครับ มันไม่มีใครหรอก ที่จะมารู้เรื่องที่ยัง ไม่เรียน โดยที่ไม่ได้เรียนมาก่อนครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 22:56:49

ความคิดเห็นที่ 27 #26 ก็มีนี่ครับ ราม มสธ. ถ้าทำแบบคุณว่า มหาลัยทุกที่ก็จะมีบรรยากาศการเรียนเป็นแบบรามคำแหงครับ จากคุณ : int.anti เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 23:48:44

ความคิดเห็นที่ 28 นึกถึงภาษิตที่ว่า รู้ไว้ ใช่ว่า ใส่บ่า แบกหาม มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ แต่ว่าจะจับขึ้นมาใช้ตอนไหนเท่านั้นเอง แต่ระบบการศึกษามัน แย่ขนาดนั้นเลยหรือ แต่เห็นเด็กที่มหาลัยเค้าติว วิด เลข เคมี กัน พอไปดู ก็พบว่าเป็นเนื้อหาของ มอหก ซึ่ง ก็น่าจะเรียนผ่านมาแล้ว แต่ทำไมต้องติว อันนี้ไม่เข้าใจ ไม่กล้าถาม เดี๋ยวเด็กจะว่าเอา จากคุณ : ผ่านมา (IG_KGB) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 00:50:24

ความคิดเห็นที่ 29 คิดเหมือนกับคุณ amscmu เลยครับว่า ระบบการสอบคัดเลือกแบบที่ดีที่สุด คือ ระบบเอ็นทรานซ์ที่สอบ 2 ครั้ง คือ เดือนต.ค.และเดือนเม.ย. ให้นศ.ได้มีโอกาสแก้ตัว หลังจากนั้นระบบสอบคัดเลือกก็เละเทะขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ยุบทบวงมหาวิทยาลัยรวมกับกระทรวงศึกษา ระบบต่างๆก็ถอยหลังลงคลอง เกรดมัธยมก็เฟ้อ เพราะโรงเรียนพยายามทำให้นักเรียนเกรดสูงๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียน ระบบสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยก็เละเทะอย่างที่กระทู้นี้กำลังพูดกันอยู่ ยังดีที่ระบบรีไทน์ของมหาวิทยาลัยยังทำงานดีอยู่ ไม่งั้นคุณภาพบัณฑิตและอนาคตของประเทศคงไม่ต้องพูดถึง จากคุณ : บัตรผ่านด้อยสิทธิ์ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 01:17:39 A:202.12.73.198 X: TicketID:282622

ความคิดเห็นที่ 30 ผมสงสัยแล้วไม่มีใครทำอะไรกับพวกดูแลการสอบได้เลยหรือ จากคุณ : PakornCS เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 03:09:41

ความคิดเห็นที่ 31 ความจริง กระทรวงไม่ผิดนะ จะผิดก็พวก อธิการบดีทั้งหลายนั้นแหละ เพราะผมไป สกอ. มาเค้าบอกว่าตามหลักแล้วการรับนักศึกษานั้นเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละมหาลัย ช่วงแรกก็ตกลงกันว่าใช้การสอบกลางเพื่อคัดเลือกเข้าเหมือนกัน (โควต้าต่างหาก) อยู่มาวันหนึ่งมีนักการศึกษาไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ไปดูงานอเมริกา เลยปิ๊งระบบแอดฯมาใช้ เพราะมหาลัยมีเอกสิทธิ์ที่จะรับนักศึกษาอยู่แล้ว เลยทำเป็นแอดฯแล้วรับเองไปเลย เรื่องเหมือนจะดี แต่มันไม่ดีตรงที่ ต่างคนต่างรับ เลยให้น้ำหนักคะแนนไม่เท่ากันและเมื่อน้ำหนักคะแนนไม่เท่ากัน ทำไมต้องมาอิงข้อสอบกลางอยู่อีก ไปๆมาๆเลยสอบตรงไปหมดเลย ซึ่งเอนท์มันต่างจากแอดฯตรงที่แอนท์ ทบวงจะคัดคนป้อนมหาลัย แต่แอดฯ มหาลัยเอาคะแนนจาก สกอ.ไปคัดคนเอง อย่างนี้มหาลัยต่างๆก็เลยเน้นสอบตรงเก็บค่าสมัครแพงๆสอบติดมีตัวจริงกับสำรอง ถ้าสำรองอยากเป็นตัวจริงก็ต้องยัดใต้โต๊ะ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 03:27:21

