ความคิดเห็นที่ 1 ตามที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าว “เมื่อนักวิทยาศาสตร์เตือนสติสังคมไทย จาก GT 200 สู่ อีเอ็มบอล เราเรียนรู้อะไรจากอดีต” ล่าสุด คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลการทดสอบประสิทธิภาพของอีเอ็มในการบำบัดน้ำสีย ได้ผลการทดลองที่สรุปว่า การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลงไม่มีผลทำให้น้ำใสขึ้น ขณะที่ปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีกว่าเติมอีเอ็มลงไป จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่สร้างความเดือดให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง จนนักวิชาการบางกลุ่มแนะนำให้ใช้อีเอ็มบำบัดน้ำเสีย ซึ่งอีเอ็มที่นำมาใช้ก็มีทั้งแบบที่เป็นผลิตภัณฑ์โดยบริษัทเอกชนและอีเอ็มที่กลุ่มชาวบ้านได้ผลิตขึ้นมาใช้กันเอง มีการรณรงค์ให้ใช้อีเอ็มบำบัดน้ำเสียกันอย่างแพร่หลาย เกิดการใช้งบประมาณของภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะที่มีการรณรงค์และใช้อีเอ็มกันอย่างแพร่หลาย ก็ได้มีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่ง ออกมาคัดค้านแนวคิดการใช้อีเอ็มในการบำบัดน้ำเสีย โดยให้เหตุผลว่า อีเอ็มไม่สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียได้และยังทำให้น้ำเสียมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่ความสับสนในสังคมว่าอีเอ็มสามารถใช้บำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ทำการทดลองในวันที่ 6–16 ธันวาคม 2554 เพื่อทดสอบว่าอีเอ็มสามารถบำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพดีขึ้น ด้วยการเพิ่มปริมาณค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำได้จริงหรือไม่ และนอกจากนี้ยังศึกษาด้วยว่า ความสามารถในการบำบัดน้ำเสียดังกล่าว (ถ้ามี) มาจากการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำเสีย หรือมาจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เชื้อสร้างขึ้นระหว่างนำมาขยายด้วยกากน้ำตาลก่อนเอาไปทดลอง การทดลองครั้งนี้ ถือเป็นการทดลองอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสถาบันวิจัยในประเทศไทย ในรูปแบบการทดลองที่มีการกำหนดชุดควบคุมในพื้นที่ปิด ซึ่งต่างจากการทดลองครั้งอื่นๆ ก่อนหน้า ที่ทำกันในพื้นที่เปิดหรือในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่มีชุดควบคุม วิธีการทดลองนี้เริ่มจากเก็บน้ำเสียในบริเวณที่มีการท่วมขังปริมาตร 80 ลิตร ตวงใส่โหลแก้วขนาด 2 ลิตร โหลละ 1 ลิตร จำนวน 45 ใบ จัดแบ่งโหลน้ำเสียเป็น 3 ชุดการทดลอง คือ ชุดควบคุม (ไม่ใส่อีเอ็ม) ชุดอีเอ็ม (ใส่อีเอ็มที่เตรียมจากการนำหัวเชื้ออีเอ็มที่เป็นที่นิยมยี่ห้อหนึ่ง มาขยายเพิ่มด้วยกากน้ำตาลตามปริมาณที่กำหนด เป็นเวลา 2 วัน) และชุด filtrated EM (ใช้อีเอ็มที่ขยายแล้ว มากรองเอาเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็มออกด้วยกระดาษกรองเนื้อละเอียดสูง ให้เหลือแต่น้ำและผลิตภัณฑ์ที่เชื้อสร้างขึ้น) โดยเติมอีเอ็ม และ filtrated EM อย่างละ 1 มิลลิลิตร ตามชุดการทดลองที่กำหนด จากนั้น จัดวางชุดการทดลองตามลำดับวันที่จะเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจ คือ ชุดวันที่ 0 (วันแรก) 1 วัน 2 วัน 4 วัน และ 7 วัน โดยใช้วิธี Complete Randomized Design (CRD) ในการสุ่มวางตำแหน่งของโหลน้ำเสีย เพื่อให้แสงจากหลอดไฟขนาด 60 วัตต์ ที่ฉายให้วันละ 12 ชั่วโมง สามารถกระจายได้ทั่วถึงโดยสุ่ม เปิดฝาขวดทิ้งไว้เผื่อให้น้ำสัมผัสกับอากาศ ในแต่ละครั้งที่เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจ จะนำมาถ่ายรูปกับฉากหลังฟิวเจอร์บอร์ดสีขาว จากนั้นแบ่งตัวอย่างน้ำไปตรวจค่า BOD ซึ่งจะต้องใส่สารเคมีเพื่อตรึงออกซิเจนในน้ำก่อน น้ำที่เหลือนำใส่กระบอกส่งไปหน่วยงานมาตรฐานที่รับตรวจคุณภาพน้ำ โดยขอตรวจค่า Biological Oxygen Demand (BOD), Chemical Oxygen Demand (COD), Dissolved Oxygen (DO) (ด้วยวิธีไทเทรต), ค่าไนโตรเจนอินทรีย์ในน้ำ (Organic Nitrogen) และค่า Total Suspended Solid (TSS; ของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ เพื่อดูความสามารถในการตกตะกอนของอีเอ็มให้น้ำใสขึ้น) ก่อนนำผลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของอีเอ็ม และหาความแตกต่างทางสถิติของค่าเฉลี่ยทั้ง 5 ตัวแปร ในแต่ละวันระหว่างชุดการทดลอง ด้วยวิธี One way ANOVA จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 10:09:09

ความคิดเห็นที่ 2 จากการทดลองทั้งหมดจึงนำปสู่ข้อสรุปที่ว่า การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลง โดยอีเอ็ม หรือส่วนน้ำใสของอีเอ็ม (filtrated EM) ไม่ได้มีผลให้น้ำใสขึ้น และจากดัชนีชี้วัดคุณภาพน้ำทั้ง 5 ตัวแปร ชุดควบคุมซึ่งเป็นการปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติให้ค่าที่ดีกว่าชุดการทดลองที่มีการเติมอีเอ็ม และ filtrated EM หลังจากที่ผลการทดลองออกมา ได้มีผู้นำการทดลองดังกล่าวไปลงใน เว็บไซต์พันทิป ห้องหว้ากอ ซึ่งเป็นห้องที่พูดคุยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนนำไปสู่การถกเถียงทั้งจากผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับผลการทดลองเป็นจำนวนมาก โดยประเด็นหลักๆ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันคือ วิธีการทดลองที่อาจยังมีข้อบกพร่อง โดยตัวอย่างน้ำที่นำมาทดลองในครั้งนี้นั้น ไม่ตรงกับน้ำในสภาวะน้ำท่วมที่มีขยะมูลฝอยขนาดใหญ่ปนอยู่ในน้ำ แต่น้ำที่นำมาใช้ทดลองกลับนำขยะมูลฝอยขนาดใหญ่ออกไป หรือกรณีน้ำที่นำมาทดลองมีค่า BOD ต่ำ คือประมาณ 14 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นน้ำเสียมาก และการขยายเชื้ออีเอ็มในกากน้ำตาลเพียง 2 วัน ยังไม่ยาวนานเพียงพอ อีเอ็มจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อสอบถามไปยัง ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลขาฯ ทีมการทดลอง ผศ.ดร.เจษฎาได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การทดลองในครั้งนี้เป็นการตอบคำถามในเบื้องต้นว่า อีเอ็มทำให้มีค่าออกซิเจนในน้ำเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ แต่ผลการทดลองได้ชี้ว่า อีเอ็มไม่ได้ช่วยออกซิเจนในน้ำเพิ่มขึ้นได้ ส่วนกรณีสิ่งที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นมาจากอาหารหรือกากน้ำตาลต่างๆ ได้มีการเพิ่มชุดการทดลองโดยกรองเอาเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็มออก ให้เหลือแต่น้ำและสิ่งที่เชื้อสร้างขึ้นก็พบว่าให้ผลไม่ต่างกัน เมื่อดูจากชุดควบคุมที่ไม่ได้ใส่อะไรลงไปก็พบว่า น้ำสามารถบำบัดตัวเองได้ดีโดยที่ไม่ต้องใส่อีเอ็มลงไป การทดลองครั้งนี้ต่างจากการการทดลองอื่นๆ ที่ทำกันในแหล่งน้ำธรรมชาติและไม่มีชุดควบคุม ทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ที่น้ำดีขึ้นเป็นเพราะอีเอ็มหรือเพราะน้ำมีการบำบัดตัวเอง แต่การทดลองในห้องแล็บที่มีชุดควบคุม จะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชุดควบคุมกับชุดที่มีการใส่อีเอ็มลงไป ผศ.ดร.เจษฎากล่าวว่า การทดลองครั้งนี้ ยังมีสิ่งที่ขาดคือการตรวจดูปริมาณเชื้อในแต่ละวันว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนที่มีความยุ่งยากและใช้งบประมาณสูง เพราะการทดลองครั้งนี้ก็ใช้งบประมาณไปกว่า 50,000 บาทแล้ว ส่วนความเห็นโต้แย้งเรื่องน้ำเสียที่มีค่า BOD ต่ำเกินไป ผศ.ดร.เจษฎาชี้แจงว่า น้ำที่เอามาใช้ทดลองถือเป็นน้ำเสียตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และการทดลองนี้ก็ต้องการหาคำตอบว่า น้ำเสียจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ อีเอ็มสามารถช่วยได้มากน้อยแค่ไหนไม่ใช่นำน้ำเสียจากโรงงานมาทดลอง และเรื่องกลิ่นก็ไม่ใช่โจทย์หลักในการทดลองครั้งนี้ เพราะกลิ่นเป็นเรื่องของความรู้สึก ทำให้ยากในการคาดการณ์เป็นตัวเลขตามหลักทดลองทางวิทยาศาสตร์ “เรื่องการนำขยะมูลฝอยใส่ลงไปในน้ำที่ทำการทดลองนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี หากมีการออกแบบการทดลองและสามารถมาแสดงให้ดูได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ในความจริงเป็นเรื่องยาก ที่จะหาขยะหรือของเสียที่มีคุณสมบัติเดียวกันในปริมาณที่เท่ากันมาทดลอง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะการทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์เป็นการพยายามควบคุมปัจจัยให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เหลือแค่ประเด็นที่จะควบคุมและนำผลมาตรวจสอบกัน” ผศ.ดร.เจษฎากล่าว ส่วนเรื่องระยะเวลาในการหมัก ที่มีคนอ้างว่ายิ่งหมักนานจะทำให้มีสารออกมามากนั้น ในทางจุลชีวิทยาพบว่า จุลินทรีย์ต่างๆจะสร้างสารในช่วง 2 วันแรก ดังนั้นเวลา 2 วัน จึงเพียงพอ โดยการทดลองครั้งนี้ใช้อีเอ็มในปริมาณมากกว่าที่มีการแนะนำ คือใช้อีเอ็มต่อน้ำ 1:10,000 เท่า มากกว่าปริมาณที่มีการแนะนำ คือ 1:1,000 เท่า “หลังจากนี้ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 19 มกราคม 2555 และเผยแพร่เป็นบทความลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยเปิดโอกาสให้คนอื่นที่ทำการทดลองนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งหากมีคนไม่เห็นด้วยกับผลการทดลอง ก็สามารถทำการทดลองแล้วนำผลมาโต้แย้งได้ตามหลักวิทยาศาตร์” ผศ.ดร.เจษฎากล่าว จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 10:10:32

ความคิดเห็นที่ 3 ตามเนื้อข่าวนี้มีแก้ไขนิดหน่อยนะ ตรง "ใช้อีเอ็มต่อน้ำ 1:10,000 เท่า มากกว่าปริมาณที่มีการแนะนำ คือ 1:1,000 เท่า" คือมันกลับข้างกันน่ะครับ ต้องเป็น "ใช้อีเอ็มต่อน้ำ 1:1,000 เท่า มากกว่าปริมาณที่มีการแนะนำ คือ 1:10,000 เท่า" และก็เรื่องที่คณะจะแถลงข่าววันพฤหัสนี้ ตกลงว่าเลื่อนไปสัปดาห์หน้าโดยยังไม่ทราบว่าวันไหน เพราะว่าอาจารย์ไม่ว่างกันเยอะในสัปดาห์นี้ครับ หวังว่ากระทู้นี้ 3 หนุ่มเนื้อทอง t-w-ช คงจะแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างเป็นมิตรนะ ตา "ปลามีนิ้ว" ก็เพลาๆ เรื่องใช้คำแรงๆ หน่อยครับ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 10:16:21

ความคิดเห็นที่ 4 (^_^) จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:10:20

ความคิดเห็นที่ 5 จารย์สู้ๆ.. จากคุณ : paefah เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:19:16

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้นี้รายละเอียดก็ชัดเจนขึ้นครับ  แต่ปัญหาใหญ่คือข้อสรุปที่ว่า "ผลการทดลองนี้สรุปว่า การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลงไม่มีผลทำให้น้ำใสขึ้น ขณะที่ปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีกว่าเติมอีเอ็มลงไป" เพราะข้อความที่ว่า "การปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น" มันเป็นการสรุปที่ ค้านกับความเป็นจริงตามธรรมชาตินะครับ ส่วนประเด็นที่ผู้วิจัยตอบข้อโต้แย้ง 1. ขยะในน้ำ และ ปริมาณ BOD 2. เรื่องกลิ่น 3. ระยะเวลาการหมัก EM ประเด็นที่ 3 ผมไม่ติดใจ แต่ประเด็นที่ 1  เหมือนกับการแก้ตัว มากกว่านะครับ เพราะ ถ้าอยากจะให้มีขยะในน้ำเหมือนกันทุกชุดการทดลองจริงๆ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ท่านจะเอาขยะตัวอย่างหลายๆชนิดมาปั่นรวมกัน แล้วตวงเทใส่ขวดทดลองในปริมาณเท่าๆ กัน ก็ได้ ซึ่งทุกอย่างควบคุมได้หมด ประเด็นที่ 2 เรื่องการทดสอบกลิ่น ก็เป็นการแก้ตัวอีก เพราะ กลิ่นสามารถทดสอบได้จากการหาค่าปริมาณ ก๊า๊ซชนิดต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งสามารถวิเคราะห์เป็นตัวเลขได้  เครื่องทดสอบกลิ่นก็มี มีงานวิจัยเยอะแยะที่วิเคราะห์กลิ่นเป็นตัวเลขได้ ดังนั้น การอ้างว่า กลิ่นเป็นความรู้สึก จึงเป็นการแก้ตัวของผู้ทดลอง อ้างอิงครับ   : http://www.pcd.go.th/info_serv/Datasmell/P3.htm   http://www.nanotec.or.th/th/?page_id=684 และท่านบอกว่า กลิ่นไม่ใช่โจทย์หลัก ก็เป็นการหลอกตัวเอง ถ้าลองกลับไปอ่าน ความเป็นมาของการทดลอง "จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น ...." จะเห็นว่า กลิ่นเหม็น คือ โจทย์หลักเลยครับ ดังนั้นผู้ทดลองน่าจะบอกความจริงว่า ที่ไม่ทดสอบกลิ่น เป็นเพราะ เป็นข้อจำกัดของ งบประมาณ และ เครื่องมือที่ใช้ เพราะ ลำพังการ แค่การหาค่า DO ก็คงจะใช้งบเยอะแล้ว ถ้าต้องทดสอบ ก๊าซชนิดอื่นๆ ที่ละลายในน้ำด้วยก็คงจะใช้งบมากกว่านี้ แค่ผมค้นหาคำว่า "การตรวจวัดกลิ่น"  ใน google  ก็รู้แล้วครับ ผมแค่อยากให้บอกข้อจำกัดของการทดลองนี้ ให้เป็นตามความเป็นจริงนะครับ ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าใจผิดกันไปว่า  การตรวจสอบกลิ่น  ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 11:34:37 จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:22:17

ความคิดเห็นที่ 7 #6 เพราะข้อความที่ว่า "การปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น" มันเป็นการสรุปที่ ค้านกับความเป็นจริงตามธรรมชาตินะครับ ลองค้นด้วย Key word : water self purification ก่อนดีกว่าครับ อย่าเอาแต่คิด แล้วด่วนสรุปเอาเอง เลยครับ ส่วนประเด็นเรื่อง เอาขยะมาปั่น ตรงนี้น่าสนใจครับ แต่จะใช้ขยะ อะไรบ้าง เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ แล้วทำไม ถึงต้องใช้ขยะประเภท และ จำนวนเท่านั้น สำหรับการทดลองนี้ แล้วขยะปั่น ด้วยสัดส่วนดังกล่าว เมื่อนำมาใส่ในน้ำ จะสามารถเป็นตัวแทน น้ำเสียที่มีขยะ ในสภาวะน้ำท่วม ได้จริงๆน่ะหรือ อะไร คือ ข้อพิสูจน์ว่า สมมติฐานดังกล่าวนั้น เป็นความจริง จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:44:27 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 8 ทราบแล้ว อ.เจษฯ เอามาแจ้งแล้ว ต่ะก็ขอบคุณครับที่เอามาให้อ่าน จากคุณ : @==ไข่ดำ==@ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:44:29

