 |
^ เอ่อ วัตถุวิสัยไม่ใช่การศึกษาวัตถุครับ วัตถุวิสัยคือศึกษาแบบ objective ที่ตรงข้ามกับ subjective ไม่เอาตัวผู้สังเกตเป็นที่ตั้ง ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบันยังเป็นแบบ objective ทั้งหมดครับ ไม่มีการตัดสินว่าอะไรดีไม่ดี มีแต่ว่าในเงื่อนไขใด ผลลัพธ์เป็นแบบใด
ถ้าสมมติยกตัวอย่างกับด้านภาษา การบอกว่าภาษาอย่างนี้คือภาษาวิบัติ ควรไปรณรงค์ภาษาแบบโน้น อย่างนี้ไม่เป็นวัตถุวิสัย แต่ถ้าบอกว่าภาษานี้มีรูปแบบการใช้คำกี่แบบ แบบไหนบ้าง แล้วไม่ไปตัดสินว่าแบบไหนวิบัติไม่วิบัติ อย่างนี้เป็นวัตถุวิสัย
จะเห็นว่าแค่บอกว่าอย่างนี้คือกรรมดี อย่างนั้นคือกรรมไม่ดี นี่มันก็ไม่วัตถุวิสัยแล้วครับ
ส่วนเรื่องปัจจัตตังนี้ก็เช่นกันครับ ถ้ามันเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ มันต้องอธิบายเป็นเชิงประจักษ์ได้นานแล้ว แต่ไปๆ มาๆ แม้หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ยังไม่มีใครอธิบายเป็นเชิงประจักษ์ได้เลย หลายต่อหลายครั้งเวลาถกกันเรื่องสภาวะจิตยังต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสเองด้วยซ้ำ
ในเมื่อมันออกมาเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ไม่ได้ มันก็ไม่ใช่แนวคิดวิทยาศาสตร์ครับ คำว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้แปลเพียงว่ามีเหตุผล พิสูจน์ได้นะครับ
ผมขอยกส่วนหนึ่งของ Demarcation Problem มาไว้ที่นี้
1. Reproducible. Makes predictions that can be tested by any observer, with trials extending indefinitely into the future. 2. Falsifiable and testable. 3. Consistent. Generates no obvious logical contradictions, and 'saves the phenomena', being consistent with observation. 4. Pertinent. Describes and explains observed phenomena. 5. Correctable and dynamic. Subject to modification as new observations are made. 6. Integrative, robust, and corrigible. Subsumes previous theories as approximations, and allows possible subsumption by future theories. ("Robust", here, refers to stability in the statistical sense, i.e., not very sensitive to occasional outlying data points.) See Correspondence principle 7. Parsimonious. Economical in the number of assumptions and hypothetical entities. 8. Provisional or tentative. Does not assert the absolute certainty of the theory.
จะเห็นว่าบางข้อไม่ตรงกับลักษณะของพุทธศาสนา เช่นข้อ 5-8
จากคุณ |
:
ชิวตัวเป็นขน
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ม.ค. 55 21:30:30
|
|
|
|
 |