ความคิดเห็นที่ 1 Myth 1: ผม/ขน จะงอกหนา/เร็ว กว่าเดิมถ้าโกนทิ้งซะ    เป็นความเชื่อกันมานานและพูดกันปากต่อปากมาเรื่อยๆและมีการเตือนกัน โดยเฉพาะสาวๆว่า ถ้าไปโกนขนเข้าล่ะก็มันจะงอกมาใหม่หนากว่าเดิมนะ เช่นกัน บางคนเชื่อว่าถ้าโกนผมทิ้งซะ ผมที่ขึ้นใหม่จะขึ้นดกหนากว่าเดิม   การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีมานานแล้ว และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้มากมาย เช่น จาก Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol นักวิจัยที่สถาบันเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า " มีหลักฐานอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1928 แล้ว โดยมีการทดลองให้เห็นว่าการโกนขนนั้นไม่มีผลอะไรกับการงอกใหม่เลย แม้กระทั่งงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ก็แสดงให้เห็นว่า มันไม่มีผลอะไรเลยในการที่เราโกนผม  เพราะผมที่โกนไปมันเป็นแค่ขนที่ตายแล้ว จะไปมีผลกับการงอกใหม่ได้ยังไงกัน " จริงๆ แล้วผมหรือขนที่งอกขึ้นใหม่นั้น จะยังไม่โดนแสงแดดและสารเคมีใดๆ เลยยังมีสีเข้มอยู่ เลยทำให้ดูหนากว่าเดิม รวมทั้งขนหรือผมที่ขึ้นใหม่ๆ นั้นให้ความรู้สึกหยาบๆ (จั๊กกะจี้ เวลาสัมผัสอิๆ) คนทั่วไปเลยมีความรู้สึกว่ามันหนาขึ้น ความเห็นส่วนตัว **** ผมก็ค่อนข้างสงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน ว่าโกนขนมันเกี่ยวยังไงกับการขึ้นใหม่ของผม จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:48:36

ความคิดเห็นที่ 2 #2 Myth 2 :วิธีนับแคลเลอรี่ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดต่อการควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพ  เราเชื่อกันมาเสมอว่า แคลเลอรี่ที่ทานเข้าไป กับที่ใช้งานนั้น เพียงพอแล้วต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคิดกันง่ายๆแบบนั้น ก็ยังมีคำถามว่า ทำไมคนบางคนถึงไม่เคยผอมซักที? จริงอยู่ที่ว่า การทานอาหารน้อยๆ นั้นมีผลต่อการลดน้ำหนักแน่ แต่ไม่ใช่ว่าอาหารทั้งหมดที่แคลเลอรี่เท่ากัน จะมีผลต่อร่างกายเหมือนๆ กันไปหมด   ร่ายกายคนเราไม่ได้ทำงานกันง่ายๆแบบนั้น ตัวอย่างง่ายๆครับ เชื่อกันไหมว่า ข้าวขาหมู 1 จาน กับข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน จัดมาให้แคลเลอรี่เท่าๆ กันจะมีผลต่อร่างกายในการควบคุมน้ำหนักเหมือนกัน? ในบทความต้นฉบับ ยกตัวอย่างว่า   ให้ลองนึกถึงช็อคโกแล็ตแท่งกับแตงกวาดู ทั้งสองอย่างรสชาติไม่เหมือนกัน ส่วนประกอบก็ต่างกัน คิดว่ามันมีผลต่อร่างกายเหมือนๆกันจริงๆหรือ?  แนวคิดแบบนี้มีปัญหาก็เพราะว่า แคลเลอรี่ มันเป็นแค่หน่วยวัดเมตริกหน่วยนึงเท่านั้นมันเป็นแค่หน่วยที่วัดว่า (จากวิกิครับ) "พลังงานโดยประมาณ ที่ทำให้น้ำ 1กรัมมีความร้อนสูงขึ้น 1องศา" เมื่อแคลเลอรี่เป็นแค่หน่วยวัด มันจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ร่างกายใช้จริงแต่อย่างไร เทียบกันง่ายๆ อย่าหลอกตัวเองว่ากินขนมที่มีแต่ไขมันและน้ำตาลแท่งนึงที่พลังงานเท่าๆ กับอาหารที่มีโปรตีนและแป้งอย่างเหมาะสม มันจะทดแทนกันได้เพียงเพราะมันมีแคลเลอรี่เท่าๆกัน!! (ถึงจุดนี้มีการทดลองอื่นๆ อีก ผมแนะนำให้อ่านบทความต้นฉบับครับ น่าสนใจมาก เช่นมีคนทดลองลดน้ำหนักได้สำเร็จด้วยการกินแต่ขนมก็มี แต่มันหมายความว่ายังไง?) บทความนี้สรุป ว่าถึงการที่เราทานอาหารที่เพียงพอต่อวันโดยนับหน่วยเป็นแคลเลอรี่จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ร่างกายของเราซับซ้อนกว่านั้นมาก การที่จะลดน้ำหนักการอยากมีสุขภาพที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการทานอาหารที่ดีและสมดุลย์ การออกกำลังกายกล้ามเนื้อในร่างกาย พื้นฐานการใช้ชีวิต และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ความเห็นผู้แปล โดยรวมๆ ส่วนตัวผมคิดว่าบทความนี้อยากจะบอกทุกคนว่า การมีสุขภาพที่ดี และการลดน้ำหนักนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตารางแคลเลอรี่เท่านั้น การทานอาหารอย่างรู้ว่าเราทานอะไร ลงไป การใช้ชีวิต และอื่นๆมีผลต่อตัวเราทั้งนั้นครับ  ฉะนั้นเวลาที่ใครซักคนคิดจะลดน้ำหนัก แล้วเอาแต่นับแคลเลอรี่อย่างเดียว โดยไม่สนใจปัจจัยภายในอื่นๆด้วย ทั้งของอาหารที่ทานเข้าไป และ การออกกำลังกาย จึงไม่น่าจะถูกต้องครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:49:29

