ความคิดเห็นที่ 1 เดามั่วจากตามที่เห็นนะครับ คิดว่าก็น่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตนี่แหล่ะช่วย เพราะถ้าตอนแบตเสื่อมหรือแบตเก็บไฟไม่อยู่ ก็สตาร์ทไม่ติดเหมือนกันนิครับ จากคุณ : Styer เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:43:50

ความคิดเห็นที่ 2 หลักการ ประมาณนี้ แต่สงสัยตอน start นะครับว่าเริ่มยังไง ทำไงให้โพสต์ flash ได้ละเนี่ย แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 19:50:44 ไฟล์ Shockwave Flash จากคุณ : Dare More เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:49:35

ความคิดเห็นที่ 3 ก็ใช้มอร์เตอร์สตาร์ทช่วยดันเครื่องให้หมุนไปก่อน หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนที่ จขกท บอก เนื่องจากเครื่องยนต์ดีเซลต้องใช้หลักการจุดระเบิดด้วยตัวเอง เครื่องยนต์จึงมีขนาดใหญ่ มอเตอร์สตาร์ทจึงต้องดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:52:34

ความคิดเห็นที่ 4 เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแบบ "คอมเพรส อิกนิชั่น" ครับ ... คืออัดอากาศจนร้อน แล้วฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปในจังหวะอัดสุด ก็จะเกิดการจุดระเบิดครับ ... ครับ มีข้อปลีกย่อยอีกพอสมควรทั้งแบบห้องเผาไหม้ตรงหรือห้องเผาไหม้เล็ก ... ต้องดูเป็นตัว ๆ ไปครับ จากคุณ : c_keskaew@yahoo.co.th เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:59:26 A:171.4.103.81 X: TicketID:335213

ความคิดเห็นที่ 5 มันมีฮีดเตอร์ครับ  เราบิดกุญแจแก็กแรก เปิดระบบไฟฟ้าเครื่องเสียง แก็กที่สอง เปิดไฟฟ้าระบบแอร์ และ เครื่องยนต์ พร้อมเปิดฮีดเตอร์ สังเกตสัญลักณ์ ขดๆติดขึ้นมา สักพักก็ดับพร้มทไการสตาร์ท บิดกุญแจเพิ่มไปอีกเป็นการสตาร์ท สตาร์เส็จกุญแจจะเ้งกรับมาจุดที่สองเหมือนเดิม จากคุณ : แคมปัส เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 20:06:34

ความคิดเห็นที่ 6 สมัยก่อนนู้น  ต้องบิดกุญแจค้างเอาไว้ก่อน จนไฟมันดับถึงสตารท์ได้ เดี๋ยวนี้บิดสตารท์ได้เลย จากคุณ : installation เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 20:09:51

ความคิดเห็นที่ 7 การบิดกุญแจค้างนั้นคือการทำให้หัวเผาร้อน หัวเผาจะติดตั้งอยู่ในห้องเผาไหม้เล็ก เมื่อถึงจังหวะฉีดน้ำมัน ๆ ก็สามารถติดไฟได้ทันที ใช้กับเครื่องที่มีอัตราส่วนการอัดไม่มากนักข้อดีคือเครื่องเดินเงียบกว่า ...... ส่วนเครื่องยนต์แบบไม่มีหัวเผานั้นเราเรียกว่า ไดเร็คอินเจคชั่นคือการฉีดน้ำมันโดยตรงที่ห้องเผาไหม้เลย ไม่มีห้องเผาไหม้เล็ก เครื่องยนต์แบบมีอัตราส่วนการอัดสูง ให้แรงบิดที่สูงกว่าแบบแรก แต่ข้อเสียคือเสียงเครื่องยนต์จะดังมาก เดินเบาก็สั่นแรงกว่าแบบแรกครับ .. จากคุณ : c_keskaew@yahoo.co.th เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 20:26:06 A:171.4.103.81 X: TicketID:335213

