ความคิดเห็นที่ 1 ใน มุมมองของนักวิทยาศาสตร์เราคิดว่า ความเชื่อทาง ศ บางอย่าง  เป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง หรือเป็นเรื่องที่นำภยันตรายมาสู่คนเชื่อ  ทำไมความเชื่อนั้นยังคงอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ในธรรมชาติ  ลักษณะอะไรก็ตามในประชากรที่สิ้นเปลือง ซับซ้อนเกินเหตุ  และไม่ทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นอยู่รอดจนสืบพันธุ์มีลูกหลานได้มากกว่าเพื่อน  ก็จะถูกคัดทิ้งไปในกระบวนการที่เราเรียกกันว่าวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตาม ธรรมชาติ   นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งสองสมมติฐานเพื่ออธิบายว่าทำไมความเชื่อทาง ศ ถึงอยู่รอดในประชากรมนุษย์   1)      ความเชื่อทาง ศ เป็นการปรับตัวของมนุษย์ที่เกิดจากการวิวัฒนาการโดยตรง   2)      ความเชื่อทาง ศ เป็นผลพลอยได้ หรือผลข้างเคียง ที่เกิดจากลักษณะที่จำเป็นอื่นๆ  ที่เกิดระหว่างวิวัฒนาการของมนุษย์   เนื่องจาก กระทู้นี้เป็นกระทู้วิทยาศาสตร์ ซึ่งมีรากฐานเป็นปรัชญาธรรมชาติวิทยา  มิใช่เหนือธรรมชาติวิทยา เราจะไม่ใช้เหตุผลเหนือธรรมชาติ เช่นว่า  ความเชื่อทาง ศ จะทำให้ชีวิตหลังความตายดีขึ้น หรือความเชื่อทาง ศ  จะดลบันดาลให้เกิดสิ่งดีๆ ในอนาคตโดยมีนัยยะสำคัญ (ต่อให้จริง Correlation does not imply Causation การที่สองปัจจัยมีความสัมพันธ์ทางสถิติ  ไม่ได้หมายความว่าปัจจัยหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดอีกปัจจัยหนึ่ง) จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 04:55:58

ความคิดเห็นที่ 2 สมมติฐานแรก ความเชื่อทาง ศ เป็นลักษณะที่เกิดจากการปรับตัว (Adaptation) ซึ่งเป็นผลจากวิวัฒนาการของมนุษย์โดยตรง   ก่อนจะงงผมขอเล่าถึงลักษณะอื่นๆ ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ที่สิ้นเปลือง หรือนำอันตรายมาสู่ตัวสิ่งมีชีวิต แต่ก็ยังถูกคัดเลือกไว้   1)       Sexual selection เคยเห็นนกยูงตัวผู้ไหมครับ คุณคิดว่าเวลานกยูงรำแพนหาง  มันน่าจะล่อตาล่อใจสัตว์นักล่าหรือไม่ แล้วทำไมลักษณะนี้ยังอยู่  เพราะตัวเมียชอบไงครับ การมีคู่สืบลูกหลาน บางครั้งก็สำคัญเท่ากับ  หรือมากกว่าการมีชีวิตรอดเสียอีก สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่ดูสวยงาม  แต่ก็ประเจิดประเจ้อล่อนักล่า พวกนี้มักเป็นตัวผู้  และลักษณะดังกล่าวจำเป็นสำหรับการสืบพันธุ์ แต่ความเชื่อทาง ศ คงไม่ใช่  เพราะความเชื่อบางอย่างทำให้คนเชื่อหมดโอกาสสืบลูกหลานด้วยซ้ำ   2)       Kin selection  ถ้าคุณคิดว่าการเสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวมเป็นลักษณะพิเศษของ Homo sapiens  คุณคิดผิดครับ  ในสัตว์ที่อยู่เป็นกลุ่มสังคมก็มีพฤติกรรมที่เป็นการเสียสละตัวเองเพื่อส่วน รวมเหมือนกัน เช่น โขลงช้างจะมีหมอตำแยช้าง หรือช้างแม่รับ  ที่จะทำหน้าที่ช่วยคลอด และดูแลลูกช้าง ที่ไม่ใช่เลือดเนื้อของตัวเอง  แม้แต่สัตว์ที่ไม่ได้มีสมองพัฒนามากแบบแมลงกลุ่ม Hymenoptera เช่น  ผึ้งและมด สิ่งมีชีวิตพวกนี้อยู่เป็นกลุ่ม  สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มไม่ได้มีหน้าที่สืบพันธุ์  แต่ทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อบำรุงรักษากลุ่มของตน  แม้แต่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อรักษาส่วนรวม ทำไมลักษณะเหล่านี้ถึงอยู่รอด  (ดูคลิปประกอบ) เพราะในกลุ่มแชร์ข้อมูลพันธุกรรมร่วมกัน ถ้ากลุ่มรอด  ข้อมูลก็จะถูกส่งผ่าน รวมถึงลักษณะการเสียสละด้วย นี่คือ  Kin selection  แต่กลุ่มคนที่นับถือ ศ เดียวกัน ก็ไม่ได้แชร์ข้อมูลทางพันธุกรรมแบบเดียวกัน  ดังนั้นก็คงไม่ใช่ Kin selection  (ผมจะย้อนกลับมาเล่าเรื่องพฤติกรรมการเสียสละ  ในหัวข้อจริยธรรมเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมาก่อน ความเชื่อทาง ศ  แค่ให้คำอธิบาย ไม่ใช่บังคับให้เรามีจริยธรรม)   3)       Group selection อันนี้ต่างจาก Kin selection ตรงที่สมาชิกในกลุ่ม  ไม่จำเป็นต้องมีพันธุกรรมร่วมกัน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า Group  selection เกิด และมีสำคัญในขั้นตอนการวิวัฒนาการของมนุษย์  หนึ่งในผลลัพธ์ของ Group selection คือ ความเชื่อทาง ศ Group selection  มองกลุ่มของประชากรแทนที่สิ่งมีชีวิตแต่ละตัว  ประชากรที่มีลักษณะหนึ่งแล้วทำให้กลุ่มนั้นอยู่รอดได้ดีกว่า  แล้วขยายพันธุ์โดยการแตกเป็นกลุ่มย่อยไปเป็นอีกกลุ่มโดยที่ยังคงลักษณะนั้น ไว้ สมมติว่า ศ หนึ่งมีคำสอนให้เผ่าที่เชื่อพร้อมรบ พร้อมสละชีพเพื่อกลุ่ม  เผ่าที่นับถือ ศ นี้ย่อมขยายกลุ่ม และแตกกลุ่มใหม่ได้เก่งกว่า แม้แต่ ศ  ที่ไม่ได้สอนเรื่องความรุนแรง แต่ก็ยังมีคำสอนแนว พระเจ้า  หรือกฏที่มองไม่เห็นคอยสอดส่งดูแลคนไหนเผ่าไม่ให้กล้าทำผิด  ถ้าทำผิดก็จะโดนลงโทษไม่ภายในชีวิตนี้ ก็หลังความตาย ไม่ก็ชาติหน้า  ถือเป็นการลดทรัพยากรในการที่จะจ้างผู้รักษากฎหมายมาสอดส่องดูแลสมาชิกเผ่า ทุกฝีก้าว ทำให้กลุ่มประชากรมีขนาดใหญ่ได้  โดยใช้ทรัพยากรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในเผ่าน้อยกว่าเผ่าที่ไม่มีความ เชื่อทาง ศ แบบนี้ แต่ว่า Group selection ไม่ได้เป็นที่ยอมรับทั่วไป  เพราะเราไม่พบมันในสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์  และสำหรับในมนุษย์ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่นอนว่า Group selection  เป็นแรงขับดันทางวิวัฒนาการที่สำคัญพอ  เนื่องจากการแหกกฎมักจะได้ประโยชน์เหนือกว่าการรักษากฎ เช่น  ถ้าคุณเป็นทหารในเผ่าที่มีความเชื่อทาง ศ  ว่าการสละชีพในสนามรบเป็นสิ่งดีงาม แต่คุณกลับแหกกฎโดยซ่อนตัวในสนามรบ  แล้วรอดชีวิตกลับมา ขณะที่เพื่อนๆ คุณที่ตาย  อาจจะทำให้เผ่าคุณชนะเหนือเผ่าอื่น แต่เขาก็ไม่ได้ส่งลักษณะที่ความเชื่อทาง  ศ กำหนดไว้ให้ลูกหลาน ถ้ายีนที่ทำให้มีความเชื่อทาง ศ มีจริง  ในระยะยาวคนอย่างคุณกลับมีโอกาสสืบพันธุ์มีลูกหลานมากกว่าคนที่ศรัทธา ศ  อย่างสุดหัวใจ ก็มีแนวโน้มว่าเผ่าของคุณก็จะเสียยีน ศ ไป  อีกอย่างอัตราการเกิดของมนุษย์แต่ละรุ่นมันเร็วกว่า  การที่ประชากรจะแตกกลุ่มย่อย Group selection มันไม่น่าจะสำคัญกว่า  แรงขับทางวิวัฒนาการอื่นๆ   สรุป คือ แนวคิดที่ว่าความเชื่อทาง ศ เป็นการปรับตัวที่เกิดจากวิวัฒนาการโดยตรง  หรืออีกในหนึ่งเรามียีน หรือกลุ่มยีนที่ทำให้เรามีความเชื่อทาง ศ โดยตรง  เป็นคำอธิบายหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 04:58:00

ความคิดเห็นที่ 3 สมมติฐานที่สอง ความเชื่อทาง ศ เป็นผลข้างเคียง หรือผลพลอยได้จากวิวัฒนาการ (By-product)   ผลพลอยได้  หรือผลข้างเคียงคืออะไร คือเรามีลักษณะ หรือยีนกลุ่มหนึ่ง ที่จำเป็น  ที่เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ โดยลักษณะเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับ ศ  โดยตรง แต่ทำให้เรายอมรับความเชื่อทาง ศ ได้ง่ายๆ   ผมขอลองยกตัวอย่างผลพลอยได้ หรือผลข้างเคียงของวิวัฒนาการมาซักตัวอย่าง คือ  การเขียนหนังสือ  การเขียนหนังสือไม่ได้ทำให้มนุษย์อยู่รอดสืบลูกหลานได้ดีกวาปกติ  เรายังมีบางชนเผ่าที่ไม่มีภาษาเขียน แต่ก็ยังอยู่ได้ในโลก ณ ปัจจุบันนี้  เมื่อเราดูในพันธุกรรม เราก็ไม่ได้มียีน หรือกลุ่มยีนสำหรับเขียนหนังสือ  แต่ที่เราเขียนหนังสือได้ เพราะลักษณะๆ ต่างทำวิวัฒนาการในบรรพบุรุษของเรา  “เอื้ออำนวย” ให้เราเขียนหนังสือได้ เช่น   1)       เรามีนิ้วหัวแม่มือที่ห่อเข้ามาในฝ่ามือได้ (Opposable thumb)  ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้เราหยิบปากกา หรือดินสอขึ้นมาขีดเขียน  แต่เกิดในบรรพบุรุษโบราณที่เป็นต้นกำเนิดของลิงทั้งหมด  ที่ทำให้เรามีมือในลักษณะนี้เพื่อการหยิบจับได้คล่องแคล่ว  ซึ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องปีนป่าย หรือหยิบจับของ เพื่ออยู่รอด   2)       เรามีความสามารถทางภาษา แต่ตัวภาษาเองก็เป็น by-product อย่างหนึ่ง  เมื่อเราดูข้อมูลทางพันธุกรรมของเราเทียบกับชิมแปนซี  เราพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายยีน ที่สำคัญยีนหนึ่งคือ Foxp2  ซึ่งเป็น transcription factor หรืออธิบายเป็นภาษามนุษย์คือ  ยีนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่คอยเปิดปิดสวิทช์ยีนตัวอื่นๆ  ให้ทำงานถูกต้องตามกาละ และเทศะ แล้วบังเอิญเราพบว่า Foxp2  มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญในสัตว์ที่มีความสามารถในการเลียนเสียง  หรือใช้เสียงได้หลากหลาย เช่นพวก Songbird หรือใช้เสียงในการสัมผัส เช่น  ค้างคาว ในมนุษย์เองเราพบกลุ่มตัวอย่างที่มีการผ่าเหล่าในยีน Foxp2  แล้วทำให้เกิดลักษณะบกพร่องทางการใช้ภาษา   3)       เราสามารถโยงของสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันได้ เป็นความสามารถในการหา  และโยงรูปแบบ (Pattern seeking) ทำให้เราแทนคำพูด ด้วยตัวอักษรได้ (เรื่อง  Pattern seeking เองก็เกี่ยวกับ ศ ด้วย ผมจะกลับมาอภิปรายทีหลัง)   ถ้า ความเชื่อทาง ศ เป็นผลข้างเคียง หรือผลพลอยได้จากวิวัฒนาการของลักษณะอื่นๆ  ในมนุษย์ แล้วลักษณะพวกนั้นคืออะไร แล้วเรารู้ได้อย่างไร  ผมจะขอตอบว่าเรารู้ได้อย่างไรก่อน   1)       เราสามารถศึกษาลักษณะนั้นโดยตรง โดยใช้สถิติ และแยกเอาความเชื่อทาง ศ ออก  แล้วดูว่าคนเชื่อ และไม่เชื่อมีลักษณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร   2)      เราสามารถศึกษาเด็ก เพื่อหาลักษณะที่มีมาแต่เกิด หรือค่อยๆ พัฒนาหลังจากเกิด โดยไม่เกี่ยวกับการปลูกฝั่งจาก ศ.   3)       เราสามารถศึกษาลิงชนิดอื่น เพื่อดูว่ามีลักษณะอื่นๆ ที่น่าจะอำนวยให้เรามี  ศ หรือไม่ (ลิงคงไม่บูชาพระเจ้ามั้ง) ถ้าเราพบลักษณะดังกล่าวในลิง  แปลว่าลักษณะนั้นน่าจะกำเนิดขึ้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษร่วมของเรากับลิง จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:00:59