ความคิดเห็นที่ 9 ตั้งสมมติฐานแย้ง ขึ้นมาก่อน อันนี้ ถือว่า ปกติครับ เป็นการสอบการทาน หรือ ตั้งข้อสังเกตการทดลอง ของคนอื่น แต่ถ้าตั้งสมมติฐานแย้ง ในทฤษฏี ที่ท่านเชื่อ เป็นการส่วนตัว ท่านต้องออแบบการทดลอง ทำการทดลอง บันทึกผล แล้วนำมาสรุป เพื่อค้าน หรือ แย้ง น่าจะดีกว่า แล้วท่าน ก็จะต้องตอบคำถาม และ ข้อสังเกต เกี่ยวกับสมมติฐานและการทดลองชองท่าน ต่อคนอื่นๆด้วย เช่นเดียวกัน โจทย์ การโยน EM Ball ลงในน้ำเสีย สามารถบำบัดน้ำเสียนั้นได้ โดยไม่ต้องรู้สภาพน้ำตั้งต้น หรือ วิเคราะห์น้ำตัวอย่าง ได้จริงหรือ ? ดูจากโจทย์แค่นี้ ก็พอเห็นเค้าลางแล้วนะครับ ว่า สมมติฐานที่ตั้งไว้นั้น จะถูกสั่นคลอน ด้วยตัวแปรอะไรบ้าง จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:58:31 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 10 #7  คุณบัตรผ่าน "ด้วยรักและผ่านมาก่อน" ครับ ข้อสรุปนี้มันขัดกับความจริง และ มันขัดแย้งในตัวเองของการทดลองชัดๆ ลองไปกลับไปอ่านหลายๆรอบว่า ที่มาของปัญหาคืออะไร ใน คห.#1 "จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น ...." ถ้าข้อสรุปนี้ "การปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น" เป็นจริง มันก็ไปขัดแย้งกับที่มาของปัญหา เพราะถ้าการปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติทำให้น้ำดีได้จริง แล้วมันจะเกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น ได้ยังไง แต่จะไม่เชื่อผมก็ได้ครับ เพราะ ผมแค่ชี้ให้เห็นว่าด้วยความหวังดี การเขียนข้อสรุปที่ขัดกับความจริงมันสามารถทำให้ผู้วิจัย เสียเครดิตได้ ----------- ส่วนการใช้ขยะปั่นมาทดลอง เป็นตัวแทนน้ำเสียที่มีขยะ ในสภาวะน้ำท่วม ได้จริงหรือ? มันก็ย้อนกลับไปสู่คำถามว่า  น้ำเสียที่ไม่มีขยะ เป็นตัวแทนน้ำเสียที่มีขยะในสภาวะน้ำท่วม ได้จริงหรือ ? คือถ้าผมคิดว่า น้ำเสียที่ไม่มีขยะ เป็นตัวแทนน้ำเสียในสภาวะน้ำท่วมได้จริง ผมคงไม่เสนอให้เอาขยะปั่นใส่ด้วย  เขาเรียกว่าการจำลองไงครับ   น้ำเสียที่ขยะปั่นผสมอยู่ มีความน่าเชื่อถือมากกว่่าน้ำเสียที่ไม่มีขยะ ผสมอยู่แน่นอน ------------ ที่ผมติติง งานวิจัยนี้ เพราะ EM มีผู้ใช้จำนวนมากทั่วประเทศ เป็นความเชื่อที่เกิดจากการทดลองใช้เองของชาวบ้าน ผู้วิจัยอ้างว่า ไม่มีการวิจัยที่จริงจังในห้องปฏิบัติการ ก็เหมือนกับการดูถูกการวิจัยของชาวบ้าน ว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าผู้วิจัยกล้าที่จะทำเช่นนี้ สิ่งที่ผู้วิัจัยต้องทำก็คือ ต้องแสดงให้เห็นว่างานวิจัยของตนเองมีคุณภาพมากกว่า ไม่ใช่  แก้ตัวว่า ที่ไม่ทดสอบกลิ่น เพราะ กลิ่นเป็นความรู้สึก ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใส่ขยะในน้ำที่ใช้ทดลอง  เพราะ ควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ซึ่งมันก็เหมือนการหลอกกัน แล้วจะไปต่างอะัไรกับ อีกฝ่ายที่สนับสนุนให้ใช้ EM ละครับ ผมถึงบอกว่า ให้พูดความจริง ทดลองอะไร ได้ผลยังไง ก็สรุปตามความจริง แต่อย่า สรุปเกินกว่างานที่ตนเองทดลอง อะไรคือข้อจำกัด ที่ไม่ทำเพราะอะไรไม่ใช่มาหลอกกัน ไม่ต้องไปอ้่างว่า แล้วทีพวกที่สนับสนุน EM  โฆษณาอย่างโน้น อย่างนี้ ไม่เห็นมีการทดลอง วิจัยอะไรมารองรับ  เพราะ พวกเขาก็วิจัยในแบบของพวกเขาเหมือนกัน เช่น เอา EM Ball ไปโยนในแหล่งน้ำเสียจริงๆ ซึ่งคุณอ้างว่า การทำแบบนั้นมันควบคุมไม่ได้ เขาก็แย้งการทดลองของคุณได้เช่นกัน แล้วยิ่งถ้าคุณสรุปผลเกินกว่างานที่ตนเองทดลอง พอโดนแย้งก็ แก้ตัว ไม่ยอมรับความจริง อีก ยิ่งจะทำให้เสียเครดิต ความน่าเชื่อถือ จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 12:23:29

ความคิดเห็นที่ 11 #9  โจทย์ การโยน EM Ball ลงในน้ำเสีย สามารถบำบัดน้ำเสียนั้นได้ โดยไม่ต้องรู้สภาพน้ำตั้งต้น หรือ วิเคราะห์น้ำตัวอย่าง ได้จริงหรือ ? อันนี้ไม่ใช่โจทย์หลักของการทดลองนี้ นะครับ ย้อนกลับไปอ่าน คห.#1 มีบรรทัดไหนเขียนไว้ครับ  คุณอย่าพยายามพาผมออกทะเลเลยครับ ------------------------------------------- ความจริงนะครับ โจทย์หลักของงานนี้คือ "การทดลองในครั้งนี้เป็นการตอบคำถามในเบื้องต้นว่า อีเอ็มทำให้มีค่าออกซิเจนในน้ำเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่"  จาก ผศ.ดร.เจษฎา ตอบไว้ใน คห.#2 โจทย์หลอกของงานนี้คือ "อีเอ็มสามารถใช้บำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่" ผลสรุปจากโจทย์หลัก คห. #3 "การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลง" แต่กลับมีการเขียน ผลสรุปว่า "การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลงไม่มีผลทำให้น้ำใสขึ้น ขณะที่ปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีกว่าเติมอีเอ็มลงไป" เมื่อแยกบทสรุปก็จะพบว่า 1. "การเติมอีเอ็มลงไปในน้ำส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายในน้ำลดลงไม่มีผลทำให้น้ำใสขึ้น"  เป็น  fact จากการทดลอง 2. "ขณะที่ปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีกว่าเติมอีเอ็มลงไป"   เป็นการอนุมาน ไม่ใช่  fact จากการทดลอง  มิหนำซ้ำ มันยังไปขัดแย้งกับ fact ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ที่นำมาสู่การทดลองนี้อีกด้วย ----------------------------------- ถ้าจะให้ตอบโจทย์ว่า "อีเอ็มสามารถใช้บำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่" ผมจึงแนะนำให้ ใส่ขยะในน้ำที่จะทดสอบ และ ต้องทดสอบกลิ่นด้วย ก็จะสามารถตอบโจทย์ได้ใกล้เคียงกว่านี้ งานนี้ทดลองเสร็จไปแล้ว ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าจะมีการทดลองต่อไป ผมก็ให้เป็นข้อเสนอแนะไว้ให้พิจารณา ส่วนผู้วิจัยจะบอกว่าข้อเสนอของผมไม่เป็นวิทยาศาสตร์   ควบคุมไม่ได้ เป็นความรู้สึก หรือมีเหตุผลอื่นใด   ก็สุดแล้วแต่ครับ  ผมก็บังคับไม่ได้ ----------------------------------- สุดท้าย ถ้าทุกคนยอมรับว่า งานนี้เป็นแค่ "การตอบคำถามในเบื้องต้นว่า อีเอ็มทำให้มีค่าออกซิเจนในน้ำเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่"  ตามที่ ผศ.ดร.เจษฎา  พูด แล้วก็ค้าง คำถามว่า "อีเอ็มสามารถใช้บำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่" ให้ช่วยกันหาคำตอบต่อไป ก็จะเป็นการดี โดยที่ยังไม่ควรเอาผลการทดลองนี้ ไปด่าว่า คนขาย EM ว่าหลอกลวง เอาไว้มีผลการทดลองจริงๆ ก่อนว่า   "อีเอ็มสามารถใช้บำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่" แล้วก็ค่อยด่า ก็ยังไม่สาย ตอนนี้คนที่ใช้ EM  เขาก็คงจะเชื่อสิ่งที่ได้จากการทดลองของเขาเองครับ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 12:59:20 จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 12:53:32

ความคิดเห็นที่ 12 Edit ดีก่า เปรี้ยวไป อิอิ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 13:05:03 จากคุณ : ฟุดฟิด (ฟุดฟิด) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:00:39

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณคุณ Webkit สำหรับคอมเม้นต์ต่างๆ ครับ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เรายอมรับว่าการทดลองนี้ยังมีจุดบอดหลายส่วน แต่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และเหมาะสมแล้วที่จะนำเสนอผลออกมาไปกระตุ้นให้คนอื่น ทีมอื่น ที่อาจจะมีเครื่องมือดีกว่าเรา มีเงินมากกว่าเรา ได้ทำการทดลองเอาผลมานำเสนอ ทั้งจะสนับสนุนหรือจะแย้งเราก็ตาม ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการใช้ EM ball ในช่วงน้ำท่วม เราเคยแถลงไว้นานแล้ว http://www.sc.chula.ac.th/th/newsDetail.asp?newsID=320 (ในหว้ากอ ก็เคยเอามาลงไว้) ซึ่งถ้าอ่านดูแล้ว จะทราบว่าต่างจากทางวิศวะจุฬาฯ มาก ที่เรายอมรับว่า EM น้ำ เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ที่จะใช้ลดกลิ่น ลดความขุ่นดำของน้ำเสีย แต่ผู้ใช้ต้องรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งวิธีการเตรียมและวิธีการใช้ รวมทั้งว่า มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างยั่งยืน ต้องคอยเติมน้ำอีเอ็มลงไปเรื่อยๆ ของเสียในน้ำยังอยู่เหมือนเดิม คุณภาพน้ำยังต่ำเหมือนเดิม โดยเฉพาะเรื่องออกซิเจนในน้ำที่ในเชิงทฤษฎีแล้ว ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งมันควรจะจบแค่นั้น แต่การที่มีบางองค์กรพยายามอ้างว่าออกซิเจนในน้ำเพิ่มได้ ทั้งที่ไม่ได้มีรายงานว่าในอีเอ็มมีสาหร่ายหรือไซยาโนแบคทีเรียเลย ทำให้เราอยากทำการทดลองหาข้อสรุปเรื่องนี้ จนออกมาเป็นผลอย่างข้างต้น ถ้างานวิจัยนี้มีจุดบอดจนไม่เป็นที่ยอมรับกัน (อย่างหลายๆ ข้อที่ช่วยคอมเม้นต์มา) ผมเชื่อว่าถ้าเป็นประเด็นจริงๆ คงมีผู้เชี่ยวชาญในวงการออกมาคอมเม้นต์เสริมด้วย และไม่แน่ว่าผู้บริหารผมอาจจะพยายามไปหาเงินมาทำปรับปรุงในอนาคต (แต่อยากเห็นหน่วยงานอื่นๆ มาทำเสริมกันมากกว่า) จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:09:37

ความคิดเห็นที่ 14 บางคน ยังแยกประเด็น การบำบัดน้ำเสีย กับ การกำจัดกลิ่น ออกจากกันยังไม่ได้เลย การที่เขาตักเอาน้ำจากน้ำท่วมมา อันนี้ไม่ใช่จำลองนะครับ เป็นตัวอย่าง น้ำจริง แล้วเอามา ทดลองในสภาวะควบคุม แต่การเอาขยะมาปั่น แล้วผสมน้ำ อันนี้ต่างหาก เป็นการ สร้างน้ำตัวอย่างขึ้นมาเอง ตรงนี้ก็ต่างกันแล้วล่ะครับ แล้วชาวบ้าน นำไปทดลองแล้วได้ผล ได้ผลเชิงเกษตร หรือ แค่ลดกลิ่น หรือ บำบัดน้ำเสีย ล่ะครับ มีการเก็บตัวอย่าง ก่อนการโยนหรือไม่ มีการควบคุมการทดลองอย่างไร แล้วมีการวิเคราะห์น้ำหลังจากโยนแล้ว หรือเปล่า ถึงเชื่อว่า EM Ball สามารถ บำบัดน้ำเสีย ได้ผล น่ะครับ จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:11:07 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ ด้วยรักและผ่านมาก่อน ครับ ผมว่า ใจเย็นๆ ดีกว่ามั้งครับ ปัญหาคือ มีคนเชื่อว่า EM Ball สามารถ บำบัดน้ำเสียได้ ทำไมเชื่อ เพราะ ชาวบ้านเอาไปทดลองใช้ มีการปั้นเป็น แสนลูก โยนลงน้ำไปแล้ว ดูจากข่าวในสื่อต่างๆ แล้ว ก็มีรายงานว่า ประชาชนส่วนมากเชื่อว่าได้ผล   คำถามคือ "รู้ได้ยังไงว่า เป็นผลจาก EM" ก็นำไปสู่การทดลอง แบบที่ คณะวิทย์ จุฬา ทำการทดลอง แต่การทดลองนี้ ตอบคำถามได้หมดมั้ย ก็ต้องยอมรับว่า การทดลองนี้ยังตอบไม่ได้หมด มันตอบได้แค่บางจุด เพราะกลไกในธรรมชาติ มันซับซ้อน EM อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ สมัยก่อน EM มันจะมีแต่เฉพาะแบบน้ำ ก็มีช่วงน้ำท่วมที่ EM-Ball เริ่มเป็นที่รู้จัก   ซึ่งคงไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดขึ้นมาได้ มันก็ต้องมีที่มาที่ไป ส่วนผสมของ EM-Ball ออกมาเป็นสูตร ก็คงต้องผ่านการทดลองมาบ้าง แต่อาจจะไม่ได้อยู่ในแวดวงวิชาการ หรือ มี Paper รองรับ แต่ก็เป็นการดีที่ นักวิชาการสนใจ EM และทำการศึกษาว่า จริงๆ แล้ว มันมีประโยชน์อะไรบ้าง จริงๆแล้วมันมีกลไกทำงานยังไง อะไรที่มันทำได้ อะไรที่มันทำไม่ได้ ซึ่งมันอาจจะได้ผล หรือ ไม่ได้ผลก็ได้ เพราะว่า ถ้าไม่ได้ผลเลยจริงๆ  EM ก็คงถูกชาวบ้านที่เอาไปใช้ ด่าไปแล้ว ไม่ต้องรอถึงวันนี้หรอกครับ เพียงแต่ว่า ต้องแยกแยะว่า EM หรือ น้ำหมัก ไม่ใช่ยาวิเศษ จะเอามาทำทุกอย่าง แบบป้าเช้ง ซึ่งผมว่ามันอันตราย เอาน้ำหมักมาใช้ล้างจาน อาบน้ำ ล้างหน้า ล้างมือ แทนสบู่ สุดท้ายเอา หยอดตา จนตาบอด จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:53:15

ความคิดเห็นที่ 16 ผิดตั้งแต่วิเคราะห์แบบ one-way anova แล้่วครับ แน่ใจหรือเปล่าว่าข้อมูลมีการกระจายแบบ normal จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 14:33:02