ความคิดเห็นที่ 8 พลังงานจากแบทเตอรี่ครับ จากคุณ : 2410 เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 20:26:40 A:124.122.172.195 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 9 มอเตอร์ไฟฟ้า มีกำลังมากกว่า เครื่องยนต์อย่างน่าแปลกประหลาด... อย่างรถยนต์ไฮบริท ใช้มอเตอร์ตอนออกตัว ทั้งที่มอเตอร์ลูกเล็กกว่าเครื่องยนต์หลายเท่า จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 21:13:34

ความคิดเห็นที่ 10 มอเตอร์ไฟฟ้าในรถมักกำลังน้อยกว่าเครื่องยนต์ครับ แต่แรงบิดในรอบต่ำมันดีกว่าเครื่องยนต์มาก พอรอบเครื่องยนต์ลอยตัวแล้ว เครื่องยนต์ซึ่งมีกำลังสูงกว่าก็เข้ามาทำงานแทนมอเตอร์ครับ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 22:14:27

ความคิดเห็นที่ 11 จขกท.เข้าใจการทำงานถูกต้องแล้ว งั้นคงไม่ยาก เวลาสตาร์ทก็คือจะทำยังไงให้เพลาข้อเหวี่ยงมันหมุนเพื่อดันลูกสูบขึ้นไปให้เกิดแรงอัด เขาจะใช้มอเตอร์เป็นตัวต้นกำลังในการหมุน พอเครื่องติดแล้วมอเตอร์ก็จะถอยจากออกมา พวกเครื่องดีเซลอเนกประสงค์พวกยันหน้าเอ้ยยันม่า คูโบต้า ที่ใช้กันรถคุณแต๋นกับเครื่องสูบน้ำ เวลาสตาร์ทก็จะเอาด้ามเหล็กต่อเข้ากับหัวเพลาข้อเหวี่ยง แล้วเอามือหมุน  จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 22:19:43

ความคิดเห็นที่ 12 ขั้นตอนแรกบิดสวิทกุญแจ ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะวิ่งเข้าไดสตาร์ทให้ช่วยหมุนเครื่องยนต์ แล้วไฟฟ้าอีกส่วนนึงจะวิ่งเข้าระบบหัวฉีดและหัวเผาจุดระเบิดเพื่อทำการอัดน้ำมันเข้ากระบอกสูบ และหัวเผาทำการจุดระเบิด พอเครื่องสตาร์ทได้แล้วเราจะไม่บิดกุญแจต่อ แล้วเครื่องยนต์ก็ทำการสตาร์ทเรียบร้อยพร้อมใช้งานครับ จากคุณ : Pinkimize เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 22:54:51