ความคิดเห็นที่ 4 ลักษณะแรก “เรามายกพวกตีกันดีกว่า”   ก่อนที่คุณจะไปยกพวกตีกับใครได้ คุณจะต้องทำอะไรบ้าง   1)       คุณต้องรู้ว่ากลุ่มของคุณเป็นใคร สัญลักษณ์แทนกลุ่มคืออะไร  คุณแน่ใจแค่ไหนว่าเมื่อยกพวกไป แล้วจะไม่ป้อด  ไม่แตกกระเจิงถ้าเกิดปัญหาเล็กน้อย   2)      คุณต้องรู้เป้าหมายว่าอีกกลุ่มเป็นใคร จะระบุตัวตนอย่างไร หรือใช้สัญลักษณ์อะไร   นั่น คือคุณต้องสามารถสร้างกลุ่ม  สร้างความร่วมมือร่วมใจที่มั่นคงและแข็งแรงในกลุ่มได้ แล้วลักษณะอะไร  หรือพฤติกรรมอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับการสร้างกลุ่มที่แข็งแรงพอ   ขออ้างอิงเปเปอร์นี้   http://journals.cambridge.org/action/displayAbstract?fromPage=online&aid=587688   1) การสังเกตชื่อเสียง   และชื่อเสีย(Reputation-monitoring)  ทำให้เรารู้ว่าสมาชิกในกลุ่มแต่ละคนเป็นอย่างไรจากพฤติกรรมที่เคยทำมาก่อน    และสามารถเดาได้ว่าในอนาคตถ้าเราเข้าไปยุ่งด้วยเขาจะแสดงพฤติกรรมอย่างไร    และรู้ด้วยว่าสถานะของตัวเองในกลุ่มเป็นเช่นไร เป็นหมาหัวเน่า    หรือเป็นบุคคลสำคัญของกลุ่ม เช่น นาย ก ใจนักเลง ชวนไปตีใครก็ไป  ไม่เคยกลัว   ห้ารุมหนึ่งก็เคยชนะมาแล้ว ส่วนนาย ข. กล้าแต่ปาก ชวนไปก็ไป  แต่พอจะตีกันจริงๆ   ก็หนีก่อนเพื่อ   2) การแสดงตัวว่าอุทิศตนเพื่อกลุ่ม   (Commitment signals) เช่น    การบังคับรับน้อง บังคับเชียร์ดึกดื่นๆ บังคับทำกิจกรรมห่ามๆ  หรือบังคับให้ไปตีอีกกลุ่มเพื่อพิสูจน์ความกล้า    นี่เป็นพฤติกรรมเพื่อแสดงว่าพร้อมเป็นสมาชิกที่มั่นคง  และซื่อสัตย์ต่อกลุ่ม   แม้จะต้องทำพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตราย  เสียไม่คุ้มได้ หรือไม่เป็นเหตุเป็นผล   ถ้าไม่ศรัทธาในกลุ่มจริงก็ทำไม่ได้  เป็นการแยกสมาชิกที่ไม่จริงใจ และจริงจังออกไปจากกลุ่ม   3)จิตวิทยาของกลุ่ม (Coalitional psychology) ทำให้รู้สึกถึงความเป็นกลุ่มของเรา   และกลุ่มที่ไม่กลุ่มของเรา    แม้ในกลุ่มของเราจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด (พวกข้า vs   พวกเอ็ง)  เช่น พวกข้าสถาบัน X   ต้องมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้    ถ้าใครมาทำร้ายคนของสถาบัน X เท่ากับทำร้ายสมาชิกทั้งหมด    เราจะยกพวกไปทวงแค้น  และเรามีสถาบัน Y   เป็นศัตรูคู่อาฆาต    เพราะมันมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเจอกันที่ไหน ต้องมีเสียเลือด   4)การเกื้อกูลกันในกลุ่ม   (In-group strong reciprocity) รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง    ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องกิจกรรม เพื่อนเดือดร้อนเราต้องช่วย  บุญคุณต้องทดแทน   แค้นต้องช่วยกันชำระ ลักษณะนี้ทำให้กลุ่มแข็งแรง  เป็นปึกแผ่น   5) การแสดงสัญลักษณ์ของพรรคพวก   และเผ่าพันธุ์ (Ethnic   signals)  เป็นการแสดงตัวว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มไหน   เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร  อยู่กลุ่มไหน ควรช่วยเหลือ หรือรุมตี เช่น เสื้อ Shop   แหวนรุ่น เข็มขัด  รอยสัก   6)Commitment    gadgets(อันนี้ไม่รู้ว่าจะแปลไทยอย่างไร) เช่น ดื่มน้ำสาบาน  กรีดเลือดร่วมสาบาน  บังคับให้ตัวเองต้องทำตามข้อตกลงของกลุ่ม    แม้จะอันตราย หรือได้ไม่คุ้มเสีย   7)ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี   (Moral feelings)  เป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมเสียสละ   อุทิศตนให้กลุ่ม   ลักษณะข้างบนเราพบในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อทาง ศ เลย เช่น    ตัวอย่างนักเรียนยกพวกตีกันที่ผมยกมา และทั้งในกลุ่มทาง ศ (ลองแปลงดูเอง)   ที่น่าสนใจคือลักษณะบางอย่างข้างบนนี้เราก็พบในลูกพี่ลูกน้องของเรา   เช่น  ชิมแปนซี ชิมแปนซีมีพฤติกรรมการเสียสละ และที่สำคัญมันยกพวกตีกันได้  (เออ....ฆ่ากันน่าจะตรงกว่า)    แสดงว่าลักษณะที่อำนวยต่อการร่วมมือร่วมใจในกลุ่มเกิดมานานแสนนานตั้งแต่ บรรพบุรุษร่วมของเรากับชิมแปนซี    ก่อนจะเกิดความเชื่อทาง ศ หลายล้านปี   คำเตือนคลิปประกอบอาจจะโหดเกินสำหรับคนใจไม่แข็ง จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:06:25

ความคิดเห็นที่ 5 ลักษณะที่สอง “หากฉันใช้สมองจดจำเรื่องราว ก็ยังพอจะลืมเธอได้  แต่ฉันใช้หัวใจ เก็บความทรงจำเรื่องของเรา .......”   ปรัชญา ที่เชื่อว่ามีกายเนื้อ แยกจิตหรือใจ หรือสมองกับจิตใจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราเรียกว่า Dualism เป็นปรัชญาที่มีอยู่ในทุกความเขื่อทาง ศ   บางคนก็เลยเชื่อว่าผู้นำทาง ศ เป็นผู้นั่งทางใน หรือติดต่อพระเจ้า จนได้รู้ความจริงว่ามีกายเนื้อ แยกกับจิต   แต่ แต่ และแต่ ผลการวิจัยในเด็ก ที่ยังไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องความเชื่อทาง  ศ แต่อย่างใด เราพบว่าเด็กทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมกับ Dualism  เปรียบเทียบคือความเชื่อว่ามีจิต แยกจากกายเนื้อ  เหมือนพฤติกรรมดูดนมของทารก  ที่ทารกปกติทุกคนทำได้อยู่แล้วตามสัญชาตญาณไม่ต้องสอน แต่ความเชื่อแบบ  Monism คือไม่มีจิตแยกจากกายเนื้อ หรือจิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสมอง  เป็นพฤติกรรมที่ฝืนสัญชาตญาณ  เปรียบเหมือนการเรียนกลศาสตร์ควอนตัมที่ฝืนสามัญสำนึกของเรา  และไม่ใช่ทุกคนจะเรียนรู้ได้   ขออ้างอิงเปเปอร์นี้   http://psycnet.apa.org/journals/dev/40/2/217/   ถ้าใครมีลูกเล็กๆ ที่พอพูดรู้เรื่อง และยังไม่ได้รับรู้ความเชื่อทาง ศ มากมาย จะลองทดลองตามก็ได้ครับ   “สมมติว่ามีหนูอยู่ตัวหนึ่ง วิ่งออกมาจากท่อระบายน้ำ เพื่อข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง แต่มันโชคร้ายโดนรถทับแบนแต๊ดแต๋ ลูกคิดว่า:   1)      อวัยวะต่างๆ ที่สำคัญคือสมองของหนูยังทำงานได้ไหม   2)      หนูยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่   3)      หนูยังอยากจะข้ามถนนหรือไม่   ฯลฯ   ผล การทดลองพบว่าในเด็กนั้น  เขารับรู้ว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วหยุดทำงาน แต่สัมผัส  ความรู้สึก ความคิดยังทำงานได้ เมื่อเอาผลไปเทียบกับผู้ใหญ่  เด็กจะมีความเป็น Dualist สูงกว่า   ความ เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายเป็น “สัญชาตญาณ” ที่เกิด  และพัฒนาพร้อมกับเราทุกคน เพียงแต่ความเชื่อทาง ศ  เป็นฝ่ายปลูกฝังรายละเอียดว่าตายไปแล้วจะไปนรก สวรรค์ หรือเกิดใหม่   แล้วความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายวิวัฒนาการมาได้อย่างไร สำคัญต่อการอยู่รอดของเราอย่างไร ขอให้ดูลักษณะต่อไป   คลิปประกอบ เผื่อสนใจการศึกษาเรื่อง Dualism/Monism แบบวิทยาศาสตร์ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:10:40

ความคิดเห็นที่ 6 ลักษณะที่สาม “เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปใส่ใจเชา”   ในสัตว์ที่อยู่รวมเป็นสังคม ต้องมีการสื่อสารกัน  ให้รู้ว่าสมาชิกแต่ละตัวมีสภาวะอย่างไร หรือรับรู้อะไรมา เช่น  มดก็อาจจะใช้สารเคมี โลมาอาจจะใช้เสียง สำหรับคนเราก็มีภาษา  แต่ลักษณะหนึ่งที่เพิ่มมาในมนุษย์  และชิมแปนซีคือเราสามารถคาดเดาสภาวะทางจิต  หรือข้อมูลที่อีกฝ่ายน่าจะรู้หรือไม่รู้   ลักษณะนี้จำเป็นในการประสานงานร่วมมือกัน  ลองจินตนาการว่าคุณกำลังออกล่า:-)ับเผ่าของคุณ คุณไล่ต้อนมันไปในถ้ำ  แต่ถ้ำทางแยกเป็นสามทาง คุณกับเพื่อนร่วมเผ่าอีกสองคนแยกกันไปสะกดรอย  คุณพบรอยเลือดของเสือในทางที่คุณไป เลยตัดสินใจกลับมารอคนที่เหลือ  ตอนนี้สมองคุณต้องประเมินได้ว่าเพื่อนคุณไม่ได้เห็นรอยเลือด ส่วนคุณเห็น  คุณต้องสามารถถ่ายทอดข้อมูลดังกล่าวให้คนที่เหลือในเผ่า  จะได้ไปล่าเสือถูกทาง   มี อีกลักษณะหนึ่งที่มนุษย์พิเศษกว่าชิมแปนซี  คือเราสามารถเอาตัวเองไปแทนคนอื่นขนาดที่คาดเดาข้อมูลที่คนอื่นรู้ ไม่รู้  และอาศัยข้อมูลที่เราคาดว่าคนอื่นมี เดาการตัดสินใจของเขาได้  ความสามารถนี้เป็นวงจรในสมอง ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ปลูกฝัง  แต่พัฒนาตามอายุสมอง เหมือนกับทักษะการเดิน ทักษะการเลียนเสียง  (ที่นำไปสู่การเรียนภาษา)   ถ้าใครมีลูกเล็กๆ ที่พอพูดรู้เรื่อง  อายุสักสามสี่ขวบ ลองทดลองตามได้   การทดลองนี้เรียกว่า False Belief Task  หรือ  Sally-Anne test   http://en.wikipedia.org/wiki/Sally-Anne_test   1)  เอาตุ๊กตามาวางหน้าลูกคุณสองตัว ตัวหนึ่งชื่อจุก อีกตัวชื่อแกละ  อุปกรณ์ที่เหลือคือกล่องดินสอ ลูกแก้ว  และขวดโหลทึบ(ไม่เอาแบบโปร่งแสงเห็นของข้างในได้)   2) ให้เจ้าจุกจับลูกแก้วใส่กล่องดินสอ แล้วเอาเจ้าจุกไปซ่อนไว้ แล้วบอกกับลูกของคุณว่าตอนนี้เจ้าจุกออกไปนอกห้อง   3) เสร็จแล้วเอาเจ้าแกละมาเปิดกล่องดินสอ  หยิบลูกแก้วเอาไปใส่ในขวด   4) เสร็จแล้วหยิบเจ้าจุกขึ้นมา ถามลูกของคุณว่า เจ้าจุกจะไปหาลูกแก้วที่ไหน   สำหรับ พวกเราคำถามนี้ง่ายมาก  เรารู้ว่าเจ้าจุกไม่รู้ว่าเจ้าแกละแกล้งเอาลูกแก้วไปซ่อนที่อื่น  เจ้าจุกก็ต้องมาหาลูกแก้วในที่สุดท้ายที่ซ่อนไว้ นั่นคือ "กล่องดินสอ"   แต่สำหรับเด็กสามสี่ขวบ สมองส่วนที่ทำหน้าที่คาดเดาการตัดสินใจของคนอื่นยังไม่พัฒนาพอ เขาจะตอบว่า "ขวดโหล"   ชิมแปนซี ก็ไม่ผ่านการทดลองนี้ และที่น่าสนใจ  ในคนที่เป็นออทิสติกก็ไม่ผ่านการทดลองนี้แม้จะมีอายุมากขึ้นแล้วก็ตาม  ในขณะที่คนปกติจะสามารถผ่านการทดลองนี้เมื่ออายุ 5-6 ขวบขึ้นไป  ที่สำคัญไม่ว่ายังไงคุณก็สอนให้เด็ก 3 ขวบ  หรือเด็กออทิสติกให้ผ่านการทดลองนี้ได้ครับ   แล้วลักษณะนี้เกี่ยวกับความเชื่อทาง ศ อย่างไร   เพราะ เราวิวัฒนาการจนสามารถคาดเดาความคิดคนอื่นซึ่งประโยชน์ในการอยู่เป็นสังคม   ผลข้างเคียงคือเราเอาความสามารถนี้ไปแทนคนที่ตายไปแล้ว  จึงเกิดเป็นสัญชาตญาณ Dualism ทำไมเมื่อเราคาดว่าคนที่มีชีวิตอยู่  แต่ไม่ได้อยู่กับเราตอนนี้รู้ และไม่รู้อะไรบ้าง และน่าจะตัดสินใจอย่างไร  (ถ้าไม่เข้าใจกลับขึ้นไปอ่านการทดลองเจ้าจุก เจ้าแกละข้างบน)  เราจะคาดเดาความคิด ความรู้สึกของคนที่ตายไป  และไม่มีวันกลับมาอยู่กับเราได้ และเมื่อเรามีปรัชญา Dualism ฝังหัวอยู่  ขั้นต่อไปก็ไม่ยากที่เราจะคิดแทน เพื่อนในจินตนาการ เทวดา นางฟ้า นางไม้  เจ้ากรรมนายเวร ไปจนถึงเทพเจ้า พระเจ้าได้   สรุป คือความเชื่อ ศ เป็นผลข้างเคียงของ Dualism ซึ่ง Dualism  เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากวิวัฒนาการที่ทำให้เราคาดเดาความคิด  และความรู้ของผู้อื่นได้อีกที   คลิปการทดลอง False Belief Task จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:15:04