ความคิดเห็นที่ 17 จากความเห็นเดิม ในกระทู้ที่แล้ว ความคิดเห็นที่ 216 ตอนนี้ EM Ball น่าจะชิดซ้ายแล้ว เพราะมี SM Ball มาแทนที่ จุลินทรีย์ชนิดนี้ อยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (Photosynthetic Bacteria; PSB) ไม่อยู่ในกลุ่มที่ใช้ทำEM (ซึ่งมีขายตามท้องตลาดทั่วๆไป) และได้ตั้งชื่อว่า SM Ball =Super Microbial Ball ราคาถูก บำบัดกลิ่นได้รวดเร็ว บำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้ยาวนาน และสามารถเช็คค่า BOD ได้ดีกว่าจุลินทรีย์ชนิดอื่น การบำบัดน้ำเสียของ SM Ballได้ค่าBOD ที่ดีกว่า และบำบัดน้ำเสียได้เป็นเวลายาวนานกว่า จุลินทรีย์ชนิดอื่น จุลินทรีย์ชนิดนี้ ทนความร้อนได้สูง ใส่ในหม้อน้ำรถยนต์ ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ กำจัดตระกันในหม้อน้ำรถยนต์ได้ด้วย จุลินทรีย์ชนิดนี้ ลดมลภาวะ ทำให้เกิดสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยให้น้ำในแม่น้ำลำคลองสะอาด เพิ่ม O2(อ๊อกซิเจน) ทำให้สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา แข็งแรง การต่อยอดทางด้านเกษตร ใช้จุลินทรีย์ก้อนย่อยสลายตอซังข้าวในนาข้าว ป้องกันโรคข้าวดีดและเมล็ดลีบ ใช้ฝังตามโคนต้น กาแฟที่ประเทศลาว ลำใยที่ลำพูน ลองกองที่หาดใหญ่ ยางพาราที่โคราช ส้มเขียวหวาน ที่กำแพงเพชร มะนาวที่โคราช ฯลฯ พืชเจริญงอกงามดี รสชาติดี และยังสามารถ ใช้ร่วมกับสมุนไพร สูตรต่างๆ ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้าตาลในนาข้าว หนอนกอ และแมลงศัตรูพืชต่างๆ เนื่องจากเขาเป็นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เมื่อถูกฉีดไปจับที่ใบพืช ทำให้การสังเคราะห์แสงของพืช เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พืชโตไว แข็งแรง และถ้าใช้เป็นประจำ จะสามารถต้านโรคพืชได้ดีอีกด้วย สำหรับส้มเขียวหวานที่กำแพงเพชร ชาวสวนใช้ดีแล้วบอกต่อ ซื้อไปเป็นจำนวนมาก โดยฝังจุลินทรีย์ก้อน ห่างจากโคนต้น 1 เมตร ลึกเพียงประมาณ 1 คืบ ส้มให้ผลผลิตดี ผิวสวย ที่สำคัญ รสชาติดีขึ้นมาก ... ... ตืดต่อ : .... ******* เนื่องจากเขาเป็นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เมื่อถูกฉีดไปจับที่ใบพืช ทำให้การสังเคราะห์แสงของพืช เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พืชโตไว แข็งแรง และถ้าใช้เป็นประจำ จะสามารถต้านโรคพืชได้ดีอีกด้วย ***** ท่านเชื่อหรือไม่ ถ้าท่านไม่เชื่อ คนขาย เขาก็บอกว่า เขาทดลองแล้ว ลูกค้าเขาทดลองแล้ว ได้ผล ท่านจะแย้งว่าอย่างไรล่ะครับ ท่านจะเอามาทดลองแบบควบคุมตัวแปรหรือไม่ อย่างไร ถ้าหากการทดลองยังไม่แล้วเสร็จ หรือ ทำไม่ครบพืชทุกชนิดบนโลก ก็จะถือว่า การทดลองยังมีข้อบกพร่อง อย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควร รณรงค์ให้คนมาใช้ SM Ball แทน EM Ball แล้วล่ะครับ เพราะ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแย้ง SM Ball ยังไม่น่าเชื่อถือ เราจะปล่อยให้ การตลาดลวงโลก แบบนี้ คงอยู่คู่กับ เมืองไทย ไปตลาดกาลนาน จริงๆ น่ะหรือครับ จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:16:14 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 18 รู้สึกกระทู้ em มันจะคล้ายๆกับกระทู้ บั้งไฟพญานาคเลยครับ จากคุณ : surasakmu เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:18:02

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 16 ผิดตั้งแต่วิเคราะห์แบบ one-way anova แล้่วครับ แน่ใจหรือเปล่าว่าข้อมูลมีการกระจายแบบ normal จากคุณ : T7Promoter ่ เ่อ่อ ขอถามเป็นความรู้ครับ การทดลองกับสิ่งมีชีวิต นี่ไม่ใช้ ANOVA วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างแต่ละ treatment แล้วเราใช้อะไรครับ โปรดชี้แนะ จากคุณ : -*- เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:34:12 A:125.27.207.101 X: TicketID:336015

ความคิดเห็นที่ 20 ******* เนื่องจากเขาเป็นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เมื่อถูกฉีดไปจับที่ใบพืช ทำให้การสังเคราะห์แสงของพืช เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พืชโตไว แข็งแรง และถ้าใช้เป็นประจำ จะสามารถต้านโรคพืชได้ดีอีกด้วย ***** ตรงนี้น่ะครับ ในเบื้องต้น ท่านต้องทำ Literature Review ก่อน ว่า องค์ความรู้บนโลกนี้ ที่เคยศึกษากันมา จากอดีต จวบจนถึง ถึงปัจจุบัน มีประเด็นที่เกี่ยวข้อง กับ เรื่องนี้ มากน้อยแค่ไหน และ อย่างไร การพ่นน้ำยา อะไรสักอย่าง เคลือบฉาบที่ใบพืช สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ การสังเคราะห์แสงของพืช ได้จริง หรือไม่ ด้วยกระบวนการอย่างไร แล้ว มีทฤษฏีอะไร รองรับอยู่หรือไม่ ถ้ามีสมมติฐานมาก่อน มีคนเคยออกแบบ การทดลองแล้ว ได้ข้อมูลมาแล้ว ได้ผลสรุปมาแล้ว ท่านคิดว่า การทดลอง และ บทสรุปนั้นๆ น่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างไร ใน Paper หรือ งานวิจัย อื่นๆ ของคนอื่นๆ มีความสอดคล้องกัน ในประเด็นไหนบ้าง และมีข้อท้วงติง หรือ หักล้าง กันบ้างหรือไม่ ที่ประเด็นใด ทั้งหมด ทั้งปวง เพียงเพื่อจะปูพื้นฐานว่า มันมีทฤษฏี มีสมมติฐาน มีการทดลอง ที่สนับสนุน คำกล่าวอ้างสรรพคุณข้างต้น มากน้อยแค่ไหน อย่างไร แต่สุดท้าย ถ้าท่านคิดว่า องค์ความรู้ ที่คนอื่นเคยศึกษามาทั้งหมด ยังไม่สามารถเป็นข้อสรุปได้ หรือ ไม่สอดคล้อง กับ สมมติฐานที่ท่านตั้ง หรือ สังเกตเห็น ท่านจะ ต้องออกแบบการทดลองเอง ทำการทดลอง เก็บผลการทดลอง แล้วก็สรุปผลนั้น ด้วยตัวเอง แล้วดูว่า ผลการทดลองทีได้ สอดคล้องกับ สมมติฐานทีท่านได้ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าใช่ และ สามารถอธิบาย ปรากฏการณ์อื่นๆ ที่อยู่ในกรอบ หรือ กฎเกณฑ์เดียวกันได้ เป็นอย่างดี สมมติฐาน ของท่าน ก็จะกลายเป็น องค์ความรู้ใหม่ ที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ และ ใส่ใจ หากได้เข้ามาเกี่ยวข้อง กับ อาณาบริเวณ หรือ ขอบเขตพรมแดนขององค์ความรู้ ในส่วนนี้ สำหรับเรื่องนี้ ขอแสดงความเห็น แต่เพียงเท่านี้ ละกันนะครับ : ) จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 15:44:06 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 21 ควรทำการทดลองอีกชุดที่ใช้ EM ในปริมาณที่แนะนำครับ จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 16:09:29

ความคิดเห็นที่ 22 การสังเคราะห์แสง http://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359311/PPHY4_photosyn.htm จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 16:19:14 A:58.9.28.13 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 23 จริงๆ ผมว่า การขอหวยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรแปลกๆ มันก็จริงนะ ชาวบ้านทั่วประเทศ เค้าก็พิสูจน์ของเค้า มาตั้งนานแล้วนิ  ถ้าไม่จริง เค้าก็คงเลิกเชื่อไปแล้ว หรือคุณว่าไม่จริง "ทำไมผมเชื่อ เพราะ ชาวบ้านเค้าไปทดลองขอกันดูแล้ว เป็นหมื่น เป็นแสนคน ดูจากข่าวในสื่อต่างๆ แล้ว ก็มีรายงานว่า ประชาชนส่วนมากเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์จริง ถูกจริง" อ้อ นายกฯ นี่ก็แม่นนะ  หลังๆ ชาวบ้านเค้าก็หันมาขอจากนายกฯ แล้วเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 16:35:26 จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 16:34:13

ความคิดเห็นที่ 24 มหาลัยนี้มีแต่หักล้างไม่สร้างสรรค์  มีแต่ค้านว่าEMใช้ไม่ได้ผล แล้วยังบอกว่า ปล่อยตามธรรมชาติจะดีกว่า พูดแบบนี้ ไม่คิดแล้วยังค้าน องค์กรตัวเองเป็นองค์ความรู้ แต่ไม่คิด พอสถาบันอื่นคิดได้ก็ไปดิสเครดิตเขา มือไม่พายจริงๆ จากคุณ : nok_rc เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 17:30:03

ความคิดเห็นที่ 25 ผมมาลงชื่อไว้ก่อน จะต้องอ่านให้ละเอียด เพราะเห็น คห. 24 พูดน่าคิด จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 17:43:11

ความคิดเห็นที่ 26 สร้างสรรค์/เพ้อฝัน เหมือนมีเ้ส้นบางๆกันจริงๆ ใช้ได้ ใครๆก็ใช้กัน 55555 แหม ไปกินน้ำส้วมดีกว่า หรือว่าจะไปไหวหนอน cool fever ดี ??? ใครๆ ก็ทำกัน หรือจะใช้ไม้ GT 200 + card จอ Nvidia !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : (^_^) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 18:03:32 A:125.27.207.101 X: TicketID:336015

ความคิดเห็นที่ 27 แต่ผมงงนะ ก็เค้าทดลองดูว่ามันใช้ได้/ไม่ได้ ไม่สร้างสรรค์ยังไง อธิบายที จากคุณ : ^_^ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 18:05:11 A:125.27.207.101 X: TicketID:336015

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องนี้แสดงข้อเท็จจริงได้อย่างหนึ่งคือ " ภาคทฤษฎี กับ ภาคปฏิบัติ  มันต่างกัน " จากคุณ : siwarut เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 18:49:59

ความคิดเห็นที่ 29 งง ความเห็นแย้งลงชื่อไว้ก่อน จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 19:38:20

ความคิดเห็นที่ 30 อย่าลืม บิ๊กแบค ถุงทราย ก็เป็นตัวแปรหนึ่งด้วยนะครับ อีกอย่าง น้ำเน่าเสียอาจเป็นเพราะการขับถ่ายของเสียทิ้งลงที่น้ำท่วมด้วย จากคุณ : นักวิชาเกินโดยตำแหน่ง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 20:41:23 A:124.121.66.56 X: TicketID:059889

ความคิดเห็นที่ 31 em มันก็คงมีประโยชน์บ้างแต่คงไม่สามารถบำบัดน้ำเสียได้ทั้งหมด และผมเองก็คิดว่า em ไม่สามารถ ทำให้น้ำเสียเป็นน้ำดีได้ เพราะจริงๆ คงมีกระบวนการหลายขั้นตอน ทั้งใช้จุลินทรีย์ และ กระบวนการอื่นๆ ซึื่งจุลินทรีย์อาจจะไม่เหมือนกัน มีหลายตัวแล้วแต่ใช้งาน เอามาเป็น กองหน้าบ้าง กองหลังบ้าง ตัวสำรองบ้าง แล้วแต่ใช้งานแต่ต้องรู้หน้าที่ว่า ตัวที่ใช้ทำงานอย่างไร ตอนนี้เราเถียงกัน ทั้งที่เชื้อจุลินทรีย์ยังคนละตัว ประสิทธิภาพยอมไม่เหมือนกัน แต่ มาพูดเพื่อจะเหมือนเอาชนะกัน ถ้าเรามองว่า ตัวที่ใช้ สามารถ ลดกลิ่นทำให้น้ำใสได้ เราก็ใช้ในสภาวะนั้นๆ เมื่อน้ำใสแล้วเราจะทำให้น้ำดีขึ้น เราอาจใช้อีกวิธีหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า และผม ก็เชื่อว่า EM 1 ตัวจะสามารถทำงานได้ ทุกหน้าที่ ตั้งแต่ ผู้รักษาประตู ยันกองหน้า (นอกจากมวยข้างเวทีรู้ไปหมด) การทดสอบของ JD300 ก็ให้คำตอบหนึ่ง แต่ ก็ คงสรุป ครอบจักรวาลก็ไม่ได้เหมือนกัน ที่หลายๆท่าน แนะนำมา เพราะเงื่อนไข ควรสรุปตามนั้น ว่าใช้ จุลินทรีย์แบบไหน ผลออกมาจึงเป็นแบบนี้ มันไม่เหมือน GT200 ตัวนั้น สิ่งที่เห้นมันไม่มีชีวิต สามารถพูดได้และให้คนเชื่อได้ทันที แต่ ครั้งนี้ มันมีชีวิต และทุกคนยอมรับว่ามีชีวิต ผลจึงมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมว่างานลักษณะนี้ คนที่มีความรู้เรื่องนี้นี้น่าจะเป็น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เห็นมีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ น่าจะได้ความกระจ่างมากขึ้นนะครับ ตอนนี้ จะกลายเป็นเรื่องสถาบันไปแล้ว ยอมรับหรือไม่ยอมรับ งานนี้ ถือว่า jd300 มาเสนอผลงานแล้วกัน และมีคนสนใจชักถาม เป็นธรรมดาครับ งานวิจัยมีคนทำเรื่องเดียวกันเยอะไปหมด แต่ สภาวะต่างกัน ก็จะได้ผลที่ต่างกัน จะไปสรุปว่า คนที่ทำเรื่องนี้ ไม่ถูก ผมถูกคนเดียว คงไม่ใช่นะ ถ้าเป็นแบบนั้น งานวิจัยคงไม่มีเยอะขนาดนี้ การที่ได้หลายสภาวะทำให้เรา กำหนดทิศทางและการปรับปรุงให้ดีขึ้น ลดจุดอ่อนไปเรื่อยๆ ทั้งหมด อ่านจากไม่มีความรู้เรื่องนี้ พอมั่วๆ ได้เท่านี้ แต่อยากเสนอ ความเห็นเล็กน้อย ตามความรู้น้อยๆ จากคุณ : รักนะจุ๊บๆ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 21:59:54 A:182.255.13.33 X: TicketID:081226

ความคิดเห็นที่ 32 #24 ก็ถ้ามันไม่ได้ผล การที่บอกว่ามันไม่ได้ผลถือว่าไม่สร้างสรรค์ตรงไหน? อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไม่โง่ไปทำเรื่องที่ไม่ได้ผล จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 22:41:04

ความคิดเห็นที่ 33 อ้าว ยังไม่จบอีกหรือเรื่องนี้ อ.เจษลองดูทฤษฎีที่ผมเสนอหน่อยดิ เผื่อจะอธบายได้ว่าทำไม่ เกษตรกรเอาไปใช้แล้วติดใจ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11579517/X11579517.html ======================================= มีทฤษฎีมาเสนอ เรื่อง EM ได้ผล หรือไม่ได้ผล     ล้อฟรีก่อนว่าผมไม่เก่งชีวะ (ฟิสิกส์ เลขพอใหว) พอดีตอนนี้ศึกษาเรื่องการเลี้ยงปลา ในบ่อปลาจะมีไนเตรทสะสม แล้วต้องเปลี่ยนน้ำเพื่อระบายนไนเตรทออก ระบบสมัยใหม่จะประหยัดน้ำด้วยการทำระบบ ดีไนตริฟิแคชั่น คือเปลี่ยน จากไนเตรท เป็นแก๊ส ไนโตรเจน การดีไนตริฟิเคชั่นต้องทำในที่ อ็อกซิเจนน้อย และเติมแหล่งคาร์บอนลงไปด้วย เช่น เมทนอล หรือกากน้ำตาล เพื่อให้สัดส่วน N:C เหมาะสม ผมจึงเสนอว่า การใช้ EM ที่ได้ผลนั้น จะใช้กับน้ำเสียที่มีไนโตรเจนมาก ๆ เช่น บ่อเลี้ยงปลากุ้ง ห้องน้ำ เมื่อใส่ EM ซึ่งเป็นเชื้อ และ กากน้ำตาลที่เป็นแหล่งคาร์บอนลงไป ทำให้น้ำไม่เหม็น แต่ระดับ อ็อกซิเจนจะต่ำลง ถ้าเป็นบ่อปลาคงจะเกิดที่ก้นบ่อ ถ้าเป็นห้องน้ำคงเกิดที่บ่อเกรอะ (อันนี้ประสบการ์ณส่วนตัว เทใส่ห้องน้ำแล้วหายจริง ลดกลิ่นฉี่) ส่วนที่ไม่ได้ผลคือ น้ำเสียอันที่มีคาร์บอนเพียงพออยู่แล้ว หรือมีไนโตรเจนไม่พอ ใส่เชื้อลงไปไม่ได้ช่วยเท่าใหร่ ยิ่งใส่กากน้อตาลลงไปอีกย่ิงแย่ (อันนี้ประสบการ์ณส่วนตัว เทใส่สระน้ำมันไม่หายเน่า) ======================================== จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 22:44:22

