ความคิดเห็นที่ 1 ตอนนี้ก็มี "ง้วนดิน" นะ ตอนที่พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์อดอยากไม่มีอาหารบิณฑบาต พระโมคคัลลานะอาสาจะเอาง้วนดินขึ้นมาให้บริโภค แต่พระพุทธเจ้าไม่รับอาสา "......พื้นเบื้องล่างแห่งแผ่นดินผืนใหญ่นี้ สมบูรณ์ มีรสอันโอชา เหมือนน้ำผึ้งหวี่ที่ไม่มีตัวอ่อนฉะนั้น ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงพลิกแผ่นดิน ภิกษุทั้งหลายจักได้ฉันง้วนดิน พระพุทธเจ้าข้า" แสดงว่า จะกินง้วนดิืน ต้องพลิกแผ่นดินขึ้น จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:20:49

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นพวกดินโป่ง ฮิวมัซหรือครับ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:23:00

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเรียงตามลำดับ ก็มีชีวิตที่เรียกว่า พรหม มี "ปิติ" เป็นอาหาร หลังจากนั้น ก็มี "ง้วนดิน" เป็นอาหาร ต่อมาก็ใช้ "ระบิดิน" เป็นอาหาร หลังจากนั้น ก็ใช้ "เครือดิน" เป็นอาหาร เมื่อเครือดินหายไป จึงมี "ข้าวสาลี" เกิดเองเป็นข้าวสารและงอกสุกแทนที่ไม่มีหมด เมื่อข้าวสาลีหมดไปก็มีข้าวสาลีที่มีเปลือกเป็นอาหาร ดวงดาว  พระอาิทิตย์เกิดขึ้นเมื่อ พรหมกินง้วนดิน ทำให้รัศมีกายหายไป เมื่อดาวนักษัตรเกิดขึ้น ก็เกิดกลางคืนกลางวัน ฤดูกาล ฯ (พระไตรปิฎก เล่มที่ 11  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 31 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:30:17

ความคิดเห็นที่ 4 ในง้วนดิน ระบิดิน เครือดิน มีสารอาหารอะไรบ้างครับ เมื่อเทียบคุณค่าทางโภชนาการ กับรังนก ซุปไก่ กรดโปรตีนถั่ว น้ำมันตับปลา ถ้านำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สำหรับชาวพุทธคิดว่าผลตอบรับดีไม๊ครับ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:33:58

ความคิดเห็นที่ 5 ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง กระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส พอเป็นอาหาร แต่กินแล้วมีเนื้อหนัง เครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รส พอเป็นอาหาร ยิ่งกินยิ่งเนื้อหนังมาก ข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน กินแล้วแบ่งกันเป็นผู้หญิงผู้ชาย ข้าวสาลี เปลือกห่อหุ้ม ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน (รายละเอียดในอัคคัญญสูตร) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:36:43

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เล่ามานี่ มีบันทึกสืบทอดกันมานาน ใครอยากจะพิสูจน์ก็ลองดู แต่ว่าถ้าดูจากเรื่องของพระโมคคัลานะแล้วนะ ต้องมีความสามารถในการพลิกแผ่นดินได้ จึงจะเจอง้วนดิน ที่ถือกำเนิดขึ้นตอนต้น ๆ กำเนิดสุริยจักรวาล แล้วหลงเหลือถึงปัจจุบัน อิอิ รับรองไม่มีนักวิทยาศาสตร์หว้ากอคนไหนมีความสามารถหาง้วนดินได้แน่ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 54 22:46:05 จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:41:54

ความคิดเห็นที่ 7 ลักษณะน่าจะหมายถึง สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งนะ ต้นตระกูลธัญพืช เหล่าข้าวทั้งหลาย จากคุณ : ตักอิ่มๆ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:51:47

ความคิดเห็นที่ 8 "ง้วนดิน" อาจจะหมายถึงธาตุต่าง ๆ (ทางวิทยาศาสตร์) ที่เกิดขึ้นหลังจากโลกได้พินาศไปเป็นจุณมหาจุณ เรียกว่าสิ้นกัปล์ (เทียบได้กับดวงอาทิตย์ดับ) ในสภาวะสิ้นกัปล์ จิตของสัตว์ส่วนใหญ่จะไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "อาภัสราพรหม" มีปีติเป็นอาหารและมีแสงในตัวเอง แล้วอยู่ในลักษณะนั้นนานแสนนาน จนโลกวิวัฒน์ขึ้นใหม่มีแต่น้ำและความมืดจนเกิดง้วนดินลอยที่ผิวหน้า ง้วนดินก็ดึงดูดความสนใจของ "อาภัสราพรหมที่มีแต่จิต" ให้เข้ามาสัมผัสกับธาตุ แล้วเลยเกิดเป็นคนมีเนื้อมีหนังมีหญิงมีชาย จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:56:35