ความคิดเห็นที่ 7 ลักษณะที่สี่ "นกวิวัฒนาการจนมีปีก เพราะบรรพบุรุษของมันอยากบินได้"   ผมเข้ามาเล่นพันทิปมานานเกือบสิบปีแล้ว  ตอนแรกที่เข้ามาก็เพื่อถกเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการโดยเฉพาะ ตอนนี้ก็ยังถกถ้ามีใครตั้งกระทู้   สิ่งหนึ่งที่ผมเจอเสมอไว้ว่าจะเป็นคนคริสต์คลั่งไบเบิล มุสลิมคลั่งอัลกรุอ่าน  พุทธคลั่งลัทธิที่ไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ  หรือแม้แต่คนที่เชื่อแต่ไม่เข้าใจทฤษฎีนี้  คือ "ลักษณะต่างๆ  ต้องมีจุดประสงค์ วิวัฒนาการต้องมีเป้าหมาย  มนุษย์เป็น Orgasm เอ้ย  จุดสุดยอดของวิวัฒนาการ"     มิจฉาทิฐิ ที่ว่า "ทุกสิ่งมีจุดประสงค์ มีเป้าหมายของมันเอง" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า  Teleological argument ทำให้คุณไม่เข้าใจวิวัฒนาการ  จนถึงขั้นต่อต้านไม่ยอมรับ และมิจฉาทิฐินี้ทำให้คุณรับความเชื่อทาง ศ  ได้ง่าย   เมื่อ เรามองเห็นปีกของนก วงจร Teleology ในสมองของเราก็ตีความไปเลยว่า  "ปีกมีเอาไว้" ถ้าเรารู้ทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างผิวเผิน  ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อนนกไม่มีปีก ตอนนี้นกมีปีก  วิธีตีความให้ง่ายที่สุดว่าอะไรทำให้นกมีปีก คือ จุดประสงค์ของปีกคือบิน  แปลว่านกมันต้อง "อยากบินได้" เลยวิวัฒนาการให้มีปีก  แล้วเมื่อกลับมามองตัวเราเอง ว่าบางครั้งรถติดจนเราอยากบินได้  เราก็ไม่เคยเห็นว่าปีกจะงอกเลย ทฤษฎีวิวัฒนาการเลยน่าจะผิด  ความเชื่อแบบพระเจ้าสร้าง (Creationism)  อธิบายเรื่องจุดประสงค์ของอวัยวะต่างๆ ชัดเจนกว่า จึงน่าเชื่อมากกว่า   แท้ที่จริงแล้วกลไกวิวัฒนาการไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีเป้าหมาย  เป็นเกมที่สุ่มจากการผ่าเหล่า แล้วคัดเลือกจากธรรมชาติ  ลักษณะอะไรที่อยู่รอดได้ดีสุด มีโอกาสสืบพันธุ์ดีสุดก็ถูกคัดเลือกไว้  นกไม่ได้วิวัฒนาการจนมีปีกเพราะอยากบินได้  แต่การวิวัฒนาการจนมีปีกเพิ่มการอยู่รอดของนกเท่านั้น   ผมเดาว่าชาวหว้ากอที่เป็นอาจารย์และต้องสอนทฤษฎีวิวัฒนาการ  ต้องมานั่งแก้มิจฉาทิฐินี้แทบทุกครั้ง  บางทีการสอนวิวัฒนาการ  อาจจะยากไม่น้อยกว่าการสอนกลศาสตร์ควอนตัม  เพราะทั้งสองวิชานี้ว่าด้วยสิ่งที่ขัดสามัญสำนึกของมนุษย์ เช่น  ในกลศาสตร์ควอนตัมมีช่องสองช่อง  แต่อิเลกตรอนอนุภาคเดียวผ่านทั้งสองช่องพร้อมกันได้  ทั้งที่ในชีวิตจริงเราโยนลูกบอลผ่านช่อง ต้องผ่านแค่ช่องใดช่องหนึ่ง  ไม่ใช่สองช่องพร้อมกัน   ทฤษฎี วิวัฒนาการไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดประสงต์ แต่ในชีวิตประจำวัน  เรามักอ้างอิงถึงของที่อยู่รอบตัวเราว่า "เอาไว้ทำอะไร" เช่น  ร่มมีไว้กันแดดกันฝน รองเท้ามีไว้ใส่เดิน ตามีเอาไว้มอง หูมีเอาไว้ฟัง ฯลฯ   นั่นเพราะเรามีวงจรนี้ Built-in ในสมอง   วงจร  Teleology ในสมองเราเป็นผลข้างเคียงจากวิวัฒนาการ เป็นวิธีที่ง่าย เร็ว  และสะดวกที่สุดที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเรา เช่น  เสือมีไว้ล่าสัตว์รวมทั้งมนุษย์ เมื่อเราเห็นเสือวงจร Teleolgy  ในสมองเราก็ลัดมาบอกว่า "เสือ = ล่าคน หนีทันที"   แทนที่จะใช้เวลาคิดโน่นนี่จนเสือเข้ามาประชิดตัว   วงจร Teleology ฝังแน่นมาก การศึกษา ปลูกฝังดีแค่ไหนก็กำจัดไม่ได้   อ้างอิง http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0010027709000146   ใคร มีลูกเล็กๆ (อีกแล้ว) ลองทดสอบลูกของคุณดู  เอาของที่ลูกของคุณไม่เคยเห็นมาให้ดู รับรองว่าลูกของคุณต้องถามว่า  "นี่อะไร เอาไว้ทำอะไร"   หรือลองถามว่าทำไมฝนถึงตก   หรือถามว่าทำไมหินบางก้อนถึงแหลม   แล้วดูซิว่าคำตอบจากลูกของคุณน่าประหลาดใจแค่ไหน   ทีนี้ เมื่อเราสังเกตสิ่งที่ใหญ่ขึ้น เช่น ชีวิตของเรา เมื่อเรามีวงจร Built-in  ในสมองให้ถามถึงจุดประสงค์ของสิ่งต่างๆ คำถามที่ว่า "เราเกิดมาทำไม"  "เราเกิดมาเพื่อบรรลุอะไร" "เราเกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร" จึงเกิดขึ้น  คำถามเหล่านี้นี่เองเปิดช่องให้ความเชื่อทาง ศ เข้ามาตอบ  เข้ามาเติมเต็มความสงสัยของเรา   มิวสิควีดิโอประกอบความเห็น :D จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:20:55

ความคิดเห็นที่ 8 ลักษณะที่ห้า "ถ้าข้าติดจุฬา ข้าจะแก้ผ้าวิ่งรอบสนามจุ๊บ"   มีคนบอกว่า "ศ เกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความทุกข์ และต้องการดับทุกข์นั้น"   เชื่อไหมครับว่างานวิจัยจากวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำอย่าง Science  ที่นักวิทยาศาสตร์แทบทุกคนฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ตีพิมพ์งานในวารสาร นี้ ได้สนับสนุนข้อความข้างต้น.......อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง   อ้างอิง http://www.sciencemag.org/content/322/5898/115.full   "Lacking Control Increases Illusory Pattern Perception"   การอยู่ในภาวะที่ควบคุมบังคับไม่ได้ ทำให้การเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริงเพิิ่มขึ้น   งานวิจัยนี้เริ่มสมมติฐานโดยการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ ตัวอย่างเช่น  คนเผ่าเดียวกัน แต่อยู่ในสภาวะการทำงานที่ต่างกัน เช่น  ประมงน้ำตื้นใกล้ฝั่ง ประมงน้ำลึกไกลฝังและอันตรายกว่า  เราพวกว่าคนที่อยู่ในภาวะคับขันมักจะมีพิธีความเชื่อที่ซับซ้อนกว่า  เช่น  คนทำประมงน้ำลึกต้องทำพิธีสังเวยโน่นนี่  เพื่อจะได้เป็นขวัญกำลังใจว่าสภาพอากาศ และคลื่นจะเป็นปกติ  จะจับปลาได้เยอะๆ   แล้วสภาวะเสี่ยงอันตราย สภาวะคับขัน ทำให้เกิดอะไรขึ้น   เมื่อเราอยู่ในสภาวะคับขัน สมองส่วน Amygdala  ที่ทำงานเกี่ยวกับความกลัวจะถูกกระตุ้น  เมื่อเรากลัวร่างกายก็จะตอบสนอง  เช่น หัวใจเต็นเร็วขึ้น ฮอร์โมนความเครียดหลั่ง  ทีนี้เพื่อจะทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติ เราต้อง   1) หนีออกไปจากภาวะขับขันนั้น   2) พยายามแก้ไขสถานการณ์คับขันนั้น (หรือหลอกตัวเองว่าแก้ไขสถานการณ์นั้นได้)   นี่เป็นวงจร Flight-or-fight หรือ หนีหรือสู้ ซึ่งเป็นวงจรดึกดำบรรพ์ที่พบในสัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์   งานวิจัยชิ้นศึกษา "Fight response" ในแง่ของการแก้ไขสถานการณ์ที่บังคับควบคุมไม่ได้ โดยหลอกตัวเองว่าบังคับควบคุมได้   ผมขอยกการทดลองหนึ่งในงานวิจัยมาแล้วกัน (ถ้าอยากทดลองตาม ไป Download เปเปอร์ และ Supplementary material มาลองทำตามก็ได้)   การทดลองแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นการทดลองเลือกรูปที่เข้าพวก เหมือนการทดสอบ IQ ทั่วไป แต่ทำให้ง่าย โดยมีสองตัวเลือก ประมาณสักสิบข้อ เช่น โจทย์เป็น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยน ตัวเลือกเป็นห้าเหลี่ยม กับวงกลม   คำตอบที่ถูกคือห้าเหลี่ยม (โจทย์เป็นกลุ่มของรูปเหลี่ยม) ส่วนที่สองคือให้ตีความรูปภาพเบลอๆ (ดูรูปประกอบข้างล่าง) ว่าเห็นเป็นอะไร ถ้ามองไม่ออกให้เขียนว่า "ไม่มี" ทีนี้แบ่งกลุ่มทดลองเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกการทดลองส่วนแรกไม่ระบุคะแนน บอกแค่ว่าเป็นการเก็บสถิติเท่านั้น การทดลองส่วนที่สองก็ไม่บอกคะแนนถูกผิด กลุ่มที่สองอำ เอ้ย ทดสอบในการทดลองแรก โดยให้คะแนนมั่วสุ่ม จากตัวอย่างโจทย์ข้างบน คุณอาจจะเลือกห้าเหลี่ยม แต่คำตอบเป็นผิด จุดประสงค์คือทำให้ผู้ถูกทดลองอยู่ในสภาพที่บังคับควบคุมไม่ได้ การตอบคำถามตามตรรกะ ตามการวิเคราะห์ของตัวเองเกิดไม่ถูกไปซะงั้น เมื่อจบการทดลองนี้ ก็เริ่มการทดลองมองรูปเบลอเหมือนกลุ่มแรกทุกประการ และไม่มีการบอกคะแนน ดูจากการทดลองแล้ว การทดลองส่วนแรกเป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการทดลองส่วนหลัง ดังนั้นไม่น่าจะส่งผลอะไรใช่ไหมครับ แต่จากผลการทดลอง แม้ว่าทั้งสองกลุ่มจะระบุรู้เบลอที่ซ่อนรูปจริงๆ ไว้ได้ถูกเกือบหมด ไม่มีนัยยะต่างกันทางสถิติ แต่ที่น่าประหลาดใจ กลุ่มที่สองกลับมองเห็นภาพในรูปเบลอที่ไม่ได้มีรูปอะไรซ่อนอยู่มากกว่า ผลการทดลองนี้ (และการทดลองอื่นที่ผมไม่ได้ยกมา) สนับสนุนว่าเมื่อเราอยู่ในภาวะที่บังคับควบคุมไม่ได้ ตรรกะการวิเคราะห์ที่มั่นใจว่าถูก กลับตาลปัตรว่าผิด ทำให้เรามองเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริงได้เพิ่มขึ้น เป็นการที่สมองเราพยายามหลอกตัวเองว่าควบคุมสถานการณ์ได้ เพื่อลดความเครียดจาก Flight-or-fight response ว่ากันมายืดยาว การเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริง เกี่ยวกับความเชื่อทาง ศ อย่างไร ก่อนอื่นขอแนะนำคำว่า Superstition (ความเชื่อโชคลาง/ความเชื่องมงาย) ก่อน นิยามของคำนี้คือ A belief that one event leads to the cause of another without any process in the physical world linking the two events. (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Superstition)   ความเชื่อว่าเหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งโดยที่ไม่มีกระบวนการใดที่เห็นได้ จับต้องได้ เชื่อมโยงระหว่างสองเหตุการณ์นั้น เช่น การบนว่าจะแก้ผ้าแล้ววิ่งรอบสนามจุ๊บ แล้วทำให้สอบติดจุฬา การมองเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริง เป็นลักษณะเบื้องต้นที่ทำให้เกิดความเชื่อโชคลาง หรือความเชื่องมงาย คือ คุณเริ่มเห็นรูปแบบว่าเหตุการณ์ ก. เกิดแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์ ข. ทั้งๆ ที่มันไม่มีความสัมพันธ์จริงๆ   ความเชื่อโชคลาง หรือความเชื่องมงาย กับความเชื่อทาง ศ ก็เหมือนกันตรงที่พยายามโยงสองเหตุการณ์ที่เราไม่เห็นเลยว่ามันจะเกี่ยวข้องกันยังไง ให้เป็นเรื่องเดียวกัน เช่น เกิดมาพิการแสดงว่าชาติก่อนทำกรรมไม่ดีไว้ การสวดอ้อนวอนพระเจ้าทำให้กิจการสำเร็จได้ดี การฆ่าคนเพื่อ ศ ทำให้ได้ขึ้นสวรรค์   ศ ต่างจากความเชื่อโชคลาง/งมงาย ตรงที่ว่า 1) ศ ให้เหตุผลที่ซับซ้อน แม้จะจับต้องไม่ได้ ว่าสองเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกัน (ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่นะ อย่าเพิ่งโวยวาย) เช่น กฏแห่งกรรมของพุทธที่วิจิตรพิศดาร หรือบาปกำเนิดและการตายเพื่อล้างบาปของพระเยซูของคริสต์ 2) ศ มีคนกลุ่มใหญ่เชื่อมากกว่าความเชื่องมงาย   3) คนที่ไม่เชื่อ ศ นั้น ก็ยอมรับถึงการมีอยู่ของ ศ นั้น ไม่ได้ต่อว่า ขัดขวางมากมาย (ถ้า ศ ถูกต่อต้านมากๆ จาก ศ ก็จะกลายเป็นลัทธิแทน) สรุป สภาวะคับขัน -> มองเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริงเพิ่มขึ้น -> เกิดความเชื่องมงาย หรือยอมรับความเชื่อทาง ศ ได้มากขึ้น -> เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกว่าสามารถควบคุมสถานการณ์คับขันนั้นได้ (แม้ไม่ได้ตอนนี้ ก็มีโลกหน้ารออยู่) ลองตอบดูซิว่าในรูปเหล่านี้ รูปไหนมีภาพซ่อนอยู่ รูปไหนไม่มี จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:36:18