ความคิดเห็นที่ 34 อธิบายเพิ่มเติม ปกติในการเลี้ยงปลา จะมี แอมโมเนียเป็นของเสีย และจะต้องมีการ ลดแอมโมเนีย โดยการใช้ กระบวนการ ไนตริฟิเคชั่น( เปลี่ยนแอมโมเนีย เป็นไนไตร ไนเตรท ตามลำดับ) โดยการ ใหลเวียนน้ำ ผ่านวัสดุกรอง แล้วแบคทีเรียที่เกาะตามผิววัสดุกรองจะทำหน้าที่ ไนตริฟาย เอง กระบวนการไนตริฟิเคชั่นสำคัญมากในการเลี้ยงปลา เพราะแอมโมเนียเป็นพิษมาก แต่ไนเตรทเป็นพิษต่ำ กระบวนการไนตริฟิเคชั่น ใช้แอมโมเนีย เป็นแหล่งอาหาร ใช้อ็อกซิเจน Nitrification is a process of nitrogen compound oxidation (effectively, loss of electrons from the nitrogen atom to the oxygen atoms): NH3 + 1.5 O2 + Nitrosomonas  NO2- + H2O + H+ NO2- + 0.5 O2 + Nitrobacter  NO3- NH3 + O2  NO2− + 3H+ + 2e− NO2− + H2O  NO3− + 2H+ + 2e− เมื่อเลี้ยงไปได้ระยะหนึ่งไนเตรทจะสะสมจนต้องเปลี่ยนน้ำ ระบบเลี้ยงสมัยใหม่ จะมี การกำจัดไนเตรท เพื่อประหยัดน้ำ โดยการใช้กระบวนการ ดีไนตริฟิเคชั่น ซึ่งเป็นการบวนการที่ต้องการที่ที่ไม่มีอ็อกซิเจน โดย กระบวนการนี้นอกจาก จะต้องไม่มีอากาศ (O2) ต้องการ N และ C กรณีนี้มี N เยอะแล้ว ต้องเติม C แหล่งคาร์บอนลงไป โดยปกติจะใช้ เมทิลแอลกอฮอล์ หรือ กากน้ำตาล Denitrification generally proceeds through some combination of the following intermediate forms: NO3−  NO2−  NO + N2O  N2 (g) The complete denitrification process can be expressed as a redox reaction: 2 NO3− + 10 e− + 12 H+  N2 + 6 H2O ผมจำได้ว่าการหมักมูลสัตว์เป็นแก๊สก็จะต้องรักษาสัดส่วน C:N เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 55 23:11:25 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 23:05:40

ความคิดเห็นที่ 35 #18 เออ มันเหมือนกระทู้บั้งไฟจริง ๆ คนเชื่อบอก อีกฝ่าย อยู่ในกะลา คนไม่เชื่อบอก อีกฝ่าย งมงาย จริง ๆ แล้วมันอาจ ไม่มีใครผิดถูกทั้งหมด ผมเชื่อว่าบั้งไฟมันมีทั้งจริง ทั้งปลอม Em เหมือนกัน มีทั่งกรณี้ที่ใช้ได้ กรณีที่ใช้ไม่ได้ จริง ๆ ผมไม่อยากให้โจมตี การทดลอง เพราะเข้าใจว่ามันออกแบบยากมาก ตัวแปรเยอะ ทดลองเพื่อหาอะไรยังงงงง อยู่เลย แล้วก็อยากบอกฝ่ายที่เอาผลไปใช้ว่า มันแทบอ้างอิงอะไรไม่ได้เลย มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นให้ศึาษาต่อไป จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 23:34:45

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนความเห็นโต้แย้งเรื่องน้ำเสียที่มีค่า BOD ต่ำเกินไป ผศ.ดร.เจษฎาชี้แจงว่า น้ำที่เอามาใช้ทดลองถือเป็นน้ำเสียตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ อ่านประโยคนี้เสร็จ ผมก็รู้ว่าข้อความนี้โดนใจมากๆ จนต้องคัดมาแปะไว้ ให้อ่านกัน แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 01:11:27 จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 00:47:46

ความคิดเห็นที่ 37 ข้อความนี้โดนใจ อ.เจษ "ส่วนเรื่องระยะเวลาในการหมัก ที่มีคนอ้างว่ายิ่งหมักนานจะทำให้มีสารออกมามากนั้น ในทางจุลชีวิทยาพบว่า จุลินทรีย์ต่างๆจะสร้างสารในช่วง 2 วันแรก ดังนั้นเวลา 2 วัน จึงเพียงพอ" แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 01:10:42 แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 00:55:46 จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 00:55:07

ความคิดเห็นที่ 38 #37   ผมเกือบโดนหลอกแล้วสินะครับ ----------------------- #36   ผมเข้าใจว่า อ.เจษ แกล้งเอา วิธีการทดสอบคุณภาพน้ำ มาปนกับ วิธีการทดลองบำบัดน้ำเสีย หรือเปล่า จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 08:16:05

ความคิดเห็นที่ 39 ผมว่า การทดลองจะได้ผล หรือ ไม่ได้ผล คนอ่านได้ประโยชน์เต็มๆ ไม่ควรเอาตัวกระโดดเข้าไปร่วมกับฝ่ายเชื่อ หรือ ฝ่ายไม่เชื่อ การทำอย่างนั้น จะเถียงกันไม่จบ เพราะไม่ได้ใช้เหตุผลรบกัน เอาตัวเข้าไปตะลุมบอนเสียเอง อย่างไรก็ดี ผมชืนชม ชอบผลงานนำเสนอของอาจารย์ JD300 ชอบวิธีการเขียนรายงาน เป็นขั้นตอนที่น่าเอาอย่าง จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 08:50:35

ความคิดเห็นที่ 40 #34  คุณ Ao+ สมมติฐานของคุณ Ao+  อธิบายได้มองเห็นภาพครับ ขาดแต่ว่าจะทดลอง ว่า EM Ball มันทำให้เกิดการทำงานแบบนั้นจริงมั้ย   แต่ผมสงสัย เพราะส่วนประกอบของ EM-Ball  ก็คือ แป้งรำ+จุลินทรีย์ ใช้ดินและทรายเป็นตัวผสาน ซึ่งจุลรินทรีย์ที่นำมาใช้ทำ EM มาจากกลุ่มพวก ยีสต์ที่ใช้หมักเหล้า   กลุ่ม แลโตบาซีรัส ในนมเปรี้ยว ดังนั้นถ้าเราเอาก้อน EM-Ball โยนลงในน้ำสะอาดเปล่าๆ ยังไม่ต้องเอาใส่ในน้ำเสียก็ได้ สิ่งที่น่าจะได้ ก็น่าจะเป็น เอทธานอล กับ กรดอินทรีย์ หลักการของการหมัก จำง่ายๆ ครับ 1. ข้าว/แป้ง เชื้อรา --> น้ำตาล 2. น้ำตาล เชื้อยีสต์ --> เอทิลแอลกอฮอล์ 3. เอทิลแอลกอฮอล์ เชื้อแบคทีเรีย --> น้ำส้มสายชู มีสูตรเคมีประมาณนี้ เอทิลแอลกอฮอล์  = CH2CH2OH น้ำส้มสายชู  = C2H4O2 ผมไม่ค่อยเข้าใจว่า  N  มันเกี่ยวแบบที่คุณ Ao+ อธิบายยังไงครับ ในความเห็นของผมความลับของ EM มันก็คือ เอทิลแอลกอฮอล์ ครับ ทำไมน้ำ EM เอาไปราดกรงหมากลิ่นหายทันที -------------------------- เสริม ที่ต้องปั้น EM-Ball เป็นก้อน แล้ว พึ่งลม 7 วัน รอให้ขึ้น รา ขาวๆ ก็เพื่อให้เชื้อรา เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลก่อน พอโยนลงน้ำ เชื้อยีสต์ก็พร้อมจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็น เอทิลแอลกอฮอล์ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 10:45:23 จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 10:41:10

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ Ao+ ลองแปลความหมายข้อมูลจากการทดลองนี่ทีครับ อธิบายว่ายังไงได้บ้าง เพราะในการทดลองก็มีการวัด Organic-N ในการทดลองเหมือนกัน หรือว่าเพราะไม่มี Carbon source เลย reduce nitrate กลับไปเป็นไนโตรเจนไม่ได้ ??? ใน BOD ไม่มี Carbon Source ???? หรือว่า ใน EM ไำม่มี จุลินทรีย์พวกนี้ ???? จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 10:51:00

ความคิดเห็นที่ 42 ผมเห็นพ่อครัวเวลาล้างปลาถ้าไม่อยากให้คาวก็ราดด้วยไวน์ ปลาก็จะไม่เหม็นคาวครับ ซึ่งคงเป็นผลจาก เอทิลแอลกอฮอล์ ในไวน์ แต่ถ้าเอา น้ำ EM มาล้างปลา ถึงจะไม่เหม็นผมก็กินไม่ค่อยลงเหมือนกัน ดังนั้นถ้าสมมติฐานผมเรื่อง เอทิลแอลกอฮอล์ ใช้ได้ เอาไวน์ผลไม้ ล้างกรงหมา แทน น้ำ EM คงน่าจะได้ผลใกล้ๆ กันครับในระยะแรก แต่ EM กับ ไวน์ ต่างกันที่  น้ำไวน์ เป็นเชื้อที่ตายแล้ว  น้ำหมัก EM  เป็นเชื้อที่มีชีวิต ดังนั้นถ้าเอา ไวน์ผลไม้ ล้างกรงหมา ไม่นาน เอทิลแอลกอฮอล์ ระเหยอออกไปหมด ก็คงน่าจะเหม็นเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่อยากทดลองหรอก เสียดายไวน์ครับ จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 10:58:52

ความคิดเห็นที่ 43 ลืมรูปสำหรับใช้ใน คห.41 จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:01:47

ความคิดเห็นที่ 44 ขอถามแบบชาวบ้านๆ เลยนะคะว่า ทำไมชาวบ้านเอาอีเอ็มสาดเข้าไปในเล้าหมูแล้วกลิ่นเหม็นมันจางลงหรือลดลง   ที่บ้านก็ใช้เทใส่บ่อพักน้ำทิ้งเวลามีกลิ่นเหม็นมากๆ สองสามวันกลิ่นก็เริ่มจางลง คือ ไม่ได้มีความรู้อะไร  ดิฉันอยู่ตจว.ใกล้ชิดกับเกษตรกรซึ่งใช้อีเอ็มอยู่ทั่วไป  มันเห็นผลชัดๆ อยู่แล้ว เลยงงกับข้อแย้งของนักวิชาการอ่ะค่ะ จากคุณ : FloraLilly เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:15:09

ความคิดเห็นที่ 45 #44 การบอกว่ากลิ่นจางลงเป็นแค่ความรู้สึก ซึ่งอาจเป็น placebo effect ได้ การทดลองข้างต้นมีตัวแปรที่วัดค่าได้แน่นอน ซึ่งน่าเชื่อถือมากกว่า จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 15:12:10

ความคิดเห็นที่ 46 #44   เพราะเป็นการทดลองกับน้ำในขวด มันย่อมไม่เหมือนในเล้าหมู หรือ ในบ่อพัก คงต้องรอ คนอื่นมาทดลองตัก ขี้หมู มาใส่ขวดทดลองบ้าง จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 15:33:48

ความคิดเห็นที่ 47 ถกกันแบบใจเย็นๆเน้อจะได้อ่านแบบไม่มีอคติ ประโยชน์กับสมาชิกด้วยกันทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 19:17:58 จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:25:44

ความคิดเห็นที่ 48 พอดีผมได้ย้อนกลับไปอ่านกระทู้เดิมอีกรอบคือ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11559813/X11559813.html ซึ่งต้่นกระทู้เขียนไว้ดังนี้ ในที่สุดผลการทดลองเรื่องประสิทธิภาพของอีเอ็มในการบำบัดน้ำเสีย ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ 6 – 16 ธันวาคม 2554 (หลังน้ำท่วมใหญ่) ก็เสร็จสิ้นสรุปผลได้ซะทีครับ ผมเลยเข้าดูที่เว็บนี้เพื่อหาคำนิยามว่า "น้ำเสีย" http://www.pcd.go.th/Info_serv/water_wt.html#s1 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:37:01

ความคิดเห็นที่ 49 ปรากฏว่าได้ดังนี้ ลักษณะน้ำเสีย เกิดจากบ้านพักอาศัยประกอบไปด้วยน้ำเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ 1. สารอินทรีย์ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เช่น เศษข้าว ก๋วยเตี๋ยว น้ำแกง เศษใบตอง พืชผัก ชิ้นเนื้อ เป็นต้น ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายได้ โดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ทำให้ระดับออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen) ลดลงเกิดสภาพเน่าเหม็นได้ ปริมาณของสารอินทรีย์ในน้ำนิยมวัดด้วยค่าบีโอดี (BOD) เมื่อค่าบีโอดีในน้ำสูง แสดงว่ามีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก และสภาพเน่าเหม็นจะเกิดขึ้นได้ง่าย 2. สารอนินทรีย์ ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่อาจไม่ทำให้เกิดน้ำเน่าเหม็น แต่อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ได้แก่ คลอไรด์, ซัลเฟอร์ เป็นต้น 3. โลหะหนักและสารพิษ อาจอยู่ในรูปของสารอินทรีย์หรืออนินทรีย์และสามารถสะสมอยู่ในวงจรอาหาร เกิดเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น ปรอท โครเมียม ทองแดง ปกติจะอยู่ในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืชที่ปนมากับน้ำทิ้งจากการเกษตร สำหรับในเขตชุมชนอาจมีสารมลพิษนี้มาจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนบางประเภท เช่น ร้านชุบโลหะ อู่ซ่อมรถ และน้ำเสียจากโรงพยาบาล เป็นต้น 4. น้ำมันและสารลอยน้ำต่าง ๆ เป็นอุปสรรคต่อการสังเคราะห์แสง และกีดขวางการกระจายของออกซิเจนจากอากาศลงสู่น้ำ นอกจากนั้นยังทำให้เกิดสภาพไม่น่าดู 5. ของแข็ง เมื่อจมตัวสู่ก้นลำน้ำ ทำให้เกิดสภาพไร้ออกซิเจนที่ท้องน้ำ ทำให้แหล่งน้ำตื้นเขิน มีความขุ่นสูง มีผลกระทบต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำ 6. สารก่อให้เกิดฟอง/สารซักฟอก ได้แก่ ผงซักฟอก สบู่ ฟองจะกีดกันการกระจายของออกซิเจนในอากาศสู่น้ำ และอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ 7. จุลินทรีย์ น้ำเสียจากโรงฟอกหนัง โรงฆ่าสัตว์ หรือโรงงานอาหารกระป๋อง จะมีจุลินทรีย์เป็นจำนวนมากจุลินทรีย์เหล่านี้ใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิตสามารถลดระดับของออกซิเจนละลายน้ำ ทำให้เกิดสภาพเน่าเหม็น นอกจากนี้จุลินทรีย์บางชนิดอาจเป็นเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อประชาชน เช่น จุลินทรีย์ในน้ำเสียจากโรงพยาบาล 8. ธาตุอาหาร ได้แก่ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เมื่อมีปริมาณสูงจะทำให้เกิดการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วของสาหร่าย (Algae Bloom) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงต่ำมากในช่วงกลางคืน อีกทั้งยังทำให้เกิดวัชพืชน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาแก่การสัญจรทางน้ำ 9. กลิ่น เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์แบบไร้ออกซิเจน หรือกลิ่นอื่น ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงงานทำปลาป่น โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:09:06 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:38:09

ความคิดเห็นที่ 50 ว้าว ว้าว ว้าว คหห 41 แสดงชัดเลยว่า EM Filtrated กำจัด ไนโตเจน ได้ดีที่สุดอย่างมี นัยสำคัญ เรื่องแบบนี้ อาจารย์ขอสรุปด้วยครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:40:09