ความคิดเห็นที่ 32 ผมโชคดีที่อยู่ในยุคสอบ 2 ครั้ง และคิด10% จากเกรด ผมว่าระบบนี้เด็กไม่น่าจะเครียดมาก เพราะได้แก้ตัว และ 10 % จากเกรดก็ถือว่า ต้องขยันเรียนวิชาอื่นด้วย  แม้จะมีข้อด้อยที่ว่า มาตรฐานในการให้เกรดแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน ซึ่งในความเป็นจริงจะให้โรงเรียนมีมาตรฐานเท่าเทียมเป็นไปได้ยาก ระบบหลังๆ เท่าที่สัมผัสผ่านๆ โรงเรียนกวดวิชาเติบโตมาก  เด็กๆ แห่กันไปเรียน หลังเลิกเรียน เลิกดึก เสาร์ อาทิตย์ ยังมาเรียน แทนที่จะเอาเวลาไปเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตอย่างอื่น แล้วเด็กเสียค่าใช้จ่ายในการสอบมาก หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าระบบใหม่ให้โอกาสแก้ตัวได้ไหม เห็นว่า การสอบบางอย่าง สอบได้ครั้งเดียวในชีวิต แก้ตัวใหม่ไม่ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับระบบ entrance ผมว่า เขายังให้โอกาสเด็กแก้ตัวได้ ปัญหาของเด็กนักเรียน ส่วนหนึ่งติดเกมส์ ต้องออกจากโรงเรียน กลายเป็นเด็กนอกระบบ จำนวนน่าจะมีมากพอสมควร ไม่แน่ใจว่า ระบบการรับเด็กแบบปัจจุบัน จะให้โอกาส เด็กติดเกมส์กลุ่มนี้แก้ตัวได้หรือไม่ หรือต้องเข้าเอกชนแทน จากคุณ : บางนรา เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 03:39:11

ความคิดเห็นที่ 33 เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนตามไม่ทัน สงสารแต่เด็กยุคเดี่ยวนี้ ประเทศอื่นเค้าไปไหนถึงไหนแล้วก้ไม่รู้ ประเทศไทยยังมายุ่งกับระบบการสอบเสียค่าสมัครแพงๆอยู่เนี่ย.. สมัยเราเรียนทั้งคณะมีสี่ร้อย ตอนนี้แค่ภาควิชาเดียวมีเกือบสามร้อยคน จะรับเยอะไปไหน สมัยก่อนมีสอบโควต้า แล้วเอ็นทรานส์เราว่าเหมาะที่สุด วัดกันไปเลย หรือไม่ก็สอบสองรอบ ยิ่งโควต้ายิ่งดี ใกล้บ้านเกิด ภูมิลำเนา จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 05:49:19

ความคิดเห็นที่ 34 เรียนท่าน int.anti ครับ ไม่เหมือนหรอกครับท่าน ... มันจะเหมือนการเรียนประถม หรือ มัธยม มากกว่าครับ เพราะ เป็นแบบนี้กันทั้งประเทศ ที่สองมหาลัยนั่น เป็นแบบนั้น เพราะมหาลัยแห่งอื่น ไม่ได้ทำแบบที่ผม ว่านั่นเองครับ ทว่า ... ผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยไหน ผมว่าค่าก็เท่าๆ กันหละครับ ถ้าครู ผู้สอน เป็นคนดี และ ไม่ปล่อยให้จบออกมาอย่างไร้จรรยาบรรณครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 09:54:10