ความคิดเห็นที่ 9 แถมหน่อย ถ้าไม่มี ศ เราจะไม่มีจริยธรรมจริงๆ เหรอ? 1) มีการทดลองให้คนที่นับถือ ศ และไม่นับถือ ศ ทั้งที่ผ่านการเลี้ยงดูแบบเคร่ง ศ หรือไม่ก็ตาม มาทำแบบทดสอบจริยธรรมที่ไม่อิงความเชื่อทาง ศ ใดๆ (ไม่มีคำถามเรื่องรักร่วมเพศ หรือทำแท้ง) ผลปรากฏว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ สรุป จะมี ศ หรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้จริยธรรมทั่วไปของแต่ละคนแตกต่างไปจากคนอื่น อ้างอิง http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1364661309002897   ลองทำข้อสอบได้ที่(ภาษาอังกฤษ) http://moral.wjh.harvard.edu/   2) เรามีสัญชาตญาณในการทำดี ความเชื่อทาง ศ แค่พยายามให้คำอธิบายสัญชาตญาณนั้น และพยายามกันบางคนที่ฝืนสัญชาตญาณและ/หรือมีวงจรสัญชาตญาณในสมองบกพร่อง เรื่องนี้เกี่ยวกับลักษณะ Dualism และ เอาใจเราไปใส่ใจเขา ในสมองเรามีวงจรที่เรียกว่าระบบประสาทกระจกเงา  หรือ Mirror neuron ระบบนี้มีความมหัศจรรย์ตรงที่เมื่อเราทำกิจกรรมบางอย่าง หรือดูคนอื่นทำกิจกรรมเดียวกัน Mirror Neuron จะทำงานเหมือนกันแทบทุกอย่าง ราวกับว่าเราทำกิจกรรมนั้นไปพร้อมๆ กับคนที่เราสังเกตอยู่   Mirror neuron เป็นลักษณะที่วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อช่วยในการเรียนรู้ เราสามารถมองคนอื่นทำอะไรบางอย่าง จดจำและทำพฤติกรรมเดียวกันได้ เช่น ดูวิธีการพับนกกระดาษ ดูวิธีการใช้อาวุธ ผลพลอยได้ ผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่ง คือเรารับอารมณ์ของคนที่เราสังเกตเข้ามาใน Mirror neuron ด้วย ถ้าคุณเห็นคนมีความทุกข์ เจ้า Mirror neuron ก็ทำงานตาม ทำให้คุณรู้สึกทุกข์ไปด้วย ที่น่าสนใจเด็กออทิสติกมี mirror neuron ที่บกพร่อง ทำให้การเรียนรู้ และทักษะทางสังคมบกพร่อง ส่วนผู้ป่วย Psychopath (พวกฆาตกรโรคจิต) มี Mirror neuron ปกติ แต่เวลาทำงานเกี่ยวกับการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่น ในคนธรรมดาจะโยงกับสมองส่วนรับรู้อารมณ์ แต่ใน Psychopath จะเป็นสมองส่วนเป้าหมายผลลัพธ์และความสนใจ (outcome monitoring and attention) แทน แปลว่าคนพวกนี้สามารถระบุได้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร กำลังมีอารมณ์แบบไหนอยู่ แต่ไม่สามารถรู้สึกร่วมได้เหมือนคนปกติ อ้างอิง http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0925492710000326 สารคดีเกี่ยวกับ Mirror Neuron จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:39:12

ความคิดเห็นที่ 10 3) ลักษณะเอาใจเราไปใส่ใจเขา จนต้องอยากทำดี วิวัฒนาการมานานแสนนาน ก่อนเกิดความเชื่อทาง ศ เสียอีก เราสังเกตลักษณะเสียสละ หรือลักษณะจริยธรรมเบื้องต้นในชิมแปนซี (ซึ่งไม่มี ศ แน่ๆ) และงานล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science http://www.sciencemag.org/content/334/6061/1427.full   แม้กระทั่งหนูก็มีพฤติกรรมเอาใจเขามาใส่ใจเรา แม้ผลสุดท้ายจะทำให้ตัวเองเสียทรัพยากรบางอย่างไป แต่มันก็ยอมช่วยเพื่อนที่ถูกขังอยู่ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:41:37

ความคิดเห็นที่ 11 สุดท้าย การบ้านฝากไว้ให้คิดหน่อย ทั้งความเชื่อทาง ศ และกฎหมาย ต่างสันนิษฐานว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมเจตจำนงอิสระที่จะเลือกเป็นคนดี หรือเลวก็ได้ เสมือนร่างกายรวมทั้งสมองเราเป็นรถคันหนึ่ง ที่มีอะไรสักอย่างเป็นผู้ใช้เจตจำนงอิสระเลือกที่จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินหน้าถอยหลัง กฎหมาย และกฎของสังคม วางบรรทัดฐานว่าคนที่เลือกทำเลว เมื่อถูกจับได้ จะโดนลงโทษอะไรบ้าง ทำให้สมาชิกในสังคมนั้นเกรงกลัวไม่กล้าทำผิด หรือทำผิดให้แนบเนียนจะได้ไม่ถูกจับได้ ศ วางเงื่อนไขว่า ต่อให้ทำชั่วแล้วไม่โดนจับ ไม่มีคนเห็น แต่จะมีอะไรรอเราอยู่บ้างในอนาคต หรือแม้แต่ในชีวิตหลังความตาย และทั้งกฎหมาย และ ศ เชื่อว่าเราสามารถทำให้คนชั่วเป็นเหมือนองคุลีมาลได้ หรือถ้าทำไม่ได้คนๆ นั้นก็ต้องยอมรับผลการลงโทษของพฤติกรรมที่ตน "เลือก" ที่จะทำชั่วเอง แต่ผลการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เรากลับพบว่ารถคันนี้ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติหลายอย่าง จนตอนนี้คนที่อยู่ข้างในจะพิการแบบ Stephen Hawking  ก็ยังขับรถคนนี้ได้ และในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่เราอาจจะพบว่าในรถคันนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนขับ ก็แล่นได้เอง เจตจำนงอิสระที่เกิดจากสติสัมปชัญญะจริงๆ (ไม่ใช่จิตใต้/ไร้สำนึก)อาจไม่มีอยู่จริง สมมติฐานคือ คนชั่ว (อาจจะไม่ทั้งหมด) เกิดและถูกเลี้ยงดูมาให้ชั่ว ไม่ได้ตั้งใจเป็นคนชั่ว วิธีการรักษาไม่ใช่พยายามบำบัดให้สำนึกและกลับตัวเป็นคนดี แต่ต้องไปซ่อมแซมสมองโดยตรง คุณคิดว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คุณจะยอมให้มีการสแกนสมองเด็กทุกคนว่ามีความผิดปกติ เพื่อที่จะได้ผ่าตัดซ่อมสมองบังคับให้เป็นคนดีหรือไม่ คุณคิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผิดจริยธรรมหรือไม่ ลองคิด และอภิปรายดู Clip อ้างอิง จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:49:01

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ และปีใหม่นี้ ขอให้คุณมีแรงบันดาลใจ และความกล้าหาญ ที่จะพัฒนาตัวคุณเอง คนรอบข้าง และสังคมให้มีสันติ และมีสุขครับ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 05:50:20

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านจบแบบผ่านๆ เดี๋ยวไว้เย็นๆ ค่อยมาแสดงความคิดเห็นครับ ตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลย ขอตัวไปนอนก่อน ... แต่เหมือนจะได้กลิ่นมาม่าโชยมาตุๆ จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 06:40:48

ความคิดเห็นที่ 14 - เพ้อเจ้อ - จับแพะชนแกะ - น้ำท่วมทุ่ง - กระทู้ผิดหมวดชัดเจน จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 07:17:11

ความคิดเห็นที่ 15 #1 ในบางยุค คนที่ไม่เชื่อใน ศ. น่าจะมีโอกาสรอดน้อยกว่า (ถูกคัดทิ้ง ไม่ใช่จากธรรมชาติแต่จากสังคม) จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 07:18:12

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณสำหรับกระทู้ความรู้ครับ อ่านเพลินดีมาก (ส่วนตัวชอบประเด็นพวกนี้อยู่แล้ว) ปล.เป็นอะไรของคุณครับ คุณแตง? จากคุณ : Alphanet เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:04:36

ความคิดเห็นที่ 17 แมคผมลงวินโดว์อะ -''- จากคุณ : nutxnut เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:05:56

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Mac และ OS-X แล้วทำไมต้อง ศ ในเมื่อระบุชื่อ อย่าง พุทธ คริสต์ อิสลามซะชัดเจนขนาดนั้น นี่คือการประชด ประชัน?? หรืออะไร จากคุณ : ม เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:18:57 A:124.120.246.230 X: TicketID:335114

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเชียร์คุณแตงกวา 100%   หลักๆเลยนะ 1. อะไรอะ !! 2. เอานู้นเอานี้มาจับรวมๆกันแล้วยำ เสร็จก็นำมาเผยแพร่ 3. ถ้าเป็นรายงานหน้าชั้น ผมให้2เต็ม10 (ที่ให้2เพราะสงสารว่าหาสาระมาขนาดนี้ แต่มันไม่เกี่ยวกันเลย) 4. ตรงประเด็นกระชับ ''เพ้อเจ้อ'' 5. ศ. < คืออะไร ? โปรเฟสเซอร์หรือเปล่า ? จนตอนนี้ก็ยัง งง นะ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:33:14

ความคิดเห็นที่ 20 ขอโทษครับ ผมโง่ ศ คืออะไรครับ จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:34:22

ความคิดเห็นที่ 21 มนูษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อใส่เสื้อ แต่เพราะมนุษย์เป็นคนตัดเสื้อต่างหาก มันถึงสวมได้พอดีตัวนัก งานนี้เห็นด้วยกับแตงกวาแฮะ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:38:21

ความคิดเห็นที่ 22 ศ. = ศาสนา กระทู้ผิดหมวด แต่พยายามจะดันทุรังเพื่อมาตั้งห้องหว้ากอให้ได้ โดยอ้างว่าเป็นกระทู้วิทยาศาสตร์ เลยพยายามลาก Mac/OS X มาเกี่ยว เพื่อให้มันดูใกล้ๆคำว่าเทคโนโลยีนะ ถูกห้องนะ ทั้งๆที่ กระทู้คอมพิวเตอร์ ก็ต้องไปห้อง tech สรุปว่ามันก็ผิดหมวดอยู่นั่นเอง ถ้าไปนำเสนอถูกห้อง อาจจะเป็นกระทู้สาระก็ได้ แต่เมื่อมาผิดห้อง ก็ต้องบอกว่า  นำเสนอได้เพ้อเจ้อมาก จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:43:20

ความคิดเห็นที่ 23 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11517387/X11517387.html แล้วกระทู้นี้ ทำไมถึง ไม่ผิดหมวด หรือ ไม่เพ้อเจ้อ หรือ ศาสนาพุทธในอุดมคติของสังคมไทย คือ พุทธแบบธรรมกาย เป็นไปได้หรือไม่ว่า ต่อไปในอนาคต ความเชื่อทางศาสนาพุทธในแบบ วัดธรรมกาย ก็เป็น พุทธนิกาย หรือ สายหนึ่ง ที่คนในรุ่นต่อๆไป ก็ต้องยอมรับไป หรือ ยอมรับได้ โดยดุษณี จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 08:50:53 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 24 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11517387/X11517387.html ชีวิตจริงของใครบางคน บางที อาจจะ "เพ้อเจ้อ" กว่าในเวบบอร์ดเสียอีก จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:02:57 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 25 http://www.oknation.net/blog/rivermoon/2010/08/11/entry-1 ตัวอย่าง ความเพ้อเจ้อ ที่เป็น รูปธรรม จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:03:50 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 26 คหสต. ที่จริงไม่ต้องอ้าง MAC OS กระทู้นี้ก็เป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว เพราะหลักๆ จะเป็นเรื่อง Neuroscience ไม่ใช่กระทู้ศาสนาหรอกครับ จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:09:57

ความคิดเห็นที่ 27 23 เป็นร่างอวคารของ จขกท ปะเนี่ย คือต้องกล่าวว่า บางครั้ง WM ก็ไม่สามารถดูแลบอร์ดได้ทั้งหมด ว่าบอร์ดไหนมีสาระ บอร์ดไหนไร้สาระ แต่เราเป็นคนเล่นบอร์ดควรมีจิตสำนึก ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ แม้จะมีบางหลักธรรมตรงกัน แต่100ทั้ง100 มันแตกต่างกันชัดเจน ! วิทยาศาสตร์มีหลายคำตอบ หาคำตอบจากการทดลอง ศาสนามีเพียงคำตอบเดียว คำตอบนั้นมาจากศาสดาหรือผู้นำศาสนา ก็เหมือนสังคมประชาธิปไตยกับเผด็จการ คงรู้นะว่าอันไหนเผด็จการอันไหนประชาธิปไตย การที่คุณมาเล่นในหว้ากอ ควรมีจิตสำนึกนิดนึงว่า วิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี อ่านภาษาไทยออกมั้ยครับ และไอคำว่าดุษณีอะ ... ศัพท์มันสูงไปไม่ควรนำมาใช้ ผมก็ยอมรับนะว่าไม่รู้ความหมายของมัน แต่คิดว่าประโยตของคุณมันเป็นภาษาพื้้นๆ อยู่ๆคุณไปเอาภาษาสูงมาต่อท้าย นี่ก็แสดงถึงความไม่รอบคอบในการส่งสาร หรือเรียบเรียงสารให้นำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:12:10

ความคิดเห็นที่ 28 เขากล่าวถึง ศาสนา ที่เชื่อมโยงกับระบบสมอง พฤติกรรมรวมกลุ่ม โครงสร้างทางความคิด มันก็วิทยาศาสตร์นะ   ไม่เห็นจะผิดกลุ่มตรงไหน   ผิดกลุ่มที่พูดถึงคำว่าศาสนาเหรอ   ตลกอะ วิทยาศาสตร์มันอยู่ในทุกอย่างอะ    ถ้าเอาวิทยาศาสตร์ไปอธิบายเรื่อง กีฬา ก็ผิดกลุ่มงั้นสิ จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:12:57

ความคิดเห็นที่ 29 เลิกบ้าผิดกลุ่มไม่ผิดกลุ่มกันเถอะ  ขอร้อง ทำยังกะว่าคุมกฏเวบบอร์ดได้  แล้วจะมีใครมาแจกโล่สมนาคุณให้งั้นแหละ เหมือนโฆษณานึง  สมัยพรรค ทรท ที่เด็กลงโปรมแกรมหุ่นยนต์อยู่  แล้วมีครูมาเห็น   ครูทำทางสนใจ แต่แล้วครูก็เดินเข้ามา  จับเด็กไปลงโทษเพราะผมยาวผิดระเบียบ คนแบบครูคนนี้ มักจะได้ยอมรับและชื่นชมในสังคมไทย ส่วนเด็กที่ลงโปรแกรมหุ่นยนต์  คนไทยก็มักจะไม่สนใจว่าหุ่นยนต์นั้นทำงานได้อย่างไร  และต้องใช้ความรู้ด้านใดในการทำงานบ้าง คนไทยจะจดจำเด็กคนนั้นได้แค่ว่า  เขาเป็นคนผมยาวผิดระเบียบ  และต้องลงโทษให้อับอาย  เช่น  เอายางมามัดเป็นกระจุกให้ดูเหมือนคนปัญญาอ่อน  หรือ  กร้อนผมให้แหว่งเหมือนเป็นสังคตัง   ยังไม่พอ  ให้ไปยืนหน้าอาคารเรียน แล้วเรียกให้เพื่อนนักเรียนทั้งตึกมาดู (ผมเคยโดนมาเองครับ) นี่แหละครับ  สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าความดีของสังคมไทย แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 09:32:24 จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:18:06