ความคิดเห็นที่ 51 ผมสงสัยว่าน้ำที่นำมาทดลองเข้าลักษณะนิยามของคำว่า " น้ำเสีย" หรือเปล่า และเมื่อเลื่อนลงมาที่ความเห็นที่ 11 ของกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11559813/X11559813.html เมื่อพิจารณาความสกปรกของน้ำในรูป BOD ในวันที่ 0 พบว่า ชุดควบคุมมีค่า BOD เท่ากับ 13.33±0.58 mg/L ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 4 (มีค่าได้ไม่เกิน 4 mg/L) แต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม (มีค่าได้ไม่เกิน 20 mg/L) สังเกตุดูค่า BOD นะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:11:09 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:42:05

ความคิดเห็นที่ 52 แล้วลองไปดู มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน http://www.pcd.go.th/info_serv/reg_std_water04.html#s5 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:44:29

ความคิดเห็นที่ 53 ที่ผมสงสัยและอยากตั้งปัญหาคือ ถ้าน้ำที่นำมาทดลองไม่ใช่น้ำเสีย (คือตามมาตรฐานที่กำหนดไว้) แล้วผลการทดลองจะเชื่อถือได้หรือเปล่า เพราะดูแล้วน้ำที่นำมาทดลอง อย่าแค่ 80 ลิตรเลย เป็น 100 ๆ ลิตรเอาไปเททิ้งที่ไหนตรงไหนก็ได้ จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:55:40

ความคิดเห็นที่ 54 จากค่ามาตรฐานในความเห็นที่ 52 ไนโตรเจนทั้งหมด (Total Nitrogen) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมไนโตรเจนต่อลิตร รูปผลการทดลอง  น้อยกว่า 20 มิลลิกรัมไนโตรเจนต่อลิตร แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:10:33 แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 17:59:12 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 17:57:44

ความคิดเห็นที่ 55 จากค่ามาตรฐานในความเห็นที่ 52 ของแข็งแขวนลอย(Suspended Solids) ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ลองดูตัวเลขที่กราฟเปรียบเทียบ สำหรับค่าเฉลี่ยของ TSS ในแต่ละชุดการทดลอง (ค่า TSS เป็นการวัดค่าตะกอนที่อยู่ในน้ำ โดยเป็นค่าที่แสดงถึงความขุ่นของน้ำ โดยที่ค่า TSS สูง แสดงให้เห็นว่าน้ำมีความขุ่น) พบว่าเฉพาะในวันแรกที่เพิ่งจะเริ่มต้นการทดลอง ที่ค่า TSS ในชุดควบคุมมีค่าต่ำกว่าในชุดอีเอ็มและชุด filtrated EM อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ... จากนั้นก็ไม่มีความแตกต่างกันอีกเลย ... ไม่ตรงกับที่คาดไว้ว่าอีเอ็มน่าจะช่วยให้ค่า TSS ลดลง แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:05:54 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 18:05:17

ความคิดเห็นที่ 56 สรุปที่ผมสงสัยคือ น้ำที่นำมาทดลองใช่น้ำเสียหรือเปล่า เพราะหัวข้อที่เขียนไว้คือ "ผลการทดลองเรื่องประสิทธิภาพของอีเอ็มในการบำบัดน้ำเสีย" แล้วถ้าน้ำที่นำมาทดลองไม่ใช่น้ำเสียเราจะอ่านผลการทดลองนี้อย่างไร แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 19:41:02 แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:15:52 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 18:08:19

ความคิดเห็นที่ 57 มาให้กำลังใจ อจ. เจษ ค่ะ จากคุณ : sinilicious เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 19:21:41

ความคิดเห็นที่ 58 @41 ผลนั้นมันบอกอะไรแทบไม่ได้เลย เพราะวัดแต่ ไนโตรเจน จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นต้องวัด แอมโมเนีย ไนไตร ไนเตรท ไนตริฟิเคชั่นต้องใช้ อ้อกซิเจนกับที่มืด ดีไนตริฟิเคชั่น ต้องไม่มีอ๊อกซิเจน และต้องมีคาร์บอน กันไนเตรท การทดลองมันไม่เหมาะกับการณนี้ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 20:07:49

ความคิดเห็นที่ 59 อันนี้ระดับไนโตรเจน ของบ่อปลาที่ให้อาหารลงไปเรื่อย ๆ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 20:19:33

ความคิดเห็นที่ 60 ผลการทดสอบ สรุปว่าได้ค่าดราม่าเป็นบวก จากคุณ : pipek (yukraider) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 20:34:26

ความคิดเห็นที่ 61 บั้งไฟรีเทิร์น ตามมาจากทวิตจ่า จ่าสรุปให้เสร็จว่า ใช้ไม่ได้ แต่เกษตกรบอก ใช้ได้ ใช้มานานแล้วด้วย รอดูกันต่อไป จากคุณ : ศิลปินเปิดหมวก เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 20:47:16

ความคิดเห็นที่ 62 เข้ามายกย่องคนที่ใช้ หัว เพื่อพิจารณาผลการทดสอบนะครับ โดยส่วนตัว คิดว่าคงดีกว่าใช้แต่ หู อย่างเดียวเพื่อตัดสินใจ จากคุณ : bonix เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 21:20:48

ความคิดเห็นที่ 63 ประเด็น"น้ำเสียรึเปล่า"น่าสนใจนะครับ จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 21:42:19

ความคิดเห็นที่ 64 อธิบายไว้ในกระทู้เก่าแล้ว ว่า BOD แค่นี้ นอกจากไม่ใช้น้ำเสีย และมัน ไม่เหมาะกับเอามาทดลองแบบนี้เพราะอะไร จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 22:16:17

ความคิดเห็นที่ 65 ขอพื้นที่ตรงนี้เพื่อแสดงความคิดเห็น และให้ข้อมูล จากประสบการณ์ที่ได้ทำการทดลอง ประสบการณ์ตรงจากการทำโปรเจคเรื่อง EM ทำการทดลองเอง และศึกษาการทดลองของต่างประเทศด้วย  แต่จะขอกล่าวเฉพาะที่ทำการทดลองเอง เนื่องจากถ้าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆแล้ว เกรงว่าแปรตัวต่างๆ ในการทดลองที่ทำเอง กับการทดลองที่ศึกษา(ของต่างประเทศ)จะมีมาก เช่น อุณหภูมิ จำนวนของกลุ่มเชื้อผสม และอื่นๆๆ ข้อมูลจากการทดลองที่ศึกษาเอง ดังนี้   1. การทดลองนี้เป็นการศึกษาน้ำทิ้งจากโรงอาหาร และน้ำทิ้งจากหอพัก ในมหาวิทยาลัย (ลักษณะน้ำน่าจะใกล้เคียงกับน้ำเสียตอนที่น้ำท่วม) 2. ศึกษาโดยการวิเคราะห์น้ำ ก่อน-หลัง(2 สัปดาห์หลังจากเติม EM) การเติม EM เป็น (EM แบบน้ำ โดยปล่อยให้หยดตลอดเวลา และมีการเติมอากาศเป็นช่วงๆๆ ) 3. พารามิเตอร์ที่วิเคราะห์ มี กลิ่น, ไขมัน, SS , pH , COD และ BOD 4. เก็บตัวอย่างน้ำ 3 จุด ทำการทดลองตัวอย่างละ 3 ซ้ำ 5. สรุปผลการทดลอง - กลิ่น => ไม่ส่งกลิ่นรบกวน - ไขมัน => คราบไขมันลดลง - SS => ลดลง - pH => ลดลงเล็กน้อย (ปกติ เนื่องจาก EM มีสภาพเป็นกรด) - COD => ลดลงเล็กน้อย - BOD => ค่าแปรปวน (2/3 จุด BOD เพิ่มขึ้น) 6. วิเคราะห์ผลการทดลอง   EM บำบัดน้ำเสียได้ดีในส่วนของ กลิ่น ไขมัน และ SS ในการบำบัด COD ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น(ประมาณไม่เกิน 10%) ในส่วนการบำบัด BOD น้ัน ไม่สามารถสรุปได้เน่ืองจากค่าที่ได้มีความแปรปรวน 7.  ข้อสังเกตุจากการทดลองที่น่าสนใจ คือ SS ลดลง แต่ BOD เพิ่มขึ้น?????? โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่า EM ช่วยในเรื่องของ กลิ่น ไขมัน และ SS ได้เป็นอย่างดี(ถ้าใช้แบบน้ำ) ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนจากน้ำเน่าเสียของน้ำที่ท่วมขังเป็นเวลานาน (คิดว่าชาวบ้านน่าจะพอใจแล้ว แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นก็ดีถมเถไปแล้ว) แต่ก็ต้องใช้เวลา กว่ากลิ่นจะหาย ในส่วนของการบำบัดเพิ่มลด BOD นั้น คงต้องศึกษาเฉพาะจุดไป เนื่องจากมีตัวแปรอื่นๆๆที่สำคัญอีกมาก ในพื้นที่เปิดเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเพราะจะควบคุมตัวแปรได้ยาก และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจง คือ EM มีความ sensitive สูง ไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ ( Shock Load) ปล. การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ มิได้มีเจตนาที่จะโต้แย้งหรือสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นการให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งกับผู้ที่สนใจ หรือผู้ที่สงสัย เท่านั้น ต้องขออภัยหากมีใคร หรือ คนใดคนหนึ่ง ไม่เห็นด้วยกับการทดลองและความคิดเห็นนี้ จากคุณ : golkklog (zentynal) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 22:55:38

ความคิดเห็นที่ 66 ถ้าน้ำที่นำมาใช้ทดลองไม่อยู่ในข่ายที่เรียกว่า "น้ำเสีย" ผมอยากเรียกว่าการทดลองนี้ "game over" ต้อง "Restart" เกมเล่นกันใหม่เลยนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 23:03:09 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 23:00:59

ความคิดเห็นที่ 67 ในส่วนของคำถามที่ว่า "น้ำเสีย" หรือไม่นั้น ขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ ความหมายของ "น้ำเสีย" หมายถึง น้ำที่มีสิ่งเจือปนต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งกลายเป็นน้ำที่ไม่เป็นที่ต้องการ และน่ารังเกียจของคนทั่วไป ไม่เหมาะสมสำหรับใช้ประโยชน์อีกต่อไป หรือถ้าปล่อยลงสู่ลำน้ำธรรมชาติก็จะทำให้คุณภาพน้ำของธรรมชาติเสียหายได้ นั่นหมายความว่า หากเป็นน้ำที่ไม่เหมาะสมสำหรับการใช้ประโยชน์หรือคนทั่วไปรังเกียจก็จัดว่าเป็นน้ำเสียแล้ว ในส่วนของค่ามาตรฐานน้ำทิ้งของกรมควบคุมมลพิษน้ัน เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน ป้องกันการโต้แย้งเมื่อเกิดปัญหาต่างๆขึ้น เช่น กรณีการร้องเรียนว่าโรงงาน A ปล่อยน้ำเสียออกมา ชาวบ้านส่วนหนึ่งเดือดร้อน แต่โรงงานก็สามารถโต้แย้งได้ว่า ไม่เป็นน้ำเสียเนื่องจากชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งบอกว่าไม่เดือดร้อน จึงต้องกำหนดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการวิเคราะห์แต่ละพารามิเตอร์ เพื่อจะได้ชี้ชัดไปเลยว่าเป็นน้ำเสียจริงหรือไม่ และเป็นน้ำเสียที่ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านใด เช่น ก่อให้เกิดความรำคาญ(กลิ่น,ทัศนียภาพ) ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ(การปนเปื้อนสารเคมี) โดยกำหนดไว้ว่าน้ำทิ้งที่ปล่อยลงสู่แม่น้ำนั้นต้องมีความเข้มข้นของพารามิเตอร์ต่างๆไม่เกินที่กำหนดไว้ หากเกินที่กำหนด ทางโรงงานหรือผู้ก่อให้เกิดมีความผิด ไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำเสียหรือไม่เสีย แต่เป็นเหมือนการบังคับว่าแต่ละที่ต้องบำบัดน้ำก่อนที่จะปล่อยลงสู่แม่น้ำ ======>>>>> สรุป คือ คุณจะมีอะไรแค่ไหนไม่สำคัญ แต่อย่าปล่อยมันทิ้งตามที่ฉันกำหนดไว้นะ ไม่งั้นตาย!!! ประมาณนี้ ส่วนประเภทของแหล่งน้ำผิวดิน 5 ประเภท เป็นการกำหนดว่า แหล่งน้ำนั้นๆ ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง และใช้ประกอบการพิจารณาความรุนแรงของโทษ เมื่อทำผิดกฎหมาย เช่น โรงงาน A ตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำและเป็นแหล่งน้ำดิบที่ใช้เพื่อการผลิตน้ำประปา ได้ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำนั้น ได้รับโทษปรับ 100 ล้านบาท แต่โรงงาน B ตั้งอยู่ริมคลองแสนสอบ ปล่อยน้ำเสียลงคลองแสนแสบในปริมาณที่เท่ากับโรงงาน A อาจได้รับโทษปรับแค่ 1 ล้านบาท คงต้องทำความเข้าใจให้หน่อยสำหรับ ความหมายของ ====>>> น้ำเสีย ====>>> น้ำทิ้ง ====>>> น้ำมลพิษ ====>>> มาตราฐานคุณภาพน้ำทิ้งต่างๆ ====>>> ประเภทของแหล่งน้ำผิวดิน ลองศึกษากันดูนะ อย่าพึ่งด่วนสรุป!!!!! จากคุณ : zentynal เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 00:06:18

ความคิดเห็นที่ 68 เำพราะความจริงแล้ว ในน้ำนั้นมีขยะ ไม่ใช่ขยะธรรมดาด้วยมีตั้งแต่ เศษไม้ โฟม ขี้หมา ขี้คน ตะปู ศพ(ทั้งหญิง ชาย คนท้อง คนแก่ เด็ก หมา แมว)ลอยมาตามน้ำหรือขังอยู่ตามซอกมุมต่างๆแล้วเริ่มแพร่กระจายกลิ่นและสีออกไป ผมอยากให้เวลาตักน้ำเนี่ยตักตัวอย่างเศษเหล่านี้ขึ้นมาทดลองด้วย ไม่ใช่แค่ตัวน้ำ ตอนนี้ที่ผมอ่านในกระทู้นี้ก็ได้คำตอบแล้วว่า Em Ball ไม่สามารถช่วยเรื่องเพิ่มค่าออกซิเจนในน้ำได้ แต่คำตอบที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ไม่ใช่ว่าค่าออกซิเจนในน้ำมันจำเพิ่มหรือไม่ เพราะเราคงไม่ลงไปเอาเหงือกว่ายน้ำเหมือนปลา และปลามันคงไม่มาว่ายอยู่ในที่น้ำขังเน่าเช่นในบ้านหรอกครับ ถึงมันมีเราก็ไม่ได้ประสงค์อยากให้มันว่ายในที่แบบนั้นหรอก แต่อยากรู้ว่า Em ball มันลดกลิ่นขยะในน้ำและทำหน้าตาของน้ำให้น่าสัมผัสน่าอยู่ร่วมได้มากขึ้นแค่ไหนมากกว่าครับ และนั้นน่าจะคือนิยามคำว่าน้ำเน่าในมุมมองของบุคคลทั่วไป คือมันส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์และมีสีไม่ชวนมองมากกว่าจะเป็นปริมาณค่าออกซิเจนในน้ำ จากคุณ : CCH เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 06:21:04 A:27.130.177.96 X: TicketID:281634

ความคิดเห็นที่ 69 คห. 13 ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการใช้ EM ball ในช่วงน้ำท่วม เราเคยแถลงไว้นานแล้ว http://www.sc.chula.ac.th/th/newsDetail.asp?newsID=320 (ในหว้ากอ ก็เคยเอามาลงไว้) ซึ่งถ้าอ่านดูแล้ว จะทราบว่าต่างจากทางวิศวะจุฬาฯ มาก ที่เรายอมรับว่า EM น้ำ เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ที่จะใช้ลดกลิ่น ลดความขุ่นดำของน้ำเสีย แต่ผู้ใช้ต้องรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งวิธีการเตรียมและวิธีการใช้ รวมทั้งว่า มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างยั่งยืน ต้องคอยเติมน้ำอีเอ็มลงไปเรื่อยๆ ของเสียในน้ำยังอยู่เหมือนเดิม คุณภาพน้ำยังต่ำเหมือนเดิม โดยเฉพาะเรื่องออกซิเจนในน้ำที่ในเชิงทฤษฎีแล้ว ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นได้ >>>>>>>>>> ผมจำได้ บทความนี้มีการนำเสนอครอบคลุมทั้งข้อดี ข้อเสีย และแนวทางแก้ไข จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 07:27:38