ความคิดเห็นที่ 13 คืองี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน  เวลาสตาร์ทเครื่อง ก็ต้องใช้พลังงานจากภายนอกมาหมุนข้อเหวี่ยง เพื่อให้ลูกสูบขยับไปตามวัฏจักรการทำงานของมัน อย่างน้อยก็เริ่มจากจังหวะ ดูด - อัด - ระเบิด จากนั้นเครื่องยนต์ถึงจะทำงานไปต่อเนื่องของมันเองได้ เครื่องยนต์ในสมัยเริ่มแรก ก็ใช้แรงคนเนี่ยแหละ ในการหมุนเพลาข้อเหวี่ยง จะใช้ก้านเหล็กมาหมุนเอา หรือใช้เชือกพันแล้วดึงสตาร์ทก็ได้  ตอนนี้ก็ยังพบเห็นได้ในพวกเครื่องยนต์อเนกประสงค์ทางการเกษตร  ถ้าเป็นเครื่องบินยุคสงครามโลก ก็จะใช้วิธีเหนี่ยวก้านใบพัด ที่ จขกท สงสัย  น่าจะเป็นเรื่องที่ เครื่องยนต์ดีเซล มันสตาร์ทติดได้ยังไง ในรูปแบบที่ต่างกับเครื่องยนต์เบนซิน ที่เชื้อเพลิงเผาไหม้ได้จากประกายไฟของหัวเทียน กล่าวคือ คุณสมบัติของน้ำมันดีเซลจะต่างกับน้ำมันเบนซิน ตรงที่มี autoignition temperature (อุณหภูมิที่น้ำมันสามารถติดไฟได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีประกายไฟ) ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน  พอผลักลูกสูบขึ้นไปเพื่ออัดอากาศให้ปริมาตรเล็กลง อากาศก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งอุณหภูมินี้จะสูงกว่า autoignition temperature ของน้ำมันดีเซล  จากนั้นก็ฉีดน้ำมันดีเซลเข้าไปในห้องเผาไหม้ให้เป็นฝอยละออง ละอองน้ำมันยิ่งเล็กละเอียดยิ่งดี แต่ก็จำเป็นต้องใช้ปั๊มฉีดน้ำมันที่แรงดันสูงขึ้น   พอฉีดน้ำมันเข้าไปในจังหวะลูกสูบเคลื่อนที่ใกล้ศูนย์ตายบน ซึ่งอุณหภูมิอากาศในห้องเผาไหม้ก็จะสูงกว่า autoignition temperature แล้ว  ละอองน้ำมันดีเซลจะสามารถลุกติดไฟได้เอง โดยที่ไม่ต้องใช้ประกายไฟแต่อย่างใด ซึ่งจริงๆ แล้ว  ตอนที่เราหมุนข้อเหวี่ยงให้ลูกสูบเคลื่อนที่ ตัวปั๊มฉีดน้ำมันก็ต้องทำงานไปด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นปั๊มแบบกลไก ก็จะพ่วงกับข้อเหวี่ยงไปด้วย  แต่ถ้าเป็นปั๊มไฟฟ้า ก็ต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไปก่อน ส่วนในเครื่องยนต์เบนซิน น้ำมันที่ใช้จะมีคุณสมบัติต่างจากน้ำมันดีเซล คือ มี Flash point ต่ำกว่ามาก จึงสามารถส่งส่วนผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศ หรือ ไอดี เข้าห้องเผาไหม้ได้โดยตรง  แต่ก็จำเป็นต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียน เพื่อควบคุมให้เชื้อเพลิงเผาไหม้ในจังหวะที่เราต้องการ  ถ้าไม่มีหัวเทียน เชื้อเพลิงก็จะเผาไหม้ได้เองเหมือนกัน ถ้าอุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงถึงจุด autoignition temperature แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 00:49:32 จากคุณ : นายเดชา เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 00:47:30

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกท่านสำหรับคำตอบครับ   อยากให้กีบ คูหา 11 จังครับเพราะตอบได้ตรงตามที่ใจผมคิดสงสัยเลยละครับ ... เลยทำให้ถึงบางอ้อ เรื่องที่ต้องหมุนมือ ดึงเชือก กับการสาตาร์เครื่องยนต์รถไถเดินตามด้วย ไหนจะต้องเข็นรถกระบะเวลาสตาร์ทไม่ติด  หรือเรื่องหมุนใบพัดเครื่องบินสมัยโบราณเวลาจะสตาร์ท ...... จากคุณ : Dare More เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 10:54:46

ความคิดเห็นที่ 15 มาช้าไปหน่อย อยากเสริมสักนิด เครื่องดีเซล มีความแน่นอนเรื่องสตาร์ทติด ดีกว่าเครื่องเบนซิน เครื่องดับเพลิงก็ดี , ระบบ Standby Gen-Set ก็ดี ส่วนใหญ่ใช้เครื่องดีเซล เวลาไฟดับ ระบบ auto start จะสตาร์ทฉึ่งเดียวติด สตาร์ท max 4 ครั้ง ไม่ติด ถือว่าผิดปกติ จะมีเสียงเตือนและไฟเตือนเรียกคนคุมรีบวิ่งมาทันที จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 07:41:48