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย... เป้าหมายของศาสนาไม่ใช่จริยธรรมหรอกนะคับ เป้าหมายของศาสนาคือความรอด ในความเชื่อหลักของคริสต์พระเยซูกล่าวไว้ชัดเจนว่า "จงเชื่อ เชื่อเท่านั้นแล้วจะรอด"... ไม่เห็นพระเยซูพูดถึงศีลธรรมจริยธรรมตรงไหน ส่วนความเชื่อหลักของพุทธก็คือการดับทุกข์ ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับศีลธรรมจริยธรรมเลย แต่อิสลามนี่ผมยังไม่เข้าใจว่าความเชื่ออิสลามมีเป้าหมายคืออะไรกันแน่ ขึ้นสวรรค์มั้ง? ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมจริยธรรมอะไรอีกเหมือนกัน ดังนั้นถ้าคิดว่ามนุษย์จะต้องนับถือศาสนาเพื่อให้เกิดจริยธรรมล่ะก็คิดซะใหม่... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:19:58 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 31 ^ #29 ก่อนที่ครูคนนั้นจะทำอย่างนั้นได้ครูคนนั้นจะต้องไม่มีศาสนาก่อนหรือป่าวคับ???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:22:44 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 32 # ไข่อุง ตอนนั้นนายก็โพสผิดกลุ่มนิหน่า คุยเรื่องสีลม แต่มาโพสในหว้ากอเหมือนกันนิหน่า อิอิ . . . . เค้าหยอกนิด หยอกหน่อย อย่าโกรธนะ (อาจจะไม่รู้กาลเทศะไปบ้าง) จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:24:59

ความคิดเห็นที่ 33 ผมอ่านจาก คู่สร้างคู่สม    จากการเก็บสถิติ  คนส่วนใหญ่ในโลกไม่นับถือศาสนาใด ๆ ครับ   โลกก็ไม่ได้ล่มสลายอะไร   ผมไม่เคยเห็นคนไม่มีศาสนาหาเรื่องมาฆ่ากัน   ดังนั้นอย่าไปตีโพยตีพายทำเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันนักเลยครับ   ศ.  มีไว้ศึกษาครับ    เมื่อเข้าใจแล้วก็ใช้ชีวิตในแบบตัวเอง  อย่าให้อะไรมาครอบงำจนสูญเสียความเป็นตัวเองไปครับ จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:26:25

ความคิดเห็นที่ 34 คุณไข่อุง วันนี้โทรจิตคุยกับหมารึยังครับ จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:29:06

ความคิดเห็นที่ 35 การพิสูจน์สมมติฐานว่าเครื่อง Mac ถูกสร้างมาให้รองรับ OS X  เป็นเรื่องง่ายครับ เพราะเรามีหลักฐานมากมาย เช่น  เครื่องถูกผลิตโดยการควบคุมของบริษัท Apple ซึ่งก็ผลิต OS X  หรือเวลาไปซื้อเครื่อง Mac คุณก็พบว่าทุกเครื่องมี  OS X ลงไว้อยู่แล้ว  หรือถ้าคุณพยายามเอา OS X ไปลงเครื่อง PC จะต้องมีการ Hack  ขนานใหญ่จนเป็นเครื่อง Hackintosh ถึงจะใช้ได้   อ่านแค่นี้ก็เลิกอ่านแล้วคับ   มันบอกได้ว่า จขกท. เป็นยังไง จากคุณ : apadechi เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:37:22

ความคิดเห็นที่ 36 # 33 แล้วเผ่าที่กินคนอะ เขานับถือผีสาง แต่ทำไมฆ่ากันกินกันเพื่อเป็นอาหาร การฆ่ากันมันไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาหรอก เพราะไม่มีศาสนาไหนสั่งสอนให้ฆ่ากัน แต่มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนมากกว่า รู้ผิดชอบชั่วดี ในจำนวน 100 คนจะมีคนสักกี่คนที่สามารถฆ่าคนได้จริงๆ ปล. คุณโผเล่นแรงไปหน่อยนะ อิอิ เอาเรื่องเก่าๆมาพูด เดี๋ยวจะโดนด่าเอานะครับ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:39:41

ความคิดเห็นที่ 37  มาม่า อร่อย  จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:57:08

ความคิดเห็นที่ 38 ความเห็น 27 ไม่รู้ความหมาย ของคำว่า ดุษณี ก็ลองกลับไปถาม ครูภาษาไทย ดูสิครับ ว่าเคยสอนมาบ้างหรือเปล่า หรือ ถ้าไม่เคยสอน หรือ สอนแล้ว จำไม่ได้ ก็เสิร์ช หาเอาสิครับ หากไม่เข้าใจ แล้วปล่อยไว้อย่างเดิม เมื่อไหร่ จะเข้าใจ ล่ะครับ จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 09:59:06 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 39 โหวตให้กับความพยายาม จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:03:56

ความคิดเห็นที่ 40 ดุษณี ดุษณี, ดุษณีภาพ ความหมาย [ดุดสะนี-] น. อาการนิ่งซึ่งแสดงถึงการยอมรับ. (ส. ตุษฺณีมฺ; ป. ตุณฺหื). จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:04:05

ความคิดเห็นที่ 41 #30 คือผมนับถือพุทธผมยังเข้าใจเลยว่าพุทธต้องการดับทุกข์ ดับความต้องการ แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่เลยครับที่เชื่อว่าคนที่นับถือศาสนาแล้วมีคุณค่าทางจริยธรรมสูงกว่าไม่นับถือ ดังนั้นก็ imply ได้ว่าคนกลุ่มเดียวกันนี้มองว่าศาสนาจะทำให้เกิดจริยธรรม ส่วนตัวผมชอบความรู้ใน คห. 7 มากครับ ผมเชื่อเหมือนกันว่าธรรมชาติไม่เคยสนใจเจตจำนงค์ของมนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่กี่พันล้านคนหรอก เจตจำนงค์ไม่มีค่าอะไร มีแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้นที่มีคุณค่า จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:05:45

ความคิดเห็นที่ 42 ตรรกกะในการตีความของบางคนยังตีไม่เเตก เเล้วยังมีหน้ามาวิจารณ์ น่าสมเพชที่สุดครับ จากคุณ : 9r เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:07:23 A:124.122.205.193 X: TicketID:241810

ความคิดเห็นที่ 43 เกี่ยวไร วะ  แมร่งมั่วฉิบ จากคุณ : mootomoosun เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:08:18

ความคิดเห็นที่ 44 " คุณจะยอมให้มีการสแกนสมองเด็กทุกคนว่ามีความผิดปกติ เพื่อที่จะได้ผ่าตัดซ่อมสมองบังคับให้เป็นคนดีหรือไม่ คุณคิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผิดจริยธรรมหรือไม่" ผมคิดว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีทั้งหมด มันไม่หลากหลาย น่าเบื่อ ปล.แต่ในอนาคต Transhumanism คงเป็นประเด็นให้พวกคลั่ง ศ. โจมตีต่อจากทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นแน่แท้ #41 คิดเหมือนกันครับ....มนุษย์เป็นแค่แบททีเรียบนผิวโลก (หรือไวรัสดี?) ทำไมชอบมองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ สำคัญ เลอค่า สูงกว่าสัตว์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเลือก พระเจ้าเมตตา ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 10:15:19 จากคุณ : Alphanet เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:11:13

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าใช้คำว่า "ศาสนา" ก็จะมองเห็นแค่ "พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ชินโต" และอื่นๆ เท่านั้น เพราะไม่มีใครพูดว่า "ศาสนาวิทยาศาสตร์" หรือ "ศาสนาเงิน" คนที่บูชา "วิทยาศาสตร์" และ "เงิน" จึงคิดว่าตัวเองไม่ใช่ศาสนา และค่อนขอดว่าศาสนาเป็นสิ่งไม่จำเป็น และถ่วงความเจริญ มีอะไรหลายๆ อย่างที่ "ศาสนาวิทยาศาสตร์" เชื่อ แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักการของวิทยาศาสตร์เอง แต่อาศัยโฆษนาชวนเชื่อว่า "เป็นไปได้ และกำลังพิสูจน์" ทำให้ตีตัวออกจากศาสนาอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ดิสเครดิตคนอื่นโดยการบอกว่า "ศาสนา(อื่นๆ) ไม่ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์" ........ ทำนองเดียวกัน ถ้าคริสเตียนบอกฮินดูว่า ศาสนาของคุณไม่ตรงกับหลักการของคริสต์ ดังนั้น ศาสนาของคุณจึงเป็นเรื่องไร้สาระ คำพูดนี้ไม่เมคเซ้นส์เลยครับ และแนวความคิดที่ว่า "ถึงโลกนี้จะไม่มีศาสนา ก็ยังจะดำเนินต่อไปได้ ไม่มีผลทางจริยธรรม" ถ้าแปลดีๆ คือ "คนทั้งโลกนับถือศาสนาอื่นเลย (มีอยู่เพียงศาสนาเดียว) โลกก็จะดำเนินต่อไปได้" ..... ไม่ต้องวิทยาศาตร์ก็ได้ ถ้าคนทั้งโลกนับถือผีทั้งหมด โลกของเขา ณ ตรงนั้น ก็น่าอยู่ครับ วิทยาศาสตร์มีไว้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปของจักรวาล และหาคำตอบสิ่งที่มนุษย์สงสัย แต่จงอย่าศรัทธาในวิทยาศาสตร์จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง  และถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 10:12:57 จากคุณ : เมฆหมอกยามเช้า เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:12:05

ความคิดเห็นที่ 46 ติดไว้ก่อน ขออ่านให้ละเอียดอีกรอบสองรอบ หมายเหตุ ผมว่ามันออกจะวิทยาศาสตร์นะ ยกเว้นคนอ่านจะอคติไปซะเอง แถมมีตรรกวิบัติแบบโจมตีบุคคลอีก น่าเบื่อชะมัด แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 10:12:51 จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:12:18

ความคิดเห็นที่ 47 ...แล้วผมต้องบอกคุณด้วยเหรอว่า '' ผมเอาคำไปเสิร์ชใน Google แล้ว '' คือสำหรับผมผมคิดว่าคำนี้มันไม่ค่อยปรากฏในคำพูดประจำวันเราเท่าไร มันมีค่าเท่ากับ ยอมรับโดยดุษณี = ยอมรับโดยทั่วกัน โดยทั่วไป  < หรือเปล่าครับ เผอิญผมไม่ค่อยคุ้นคำนี้ แต่อย่างไรเสียผมว่ามันก็ไม่เหมาะอะ เราเอาคำที่พูดในชีวิตเพราะจำวันอยู่ๆไปเอาศัพท์สูงมาใช้ (ถึงจะไปสูงขนาดศัพท์กวี แต่ก็ไม่ควรอะ) .... เอิ่ม....เลิกเถียงเรื่องภาษาดีกว่า เพราะนี่ไม่ใช่ห้องสมุด และผมถามหน่อย จขกท จะมีกี่ล็อกอินมามาตอบเนี่ย .... คือสังเกตจากชื่ออะ เหมือนพิมพ์ๆสง่เดชไป ชื่อเช่อไม่สนใจ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:15:20

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าคำว่า ดุษณี เป็นศัพท์สูง คำบาลี หรือ คำทางศาสนา คุณจะมีปัญญา หาความหมาย หรือ ตีความหรือครับ แล้วบทความทางวิทยาศาสตร์ หรือ ข้อเขียนที่แฝง สัญญลักษณ์ต่างๆ คุณจะอ่านเข้าใจได้ จริงๆน่ะหรือ ถ้าท่าน รับสารด้วยความรอบคอบ ท่านก็ต้องรู้แล้วว่า บัตรผ่านใบนี้ ไม่เกี่ยวกับ จขกท ทั้งรูปแบบ และ เนื้อหา ส่วนจะใช้ ชือว่าอะไร ตรงนั้น ไม่ใช่ สาระ (ศํพท์สูงไป หรือเปล่า) อะรไครับ : ) จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:21:23 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 49 ไม่เกี่ยวมั่งดีกว่า  จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:23:55

ความคิดเห็นที่ 50 อ่าๆเอิ่มๆ ครับๆ ดุษณีเป็นคำที่พบได้ในชีวิตประจำวันทั้วไป หรืออาจจะพบได้ตามสื่อโฆษณาต่างๆ .... ขอโทษทีครับ ที่ไม่ได้ศึกษาภาษามาก่อนพิมพ์ เข้าเรื่องดีกว่า อย่าเถียงเรื่องภาษาเลย ไม่ใช่ห้องสมุด เมื่อถึงที่ว่า  เผ่ากินคนก็สามารถฆ่าคนได้ จขกท ทำไม จขกท ถึงบอกว่าคนไม่มีศาสนาไม่สามารถฆ่าคนได้ ?? (เผ่ากินคนนับถือผีสาง เทวดา) จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:24:34

ความคิดเห็นที่ 51 คนที่ว่า เพ้อเจ้อ เนี่ย รบกวนอธิบายต่อด้วยครับ ถ้าไม่อธิบาย ผมก็จะถือว่าคุณ มั่ว นะ มีห้ามใช้ศัพท์สูงด้วย 55+ .... สูงตรงไหนฟะ ปล. ยังอ่านไม่ละเอียด ยังไม่ comment จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:26:31

ความคิดเห็นที่ 52 การที่ จขกท เขียนบทความ หรือ ลงบทความนี้ เป็น ความเชื่อ หรือ ความเห็นส่วนตัว ที่สรุปมาจาก การทดลอง และ สมมติฐาน ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่จำเป็น จะเป็น จะต้องถูกต้อง หรือ เป็นคำตอบสุดท้าย คำว่า ลง OSx ในความหมายนี้ คือ คนทุกคนเกิดมา ก็ถูกระบุศาสนา ตั้งแต่ ยังไม่รู้ความ ยังไม่รู้จักศาสนา โดยบุคคลอื่น ให้แล้ว ถ้าใครสักคน จะเปลี่ยนศาสนา มักจะเป็นเรื่องที่เกิดในภายหลัง และต้องเป็นเรื่อง ใหญ่ สำหรับ คน และอาจรวมถึง ครอบครัว หรือ สังคม ที่เขาอยู่ด้วยเลยทีเดียว (ในบางศาสนา) เอาแค่นี้ละกันครับ ใครอ่านหนังสือเยอะๆ ดูภาพยนตร์ ที่ใช้สัญลักษณ์มากๆ น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ถ้า ไม่เข้าใจ แล้วเชื่อว่า ตีความเนื้อหาในคัมภร์ ทางศาสนา ได้ง่ายกว่า หรือ ถูกต้องเสมอ อันนั้น จะยิ่งไม่ เพ้อเจ้อ ไปยิ่งกว่านี้ หรอกหรือครับ ขอเทียบเคียง เอาไว้เท่านี้ ละกันครับ จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:26:35 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 53 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation) Maslow เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นจำนวนมากสามารถอธิบายโดยใช้แนวโน้มของบุคคลในการค้นหาเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตของเขาได้รับความต้องการ ความปรารถนา และได้รับสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง เป็นความจริงที่จะกล่าวว่ากระบวนการของแรงจูงใจเป็นหัวใจของทฤษฎีบุคลิกภาพของ Maslow โดยเขาเชื่อว่ามนุษย์เป็น “สัตว์ที่มีความต้องการ” (wanting animal) และเป็นการยากที่มนุษย์จะไปถึงขั้นของความพึงพอใจอย่างสมบูรณ์ ในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow เมื่อบุคคลปรารถนาที่จะได้รับความพึงพอใจและเมื่อบุคคลได้รับความพึงพอใจในสิ่งหนึ่งแล้วก็จะยังคงเรียกร้องความพึงพอใจสิ่งอื่นๆ ต่อไป ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความต้องการจะได้รับสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ Maslow กล่าวว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้นติดตัวมาแต่กำเนิดและความปรารถนาเหล่านี้จะเรียงลำดับขั้นของความปรารถนา ตั้งแต่ขั้นแรกไปสู่ความปรารถนาขั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับ ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ( The Need –Hierarchy Conception of Human Motivation ) Maslow เรียงลำดับความต้องการของมนุษย์จากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อไปไว้เป็นลำดับดังนี้ 1. ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs ) 2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs ) 3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs ) 4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs ) 5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ( Self-actualization needs ) ลำดับขั้นความต้องการของมาสโล มีการเรียงลำดับขั้นความต้องการที่อยู่ในขั้นต่ำสุด ศาสนาพุทธย่อลงมาแค่ สมุทัย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:29:01