ความคิดเห็นที่ 3 Myth 3: คนเราต้องการการนอนวันละ 8 ชั่วโมง    เราทุกคนถูกสอนกันมาตลอดว่าต้องนอนให้ครบแปดชั่วโมงนะเพื่อสุขภาพที่ดี   ซึ่งก็อาจจะจริงสำหรับบางคน แต่...มันก็ไม่จริงเสมอไปสำหรับทุกคน...... The Hindustan Time(http://www.hindustantimes.com/Lifestyle/Wellness/Why-even-4-hours-of-sleep-is-enough/Article1-774229.aspx)  ชี้ให้เห็นถึงการทดลองตัวหนึ่งจากทางยุโรปว่า ผู้ที่มี ยีนที่รู้จักกันในนาม ABCC9 นั้นสามารถนอนหลับอย่างเพียงพอได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนให้เท่าๆคนอื่นๆทั่วๆไป การศึกษานี้ ได้ทำการทดลองในแมลงวันผลไม้ที่มียีนตัวนี้ แล้วก็พบเช่นเดียวกันว่าแมลงวันพวกนี้ต้องการพักผ่อนน้อยกว่าปรกติเช่นกัน  ในบทความต้นฉบับเคยมีการสำรวจเช่้นกันว่าผู้อื่นแต่ละคนต้องการการนอนวันละกี่ชั่วโมง ผลจากการสอบถามครั้งนั้น ก็ยืนยันผลการศึกษานี้เช่นกัน เพราะบางคนก็บอกว่า 8 ชั่วโมงจำเป็นมาก ในขณะที่บางคนบอกว่า 8 ชั่วโมงสำหรับเขานั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังมีการศึกษาอีกตัว (http://www.wired.com/science/discoveries/news/2007/12/sleep_deprivation) ที่ศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีตัวนึงที่ชื่อ Orexin A ที่เชื่อกันว่า จะเป็นตัวที่มาแทนที่การนอนหลับได้ และสารนี้ก็มีอยู่เล็กน้อยในมนุษย์ด้วย และเมื่ีอสารตัวนี้หมดไปจะทำให้คนเรารู้สึกเหนื่อย ตั้งแต่มีการพบสารตัวนี้มาก็ มีการนำสารตัวนี้มาทำเป็นสเปรย์พ่นทางจมูก (เพื่อการทดลองเท่านั้น!)เพื่อการศึกษาในการรักษาโรค Narcolepsy (http://www.google.com/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=2&ved=0CEMQFjAB&url=http%3A%2F%2Fen.wikipedia.org%2Fwiki%2FNarcolepsy&ei=9NceT4qMIKGTiQfNrYTtDQ&usg=AFQjCNG8Qemb_EFNysdYXHIvgm17H6Rgwg) หรือโรคผิดปกติทางการนอน โดยการศึกษาที่สถาบัน UCLA โดยทดลองกับลิง พบว่าลิงที่ไม่ได้นอนมา 30-36 ชั่วโมงที่ได้รับสาร Orexin A เข้าไป มีความตื่นตัวเหมือนลิงที่นอนมาปรกติ การศึกษาเกี่ยวกับ Orexin A นั้นยังค่อนข้างใหม่ครับ แต่ผลสรุปคร่าวๆ อาจจะชี้ให้เห็นว่า การนอนอาจจะไม่ได้มีผลอย่างที่เราคาดกันไว้ในอดีต และการนอน 8 ชั่วโมงนั้นอาจจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไปกับทุกๆคนครับ ความเห็นผู้แปล  เรื่องนี้ผมไม่มีความเห็นครับ เรื่องสาร Orexin A ผมก็เพิ่งเคยได้ยิน แต่เรื่องนี้ก็คงบอกได้อย่างดีว่าทำไมบางคนนอนน้อย แต่ก็ยังทำงานได้ปรกติครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:50:08