ความคิดเห็นที่ 70 จากความเห็นที่ 67  ผมขอเรียงคุณภาพของน้ำตามลำดับดังนี้ น้ำทิ้ง > น้ำเสีย > น้ำมลพิษ ในความเห็นที่ 52 ผมจึงเอาค่ามาตรฐานควบคุม การระบายน้ำทิ้ง จากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมาแสดงให้ดู (ไม่ใช่การระบายน้ำเสียนะครับ) แต่น้ำที่เอามาทดลองค่า 3 ใน 6 ดีกว่าน้ำทิ้งเสียอีก คือ   1. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) BOD         2. ไนโตรเจนทั้งหมด (Total Nitrogen)         3. ของแข็งแขวนลอย(Suspended Solids) ส่วนอีก 2 ค่าคือ ความเป็นกรดและด่าง (pH) และ น้ำมันและไขมัน (Fat, Oil and Grease) ดูแล้วไม่น่าจะเกิน มาตรฐานที่กำหนด เพราะฉะนั้นถ้าดูภาพรวม ๆ แล้วตัวอย่างที่เอา่ทดลอง ก็เป็นแค่น้ำทิ้งจากชุมชนนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 09:05:09 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 09:04:43

ความคิดเห็นที่ 71 ผมว่าลองแยกชนิดน้ำเสียแล้วทดลองใหม่ดูอีกทีน่าจะดีกว่านะครับ 1. น้ำเสียที่เกิดจากขยะของมนุษย์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. น้ำเสียในเล้าหมู คอกหมา หรือ บ่อปลา ผมว่าต้องมีบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ไม่อยากให้ต้องมาทะเลาะกันว่า ใช้ได้ดี กลับใช้ไม่ได้ผล เพราะดูแล้วคนที่บอกใช้ได้ดี ใช้กับน้ำเสียแบบหนึ่ง แต่คนที่บอกใช้ได้ผลใช้กับน้ำเสียอีกแบบหนึ่ง จากคุณ : ลองคิด เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 09:05:17 A:119.160.216.246 X: TicketID:321072

ความคิดเห็นที่ 72 และอีกคงมีอีกหลายท่านที่ทำการทดลองแบบนี้คือเอาน้ำ ที่คิดว่าเป็นน้ำเสีย(ทั้งถ้าวัดค่ากันจริง ๆ แล้วก็คือน้ำทิ้ง จากชุมชนที่ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้)มาใส่ EM แล้วสังเกตุความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสี กลิ่น ความขุ่น การตกตะกอน..... แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 09:11:59 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 09:09:57

ความคิดเห็นที่ 73 แล้วถ้าเราเขียนว่า"ผลการทดลองเรื่องประสิทธิภาพของอีเอ็มในการบำบัดน้ำเสีย" มันจะไม่ดูแปลก ๆ ไปหรือ  เำพราะสิ่งที่เราสนใจในการทดลองนี้มี 3 อย่าง EM + การบำบัด + น้ำเสีย แต่หนึ่งในนั้นกลับไม่มีคือน้ำเสีย มีแต่น้ำทิ้ง แต่ถ้าเขียนใหม่เป็น "ผลการทดลองเรื่องประสิทธิภาพของอีเอ็มในการบำบัดน้ำทิ้งจากชุมชน" อันยังสามารถรับฟังได้ ถกเถียงกันได้ แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 09:24:43 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 09:24:15 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 09:23:51 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 09:23:28

ความคิดเห็นที่ 74 ตั้งใจอ่านนะครับ จะเขียนด้วยภาษาชาวบ้าน แบบง่ายๆ ลองดูตาราง #52 นะครับ ตารางนี้ เป็นมาตรฐาน ควบคุมคุณภาพน้ำทิ้ง นั่นหมายถึง อะไรครับ หมายถึงว่า ถ้าท่านมีน้ำเสีย ที่ท่านไม่ต้องการ แล้วจะทิ้ง ถ้ามีค่าต่างๆ ภายในขอบเขต ที่กำหนดนี้ น้ำเสีย ของท่าน สามารถระบายเป็น น้ำทิ้ง ได้เลย แต่ถ้า น้ำเสียของท่าน มีค่าใด้ ค่าหนึ่ง สูงเกินกว่า ค่าที่กำหนด ท่านต้องนำน้ำเสียนั้น มาทำการบำบัด ให้ได้ค่า ตามมาตรฐานดังกล่าว จึงจะปล่อยเป็นน้ำทิ้ง สู่แหล่งน้ำ สาธารณะได้ ดังนั้น คำนิยาม ของน้ำเสีย และ น้ำทิ้ง ไม่ได้มีผลกระทบ ต่อการทดลอง แต่อย่างใด ถ้าใครที่แย้งว่า น้ำเสีย ที่มีค่าในเกณฑ์ น้ำทิ้ง ก็ไม่ต้องบำบัด แล้วจะเอามาทำการทดลองทำไม นี่แหละ ก็จะย้อนกลับไปสู่ คำถาม ที่ว่า แล้วการโยน EM Ball ในภาวะน้ำท่วม โดยไม่ได้วิเคราะห์ตัวอย่างก่อน ทำไมเราถึงเชื่อว่า ได้ผล นั่นก็เพราะ หลายๆกรณี ไม่ต้องโยน ก็ได้ผลอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า อีกนัยหนึ่ง ก็มองได้ว่า สิ่งที่รณรงค์กันนั้น เป็นเหตุให้ สิ้นเปลือง และ สูญเปล่า โดยไร้ประโยชน์ ได้เช่นเดียวกัน แต่หากต้องการ กำจัดกลิ่น และ ลดความขุ่นดำของน้ำ ก็สามารถใช้ ปูนขาว ซึ่งก็น่าจะสะดวกและประหยัดกว่า จากนั้น ภาครัฐต้องรีบระบาย น้ำเสียที่ท่วมขัง ไปรวมกับมวลน้ำมหาศาลภายนอก ซึ่งก็จะ ค่าความสกปรกต่างๆ เจือจางลง แล้วส่งต่อให้ธรรมชาติ สายลม แสงแดด ฯลฯ บำบัด หรือ ฟอกตัวเอง ด้วยกลไกตามธรรมชาติต่อไป นั่นคือ หนทางที่เหมาะ ที่ควรกว่า หรือเปล่า ก็ฝากไว้ พิจารณาละกันครับ หรือ ควรทำอย่างที่เห็นในคลิปนี้ http://www.youtube.com/watch?v=O8ilIru0VeI *** คราวนี้ ลองทวน คำถาม หรือ โจทย์ ที่ให้ไว้ใน #9 อีกทีนะครับ เพราะโจทย์ข้องนี้ ตั้งไว้ให้เป็นข้อสังเกต ในภาพกว้างๆ ไม่ได้ ตีความแค่ในกรอบการทดลองนี้ เท่านั้น **** #9 โจทย์ การโยน EM Ball ลงในน้ำเสีย สามารถบำบัดน้ำเสียนั้นได้ โดยไม่ต้องรู้สภาพน้ำตั้งต้น หรือ วิเคราะห์น้ำตัวอย่าง ได้จริงหรือ ? ดูจากโจทย์แค่นี้ ก็พอเห็นเค้าลางแล้วนะครับ ว่า สมมติฐานที่ตั้งไว้นั้น จะถูกสั่นคลอน ด้วยตัวแปรอะไรบ้าง จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 11:58:31 จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 10:24:40 A:61.90.86.120 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 75 จากข้อมูลของคุณ Vikee  นำมาอ้างอิง   นิยามของน้ำเสียใน คห #49  ที่ชัดเจน 1. สารอินทรีย์ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เช่น เศษข้าว ก๋วยเตี๋ยว น้ำแกง เศษใบตอง พืชผัก ชิ้นเนื้อ เป็นต้น ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายได้ โดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ทำให้ระดับออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen) ลดลงเกิดสภาพเน่าเหม็นได้ ปริมาณของสารอินทรีย์ในน้ำนิยมวัดด้วยค่าบีโอดี (BOD) เมื่อค่าบีโอดีในน้ำสูง แสดงว่ามีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก และสภาพเน่าเหม็นจะเกิดขึ้นได้ง่าย เห็นชัดว่า น้ำที่ผู้วิจัยนำมาทดลองนั้น ไม่ใช่น้ำเสียจริง ถึงจะอ้างว่าตักมาจากแหล่งน้ำเสียจริง แต่ว่าตักมาแต่น้ำ แต่ไม่ได้มีสารอินทรีย์ที่เป็นเหตุทำให้เกิดน้ำเสียมาด้วย พระเอกที่ ผู้วิจัยใช้อ้างอิงว่าน้ำที่ตักมาคือ น้ำเสีย ก็คือค่า BOD แล้วค่า BOD คืออะไร หาได้อย่างไร  สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักนะครับ ผมลอง search จาก google ก็ได้ความว่า ===================== BOD หรือ Biochemical Oxygen Demand คือ ปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียใช้ในการย่อยสารอินทรีย์ชนิดที่ย่อยสลายได้ภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน เป็นการวิเคราะห์เพื่อที่จะทราบถึงปริมาณความสกปรกของน้ำ เช่น น้ำในแม่น้ำลำคลอง น้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการออกแบบระบบบำบัด ควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งและประสิทธิภาพของระบบนั้นๆ การวิเคราะห์บีโอดี เป็นการวัดปริมาณออกซิเจนที่ถูกใช้หมดไปในเวลา 5 วัน ในตู้ควบคุมอุณหภูมิที่ 20 องศาเซลเซียส สามารถวิเคราะห์ได้ 2 วิธี 1. Direct method ใช้กับตัวอย่างน้ำที่มีความสกปรกน้อย มีค่าบีโอดีไม่เกิน 7 mg/L ส่วนใหญ่เป็นน้ำจากแม่น้ำ สามารถใช้ตัวอย่างน้ำมาหาค่าบีโอดีโดยตรงเลย 2. Dilution method ใช้กับตัวอย่างน้ำที่มีความสกปรกมาก เช่น น้ำเสียจากบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีค่าบีโอดีมากกว่า 7 mg/L จึงจำเป็นต้องทำให้ตัวอย่างน้ำที่สกปรกเจือจางลงโดยใช้น้ำผสมเจือจาง และควรทำหลายๆความเข้มข้นอย่างน้อย 3 ความเข้มข้น (น้ำผสมเจือจาง คือ น้ำกลั่นที่นำมาปรับคุณภาพให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์ โดยเติมสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ แมกนีเซียมซัลเฟต แคลเซียมคลอไรด์ และไอร์ออน (III)คลอไรด์ แล้วนำไปเติมอากาศให้มีออกซิเจนละลายอิ่มตัว) เนื่องจากการวิเคราะห์บีโอดีต้องใช้เวลานานประมาณ 5 วัน ดังนั้นอาจช้าเกินไปสำหรับการควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งหรือประสิทธิภาพของระบบบำบัด เราจึงสามารถหาค่าบีโอดีได้อย่างคร่าวๆโดยเทียบกับค่าซีโอดีซึ่งใช้เวลาในการวิเคราะห์ประมาณ 2 ชั่วโมง นั่นคือ บีโอดีจะมีค่าประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของค่าซีโอดี ================== อ้างอิงจากเว็บ ม.เกษตร http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic8/water.html ในแบบเรียน วิชาเคมี ม.ปลาย ที่ใช้สอบ ระบุว่า  BOD <100 เป็นน้ำดี  BOD >100 เป็นน้ำเสีย กรมควบคุมมลพิษ http://www.pcd.go.th/info_serv/water_wt.html ก็ไม่รู้ว่างานนี้ ผู้วิจัย อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยไหน หรือ หน่วยงานใด ================== ถ้าอ่านไปถึงวิธีการบำบัดน้ำเสียที่สอนกัน ใน ม.ปลาย  ที่จะใช้สอบ Admission จะพบว่าความรู้ระดับ ม.ปลาย การบำบัดน้ำเสีย สามารถแบ่งได้ตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1. การบำบัดขั้นต้น (Preliminary Treatment) : เป็นการบำบัดเพื่อแยกของแข็งขนาดใหญ่ ออกจากของเหลวหรือน้ำเสีย โดยใช้ตะแกรงหยาบ (Coarse Screen) ตะแกรงละเอียด (Fine Screen) ฯลฯ การบำบัด น้ำเสียขั้นนี้สามารถกำจัดของแข็งแขวนลอยได้ร้อยละ 50 - 70 และกำจัดสารอินทรีย์ซึ่งวัดในรูปของบีโอดีได้ ร้อยละ 25 - 40 2. การบำบัดขั้นที่สอง (Secondary Treatment) 3. การบำบัดขั้นสูง (Advance Treatment หรือ Tertiary Treatment) ไม่ต้องอธิบายให้มาก กระบวนการที่ผู้วิจัยทำก็คือ ตักน้ำใส่ถังมา 80 ลิตร กรองเอาเฉพาะน้ำ ซึ่งมันก็คือการบำบัดน้ำขั้นต้น นั่นเอง แล้วน้ำที่ผ่านการบำบัดขั้นต้น มีค่า BOD ต่ำกว่า 30 mg/L และ มี  OD  3 mg/L เป็นน้ำที่ผ่านมาตรฐาน ถือว่าเป็นน้ำดี ไม่ใช่น้ำเน่าเสีย ดังนั้นผลสรุปจากการทดลองนี้ ก็คือ การใช้ EM กับน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดขั้นต้นจนมีค่า BOD < 30 mg/L ไม่ได้ทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น หรือ แย่ลง จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 11:33:15

ความคิดเห็นที่ 76 จาก...ความคิดเห็นที่ 13     ขอบคุณคุณ Webkit สำหรับคอมเม้นต์ต่างๆ ครับ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เรายอมรับว่าการทดลองนี้ยังมีจุดบอดหลายส่วน แต่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และเหมาะสมแล้วที่จะนำเสนอผลออกมาไปกระตุ้นให้คนอื่น ทีมอื่น ที่อาจจะมีเครื่องมือดีกว่าเรา มีเงินมากกว่าเรา ได้ทำการทดลองเอาผลมานำเสนอ ทั้งจะสนับสนุนหรือจะแย้งเราก็ตาม ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการใช้ EM ball ในช่วงน้ำท่วม เราเคยแถลงไว้นานแล้ว http://www.sc.chula.ac.th/th/newsDetail.asp?newsID=320 (ในหว้ากอ ก็เคยเอามาลงไว้) ซึ่งถ้าอ่านดูแล้ว จะทราบว่าต่างจากทางวิศวะจุฬาฯ มาก ที่เรายอมรับว่า EM น้ำ เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ที่จะใช้ลดกลิ่น ลดความขุ่นดำของน้ำเสีย แต่ผู้ใช้ต้องรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งวิธีการเตรียมและวิธีการใช้ รวมทั้งว่า มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างยั่งยืน ต้องคอยเติมน้ำอีเอ็มลงไปเรื่อยๆ ของเสียในน้ำยังอยู่เหมือนเดิม คุณภาพน้ำยังต่ำเหมือนเดิม โดยเฉพาะเรื่องออกซิเจนในน้ำที่ในเชิงทฤษฎีแล้ว ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งมันควรจะจบแค่นั้น แต่การที่มีบางองค์กรพยายามอ้างว่าออกซิเจนในน้ำเพิ่มได้ ทั้งที่ไม่ได้มีรายงานว่าในอีเอ็มมีสาหร่ายหรือไซยาโนแบคทีเรียเลย ทำให้เราอยากทำการทดลองหาข้อสรุปเรื่องนี้ จนออกมาเป็นผลอย่างข้างต้น ถ้างานวิจัยนี้มีจุดบอดจนไม่เป็นที่ยอมรับกัน (อย่างหลายๆ ข้อที่ช่วยคอมเม้นต์มา) ผมเชื่อว่าถ้าเป็นประเด็นจริงๆ คงมีผู้เชี่ยวชาญในวงการออกมาคอมเม้นต์เสริมด้วย และไม่แน่ว่าผู้บริหารผมอาจจะพยายามไปหาเงินมาทำปรับปรุงในอนาคต (แต่อยากเห็นหน่วยงานอื่นๆ มาทำเสริมกันมากกว่า) จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 13:09:37   ถูกใจ : surasakmu, ศศิวิมล, Catcher in the rye, TinyNu .................................................................................................... . . . สรุปแล้วถ้าทางอาจารย์คิดว่าการทดลองมีจุดบอด ก็ไม่ควรออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครับ เพราะประชาชนบางส่วนอาจไม่ได้มีฐานหรือแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งหมด จะเกิดความกำกวมทางความคิดได้ครับ ในส่วนนี้ท่านอาจารย์ก็บอกว่า EM น้ำยังมีประโยชน์อยู่ จากข้อความตรงนี้นะครับ "จะทราบว่าต่างจากทางวิศวะจุฬาฯ มาก ที่เรายอมรับว่า EM น้ำ เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ที่จะใช้ลดกลิ่น ลดความขุ่นดำของน้ำเสีย แต่ผู้ใช้ต้องรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งวิธีการเตรียมและวิธีการใช้ รวมทั้งว่า มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างยั่งยืน" ดังนั้น สรุปเลยนะครับ ว่าไม่ควรจะนำผลการทดลองแถลงต่อสื่อเพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า EM ไม่มีประโยชน์เลย หรือ ถ้าจะแถลงก็ต้องให้ชัดเจนตาม http://www.sc.chula.ac.th/th/newsDetail.asp?newsID=320 อันนี้พอรับได้ ไม่ใช่สรุปมาให้คนอ่านเข้าใจตามความคิดของผู้ทดลองที่อ้างอิงจากผลการทดลองที่ตัวผู้ทดลองยังยอมรับว่ามีจุดบอด แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 13:17:24 จากคุณ : Photo by ObEy เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 13:14:09