ความคิดเห็นที่ 54 ไม่รู้ิสิครับ ที่ผมคิดว่ามัน ''เพ้อเจ้อ'' เพราะเหมือนกับการทำรายงานชิ้นหนึ่ง มีการรวบรวมข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมารวมๆกัน  หลายแขนง แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นรูปเป็นร่าง โดยที่เนื้อความนั้นไม่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้จะพยายามทำให้มันสอดคล้องนะ แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่อะ มันใส่คำเชื่อมลงไปเพื่อให้มันสอดคล้อง โดยที่ข้อมูลไม่ได้สอดคล้องอะไรกันเลย เหมือนรายงานหน้าชั้น ที่เอาข้อมูลมารวมๆกัน แล้วพูดออกมาทั้งหมดพร้อมกัน โดยไม่คำนึงเลยว่าสิ่งที่นำมาถูกต้องหรือไม่ รอคนที่บอกว่า ''เพ้อเจ้อ''  เหมือนผมออกมาพูดบ้างละกัน จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:33:14

ความคิดเห็นที่ 55 พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์ ชนเผ่า ขงจื๊อ ชินโต สัญชัยปริพาชก ถ้าตัดคำว่าศาสนาออกไป ก็คือ กลุ่มคนที่มีความเชื่อคล้ายๆกัน ใช้องค์ความรู้ในการดำเนินชีวิตคล้ายๆกัน มีผู้นำทางความคิด ที่ผ่านกระบวนการคิดวิเคาะห์แล้ว จึงนำมาเผยแพร่ วิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่อ้างว่า การคิดแบบมีเหตุผล มันก็คือกลุ่มคนที่มีความคิด ความเชื่อคล้ายๆกัน นำองค์ความรู้นั้นๆ เฉพาะที่ชอบใจ มาดำเนินชีวิต แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเอาไว้ใช้ ประกอบอาชีพ เพื่อกินเงินเดือน เพียงแต่ทุกคนสามารถค้นหาคำตอบที่คนในกลุ่มยังคิดไม่ได้ และนำมาเผยแพร่เพื่อเป็น ผู้นำกลุ่มได้เช่นเดียวกัน จะมีศาสนาหรือไม่มี การเชื่อในวิทยาศาสตร์ก็คือ ความเชื่อประเภทหนึ่ง จัดเป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดาคนเดียว แต่ทุกคนสามารถเป็นศาสดาได้ เพียงแต่ไม่มีพิธีกรรมแบบเดิมๆ แต่มันคือกระบวนการทดลองนั่นแหละที่เรียกว่าพิธีกรรม คือการการกระทำที่ได้รับการออกแบบแล้ว (แต่อ้างว่ามันคือการทดลอง) มันมีนิยามเดียวกัน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:35:33

ความคิดเห็นที่ 56 54  เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ เพื่อป้องกันการโดนลบกระทู้ หรือแม้แต่เรื่องของไอน์สไตน์   เรื่องสูตร พลังงาน ที่มีค่า มวลคูณด้วย กำลังสองของความเร็วแสง มันก็ชวนเชื่อให้จริงตามนั้น จะมีกี่คนที่วัดค่าพลังงานมหาศาลนั้นๆได้เป๊ะๆ จะมีกี่คนที่รู้ที่มาการหยั่งรู้ ของคณิตศาสตร์ชั้นสูง แต่ก็งมงายเชื่อก่อนแล้ว ทั้งๆที่ตนเองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 10:41:07 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:36:58

ความคิดเห็นที่ 57 ศ ศัธทรา ผมว่าก็น่าสนใจนะ ไหนใครลองออกความเห็นแย้งแบบเป็นข้อๆ หน่อยจิอยากรู้ว่าจับแพะชนแกะอย่างไร พอดีอาจจะตีความได้ไม่แตกโดยดุษณีเท่าคุณ ปล.แล้วถ้าไม่หมวดนี้จะลงหมวดไหนอะครับ จากคุณ : Pigusto เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:40:03

ความคิดเห็นที่ 58 ประหลาดใจที่กระทู้นี้ได้รับการโหวต ลองเข้ามาอ่าน งง มึนหัวไปหมด เกลียดคนที่เอาศาสนามาเล่น ศาสนาทุกศสานาเป็นจุดยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาน คนทุกคนมีสิทธิเลือกนับถือศรัทธา เลือกเชื่อ โดยที่คนอื่นไม่มีสิทธิไปวิพากษ์วิจารณ์หรือตัดสินว่าถูกหรือผิด เลวหรือดี ยืนยัน พุทธศาสนาไม่ใช่ธรรมกาย คนที่นับถือศาสนาแบบงมงาย เกาะเอาเพียงกระพี้มาพูดมาปฏิบัติไม่ได้ศึกษาถึงแก่นของศาสนาก็มีเยอะแยะในสังคมเพียงเพราะส่วนนี้มันถูกนำมาเผยแพร่เพราะข่าวมันขายได้  แต่ก็มีอีกเยอะแยะที่เขาศึกษาถึงแก่น และปฏิบัติตามนั้น แต่ไม่เป็นข่าว  ฉนั้น  อย่าจับแพะชนแกะ  อย่าสรุปเอาเองตามความคิดของตนเอง  เหมือนประเทศไทยมีตั้งหลายจังหวัด คุณเห็นแค่ตำบลเดียวแล้วเอามาพูดว่าประเทศไทยเป็นแบบตำบลนั้น  แคบ..   จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:40:17

ความคิดเห็นที่ 59 อ้าว  บทความไหน ๆ มันก็รวบรวมข้อมูลมาแปะ ๆ ทั้งนั้นแหละ   ตำราเรียนมันก็ยังเอาตำราฟารั้งมาแปลผสม ๆ กันเข้าไป หรือถูกใจเรียกว่า บรรณานุกรรม ไม่ถูกใจเรียก จับแพะชนแกะ แล้วที่ว่าไม่ถูกต้อง  แล้วมีทฤษฎีอะไรที่มันถูก100 % บ้าง สมัยก่อนก็เชื่อว่าแสงมีตัวกลาง  ก็เถียงกันมาเป็น 100 ปี ก็ต้องมีหักล้างกันอยู่แล้ว   จาเอาอาไรไปตัดสินว่าผิดว่าถูก  ควอนตัมฟิสิกส์ยุคใหม่อาจจะสร้างทฤษฎีว่าแสงมีตัวกลางก็ได้ มันก็เถียงกัน   แล้วพูดถึง สังคม  จิตวิทยา  ไม่ต้องพูดเลย   เขาถือว่าเป็นความคิดชุดหนึ่ง  มันไม่เหมือนตัวเลขที่กาผิดถูกได้ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 10:44:04 จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:40:48

ความคิดเห็นที่ 60 OS x หรือ ชุดคำสั่ง ในที่นี้ แทนชุดความเชื่อ หรือ หลักความเชื่อ (ไม่ว่าทางศาสนา หรือ ลัทธิ ฯลฯ) หรือ หลักยึดใดๆ ก็ตาม ที่คนๆหนึ่ง ถูกสังคมแวดล้อมนั้น ปลูกฝังให้อยู่ ยกตัวอย่าง การยืนตรง ก่อนชมภาพยนตร์ เป็นวัฒนธรรมหรือความเชื่อ ของคนในชาติหนึ่ง ใครที่ไม่ทำ อาจจะได้ผลกระทบ ทางสังคม หรือ ทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ขอมาขยายความ ให้อีกนิดละกัน จากนี้ไป ขอเชิญท่านทั้งหลาย อภิปราย (ศัพท์สูงอีกละ) เปลี่ยนเป็น ขอเชิญท่านทั้งหลาย แสดงความเห็นกันต่อไป ละกันครับ : ) จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:44:25 A:115.87.160.106 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 61 ผมมองว่าเป็นความพยายามที่จะใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายกลไกการยอมรับศาสนาของคนนะครับ อาจดูไม่ค่อยประติดประต่อบ้าง ก็เพราะมันค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งต้องมองหลายๆ ด้าน ก็เลยดูแล้วไม่ค่อยต่อเนื่องกัน ว่าจะแสดงความคิดเห็น แต่เข้ามาเจอมาม่าแยะกว่าที่คาด คงต้องขอบายไปก่อน เอาเป็นว่าหากจะวิเคราะห์ศาสนา ใช้มุมมองทางหลักจิตวิทยาน่าจะตรงกว่า เพราะมาถึงจุดที่คนวิวัฒนาการมาจนมีศาสนาได้ น่าจะวิเคราะห์กันที่ตัว software ไม่ใช่ hardware จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:51:07

ความคิดเห็นที่ 62 อะไร ๆ ก็บ่นว่าผิดหมวด ถ้าผมโพสวิธีรักษาสุขภาพหลังออกกำลังกาย ผมต้องโพสในห้องพยาบาล อย่างเดียวเหรอ ? จากคุณ : fiatwiriya เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:52:24

ความคิดเห็นที่ 63 บทความ"วิทย์"ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นปี ยกนิ้วให้เลยครับ ปล.เห็นใจเจ้าของกระทู้ครับ  เหมือนหมาของ พาฟลอฟได้ยินกระิดิ่งแล้วน้ำลายไหล คนบางคนในห้องนี้เห็น คำว่า ศาสนา เมื่อไหร่  นั่งชักน้ำลายฟูมปากหน้าีคีบอร์ดเลยครับ จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:53:28

ความคิดเห็นที่ 64 เรียน #58 "เกลียดคนที่เอาศาสนามาเล่น ศาสนาทุกศสานาเป็นจุดยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาน คนทุกคนมีสิทธิเลือกนับถือศรัทธา เลือกเชื่อ โดยที่คนอื่นไม่มีสิทธิไปวิพากษ์วิจารณ์หรือตัดสินว่าถูกหรือผิด เลวหรือดี" จขกท. ไม่ได้ว่าใครเลวหรือดี แต่สำรวจโครงสร้างของการเกิดศาสนา ถ้าทุกคนมีสิทธินับถือศาสนา ทุกคนก็มีสิทธิในการตั้งคำถามเช่นกัน "ยืนยัน พุทธศาสนาไม่ใช่ธรรมกาย" คุณก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ธรรมกายอยู่ระหว่างบรรทัด "อย่าสรุปเอาเองตามความคิดของตนเอง  เหมือนประเทศไทยมีตั้งหลายจังหวัด คุณเห็นแค่ตำบลเดียวแล้วเอามาพูดว่าประเทศไทยเป็นแบบตำบลนั้น  แคบ.." คุณก็แคบ จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:54:40

ความคิดเห็นที่ 65 # 59  คือจับแพะชนแกะ มันไม่เหมือนกับ บรรณนุกรมเลยนะ (พิพม์ผิดเปล่านิ) คือจับแพะชนแกะ มันคือ เชต A กับเซต B มันยูเนี่ยนกัน คือมันไม่มีส่วนใดสำพันธ์กันเลย เพียงแค่อยู่ในยูนิเวิร์สเดียวกัน (อธิบายเป็นเรื่องเซตเลย ... นึกภาพตามนะ) ส่วนเรื่องที่สอดคล้องกันคือ A กับ B มันสับเซตกันมีส่วนใดส่วนหนึ่งสัมพันธ์กัน แค่นี้เองครับ.... แล้ววิทยาศาสตร์ คือ การทดลองหาความรู้ใหม่ๆ หาผลลัพธ์ใหม่ๆ ศาสนา คือ ความรู้ หลักธรรม มาจากผู้นำศาสนา ผลลัพธ์ทุกอย่างขึ้นอยู่กับศาสนา  เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่วิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเรามีเหตุผล และทฤษฏีที่หักล้างกัน จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 10:54:49

ความคิดเห็นที่ 66 ^ #65 ตกลงจะบอกว่านับถือวิทยาศาสตร์เพราะวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้? และไม่นับถือศาสนาเพราะศาสนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้??? ถ้าวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้แสดงว่าความรู้ปัจจุบันมันก็ไม่น่าจะถูกสิ แล้วทำไมนับถือสิ่งที่ไม่ถูก??? เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงได้???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:01:09 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 67 เรามาโสเหร่กัน จะได้ไม่ต้องเป็นแค่คนซื้อ จากคุณ : ใบไม้เบาหวิว เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:02:08

ความคิดเห็นที่ 68 ลองคิดเล่นๆ ดูว่า ถ้าสมมติ โลกนี้เกิดมา ไม่ใครนับถือศาสนาใดๆ เลยตั้งแต่ ช่วงที่มนุษย์เริ่มอยู่กันเป็นสังคม มีวัฒนธรรม คงอยู่ด้วยกัน แล้วก็ฆ่ากันได้เลย ไม่มีพ่อ แม่มีแค่คนให้กำเนิด ไม่ต่างอะไรกับหมา ผสมพันธ์กันมั่วไปหมด ฆ่าพ่อฆ่าแม่ตัวเองได้ ไม่มีอะไรเป็นข้อบังคับทางจิตใจ ทางสังคม กฎหมายคงไม่มี เพราะกฎหมายเริ่มแรกก็มาจากกฎของศาสนา หรือระบบศีลธรรม คำสอนดีๆ ที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกก็คงยาก และไม่มีบรรทัดฐานว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี โลกมนุษย์คงเละตุ้มเป๊ะ กว่านี้ เพราะจะไม่มีคำว่า คนดี คนเลว คุกไม่มี เพราะ เราแยกไม่ออกว่า อันไหนไม่ดี อันไหนดี เพราะไม่มีสิ่งที่จะเอามาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน ที่สังคมปัจจุบันทดลองว่า ให้มีการเลี้ยงเด็กที่มีศาสนากับไม่มีศาสนาสรุปผลทดลองไม่ต่างกัน เพราะไอ้เด็กคนที่มันไม่มีศาสนา มันอาศัยอยู่ในสังคมที่มีกรอบ มีระเบียบเบ็ดเสร็จแล้ว ลองจับมันไปปล่อยป่าดูสิ มันหิวมาก ๆ มันคงจับ จขกท. กินเป็นอาหาร จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:03:33