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าไปดูวิวัฒนาการของปฏิริยาชีวเคมี ตั้งแต่การเปลี่ยนพลังงานจากแสงไปเป็นพลังงานเคมีในอาหาร การแสวงหาตัวรับอิเลคตรอนตัวสุดท้ายจนปัจจุบันเป็นออกซิเจนสำหรับคน ทั้งง้วนดิน ระบิดิน เครือดิน ข้าวสาลี ข้าวสาลีมีเปลือก น่าจะเกี่ยวข้องกับระบบการได้มาของพลังงานเพื่อใช้สำหรับดำรงชีวิต (เรื่องเล่าสุดท้าย จบลงที่ข้าวสาลีมีเปลือกและรำหุ้มเมล็ด) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 23:03:40

ความคิดเห็นที่ 10 อันนี้ว่ากันตามตำราเลย (เราอ่านทั้งพระไตรปิฎก อัลกุรอ่าน ไบเบิ้ล ส่วนวิทยาศาสตร์ก็อ่านแบบงู ๆ ปลา ๆ) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 23:06:44

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีวัว ทำไมมีนม รสคล้ายนม แล้วพรหมมันมี test bud ด้วยหรือ? จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 23:24:45 A:58.9.213.6 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นตำนานเรื่องกำเนิดมนุษย์ครับ พรหมกินง้วนดิน คือเมื่อก่อน มนุษย์เราเป็นพรหม อาศัยอยู่ในอาภัสรพรหม มีกายทิพย์ไม่มีรูปร่างลอยไปลอยมา ภายหลังโลกก็บังเกิดขึ้น แต่ในตอนนั้นยังเป็นช่วงไฟบรรลัยกัลป์ร้อนอยู่ไม่มีใครสนใจ เมื่อโลกเย็นตัวลง ก็เกิดฝน ฝนจึงตกสู่พื้นดินเกิดเป็นกลิ่นไอดินขึ้น พรหมซึ่งมีกายทิพย์ไม่มีรูปร่าง ได้กลิ่นไอดินจึงเกิดความอยาก ลงมาจากชั้นอาภัสรพรหมเพื่อมากินง้วนดินไอดิน เมื่อกินไปแล้วจึงเกิดร่างกายขึ้นมา กลายเป็นมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ครับ สำหรับทฤษฎีสมคบคิด ก็ให้ตีความเอาเป็น พรหม = มนุษย์ต่างดาว ชั้นอาภัสรพรหม = ดาวดวงอื่น มิติอื่น ไฟบรรลัยกัลป์ = ช่วงกำเนิดโลกใหม่ๆ แล้วแต่จะจินตนาการครับ จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 23:54:43

ความคิดเห็นที่ 13 ง้วนดิน หมายถึงดินที่มีรสชาตดี อาจจะไม่ใช่ดินปกติแบบที่เรารู้จัก อาจจะหมายถึงแร่ธาตุบางอย่างที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและกองอยู่รวมๆกับดิน พรหมกินง้วนดิน ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแรกๆที่เกิดขึ้นมาหลังจากจักรวาลที่ถูกทำลายไปฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ (มาได้ไงหรือจะมาจากจักรวาลอื่น) ลักษณะคือมีร่างกายใสเรืองแสงหรือสะท้อนแสง ลอยไปมากลางอวกาศ แล้วยังไงไม่ทราบมาเจอโลกแล้วเลยลงมากินง้วนดิน แล้วร่างกายก็ค่อยๆเปลี่ยนมาเหมือนสิ่งมีชีวิตบนโลกและไม่ได้ลอยไปไหนอีก ฟังดูแล้วผมว่ามันไซไฟนิดๆนะ จะเอาความจริงเป๊ะๆคงลำบาก ลองคิดดูละกัน จะให้เป็นอะไรก็สุดแต่จะจินตนาการ จากคุณ : 2410 เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 00:29:00 A:124.121.236.13 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 14 ยากแท้ หยั่งถึง จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 02:04:17

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าพูดถึงว่าพรหม มีแรง มีจิตไม่มีรูป กำหนดให้เป็นวิญญาณหรือพลังงานที่หลงเหลือ ง้วนดินหมายถึงธาตุ น่าจะหมายถึงองค์ประกอบคาร์บอนชนิดหนึ่ง เพราะกินแล้วมีเนื้อหนัง ระบิดิน เครือ ดินน่าจะเป็นคาร์บอนที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้เป็นสิ่งมีชีิตที่ซับซ้อนขึ้น เช่นแบคทีเรีย พอแบคทีเรีย ไม่ได้กินธาตุ ตรงๆก็ไปกินอย่างอื่นแล้ววิวัฒนาการซับซ้อนขึ้นจนมีเพศ อันนี้มั่วล้วนๆ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 02:23:40