ความคิดเห็นที่ 35 ถึงคุณสยึมกึ๋ย #26 เป็นครูเองประสบการณ์ตรง ไม่มีทางที่จะรับแบบไม่จำกัดได้หรอกครับ เรื่องเงินเดือนไม่ขอพูดถึงนะครับเพราะไม่เกี่ยวกับการศึกษา การสอนนักเรียน 10 คนกับสอนนักเรียน 100 ต่างกันมหาศาล ผมเป็นครู ไม่ใช่สอนแค่เขาจ้างมาสอน ก็ต้องเพื่อให้นักเรียนรู้ แล้วนักเรียนแต่ละคนการเรียนรู้ช้าเร็วต่างกัน วิธีการเรียนรู้ต่างกัน ดังนั้นคนเป็นครูต้องโฟกัสลงไปที่นักเรียนแต่ละคนแล้ว สอนเจาะลงไปเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนเข้าใจ การโฟกัสนักเรียนทั้ง 100 คนมันเป็นไปไม่ได้ เอาง่ายๆว่าถ้าเรียนจบ 1 บท สมมติให้นักเรียนแต่ละคนมีข้อสงสัยคนละข้อ (ซึ่งจริงๆคงไม่เป็นอย่างนั้น บางคนเก่งไม่สงสัย บางคนเรียนรู้ช้าข้อสงสัยเยอะ) ห้องที่มีนักเรียน 10 คนก็จะมีคำถาม 10 คำถาม ห้องที่มีนักเรียน 100 คนก็จะมีคำถาม 100 คำถาม แค่นี้ก็เห็นความแตกต่างของการใช้เวลาตอบคำถามแล้ว ถึงครูจะทุ่มเทแค่ไหน ยังไงก็คงไม่มีเวลาตอบคำถามทั้ง 100 ข้อหรอกครับ ถึงแม้จะบอกว่า ก็คนเรียนได้ 10 คนก็เรียนไป ปล่อยให้อีก 90 คนที่เรียนไม่ได้นั่งในห้องเฉยๆ ก็คงไม่ได้หรอกครับ ต้องคำนึงถึงบรรยากาศในห้องเรียนด้วย มีคนขยันเรียน 10 คนแต่มีคนนั่ง สัปหงกอีก 90 คนนั่งร่วมในห้อง อารมณ์ความอยากเรียนลดไปเยอะครับ ถ้ายังไม่เห็นภาพ เอาง่ายๆ ว่าในห้องมี 2 คนก็พอครับถ้าคุณจะนั่งอ่านหนังสือ แต่เพื่อนคุณอีกคน ดันนั่งคุยโทรศัพท์ หรือดูหนัง คุณเองไม่มีสมาธิพอที่จะอ่านหนังสือหรอก หรือถ้ามี ก็คงจะมีน้อยกว่า การที่คุณกับเพือนต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเองหรอกครับ ดังนั้น คัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมมาเรียนเป็นจำนวนน้อย ดีกว่าเปิดให้เรียนได้ไม่จำกัดดีกว่าครับ ผมเชื่อว่า ไม่มีนักเรียนคนไหนโง่ เขาแค่อยู่ไม่ถูกที่ ถ้าให้นักเรียนคนนี้อยู่ในที่ที่เหมาะสมได้เรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง นักเรียนคนนี้ก็จะเรียนรู้ได้ดีและมีความสุขครับ จากคุณ : แมวน้อยนอนอุตุ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 14:25:00

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ท่านคิดผิดไปนิดครับ ... นักเรียนมากขึ้น ค่าเทอมรวมก็มากขึ้น จ้างครูได้มากขึ้นครับ ไม่ใช่ ครู ๑ คนนักเรียน ๕๐ พอนักเรียนเพิ่มเป็น ๒๐๐ คน ครู ก็คนเดียวเหมือนเดิมครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 16:09:50

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ยังมี facility อื่นๆที่ต้องคิดอีกครับ เช่นตึกเรียน อุปกรณ์การสอน แค่ค่าเทอมไม่พอครับ ยิ่งคณะที่ลงทุนหนักๆเช่นสายวิทย์สุขภาพนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ไม่งั้นค่าเรียนต้องแพงมาก อย่างม.รังสิตเองคณะแพทย์เค้ายังต้องจำกัดจำนวนรับเลยครับ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 17:05:43