ความคิดเห็นที่ 69 64 dawkins อาจจะคุ้นเคยแต่คริสต์ที่บังคับให้เชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร น่าจะลองให้เขา มาศึกษาพุทธเสียบ้าง 63 เป็นเอามากนะครับ ที่อุปมายกเหตุผลวิบัติมาอ้่างอิง กระทู้มันก็โผล่ขึ้นมา ที่กระทู้แนะนำ ทั้งๆที่มีแต่เนื้อหาขยะเต็มไปหมด ยังจะมีคนกล้าขึ้นกระทู้แนะนำ หว้ากอมาตราฐานต่ำลงเรื่อยๆจริงๆ กระทู้ดีๆที่สมควรโหวตกลับไม่ทำ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:03:50

ความคิดเห็นที่ 70 กระทู้นี้เป็นประเด็นเรื่อง Neuroscience ชัดเจน ไม่ผิดกลุ่มแน่นอน เกี่ยวกับกลไกในจิตใจมนุษย์ ที่เป็นเหตุให้เรายอมรับการมีศ. ทั้งอภิปรายว่ามันมีอยู่จริงไหม มีอ้างอิงการทดลองที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ประเด็นบางส่วน และพูดถึงการพัฒนากลไกดังกล่าวขึ้นมาในสิ่งมีชีวิต (รวมทั้งที่ไม่ใช่มนุษย์) กระทู้นี้ดีจริงๆ ครับ มีประเด็นน่าสนใจ และค้นคว้ามาเขียนได้ละเอียดยิบเลย ขอเซฟไว้ก่อนเพราะกลัวถูกลบ สมมุติฐานที่ยกมาเพียงสองข้อ มีที่มาอย่างไรครับคุณ Geneticist และคนที่ไม่เห็นด้วย มีใครคิดว่าเป็นอื่นได้ไหมครับนอกจากสองข้อนี้ จากคุณ : ikkyu เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:04:53

ความคิดเห็นที่ 71 เป็นการวิเคราะห์มองภาพรวม ความสัมพันระหว่าง มนุษย์ กับ ศาสนา เขียนได้ดี ไม่เห็นจะนอกเรื่องตรงไหน เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ไม่มีจุดไหนโจมตีศาสนาอะไรเลย???? ไม่เห็นด้วยก็น่าจะแย้งเป็นจุดๆ ไม่เห็นจะต้องโจมตี พูดเสียดสีแดกดันกันเลย อ่านหลายความเห็นไปก็งง จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:05:06

ความคิดเห็นที่ 72 # 66 ผมก็บอกไปแล้วว่าต้องมีทฤษฏีมาหักล้าง ถึงวันนั้นบทเรียนในหนังสืออาจจะเปลี่ยนไป ที่ผมนับถือวิทยาศาสตร์เพราะ มันเหตุผลอธิบายเข้าใจมากกว่าศาสนา เช่น 2x = 3 , x=1 ถูกไหมครับ ? แต่ศาสนาอยู่ๆผู้นำศาสนาหรือหมอผีประจำเผ่าบอกว่า ''นรกมีจริง เจ้าต้องทำบุญ ถึงจะไม่ได้ไปนรก''  แล้วแบบนี้ผมจะพิสูจน์ได้อย่างไร ? ให้ผมตายไปหรือ แล้วผมถามคุณหน่อย ว่าตอนคุณเรียนหนังสือนะ คุณทำตามสมการวิทยาศาสตร์หรือเปล่าละ .... หรือคุณเจอโจทย์ปัญหา x = y, y=3^4 คุณจะบอกว่า y = 20 เลยหรือ ? แล้วบอกอาจารย์ว่า ท่านศาสดา หรือท่านหมอผีประจำเผ่า บอกว่า Y=20 ละ่ !! จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:07:51

ความคิดเห็นที่ 73 เรื่องวิวัฒนาการ ผมไม่สงสัยเลย สงสัยเรื่อง การมีอยู่ของศาสนา กับจริยธรรม ยกตัวอย่าง หลายคนทำผิดกฎหมายจราจร(เห็นแก่ตัวอย่างจงใจ เอาเปรียบชาวบ้าน) เมื่อไม่เห็นตำรวจ แต่ถ้าเห็นว่ามีตำรวจยืนเฝ้า ก็จะไม่ทำผิด ข้อบังคับศาสนา ก็คล้ายๆกัน เพียงแต่ ผู้รักษากฏ ไม่มีอยู่เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีศาสนา อาศัยเพียงกฎหมาย(ซึ่งมันรักษายากมาก) และ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเท่านั้น ผมว่าสังคมคงเละเทะน่าดู ยิ่งถ้าไม่มีศาสนามาตั้งแต่เริ่มอารยธรรม มนุษย์จะก้าวหน้า แพร่พันธุ์ได้มากมายขนาดนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:10:11

ความคิดเห็นที่ 74 เรียน Venture ถ้าเรียกเนื้อหาของกระทู้ว่าขยะ ผมยอมอยู่กับขยะในห้องหว้ากอที่ (คุณว่า) ตกต่ำครับ เพราะถ้าจะเอาคำตอบแบบคุณผมไปนั่งคุยกับหลวงพี่ทีี่วัดข้างบ้านน่าจะดีกว่า ห้องวิทย์ จะผิดจะถูกก็ต้องใช้กระบวนทัศน์แบบวิทย์สิครับ เออะก็ พุทธคิดไว้แล้ว ลองศึกษาพุทธดูสิ --- มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจากที่นี่ครับ และนี่แหละ ที่เรียกว่าเนื้อหาผิดห้อง จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:12:26

ความคิดเห็นที่ 75 ^ อาจารย์ไม่ใช่พระเจ้า ทำไมจะต้องอ้างอิงอาจารย์ (ที่ผิดแน่นอนอยู่แล้ว???...) ถึงมันจะมีเหตุผลอธิบายได้มากกว่าแต่ถ้ามันเปลี่ยนแปลงได้ก็คือมันผิดไม่ถูกเหรอ? สรุปแล้วก็ยังเลือกศรัทธาในสิ่งที่ผิด (เพราะมันมีเหตุผลมากกว่า) อยู่ดีหรือป่าวเนี่ย???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:13:14 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 76 ผมมองว่าสมองคือ Hardware คำสอนต่างๆ กฏข้อบังคับ เป็น Software การทำให้คนทำชั่ว กลับตัวเป็นคนดีได้ อาจทำได้ด้วยการซ่อมสมอง(hardware) หรือชักจูง + ล้างสมอง(software) ก็ได้ ไม่น่าจะตีกรอบว่าต้องซ่อมสมองเท่านั้น เพิ่มเติมว่า ผมว่ากระทู้นี้เป็นวิทยาศาสตร์มากนะครับ ไม่เห็นด้วยตรงไหน แย้งตรงนั้นเลยครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:16:27 จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:14:30

ความคิดเห็นที่ 77 "คุณจะยอมให้มีการสแกนสมองเด็กทุกคนว่ามีความผิดปกติ เพื่อที่จะได้ผ่าตัดซ่อมสมองบังคับให้เป็นคนดีหรือไม่ คุณคิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผิดจริยธรรมหรือไม่ ลองคิด และอภิปรายดู" อันนี้น่าสนใจ และที่น่าสนใจกว่าคือถ้าเกิดแก้ไขไม่ได้หละ จะต้องทำลายทิ้งหรือไม่?? เช่นเด็กเป็น Antisocial ที่แก้ไขไม่ได้ จะทำแท้งตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยดีมั๊ย เพราะถ้าเกิดมาก็เป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวมมากๆ แต่เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่มีจริยธรรม(ไม่ว่านับถือหรือไม่นับถือศาสนา) เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผิดจริยธรรมอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ต้องปล่อยเลยตามเลยอยู่ดี คนดีๆก็ต้องเอาตัวรอดเอาเอง จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:14:42

ความคิดเห็นที่ 78 ขออภัย มีบทความทางวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาตีพิมพ์ลงเปเปอร์ต่างๆ มากมาย แม้ในกระทู้นี้ จขกท ก็แปะอ้างอิงไว้ด้วยซ้ำ คนที่ว่าจับแพะชนแกะ ได้อ่านหรือยังครับ หรือคุณจะสรุปว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นจับแพะชนแกะทั้งหมด และบรรณาธิการก็โง่เหลือหลายที่ยอมให้ตีพิมพ์ลงวารสารวิทยาศาสตร์? จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:17:12

ความคิดเห็นที่ 79 #69 คุณ(เอ็ง)นั่นแหละ เนื้อหาขยะ ปล.กระทู้นี้ก็โคตรจะวิทย์กว่า กระทู้สิงโตสู้ฮิปโปบนเขื่อนปลาบู่แตกเป็นไหนๆ ปล.2 แหย่เกรียนแต่พองาม ต่อจากนี้จะไม่สนใจหละนะ (Dont feed troll) เข้ามาแก้ ปล.3 หวัดดีครับ จ่าพิชิต มีใครแจ้งเบาะแสยังเอ่ย ปล.4 rep นี้ก็ขยะ ขออภัยทุกท่านครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:25:02 แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:20:41 จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:17:25

ความคิดเห็นที่ 80 # 75 ยังไงผมก็เชื่อในวิทยาศาตร์อยู่ดี ก็นี่มันห้องหว้ากอ ห้องศาสนาอยู่ถัดไป เชิญเข้าไปพิมพ์ในนั้นได้เลยครับ ผมก็บอกไปแล้วว่า วิทยาศาสตร์มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่า ผมเลยเชื่อ แต่คุณนี่ท่าทางจะพูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่พูดว่า ''เชื่อในสิ่งที่คลาดเคลื้อน เชื่อในสิ่งที่ผิด''  แล้วก็ใส่ไอคอนหัวเราะต่อท้าย คุณจะเชื่อในศาสนาก็ได้นะ แต่ที่นี่หว้ากอ ไม่ใช่ห้องศาสนา เข้าใจใช่ไหมครับ ? จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:17:53

ความคิดเห็นที่ 81 #73 ผมคิดว่าตัวอย่างที่ยกมาไม่ได้ขัดแย้งกับการมีอยู่ของจริยธรรมนะครับ เพียงแต่มันอภิปรายกันได้ว่าการมีพฤติกรรมเป็นไปตามกฏเกณฑ์ทางสังคม หรือการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมนั้นมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง บางทีแรงกระตุ้นอื่นก็มีอิทธิพลมากกว่า จากคุณ : ikkyu เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:18:13

ความคิดเห็นที่ 82 ช่องว่างระหว่างนิวเคลียสกับอิเลคตรอนคืออะไร การไปกวนระบบทำให้โมเลุกลเพี้ยน จากคุณ : ใบไม้เบาหวิว เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:19:18

ความคิดเห็นที่ 83 อ้ะ ผมหามาเพิ่มให้อีก 3 link ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และกล่าวถึงเรื่องเดียวกับ จขกท http://scienceandreligiontoday.** ไม่ใช่ลิควิด **/2008/07/eo-wilson-says-group-selection-led-to.html http://www.collinsfoundationpress.com/E%20of%20R/E%20of%20R%20Home.htm http://faculty.arts.ubc.ca/eslingerland/currentresearch.html ยังจะยืนยันอยู่อีกมั้ยครับว่าผิดหมวด ขอให้ยกหลักฐานมาแย้ง จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:20:38

ความคิดเห็นที่ 84 ต้องแยกให้ชัดเจน ระหว่าง วัฒนธรรม= สิ่งที่ทำต่อๆกันมาในสังคม เป็นสิ่งที่พัฒนาต่อๆกัน ศาสนา = สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต้องเข้าใจแก่นแท้ของแต่ละศาสนา วิทยาศาสตร์ = เหตุผล จากการทดลอง คนเดี๋ยวนี้สับสนไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด บางวัฒนธรรมแปลก แล้วก็มีศาสนา บางคนก็มองว่าเป็นเพราะศาสนา ตัวอย่างการเอา วัฒนธรรม+ศานา เช่นการไหว้ ไหว้พระ ไหว้ผู้ใหญ่ บางคนไหว้เด็กก็มี ที่จริง  ศาสนา +วัฒนธรรม + วิทยาศาสตร์ อยู่คู่กันได้ และมีมานานแล้ว บางสังคมมีวัฒนธรรมที่โหดร้าย ก็มีศาสนาคอยช่วยให้เค้ามีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป ซึ่งก็เป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาอย่างหนึ่ง มีแต่ห้องหว้าก้อ ที่เมื่อไหร่ ศาสนา+ วิทยาศาสตร์ = จะกลายเป็นมาม่าทันที ไม่รู้จะหาเหตุผล ทางวิทย์ หรือทางศาสนา มาอธิบายดี จากคุณ : aungo8 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:21:53

ความคิดเห็นที่ 85 เราต้องแยกให้ออกนะครับระหว่างความเชื่อทางศาสนา กับลิทธิบูชาเทพเจ้า ความเชื่อทางศาสนา นั้นไม่เหมือนกับลัทธิบูชาเทพเจ้า ที่จะนับถือสิ่งที่เป็นอภินิหาร ที่เกิดขึ้นบนโลก ความเขื่อทางศาสนาที่แท้จริงนั้นเกิดจากการเคารพและยกคนธรรมดาที่ให้หลักคำสอนกับพวกมนุษย์ที่ยังเป็นแต่รบราฆ่าฟัน ไร้อารยะ ธรรมให้ ร้อง "อ๋ออ" ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ เป็นจริง  โดยยึดเอาผู้ให้คำสอนเป็นผู้นำทางความคิด โดยเอาไปแทนที่  เทพเจ้าของลัทธิ ต่างๆที่ไม่มีตัวตนหรือรูปธรรมและนามปธรรมอยู่จริง สมองมนุษย์ไม่ได้ถูกรองรับความเชื่อ แต่ถูกรองรับให้เลือกในสิ่งที่ดีกับชีวิตมากที่สุด มนุษย์เราถ้าไร้ศาสนา ก็จะเป็นคนเถื่อน โดยปริยาย ทุกคนในยุคของศาสนา ถึงแม้โตมาจะบอกว่าไม่เชื่อในศาสนา แต่ก็ได้รับเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นหลักธรรมทางศาสนา มาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบไม่รู้ตัว อาจจะรับมาจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ต่อๆกันมา ทุกคนรู้จักหลักคำสอนของศาสนาทุกคน อยู่ที่คนจะเลือกเชื่อบูชาโดยตรง หรือ ไม่เชือ แต่รับเอาคำสอนมาปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว เหมือน การทดลองในคลิบนั้น แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:25:55 จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:22:51