ความคิดเห็นที่ 77 แวะมาชม แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 14:15:28 จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 13:46:46

ความคิดเห็นที่ 78 ลักษณะน้ำเสียชุมชน แต่ละค่าเยอะทั้งนั้น BOD(น้อย)=110   แต่ชุดควบคุมมีค่า BOD เท่ากับ 13.33±0.58 mg/L ไนโตรเจนทั้งหมด (Total as N)(น้อย)=20 mg/L ค่าจากกราฟที่ได้จากการทดลองสูงสุดประมาณ 4 mg/L ของแข็งทั้งหมด (Total Solids)(น้อย)=350 mg/L ค่าจากกราฟที่ได้จากการทดลองประมาณ 25 mg/L กว่า ๆ มองอย่างไรตัวอย่างน้ำที่นำมา่ทดลองก็ไม่น่าจะใช่น้ำเสีย แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 16:07:56 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 15:58:29 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 15:58:07

ความคิดเห็นที่ 79 เทียบกับมาตรฐานน้ำทิ้ง เมื่อดูค่าต่าง ๆ เปรียบเทียบกันแล้ว ใครคิดว่าคำนิยาม ของน้ำเสีย และ น้ำทิ้ง ไม่ได้มีผลกระทบ ต่อการทดลอง บ้างครับ แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 16:45:32 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 16:05:14 แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 16:01:39 จากคุณ : Vikee เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 15:59:45

ความคิดเห็นที่ 80 น้ำทิ้งฟังดูแล้ว ยังดูน่ากลัว ครับคุณ Vikee แต่ อธิบายให้ไม่ขัดกับความรู้สึกคือ ตารางนี้ คือ  น้ำที่ผ่านการบำบัด หรืออาจจะไม่ผ่านการบำบัดก็ได้ โดยเมื่อพบว่าคุณภาพน้ำมีค่าตามนี้แล้ว สามารถปล่อยลงสู่แหล่งน้ำได้ครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 17:14:43

ความคิดเห็นที่ 81 อ.เจษ ทำการทดลอง นี้ ผลพวง มาจาก  ศ.ธงชัย  ออกมาคัดค้าน การใช้ EM ball และ คณาจารย์จุฬา ประชุม เสนอแถลงการณ์ออกมา  ดัง link ที่อ.เจษเคยแปะมาให้นี้ http://www.eng.chula.ac.th/?q=node%2F3983 และ คณะวิทย์ ก็เขียน ความเข้าใจ EM ที่อ.เจษ แปะ ไว้ด้านบน ก็เอามาให้ชมกันครบๆ ครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 17:18:43

ความคิดเห็นที่ 82 ขอคัดบางส่วนเอามาเสริม คุณช้างยิ้ม ---------------------------------- 3. แนวทางการแก้ปัญหาน้ำเสียท่วมขัง ควรดำเนินการตามลำดับดังนี้     ก. ควรระบายนำน้ำท่วมขังออกโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับ และใช้ทั่วไปในนานาประเทศ     ข. เก็บขนขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลที่เกิดขึ้น เพื่อลดความสกปรกของน้ำท่วมขัง     ค. เติมปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ เช่นทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำท่วมขังเข้าและออกจากพื้นที่ปิด และการใช้เครื่องเติมอากาศ เป็นต้น ----------------------------------- ผมเห็นด้วยนะครับว่า ทั้ง 3 วิธี ได้ผลในการแก้น้ำเสียมากกว่า EM แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้ เพราะ รัฐบาลก็ทำทั้ง 3 อย่างอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ทัน น้ำจึงท่วม และ เน่าเหม็น ดังนั้นแนวทางนี้ ก็คือ บอกให้ ประชาชน นอนดมน้ำเน่าต่อไป จนกว่าน้ำจะแห้ง คิดได้แค่นี้ ? จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 01:06:11

ความคิดเห็นที่ 83 เรียนคุณ webkit อันนี้เป็นข้อเสนอ อาจารย์จุฬาครับ ที่จริงผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร 1. ข้อที่ 1 ไม่เห็นด้วยโดยสมบูรณ์ (แต่ขออุปไว้ในใจว่าทำไหมไม่เห็นด้วยโดยสมบูรณ์) ลองมองด้วยสายตาที่กว้างขึ้นจะเข้าใจครับ 2. ข้อที่ 2 เห็นด้วยในแง่ทฤษฏี แต่ การปฎิบัติยากมาก 3. ข้อที่ 3 เห็นด้วยในแง่ทฤษฏี แต่ การปฏิบัติยากกว่าข้อสองอีก แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 55 01:29:42 จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 01:29:18

ความคิดเห็นที่ 84 มันเป็นเพียงแค่ผลทางแลปเท่านั้น การมาทำจริง Scale ใหญ่ๆ นั้นยากมากๆครับ ดังนั้นมันจึงอ้างอิงไม่ได้เรื่องการบำบัดน้ำเสียในระบบขนาดใหญ่แบบนี้ จากคุณ : Tertrium เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 14:00:14

ความคิดเห็นที่ 85 #82 เอ่อ... เราว่าคำตอบท่านคล้ายกับกรณีของจีทีสองร้อยมากเลยนะ บอกว่าจีทีสองร้อยใช้ไม่ได้ผล ก็มีคนมาบอกว่า "แล้วจะให้คนนอนเฉย ๆ รอให้ระเบิดมาระเบิดใส่หรือเปล่า ?" นั่นแหละ ใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปใช้ จะดันทุรังใช้ต่อทำไมถ้ามันไม่มีอะไรดีขึ้น กลับกันมันจะมีโทษมากกว่าหากยังจะดึงดันใช้ต่อไปอยู่อีก ...กรณีนี้หากจะโต้แย้งก็ต้องพูดในกรณีที่บอกว่าผลการทดลองผิดพลาดเท่านั้นแหละ ซึ่งเราว่าความเป็นไปได้ที่ผลการทดลองจะไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงน่าจะมีอยู่บ้างนะ จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 22:57:38

ความคิดเห็นที่ 86 หลายคนอยากให้ EM มัน WORK ใจจะขาด ไม่ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ หรือด้วยเรื่องความเชื่อล้วนๆ หรือเพราะหลวมตัวไปปั้น stupid ball กับเขาแล้วก็ตาม ความจริงก็คือมันใช้ไม่ได้ และไม่ว่าอยากจะเชื่อมากเท่าไรก็ไปเปลี่ยนความจริงไม่ได้ การทดลองของจุฬาอาจมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เคยมีผลการทดลอง ที่พวกควxx พยายามอธิบายว่ามัน "อาจ" จะใช้ได้ได้ด้วยกลไกอะไร ไม่ได้เป็นหลักฐานว่ามันใช้ได้ มันไม่ได้เป็นแม้แต่ทฤษฎี มันเป็นแค่ฝันกลางวัน ที่จริง Burden of proof มันอยู่ที่คนเสนv ไม่ใช่อยู่ที่คนค้าน ถ้าไม่มีหลักฐานว่า EM มันใช้ได้ก็ควรจะเชื่อว่ามันใช้ไม่ได้ไว้ก่อน เหมือนกับถ้ามีคนอ้างว่าขี้หมาบำบัดน้ำเสียได้ ไม่ใช่ให้เชื่อไว้ก่อนว่าขี้หมาบำบัดน้ำเสียได้จนกว่าจะมีผลผิสูจน์ว่ามันใช้ไม่ได้ ทำไมถึงอยากจะเชื่อกันขนาดนั้้น เราน่าจะตอบคำถามว่าทำไมคนถึงอยากเชื่อว่ามันใช้ได้มากกว่า ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องน้ำท่วมมันมาเร็ว แล้วเราก็ไม่ได้มีเวลามาคิดอะไรมาก มันเป็นเวลาที่คนสิ้นหวังและรู้สึกว่าควบคุมสถานะการณ์ไม่ได้ ถ้ามีอะไรที่ทำให้คนรู้สึกว่าสามารถทำอะไรได้ ไม่ใช่ปล่อยตายยถากรรม คนก็จะยึดไว้ กระสอบทรายมันก็ไม่ได้ช่วยเท่าไร ไม่ได้ช่วยถึงขนาดที่ว่าถ้าปีหน้าน้ำท่วมอีก มันก็คงไม่ขาดแคลน เพราะคนรู้กันแล้วว่ามันไม่ได้ช่วย แต่ในเวลานั้นอะไรที่ทำให้คนที่กำลังจะโดนน้ำท่วม ได้รู้สึกว่าทำอะไรบ้าง ควบคุมสถาณะการอะไรบ้าง คนก็ทำ จริงๆเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เวลาคนเป็นหวัด ในวันที่แย่ที่สุด ก็จะทำอะไรก็ได้ถ้าเชื่อว่าจะดีขึ้น เช่นกินวิตตามินซี แต่ผลวิจัยที่บอกว่าการกินวิตตามินซีเกินปริมาณที่ต้องการ(คือไม่ให้ขาด) ไม่ได้ช่วยให้ไข้หายเร็วขึ้่นหรือช่วยป้องกันหวัดได้ ทำไมคนถึงเชื่อ ก็เพราะอยากจะเชื่อว่าสามารถควบคุถมสถาณะการณ์ได้บ้าง ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย ยิ่งการชวนคนออกมาปั้น EM Ball ก็ยิ่งแสดงถึงการแสดงออกถึงความต้องการควบคุมสถาณะการ มันก็แค่นั้น ไม่ได้แปลว่ามันจริง พอหลังเหตุการแล้ว คนน่าจะตั้งสติได้ แต่มีบางคนยังอยากขายของต่อ ไม่ยอมเลิก EM ก็คงเหมือนกระสอบทราย ปีหน้าถ้าน้ำท่วมคงขายไม่ดีอีกต่อไป แต่ถ้ายังมีควxย อยากเชื่อ ก็ขอให้ไปหาซื้อเอง ถือว่าเป็นค่าโง่ อย่าใช้เงินภาษีหรือให้สถาบันการศึกษาไปชวนคนมาปั้น แค่นั้นก็พอ แล้วข้อยจะไม่ค้านเลย จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 23:55:28 A:58.9.232.102 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 87 ยอมรับ แม้จะเคยเชื่อถือมานาน คราวนี้โดนยุ่นปี่ต้ม ตอนGT200ฝรั่งต้ม ชาติที่เรียกตัวเองว่าศิวิไลก็เชื่อไม่ได้เหมือนกันเเฮะ จากคุณ : ดินสอปากกา เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 01:25:19

ความคิดเห็นที่ 88 เห็น JD300 ให้กิฟท์ความเห็น 23,18 แล้วพาให้คิดไปว่า JD300 มีธงปักไว้ในใจเรียบร้อยแล้วว ผมว่างานนี้อาจารย์ต้องฟังคุณ webkit บ้างนะครับ หากยังมุทะลุที่จะเผยแพร่ผลการทดลองนี้โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าผลการทดลองมีจุดอ่อน มีการสรุปตีความนอกเหนือจากการผลการทดลอง อย่างนี้ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นผลดีนะครับ ถ้าจะเผยแพร่หรือจะตีพิมพ์ก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าให้มันอยู่ในขอบข่ายที่ได้ทดลองมานะครับ บางประโยคอย่างเช่น การปล่อยน้ำเสียไว้ตามธรรมชาติกลับทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น ประโยคนี้น่าจะตัดไปนะครับ มันขัดกับความเป็นจริงอย่างที่เพื่อนๆได้ทักท้วงไป ผมพูดตรงๆว่าที่บ้านของผมเองใช้ได้ผลดีมาก ผมก็เป็นวิศวะเหมือนกันแต่ตอนนี้ได้หันไปทำเกี่ยวกับการเกษตร ซึ่งก็ได้ศึกษาเรื่องอีเอ็มอยู่บ้างเพราะว่าต้องนำไปใช้ในฟาร์มสุกร ไม่ได้เชื่อเป็นตุเป็นตะเหมือนที่หลายๆคนกล่าวถึง โดยส่วนตัวก็ต้องขอบคุณอาจารย์ที่นำเสนองานทดลองให้ดู มีบางประเด็นที่เห็นด้วย แต่บางประเด็นก็เห็นแย้ง และก็อยากให้อาจารย์น้อมรับคำติติงจากเพื่อนสมาชิกไปปรับปรุง ไม่อยากให้มุทะลุอย่างที่เป็นอยู่อ่ะครับ ผมมองงานทดลองนี้เป็นงานนำเสนอนะครับ คงยังเอาไปใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้ เนื่องจากอาจารย์ก็รู้ดีว่าอะไรคือจุดอ่อนของการทดลอง ที่ทำให้ผลมันคลาดเคลื่อน คงต้องปรับปรุงกันไป แต่มีประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องของจุลินทรีย์ที่ทำให้ค่าออกซิเจนในน้ำลดหรือเพิ่มนี่แหละที่ผมจะรอติดตาม เพราะผมจะเอาไปใช้จริง และหากการทดลองครั้งหน้าของอาจารย์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มีเหตุผลน่าเชื่อถือเพียงพอ ผมจะได้เอาไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงได้ด้วย จากคุณ : SPYRAZZI เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 05:07:14

ความคิดเห็นที่ 89 #88 มีผลการทดลองก็ยังดีกว่าไม่มีผลการทดลองไม่ใช่หรือ ฝ่าย pro EM มันไม่เคยมีผลการทดลอง แต่มันบอกว่าใช้ได้ มันไม่ใช่ด่วนสรุปยิ่งกว่าหรือ ใช้กับฟาร์มหมูได้ผลหรือไม่ เคยมีการทดลองแบบมีมาตรฐานไหม มีชุดควบคุมไหม ทำไมคุณถึงเอามาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ คุณก็ควรจะฟังความเห็นแย้งฦ่ายที่ไม่เชื่อ EM และน้อมรับผลการทดลอง ไม่ใช่มุทะลุสรุปไปเองว่ามันใช้ได้อย่างที่เป็นอยู่ ผมมองความเห็นของคุณ เป็นขยะ ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถอ้างอิงอะไรได้ เนื่องจากไปวิจารณ์การทดลองคนอื่น แต่กลับเชื่อโดยไม่ต้องมีผลการทดลองใดๆสนับสนุนทั้งสิ้น แต่มีประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องของจุลินทรีย์ที่ทำให้ค่าออกซิเจนในน้ำลดหรือเพิ่มนี่แหละถ้าคุณรอติดตามนัก คุณก็ควรไปทดลองเอง หรือให้บริษัทผลิต EM มันไปทดลอง ไม่ใช่เชื่อไว้ก่อน จนกว่าจุฬาจะสามารถพิสูจน์จนคุณพอใจ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 07:43:00 A:58.9.52.32 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 90 อยากจะแก้ไขหน่อย  แด๋วคนมาอ่านหลังๆ จะเข้าใจผิด เพราะผู้สนับสนุการทดลอง มักจะบอกว่า การทดลองนี้อาจจะมีข้อผิดพลาดบางส่วน แต่ที่จริงแล้ว  ผิดพลาดตั้งแต่ สมมุติฐาน และวิธีการทดลอง เบื้องต้นทั้งหมด โดยเฉพาะการเลือกความเข้มข้นของน้ำเสียมาทดลอง และ การเลือกระยะเวลาการหมัก EM มาทดลอง เมื่อทดลองผิด ผลการทดลองจึงไม่สามารถสรุปผลอะไรได้มันก็แค่นั้้น ส่วนที่บอกว่า ให้คนโปร EM ทำการทดลองเอง เท่าที่ผมอ่านก็ไม่มีคน โปร EM หรอก เขาแค่อยากรู้ว่า EM มันมีผลการทดลองไหม แต่พอดี วิธีการทดลองมันไม่น่าเชื่อถือ เขาก็ท้วงติง มันก็แค่นั้นครับ จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 10:33:55