ความคิดเห็นที่ 16 น้องผมไปเฝ้าสวนยาง ขับรถแลนด์โรเวอร์(เครื่องดีเซลอีซูซู) ในสวนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ขับไปถึง น้องจะจอดรถบนเนินชัน ถอดแบ็ตเตอร์เอาไปใช้ ดูทีวีและแสงสว่าง คืนไหนใช้ไฟเพลิน แบ็ตฯ หมด น้องจะเข้นรถลงเนินสตาร์ทได้ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 07:44:06

ความคิดเห็นที่ 17 ขออนุญาตเสริม คห. 13 สักนิด คงเคยได้ยิน Octane Number และ Cetane Number น้ำมันดีเซลจะพูดถึง Cetane Number คุณภาพการจุดระเบิดไวดีหรือไม่ อยู่ที่ค่า Cetane Number "Cetane Number ยิ่งมีมีค่าสูงเท่าไร ... น้ำมันเชิ้อเพลิงตัวนี้จะมี Ignition Delay ต่ำ" ===> เครื่องไม่น็อค   ค่า Ignition delay คือ เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงถูกฉีดเข้าไปแล้ว มันยังไม่ยอม"ติดไฟทันที" ติดไฟยิ่งช้าเท่าไร เมื่อจุดระเบิดจะเกิดแรงดันรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เกิดเสียงดังมากผิดปกติ ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเชื้อเพลิงที่ไม่ยอมติดไฟ จะไป"สะสมกองเป็นกองโต" ยิ่ง delay มาก กองเชื้อเพลิงก็โตมาก พอเชื้อเพลิงสะสมเกิดติดไฟ มันลุกพรึบทันที ส่งผลให้แรงดันเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 07:54:45

ความคิดเห็นที่ 18 การจุดระเบิดของดีเซล แบ่งเป็น 2 แบบหลัก คือ InDirect Ignition และ Direct Ignition 1) เครื่องยนต์แบบ Indirect Injection  IDI จะมี combustion chamber เล็กๆ ทำหน้าที่ "Pilot ignition" จุดประกายไฟเริ่มต้นก่อน แล้วประกายไฟจะแลบไปจุดระเบิดเชื้อเพลิงในห้องเผาไหม้หลัก วิธีจุดระเบิดแบบนี้ เป็นการจุดด้วย "เปลวไฟ" จุดระเบิดได้นิ่มนวล 2) Direct Injection หัวฉีดต้องฉีดเป็นฝอยละเอียดเพื่อจะสร้าง mixer ที่ติดไฟได้ดี ฉีดให้ติดไฟโดยตรง วิธีนี้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่มีข้อเสีย ที่เครื่องเสียงดังกว่า ต่อมาในปัจจุบันนี้ เครื่องดีเซลนิยมใช้ระบบฉีดแบบ Common Rail  โดยใช้ "หัวฉีดไฟฟ้า" การใช้หัวฉีดไฟฟ้าควบคุม ทำให้สามารถฉีดได้ติดต่อกันหลายครั้ง  เพื่อจะเอาข้อดีของทั้งสองแบบ คือ IDI และ DI มาใช้ประโยชน์ เริ่มต้นฉีด Pilot Injection นิดนึง แล้ว main Injection แล้ว ต่อด้วย Post Ignition การจุดระเบิดจะนิ่มนวล คลายแบบ  precombustion camber ในขณะเดียวกันก็ได้ผลดีจากระบบ Direct Injection ด้วย นอกจากนี้การ post ignition (ฉีดตาม) จะส่งผลให้ ความดันเพิ่มขึ้นใกล้เคียง const-pressure มากที่สุด เมื่อดู พื้นที่ใต้กราฟจะได้พื้นที่มาก นั่นคือ Thermal Efficiency สูงขึ้น รถดีเซล common rail จึงมีพลังดีขึ้น ขับสนุก และเครื่องเดินเงียบ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 08:08:11

ความคิดเห็นที่ 19 Common Rail  โดยใช้ "หัวฉีดไฟฟ้า" >>>>>>>> ควบคุมโดยใช้ Piezo Effect ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 08:09:41