ความคิดเห็นที่ 86 สรุป !! กระทู้นี้มันเริ่มจากที่  จขกท โพสข้อความ เชิง..... จับแพะชนแกะ โดยที่เนื้อความไม่ได้เกี่ยวอะไรเล้ย ซอร์ฟแวร์ ฮาร์ดแวร์ เอามายำมิ๊กซ์ แล้วเทใส่กระทู้ แต่มีใครไม่รู้ตีโพยตีพายไปว่า เป็นกระทู้ศาสนา เลยเถียงกันเรื่องศาสนา อะเข้าเรื่องได้แล้ว ๆๆๆ กระทู้นี้ถ้าจำไม่ผิด แรกๆมันไม่มีสงครามครูเสดแบบนี้นะ ปะๆ เข้าเรื่อง จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:24:46

ความคิดเห็นที่ 87 ^ #80 ตกลงคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผิดเพราะว่าหว้ากอเชื่อในสิ่งที่ผิด???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:26:02 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 88 ผิดหมวดยังไงครับ งง จากคุณ : PP เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:28:13 A:110.168.167.74 X: TicketID:281593

ความคิดเห็นที่ 89 เห็นด้วยกับ #86 จขกท ไม่น่าเอาเรื่อง Mac มาโยงให้โดนด่า ผมว่าเข้าเรื่องตั้งแต่ คห.1 ได้เลยครับ ไม่ผิดห้องเลยครับ ยังไงก็ Neuroscience อยู่ดี จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:29:06

ความคิดเห็นที่ 90 #86 อ่าน #83 ครับ ถ้ายังคิดว่าจับแพะชนแกะ ขอให้ยกเหตุผลมาแย้ง และงัดหลักฐานมารองรับด้วยครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:29:36

ความคิดเห็นที่ 91 # 87 .... เพราะหว้ากอคือวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ก็คือสิ่งที่พิสูจน์ออกมาได้เห็นและชัดเจนที่สุด ผมอธิบายละ แล้วทำไมคุณยังเชื่อในศาสนาละ ในเมื่อศาสนาไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่เห็นเป็นรูปร่าง มีเพียงคำบอกเล่า หรือหนังสือ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:31:32

ความคิดเห็นที่ 92 ความคิดเห็นที่ 86     สรุป !! กระทู้นี้มันเริ่มจากที่  จขกท โพสข้อความ เชิง..... จับแพะชนแกะ ....................................... ผมว่า ไม่ได้จับแพะชนแกะ เรียกว่าเป็นระเบียบวิธีที่ดีด้วยซ้ำ ผมว่าคุณเอง "ไม่สามารถ" ทำความเข้าใจได้มากกว่า ........... อ่าน #83 หรือยัง v v v แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:36:47 จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:31:40

ความคิดเห็นที่ 93 # 92 ถ้าคุณทำความเข้าใจในเนื้อความที่กล่าวมาได้ ผมว่าคุณก็คงเป็น เนื้อเรื่องที่ จขกท พูดมานั้นแหละ ว่าแต่คุณเป็น กบที่ร้องตอนฝนตก หรือเป็น ซอร์ฟแวร์ในคอมพิวเตอร์ หรือใน แมคบุ๊ค กันแน่ละ จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:34:39

ความคิดเห็นที่ 94 ส่วนคนที่อ้างว่าตัวเองไม่เชื่อในศาสนา คุณอาจกำลังยึดติดกับศาสนาผิดคุณไปยึดติดเอาศาสนาเป็นตัวบุคคลซึ่งเป็นศาสดาของศาสนา คนที่อ้างว่าไม่เชื่อในศาสนาคุณต้องถามใจตัวเองดูว่า ทำไม 1.คุณโกรธใครคุณไม่เอาปืนหรือเอามีดไปไล่ฟันคนอื่น 2.ถ้าคุณมีลูก คุณจะบอกให้ลูกเป็นคนดีไม่เบียดเบียนผู้อื่น คุณเอาความคิดนี้มาจากไหน 3.ทำไมคุณไม่กล้าลบลู่ ศาล หรืออะไรก็ตามที่เป็นถูกอ้างว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ 4.คุณยังเชื่อว่า ทำดีแล้วก็จะได้ดี 5.คุณนับถือคนที่ทำความดี จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:36:34

ความคิดเห็นที่ 95 สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่มีทางชนะ ภัยพิบัติต่างต่าง เพราะมันเกิดจากกรรม จากคุณ : ใบไม้เบาหวิว เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:37:31

ความคิดเห็นที่ 96 ^ #91 ตกลงคุณเชื่อในสิ่งที่ผิดเพราะสิ่งที่ผิดนั้นสามารถพิสูจน์ออกมาได้เห็นและชัดเจนที่สุด... ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา พระเยซูไม่เห็นบอก เราทดลองแล้ว เราพิสูจน์แล้ว ว่าเรามีความน่าเชื่อถือสูงสุดซะหน่อย... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:38:01 A:171.4.100.104 X: TicketID:329908

ความคิดเห็นที่ 97 #94 ถ้าอ่านบทความของเจ้าของกระทู้น่าจะรู้แล้วนะครับว่ามันไม่ได้เป็นผลจากศาสนาแบบ exclusive หรือคุณจะบอกว่าสุนัข แมลง หนู ลิง ฯลฯ นับถือศาสนา หรือรับคำสอนมาจากศาสนากันล่ะ? จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:38:18

ความคิดเห็นที่ 98 ประเด็นของกระทู้มันไม่เกี่ยวกับการอ้างว่าเชื่อหรือไม่เชื่อศาสนานะครับ มันพูดถึงที่มาของความยอมรับความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:40:40 จากคุณ : ikkyu เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:39:44

ความคิดเห็นที่ 99 #96 ก็เพราะพระเยซูยังไม่พิสูจน์ไงครับ คุณเลยไม่มีข้อพิสูจน์สักนิดว่าพระเยซูพูดความจริง ถ้ามีขอให้ยกมา จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:39:54

ความคิดเห็นที่ 100 ง่ายๆนะผมว่า สังเกตไหมว่าคนที่ตอบกระทู้นี้แรกๆหายไปแล้ว เหลือแต่ผมและอีกไม่กี่คนที่ยังตอบอยู่ .... โดยคนที่บางคน ผมเชื่อว่าอ่านเนื้อความของ จขกท ไม่จบด้วยซ้ำ แต่มาอ่านความคิดเห็นแล้วก็เลือกข้าง ว่าจะเลือกเชื่อวิทย์ หรือ ศาสนา สำหรับ จขกท ผมก็ไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้ว อาจจะหลับไปโดยที่ตื่นมารู้ตัวหรือเปล่าว่าคนทะเลาะกันบ้านจะแตก ถ้า จขกท จะอธิบายเรื่องซับซ้อนขนาดนี้นะ บอกมาตรงๆเลย จะกั๊กความรู้ ไว้ทำเพื่อ ? ไม่ต้องเอา Macbook Macbook air iphone 3G DNA มามิ๊กซ์เขย่าๆกันหรอก !! พูดมาเลย และการพูดซับซ้อนขนาดนี้นะ ไม่ใช่การฝึกสมองด้วย เป็นการพูดอ้อมค้อมหรือเรียกง่ายๆ เยิ้นเย้อความ ... และตอนนี้คงจะทราบแล้วว่า คนที่ตอบสมัยกระทู้นี้ผุดมาใหม่ๆ หายไปไหน จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:41:48

ความคิดเห็นที่ 101 #100 ตอนกระทู้เพิ่งตั้ง ผมยังไม่ตื่นครับ และถ้าคุณอ่านบทความก่อนหน้านี้ของ จขกท ที่โดนลบไปอาจจะพอทราบได้ว่าที่ต้องพูดอ้อมค้อมเป็นเพราะใส่เลยทีไร โดนลบทุกที บทความก่อนหน้านี้ที่ถูกลบไปก็ไม่เยิ่นเย้อนะ แต่ผมว่ากระทู้นี้คงโดนลบอยู่ดีมั้ง คนดันเห็นเป็นผิดหมวดไปแล้ว จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:44:14

ความคิดเห็นที่ 102 # 101 นี่มีการลบออกไปแ้ล้วหรือครับเนี่ย  ลากมาตั้งแต่ไม้ตีสากยันเรือเหาะ โอ้ว นับถือ สงสัยนั่งพิมพ์ตั้งแต่ตี 4 ..... ส่วนคุณบัตรผ่านครับ ... ผมเชื่อในวิทย์ และศาสนาพร้อมๆกัน แต่ผมเชื่อในรูปแบบ 70:30 เพราะศาสนาก็เปรียบเหมือนแรงใจ เวลามีเรื่องไม่สบายใจก็บอกพระ แม้พระจะไม่ขยับตัวมาช่วยผม แต่ก็มีกว่าเก็บเรื่องราวไว้คนเดียว  จบมั้ย ?? ผมเชื่อในศาสนาเพราะเป็นแรงยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ใช่ที่นรก สวรรค์ อะไรทั้งสิ้น จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:49:28

ความคิดเห็นที่ 103 "ศาสนา" ก็พูดไปเลยตรง ๆไหนจะเขียนแล้วมีความกล้าหน่อย ปอดแหก จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:50:55

ความคิดเห็นที่ 104 ผมก็ยังเห็นว่า โลกนี่ขาดศาสนาไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์กำหนดไม่ได้ว่า สิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนมันควรทำ วิทยาศาสตร์ มีบทบาทแค่ด้านกายภาพ แต่ไม่มีบทบาทในด้าน คุณธรรม จริยธรรม ยกตัวอย่างเช่น ผมทะเลาะกับจขกท. แล้วผมก็ฆ่า จขกท.ตาย ถ้าโลกที่ดำรงอยู่ด้วยวิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่มีศาสนา ไม่มีกฎหมาย ไม่มีข้อบังคับทางสังคม คุณว่า ผมผิดไหม เอาอะไรมาตัดสินว่าผมผิดหรือไม่ผิด  เรื่องเดียวกันสมมติ ผมเป็นทหาร ได้ฆ่า ศัตรูตาย ถามว่า ผมมีความผิดเหมือนกับตอนฆ่าจขกท.ตายไหม เพราะผมก็ได้ทำแบบเดียวกันเหมือนกับตอนฆ่า จขกท. เรื่องการทดลองโดยเลี้ยงเด็กแบบมีศาสนาและไม่มีศาสนา มันไม่ได้ผลหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่ระบบปิดโดยแท้จริง เด็กยังต้องคบหา เข้าสังคมกับคนทั่วไปซึ่งมีทั้งมีและไม่มีศาสนา ถ้าจะให้ได้ผลจริง เอาครอบครัวที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย พ่อเป็นนักวิทย์ แม่เป็นนักวิทย์ จับไปอยู่กลางป่า จัดเครื่องอำนวยความสะดวก ให้ แล้ว ให้พ่อกับแม่ทดลองงานวิทย์ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องสั่งสอนลูกว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี สอนแค่ว่า อันนี้เป็นอย่างไร เกิดมาได้ยังไง สอนแค่เหตุและผล ไม่ต้องสอนด้านจิตใจ การเข้าสังคม ความดีความชั่ว ทำแบบนี้ซัก 15 ปี ผมอยากรู้เหลือเกินว่า เด็กคนนั้นมันจะต่างกับเด็กอีกคนที่ถูกปลูกฝังทั้งทางด้านศาสนาและวิทยาศาตร์คู่กันไหม จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:52:19

ความคิดเห็นที่ 105 #104 คุณบอกว่าโลกขาดศาสนาไม่ได้ แต่ยกตัวอย่างโลกที่ไม่มีกฎหมาย? แล้วมันบอกว่าศาสนาจำเป็นยังไงล่ะครับ เพิ่มเติม ลองอ่านนี่ดูนะครับ http://women.sanook.com/801670/สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีจริยธรรมเหมือนมนุษย์/ อยากทราบว่าดีพอจะเป็นตัวอย่างว่าจริยธรรมไม่ต้องเป็นผลจากศาสนาเสมอไปหรือยัง? คุณจะบอกว่าหนูทดลองรับรู้ความเชื่อทางศาสนาจากเจ้าของไหม? แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 55 11:59:59 จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:54:48

ความคิดเห็นที่ 106 สุนัข ลิง หมู หมากา ไก่ มี 5 สิ่งนี้ด้วยหรอครับ 1.คุณโกรธใครคุณไม่เอาปืนหรือเอามีดไปไล่ฟันคนอื่น 2.ถ้าคุณมีลูก คุณจะบอกให้ลูกเป็นคนดีไม่เบียดเบียนผู้อื่น คุณเอาความคิดนี้มาจากไหน 3.ทำไมคุณไม่กล้าลบลู่ ศาล หรืออะไรก็ตามที่เป็นถูกอ้างว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ 4.คุณยังเชื่อว่า ทำดีแล้วก็จะได้ดี 5.คุณนับถือคนที่ทำความดี คุณจะอ้างยังไงก็ได้ไม่เกี่ยวกับ แต่คุณถูกซึมซับไปแล้วตั้งแต่คุณแรกเกิด อย่าบอกนะว่าพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายคุณไม่มีศาสนานะครับ อย่าบอกนะว่าพ่อแม่ของคุณไม่เคยสั่งสอนในวันเด็ก คุณไม่สามารถหลีกหนีได้ครับ  มันเป็นความจริงที่คุณไม่ยอมรับมัน ผมบอกตรงๆ ถ้าคุณจะบอกว่า นับถือวิทย์แล้วอ้างเอาหตุผลต่างๆนาๆ มาบั่นทอนศาสนา มันไม่เท่ เลยนะครับ นักวิทยาศาตร์เก่งๆหลายคนในโลกนี้ มีศาสนาอยู่ในใจเกืิอบทุกคน เพียงแต่คุณต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่คุณยึดติดกับศาสนาว่า คืออะไร ระหว่างตัวศาสนา กับ ชีวิตจริง จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 11:57:44

ความคิดเห็นที่ 107 การทดลองต่างๆน้นอ้างผลไม่ได้เลย เพราะ ทุกคนที่ทดลองถูกเลี้ยงมาอยู่ในสังคม  ถ้าจะทดลองจริงๆ มันต้อง เอาตั้งแต่แรกเกิด นู้นเลยครับ แล้วคุณจะเห็นผลอย่างชัดเจนเลยทีเดียว แต่จริงๆ แล้ว มีให้เห็นอยู่บ้างในชนเผ่าต่างๆที่อยู่ลึกๆเข้าไปในป่า นะครับ คนพวกนี้ยังนับถือลัทธิเทพเจ้าอยู่ คุณลองหาดูสารคดีต่างๆเอาก็ได้ แล้วก็จะเห็นความแตกต่าง จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 12:01:15

ความคิดเห็นที่ 108 #106 เชิญทัศนาครับ http://women.sanook.com/801670/สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีจริยธรรมเหมือนมนุษย์/ แน่นอนล่ะว่ามนุษย์มีกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมซับซ้อนกว่า เพราะสมองมันซับซ้อนกว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวอย่างใน link จะคัดค้านแนวคิดที่ว่ามันต้องมาจากศาสนาไม่ได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 12:01:30