ความคิดเห็นที่ 38 #15 ประเดนที่ผมเห็นว่าดีคือ ศึกษาตอนเรียน สบายกว่าศึกษาเอง ตอนทำงานเยอะเลย ประเดน คือ ต้องหาจุดพอดี แต่จุดพอดีที่ว่า น่าจะห่าวจาก physic+cheme+bio = thai =social =engineer =medic =... มากกว่า600ปีแสง หรือนี่คือ วิธีที่รัฐจะทำให้ทุกๆคนเท่าเทียมกัน อัตราส่วนวิชาที่ใช้เรียน ม กับที่จะเอามาสอบ และเรียนต่อ ป มันน่าจะพอๆกันนะ หรือว่าผมเป็นวิศวะที่ตกเลข หรือผู้ว่า เป็นนักสังคมที่ตกฟิสิกส์ กำลังคิดว่า ก็ไร้สังกัดให้หมด เลยละกัน ใครอยากลงเรียนอะไรที่ไหน ก็ยื่น ประวัติวิชาพรี คะแนนพรี ทุกตัว วิชาก็คัดคน ที่เหมาะสม เข้าเรียนเอา ที่ทำงาน หรือคนจ่ายงาน ก็ดูประวัติเป็นรายละเอียดเอา ว่ามีอะไร จากที่ไหน ยังไง บ้าง แล้วก็เลือกรับเอา ไม่ต้องมีปริญญา มีแต่ประวัติผลงาน สรุป ใครอยากทำอะไร ก็ไปเก็บสอบ วิชาจำเป็นมาให้ครบก่อน อยากเรียน ที่ไหน กับใคร เมื่อไหร่ ก็ตามสะดวก เดี๋ยวรอผมเป็นนายก จะทำระบบอิสระ เรียนรู้ และพัฒนางาน แบบไร้สังกัดให้ (ฟังดูคล้ายๆคอมมิวนิสต์แฮะ) ยุคภษีอานแล้ว เราก็ต้องรู้จักคิดใหม่ทำใหม่ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 17:09:03

ความคิดเห็นที่ 39 เรียนท่าน amscmu ครับ อย่างนั้นก็ต้องจำกัดจำนวนที่นั่งที่เหมาะสม แล้วก็ต้องขยับขยาย เพิ่มให้เหมาะสมตามจำนวนผู้เรียนครับ ไม่ใช่ตรูจะคงเอาไว้แค่นี้ แหละ ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมจำนวนแพทย์ขาดแคลน เพราะ อ้างว่า ลงทุนสูง แล้วก็ไม่รู้จักเพิ่มปริมาณรับ ขยายไปเรื่อยๆ เหมือนการทำธุรกิจครับ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ ผมไม่เห็นด้วยกับการ "วัด" ขาเข้าครับ ไปฟันธงว่าแกเรียนไม่ ได้หรอก ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เรียน จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 17:33:44

ความคิดเห็นที่ 40 คห.39 ขาเข้า ไม่ได้ฟันธงว่าเรียนไม่ได้ ทั้งที่ไม่ได้เรียนนี่ครับ เค้าฟันธงว่าเรียนไม่ได้ เพราะความรู้ไม่ถึง สอบแล้วคะแนนไม่พอ ต่างหาก ถ้าหากอยากเรียนจริงๆ ก็ต้องขวนขวาย พยายาม ไม่เช่นนั้น เข้ามาเรียน แล้วเขาก็คาดว่า คงจะไม่ขวนขวายพยายามเหมือนตอนสอบเข้า หรือทึบเหมือนตอนสอบเข้า แล้วจะทำให้เรียนไม่ได้ คือเรียนไม่ได้นี่ หมายถึงในแวดล้อมที่มีเพื่อนคะแนนระดับต่างกันนะครับ ถ้าเอาเด็กระดับต่างกันมากๆ ลองนึกภาพตามนะครับ อ.คงต้อง simplify เนื้อหาลงมาก เด็กเก่งที่รับได้เยอะๆก็ต้องจำใจเรียนน้อยลง การแข่งขันน้อยลง แรงกระตุ้นน้อยลง หรือไม่ก็ถ้าสอบแบบเดิมคงจะ0กันระนาว แพทย์จะผลิตมั่วๆไม่ได้หรอกครับ จำกันอ้วก งบประมาณต่อหัวก็ใช้เยอะ ถ้าเข้ามาแล้วห่วยก็เปลืองงบประมาณ ทิ้งขว้าง จากคุณ : int.anti เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 21:53:28