ความคิดเห็นที่ 91 องค์ความรู้เรื่องการบำบัดน้ำเสียของพวกเราก็จากลิงค์ด้านล่างนี่แหละครับอาจารย์ เรามันเป็นนักบริหารฟาร์มสายเลือดใหม่ ต้องหาองค์ความรู้จากองค์กรภาครัฐที่เค้าส่งเสริมนี่แหละ http://www.pcd.go.th/download/water.cfm เลื่อนลงไปด้านล่าง ตรงแถบ สิ่งพิมพ์:คู่มือการจัดการกลิ่นจากฟาร์มสุกร คือผมไม่ได้หมายความว่าน้ำ EM มันเป็นของวิเศษครอบจักรวาลนะ แต่มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น เกษตรกรต้องใช้ราดพื้นหลังและเติมในบ่อรวมน้ำเสียซึ่งจะมีสารอินทรีย์คือมูลสุกรอยู่แบบหนาแน่นมาก และมันจะปล่อยแก๊สไข่เน่าออกมา ตรงนี้เองที่มันส่งกลิ่นเหม็นรบกวนเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง เราจึงนำจุลินทรีย์ในน้ำ EM มันมาใช้ประโยชน์ได้จริงก็ตรงขั้นตอนนี้แหละ ซึ่งมันเป็นยังไงก็โหลดเอามาอ่านเล่นก็แล้วกัน ผมขี้เกียจพิมพ์ ^^ จากรูปถ้าอาจารย์นำน้ำเสียที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับบ่อรวบรวมน้ำเสียมาทดลอง ค่าน่าจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า แต่ถ้าอาจารย์นำน้ำที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับบ่อบึงประดิษฐ์หรือบ่อปรับสภาพมาละก็ มัน error แน่นอน เพราะมันสามารถปรับสภาพได้เองตามธรรมชาติเหมือนที่อาจารย์กล่าวไว้เพราะว่าในระบบมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ผิวน้ำอยู่แล้ว ผมไม่ได้ใช้เพราะว่าได้อ่านรายงานจากบริษัทผลิต EM อะไรหรอก ที่ใช้เพราะมันมาจากประสบการณ์จริง เกิดปัญหาจริงจึงหาทางแก้ไข และก็ไม่ได้ pro EM อะไรด้วย ผมหาเปเปอร์มาสนับสนุนแนวคิดผมแล้วนะ ฝ่ายที่สนับสนุนอาจารย์แบบขวาจัดก็โปรดเข้าใจผมด้วย แล้วเรื่องประเด็นการเพิ่มหรือลดออกซิเจนในน้ำที่ผมสนใจเพราะผมเองก็หาวิธีเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำที่ผ่านการบำบัดอยู่ ถ้าการทดลองของอาจารย์มีผลที่น่าสนใจ มันก็ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างผมได้ ผมก็ไม่ได้จะมาเอาชนะคะคานอะไร เพื่อนร่วมบอร์ดเหมือนกัน แชร์องค์ความรู้กัน จากคุณ : SPYRAZZI เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 14:58:53

ความคิดเห็นที่ 92 tiktaalik  กลับมาเกรียนอีกแล้ว ผมว่าคุณ tiktaalik ควรจะไปกลับไปพิจารณาตัวเอง ควรจะรู้จักใช้คำสุภาพนะครับ หัดควบคุมอารมณ์ตัวเองนะครับ โกรธบ่อยๆ เดี๋ยวจะหัวใจวายตาย จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 16:06:56

ความคิดเห็นที่ 93 webkit ถ่อยอีกแล้ว จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 16:22:33 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 94 ความเห็นที่ 91 หลอกให้ไปอ่านนี่หว่า มันไม่ใช่การทดลอง แถมในนั้นไม่มีให้เติมอีเอ็มด้วย คุณไปใส่เพิ่มเอง หน้าด้านมาก จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 16:56:46 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 95 ก็ใช่อะดิ ก็ผมอธิบายว่าเค้าใส่ตรงไหนกันไงล่ะ ก็ทำให้เห็นว่าควรจะใส่อีเอ็มในที่ที่มีสารอินทรีย์ละลายน้ำเข้มข้น ไม่ใช่เลือกน้ำที่คัดกรองเอาสารอินทรีย์หรือขยะออกไปแล้วมาทำการทดลองไง ถ้าเราคัดกรองสารอินทรีย์ออกไปได้จนทำให้น้ำใสในระดับหนึ่งแล้วมันจะผิดวัตถุประสงค์ของการใช้อีเอ็มไง ผมใช้เพื่อลดกลิ่น ผมก็ไม่ได้ว่ามันวิเศษ ถ้ามันดีจริงเค้าคงเอามาเติมน้ำขวดดื่มกันไปแล้วหละ และผมก็เห็นด้วยนะว่ามันทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง ผลการทดลองก็อนุมานได้ประมาณนั้น ข้อนี้ผมก็เห็นด้วยกับอาจารย์ ผมก็ไล่ตามสูตรเคมีนั่นแหละ ว่าจุลินทรีย์แบบนี้ ทำงานที่สภาวะไหน ใช้อะไรในการย่อยสลาย แล้วปล่อยอะไรออกมา แต่ดีมากนะที่อ่าน อย่างน้อยก็เพื่อประเทืองปัญญาตัวเอง ในเปเปอร์เค้าไม่ได้หยิบสาระเรื่องอีเอ็มมา เค้าละไว้ในฐานที่เข้าใจ (ถ้าคุณมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของจุลินทรีย์ในอีเอ็ม)แต่กระบวนการหมักในบ่อหมักแบบรางมันต้องใช้จุลินทรีย์ แล้วเราจะเอาจุลินทรีย์มาจากไหนกันล่ะ มันมีในธรรมชาติก็จริง แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่ามันจะมีในทุกๆสภาวะแวดล้อม และหรืออาจจะเป็นชนิดที่เราไม่ต้องการก็ได้ และเค้าก็จะเติมกันตรงนี้แหละ ในบ่อรวมน้ำเสียที่มันส่งกลิ่นเหม็นมากๆนี่แหละ ผมก็ว่าผมไม่ได้หน้าด้านอะไรนะ ก็บอกแล้วว่าไม่ได้จะมาเอาชนะคุณหรืออาจารย์เจษ นัยยะจริงๆของการใช้คือการกำจัดกลิ่น " ส่วนความเห็นโต้แย้งเรื่องน้ำเสียที่มีค่า BOD ต่ำเกินไป ผศ.ดร.เจษฎาชี้แจงว่า น้ำที่เอามาใช้ทดลองถือเป็นน้ำเสียตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และการทดลองนี้ก็ต้องการหาคำตอบว่า น้ำเสียจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ อีเอ็มสามารถช่วยได้มากน้อยแค่ไหนไม่ใช่นำน้ำเสียจากโรงงานมาทดลอง และเรื่องกลิ่นก็ไม่ใช่โจทย์หลักในการทดลองครั้งนี้ เพราะกลิ่นเป็นเรื่องของความรู้สึก ทำให้ยากในการคาดการณ์เป็นตัวเลขตามหลักทดลองทางวิทยาศาสตร์ " ผมกลับไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ใหม่ คำพูดของอาจารย์เหมือนเป็นปฏิปักษ์กับการทำงานของภาครัฐและภาคประชาชนในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมานะ ถ้าจะแถลงเพื่อเอาชนะคะคานภาครัฐก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าจะให้เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิทย์ละก็มันต้องเป๊ะ มันเป็นธรรมดาของการทดลองทางวิทยาศาสตร์นะ คนที่ทดลองโดยควบคุมตัวแปรต่างๆได้ครบหรือรัดกุมกว่า ก็จะทำให้ผลการทดลองน่าเชื่อถือกว่า แต่ถ้ามีคนที่เห็นข้อบกพร่องแล้วทดลองซ้ำในเรื่องเดียวกัน ควบคุมตัวแปรได้เยี่ยม มันก็ย่อมน่าเชื่อถือกว่า และผลการทดลองอันเก่าก็ต้องตกไปเป็นธรรมดา ผมก็ได้แต่รอผลการทดลองอันใหม่ของอาจารย์ที่ควบคุมตัวแปรให้มันแน่นอนมากกว่านี้ ไม่อยากให้รีบด่วนสรุป ไม่ได้มาดิสเครดิต ไม่ได้จะมาเถียงเพื่อเอาชนะ เอาผลที่เรียกว่า การปฎิบัติงานจริงมาให้ดู ไม่ได้เอาการทดลองมาให้ดู มาแชร์ให้ทราบ จากคุณ : SPYRAZZI เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 17:43:08

ความคิดเห็นที่ 96 ไม่อยากด่วนสรุป หรือสรุปไปแล้วว่ามันใช้ได้? ถ้าไม่อยากด่วนสรุปก็อย่างเพิ่งใช้ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:01:47 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 97 การไปอ้างเอกสารของกรมควบคุมมลพิษแล้วบอกว่ามีเปเปอร์การทดลองอีเอ็ม ทั้งที่ไม่เอกสารตัวจริงไม่ได้กล่าวถึงอีเอ็มเลย แต่ไป EDIT รูปเองเพิ่ม EM เข้าไป มันทำให้คนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรเข้าใจผิดได้ แล้วในห้องหว้ากอ ฏ็ไม่ได้ฉลาดเหมือนผมทุกคน คุณควรจะเห็นใจคนอื่น อย่าไปหลอกลวงเขาเลย แค่หลอกขาย EM ก็แย่แล้ว จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:07:59 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 98 นัยยะ คือจะบอกว่า EM ใช้กำจัดกลิ่นน้ำเสียได้ แต่ไปอ้างเอกสารที่ไม่ได้พูดถึง EM เลยเพราะ"ละไว้ในฐานที่เข้าใจ" ผมก็ไม่ได้เถียงเพื่อเอาชนะคุณ เพราะมันชนะอยู่แล้ว สติปัญญามันต่างกันมากๆ แต่ผมเถียงเพื่อให้คนที่เขาไม่รู้ได้รู้ทันพวกคุณ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:14:21 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 99 การทดลองของจุฬามันใช้ไม่ได้ เพราะไปเอาน้ำที่เสียน้อยเกินไป แต่เอกสารของกรมควบคุมมลพิษเรื่อง คู่มือแนวทางการจัดการกลิ่นจากฟาร์มสุกร มันใช้อ้างอิงว่า EM ใช้ได้เว้ยเฮ้ย ทั้งที่ในเอกสารไม่ได้เขียนถึงมันเลย แต่ "ละไว้ในฐานที่เข้าใจ" ดริฟได้เท่มาก ok ครับ EM ลดกลิ่นได้ แต่ขอให้ไปหาซื้อกันเอง ไม่ต้องใช้เงินภาษีไปซื้อ แล้วก็ไม่ต้องมาชวนคนไปปั้น แค่นี้ทำได้ไหม? จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 18:20:56 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 100 อ่าว โทษที มิได้เจตนาจะดิฟท์เดิฟท์อะไร ก็แค่จะชี้ให้เห็นว่าตัวอย่างน้ำที่อาจารย์ใช้น่าจะเป็นแบบบ่อรวมน้ำเสียที่ผมเติม ไม่ใช่นำน้ำที่มีคุณสมบัติเหมือนบ่อบึงประดิษฐ์หรือบ่อปรับสภาพมาทดสอบก็เท่านั้น แล้วผมก็บอกว่าผมเติมตรงนี้นะ แล้วทั้งหมดจะลงไปหมักในบ่อรางต่อไป ใช้เวลาหมักกี่วันก็ว่าไป ซึ่งในบ่อหมักก็จำเป็นต้องมีจุลินทรีย์ที่ผมเติมลงไปพวกนี้แหละ คอยย่อยสารอินทรีย์ในบ่อหมักราง ไม่ได้บอกว่านี่เป็นเปเปอร์การทดลองของอีเอ็มอะไร แค่ชี้ให้หลายคนเห็นขั้นตอนที่เราเอาใช้ประโยชน์่จากจุลินทรีย์พวกนี้ ก็เท่านั้น ผมก็ว่าผมอธิบายละเอียดแล้วนะ แต่คุณต้องทำใจเป็นกลางก่อนอ่านนะ ถึงจะได้ใจความครบ ความคิดเห็น 99 "ok ครับ EM ลดกลิ่นได้ แต่ขอให้ไปหาซื้อกันเอง ไม่ต้องใช้เงินภาษีไปซื้อ แล้วก็ไม่ต้องมาชวนคนไปปั้น แค่นี้ทำได้ไหม? " ใจความอยากจะสื่อแค่นี้ ก็น่าจะบอกมาตั้งแต่แรก จะมาก่อกวนคนอื่นที่เค้าจะคุยกันทำไม เค้ามุ่งที่ผลการทดลอง และผลการใช้งานจริง มันเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก ถ้ามันทำให้หายเหม็นแต่ทำให้ออกซิเจนลดลงก็ว่ากันไป ก็บอกข้อดีข้อเสียกันไปเป็นข้อๆ แต่การทดลองมันเลือกทดลองเฉพาะเกินไป พูดจริงๆในตอนน้ำท่วมใครเค้าสนใจปริมาณออกซิเจนในน้ำกัน เค้าสนใจอะไรก็ได้ ที่ทำให้น้ำเน่าบริเวณบ้านเค้าหายเหม็น แล้วผลการทดลองของอาจารย์ก็มีข้อดีคือทำให้ผมทราบว่ามันทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง ผมก็จะได้หาวิธีการบำบัดและเพิ่มออกซิเจนในน้ำให้มากเพียงพอกับปริมาณที่กฎหมายกำหนด ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือใครก็ตามที่เลี้ยงปลาก็จะได้ตระหนักไว้ว่าหากใช้เยอะ ปลาอาจจะตายได้เพราะขาดออกซิเจน แต่คุณเน้นโจมตีคนที่ติติงผลการทดลอง คอยจับผิดอะไรไม่เป็นสาระมาเป็นประเด็น ทำแบบนี้มันเป็นผลเสียกับตัวคุณเองและอาจารย์นะ มองโลกในแง่ดีหน่อย ปิดกระทู้ไปเหอะ ถ้าจะให้เยินยออย่างเดียว โดยที่ทักท้วงอะไรไม่ได้ ^^ จากคุณ : SPYRAZZI เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 19:45:38

ความคิดเห็นที่ 101 มันไม่เข้าใจว่าประชดมัน สติปัญญา จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 19:55:00 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 102 ถ้ามีสติปัญญากว่านี้จะรู้ว่าผมไม่ได้โจมตีคนที่วิจารณ์การทดลอง แต่ผมวิจารณ์คนที่ตั้งแง่ไว้ก่อนว่า EM ใช้บำบัดน้ำเสียได้ ก่อนที่จะมีการพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น และรังเกียจพวกที่บอกว่าผลการทดลองนี้ใช้ไม่ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งสรุปว่า EM ใช้ไม่ได้ คือมันต้องการให้ใช้ EM ไปก่อน จนกว่าจะมีผลพิสูจน์จนมันพอใจ ที่จริงไม่ใช่หน้าที่จุฬาจะมาพิสูจน์ว่ามันใช้ไม่ได้ แต่เป็นหน้าที่ของผู้เสนอว่ามันใช้ได้ คือผู้ผลิตมาขาย หรือพวกสาวกที่เอามาใช้ มาหลอกคนไปปั้น ต้องทำการทดลองออกมา แล้วนำออกเผยแพร่เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์เขาวิจารณ์ เขาเรียกว่า peer review แต่พวกคุณก็แถว่า EM มันใช้ได้ พอมีผลการทดลองแม้จะไม่ได้คลอบคลุมทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่มี ผลออกมาว่าใช้ไม่ได้ ก็ไปวิจารณ์งานทดลองเขา ทั้งที่งานทดลองสนับสนุนว่า EM มันใช้ได้ ไม่เคยมี ถ้าจุฬาบ้าจี้อย่างนี้ มันจะมีเรื่องให้ทดลองไม่สิ้นสุด ถ้ามีคนเคลมว่าเขามีจุลินทรีย์ตัวใหม่ ดีกว่าอีเอ็มออกมาอีก จุฬาก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดมันอีกหรือ ทำไมคนที่คิดจะขายของ ไม่เคยทำการทดลองที่น่าเชื่อถือเลย? คุณเคยคิดไหม? เพราะ EM มันแพ้การทดลองที่มีการควบคุมที่ดี มันเป็นมาตั้งแต่ทางการเกษตรแล้ว มันมีปํญหาตลอด ทำซ้ำไม่ได้ เจ้าของตำรับก็ยังยอมรับ หรือพูดอีกแง่ว่า มันใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เมื่อไรไปควบคุมมัน มันจะใช้ไม่ได้ แต่ก็มีคนเสียผลประโยชน์มาวิจารณ์การทดลอง คุณลองใช้หนังกำพร้าทีฝ่าเท้าคิดดู ว่าจุฬาเขาได้อะไรจากการที่เขาออกมาวิจารณ์ EM นอกจากว่าเขาซื่อสัตย์กับความจริงทางวิทยาศาสตร์ ตรงกันข้าม ฝ่ายที่ Pro EM มันได้ขายของเต็มๆ หน่วยงานที่ชวนคนมาปั้นก็ได้รักษาหน้า ได้แก้ตัวว่าไม่ได้ใช้เงินภาษี หรือเงินบริจาคไปแบ่งกันกิน เหลือก็เอามาโยนทิ้งน้ำ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 55 20:10:41 A:58.9.139.133 X: TicketID:287399