ความคิดเห็นที่ 16 ก๊าสมีเทนครับ จากคุณ : .. (harvardวิทยาคม) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 03:16:06

ความคิดเห็นที่ 17 Biofilm?? จากคุณ : Pomzazed เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 08:06:17

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนหลัง กลายมาเป็น ง้วนเชียง แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 54 08:51:24 จากคุณ : alexiz (alexiz) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 08:49:19

ความคิดเห็นที่ 19 อันว่า อจินไตย คิดไปก็ปวดหัว จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 10:43:36

ความคิดเห็นที่ 20 #18 อันนั้น ง่วนเชียง #19 ทุกเรื่องที่เราคิดไม่ถึง คิดไม่ออก ก็อจิตไตย สำหรับเราทั้งนั้น   เรื่องที่เขาว่าอจินไตยต่อไปอาจจะคิดออกหาคำตอบได้ก็เป็นได้หรืออย่างน้อยก็พอจะสัณนิษฐานอย่างมีเหตุผลได้ จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 10:47:18

ความคิดเห็นที่ 21 มันจะเหมือนเด็กชายปลาบู่ หรือเปล่าเล่าเรื่องก่อนตายแล้วคุนก็เชื่อๆ ตามกันมา จากคุณ : Pu121 เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 13:36:16

ความคิดเห็นที่ 22 *20 อจินไตย หมายถึง สิ่งที่ไม่ควรนำมาคิด ไม่ใช่สื่งที่เราคิดไม่ถึง หรือคิดไม่ออก อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่    พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย    ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน    กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม    โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก[1] ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น[2] จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 22:41:56

ความคิดเห็นที่ 23 ดีใจที่หลายคนพยายามหาคำอธิบายที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ โดยไม่แสดงอาการดูหมิ่นหลักคำสอน คำสอนของพุทธมีทั้งแบบ... 1. แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ได้ง่าย เช่นศีล 5, สติ, สมาธิ, อิทธิบาท 4, ทศพิศราชธรรม, กาลามสูตร 2. ตรงข้ามกับแบบแรก เช่น ฌาณ, อภิญญา, มรรค ผล นิพพาน, นรก สวรรค์ เทวดา โลก จักรวาล หากไม่เชื่อถือในเนื้อหาประเภทหลัง ก็อย่าเพิ่งเหมารวมว่าคำสอนทั้งหมดแย่-ใช้ไม่ได้ สำหรับผม เพียงแค่เนื้อหาแบบแรก ก็มีคุณประโยชน์อย่างเหลือคณานับ และควรค่าแก่ การเลื่อมใสศรัทธาแล้ว จากคุณ : นกแคปหมู เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 00:44:06

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบกระทู้ ขอเริ่มจาก เมื่อถึงโลกคราวสิ้นไป ได้เกิดมีดวงอาทิตย์ 7 ดวง(หรือใหญ่ 7 เท่า) ก่อให้เกิดไฟบัลลัยกัลป์ ทำลายตั้งแต่โลกมนุษย์เรื่อยไปจนถึงสวรรค์ชั้นพรหม 1 สัตว์ทั้งหลายพากันไปเกิดเป็นอาภัสราพรหม (อยู่ในชั้นพรหม 2) สัตว์เหล่านั้นมีกายเป็นทิพย์(กายละเอียด) มีปีติเป็นอาหาร มีแสงสว่างในตัวเอง เมื่อไฟบัลลัยกัลป์ดับลง บังเกิดมีฝน มีน้ำ มีมหาสมุทร และต่อมาเกิดมีง้วนดินขึ้นลอยอยู่บนน้ำ สัตว์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า "นี่จักเป็นอะไร" แล้วก็แตะง้วนดินมาใส่ปาก สัตว์ทั้งหลายเห็น ดังนั้นก็พากันกินง้วนดิน จนเกิดมีกายหยาบ....<ที่เหลือลองหาอ่านต่อเอง> แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 01:04:24 จากคุณ : นกแคปหมู เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 01:03:07

ความคิดเห็นที่ 25 ง้วนดิน... กินแล้วเปลี่ยนจากกายละเอียด.. เป็นกายหยาบ... จากคนไม่มีกิเลส.. กลายเป็นคนกิเลสหนา... มนุษย์สมัยนี้ กินดิน.. กินทราย.. กินอิฐ ... กินหิน... กินปูน.. กินเหล็ก..  กินรถไฟ...กินสนามบิน... กินทุกอย่างที่ขวางหน้า.. เพราะกิเลสมันหนา... ตามันมืดบอด... แถมหูหนวก... ใครเตือนก็ไม่ได้ยิน... จากคุณ : pakakaew เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 10:55:54