ความคิดเห็นที่ 41 ม.6 ปีนี้พอดีค่ะ ไม่เห็นด้วยกับการรวมฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นข้อสอบชุดเดียว เพราะนอกจากจะไม่รู้ว่าคะแนนที่ได้มาจากวิชาไหน จำนวนข้อก็น้อยเกินไปจนไม่สามารถครอบคลุมองค์ความรู้ที่ควรจะรู้ได้ (หรือไม่ก็ยัดหลายๆเรื่องลงในข้อเดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้เข้าสอบปวดหัวเป็นอย่างมาก) อย่างเช่น นายA รู้เรื่องที่ 1,3 นางสาวB รู้เรื่องที่ 2,4,5,6,7 ในกรณีที่ความสำคัญของแต่ละเรื่องเท่ากัน ข้อสอบออกเรื่องที่ 1 และ 3 นั่นแปลว่านายA รู้มากกว่านางสาวB ? คงไม่ใช่ และเหตุผลส่วนตัวที่ไม่เห็นด้วยกับการรวมแพท คือเราเรียนวิทย์กันเยอะมากๆค่ะ 12 คาบ/สัปดาห์ ถ้ารวมกวดวิชาด้วยก็ประมาณ 30 ชั่วโมง เรียกว่าเรียนกันหัวบาน แต่ข้อสอบออกมาน้อย ข้อที่ออกดันเป็นเรื่องที่ลืมพอดี บางเรื่องไม่ออกเลย เสียความรู้สึกค่ะ จากคุณ : SleepingSickness เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 01:20:01

ความคิดเห็นที่ 42 คนมาเรียน 10 คน ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนทุกคนหรอกครับ ตั้งใจซะ 5 อีกที่เหลือแอบคุยกับมั่ง นินทาผู้สอนผ่านบีบีมั่ง whatsapp มั่ง คะแนนสอบมิดเทอมออก ก็มาฟูมฟายขอให้ช่วย ถ้าตกก็กลัวจบไม่ทันเพื่อน จบช้า เสียโอกาส บลา บลา บลา... ตอนนี้ก็อย่างที่หลายท่านว่าไว้ว่า ระบบรีไทร์ของมหาวิทยาลัยยังพอจะทำงานได้ีดี สกรีนคนที่เรียนไม่ไหวออกไป แต่ก็ต้องแก้ที่ระบบรับเข้าด้วย เหมือนสมัยนี้โอ๋เด็กมากไป กลัวเด็กเครียดมากไป ระบบเก่า เลือกได้ 4 อันดับ (ก่อนหน้านู็นเลือกได้ 6) สอบทีเดียว ประกาศผลทีเดียวรู้ผล และสอบแยกวิชาวัดความรู้กันจริง ๆ ออกจะได้ผลมากกว่าอีกครับ จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 09:39:04

ความคิดเห็นที่ 43 น้าหยึมครับ ที่แพทย์ขาดแคลนนี่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันกระจุกครับ ไม่ยอมกระจาย การเพิ่มนศ.สายวิชาชีพนี่ค่อนข้างอันตรายครับ ต้องให้มั่นใจว่าเพิ่มแล้วมาตรฐานไม่ลด หรือลดนิดหน่อยแล้วค่อยๆปรับกลับมาสูงเหมือนเดิม ต้นทุนการผลิตแพทย์สูงมาก เรียนยาก วัตถุดิบที่เข้ามาต้องดีครับ ไม่งั้นก็เสียของ พอดีตอนนี้ไม่ได้อยู่แวดวงวิทย์สุขภาพแล้ว เลยไม่แน่ใจเรื่องจำนวนเท่าไหร่ อย่างเทคนิคการแทพย์นี่มีหลายๆแห่งเปิดแล้วก็มีปัญหาอยู่ เป็นข่าวออกทีวีใหญ่โตเมื่อไม่นานมานี้เอง กายภาพบำบัดของม.รัฐบางแห่งนี่ในช่วงเริ่มต้นอาการก็น่าเป็นห่วงครับ ของพวกนี้มันจะเรียนได้ดีต้องมีตัวอย่างมาให้ลองฝึก ตอบ #25 ใช่ครับ ถ้าเรียนแล้วไม่ค่อยมีตัวอย่างมาให้ฝึกมันก็ไม่ดี กว่าจะทำได้ดีก็ต้องไปฝึกงานนู่น จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 12:21:53

ความคิดเห็นที่ 44 ท่าน สยึมกึ๋ย ต้นทุนของ มหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ เงินเดือน + ค่าใช้จ่ายนะครับ ท่านต้องนึกถึงเงินลงทุนด้วยยิ่ง ม.เอกชน เงินจมไปที่ค่าตึกค่าที่ดินเท่าไหร่ แค่ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก้อเต็มกลืนแล้ว เอาแค่คณะ IT เวลาสร้างแลปที งานเดินสายแพงกว่าค่าเครื่องคอมไม่รู็กี่เท่า(หมดค่างานทางโยธานั่นละ) เครื่องคอม 3 ปี 5 ปี ก้อเจ๊ง ซื้อใหม่กัน สมมุติ สร้างห้องแล็ปเตรียมรับปีละ 400 คน พอปี 2 มันไทร์ครึ่งคณะ ก้อตายแล้วครับ ทุกเครื่องที่ตั้งไว้ เงินทั้งนั้นนะ จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 22:34:42

ความคิดเห็นที่ 45 ในเมื่อเรามองเห็นแต่ปัญหาของระบบแอดมิสชั่น  แล้วทำไมนักการศึกษาที่มีความรู้ความสามารถทางด้านนี้โดยเฉพาะ  ถึงไม่ยอมแก้ไขอะไรเลยล่ะคะ  มันน่าคิดนะ ว่าเค้าห่วงหน้าตาตัวเอง มากกว่าความเจริญของประเทศแล้วหรือ???  การกลับไปใช้ของที่ดีกว่า มันทำให้เค้าดูเสียหน้า แ้ล้วปล่อยให้ประเทศล่มจมไปต่อหน้าต่อตางั้นหรือ???? อยากให้คนในกระทรวงศึกษา ได้กลับมาอ่านกระทู้นี้บ้างจัง  เราเองก็ได้ทำงานในมหาวิทยาลัย ได้พบเจอกับเด็กรุ่นแอดฯ  อยากบอกเค้าจังเลย ว่าเด็กบางคนมันก็เกินแกงจริงๆ  ทำอะไรไม่เป็นซักอย่างเลขก็ไม่ได้ ฟิสิกส์ก็ไม่เอา ชีวะก็ไม่ท่อง อังกฤษก็ไม่ใช่ภาษาบ้านชั้น วันๆเอาแต่เรียนพละ ดนตรี พร้อมกับบอกว่า "จบไปหนูจะทำงานไม่ตรงสาย  หนูไม่ชอบที่เรียนมา ที่หนูแอดติด เพราะเห็นคณะนี้คะแนนถึง เลยติด"  เจ็บนะคะ ได้ฟังแล้วหดหู่ใจ  เด็กเดี๋ยวนี้เค้าไม่ได้เลือกเพราะใจรักแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : ~~ช้างน้อยร้อยโล~~ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:48:08

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะปกครองคนไทยไม่อยู่ครับ จากคุณ : finch เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 17:01:11