ความคิดเห็นที่ 4 Myth 4:อ่านในที่แสงไม่พอทำให้ตาบอด / สายตาสั้น หลายๆ คนคงเคยโดนว่าอยู่เสมอเวลาที่อ่านหนังสือในที่มืดๆ ว่าจะทำให้สายตาสั้นหรือ ถึงขนาดตาบอด แต่จริงๆแล้วจากการศึกษาพบว่า  การอ่านหนังสือในที่แสงไม่พอนั้น อาจจะทำให้ตาล้าไปบ้าง แต่ไม่ทำให้ผลอะไรถาวรกับดวงตาเราอย่างแน่นอน Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol กล่าวไว้น่าสนใจว่า   ชอบมีการพูดว่าคนที่มการศึกษาสูงๆ( อ่านหนังสือมาเยอะ) มักจะเป็นกลุ่มที่สายตาสั้น แต่มันขัดแย้งกับความจริงที่ว่า นักวิชาการในสมัยก่อนๆ ที่ยังไม่มีไฟฟ้า นั้นก็อ่านกันในที่แสงไม่พอเช่นกัน แต่พอช่วงหลังๆ ที่มีไฟฟ้าแล้ว กลับโทษว่าที่คนสายตาสั้นเพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะอ่านหนังสือในที่ไฟไม่พอ และเพื่อยืนยันเรื่องนี้ผู้เชียวชาญจำนวนมากก็ยืนยันว่าการอื่นหนังสือในที่แสงไม่พอนั้นไม่มีผลอะไรกับดวงตาเช่นกัน ความเห็นผู้แปล  เรื่องนี้ผมก็โดนว่าอยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เปิดไฟอ่านต่อไป อิๆ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:51:03

ความคิดเห็นที่ 5 Myth 5: ปัสสาวะช่วยลดอาการเจ็บปวดจากพิษของแมงกะพรุนได้ ใครเคยดู Friend อาจจะเคยเห็นตอนที่ตัวละครตัวนึงโดนแมงกะพรุนเข้า และมีคนบอกว่าให้ปัสสาวะรด จะช่วยลดความเจ็บปวดได้ ...จริงหรือ? หลายๆ คนอาจจะเคยได้ Fwd เมล์หรือมีการเล่าต่อๆกันมาว่าฉี่ช่วยลดพิษจากแมงกะพรุนได้ แต่ความจริงเป็นอย่างไร? Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?,(หนังสืออะไรหว่า) อธิบายว่า สิ่งที่ควรทำเวลาโดนแมงกะพรุนต่อยเอาก็คือ พยายามเอาหนวดมันออกมาให้หมด ให้ใช้ถุงมือถ้าเป็นไปได้ บริเวณที่โดนนั้นให้ใช้น้ำสมสายชูล้างเพราะจะช่วยให้พิษกระจายช้าลง ถ้าหาน่้ำส้มสายชูไม่ได้ให้ ใช้น่้าทะเลเพื่อล้าง จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า การใช้ ปัสสาวะ แอมโมเนีย และแอลกอฮอลล้างบริเวณที่โดนพิษนั้นจะทำให้ปวดแสบร้อนยิ่งขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าการปัสสาวะรดนั้นนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังทำให้แย่กว่าเดิมลงไปอีก ครับ ความเห็นผู้แปล เรื่องนี้ผมเพิ่งเคยได้ยินเลยนึกว่าเป็นเรื่องที่เฉพาะพวกฝรั่งเล่ากัน แต่พอไปลองค้นดูก็พบว่า มีคนไทยส่วนนึงเชื่อเรื่องนี้เหมือนกันครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:51:23

ความคิดเห็นที่ 6 Myth 6: เพราะว่าฉันเป็นคนที่มี  Metabolism ต่ำ ก็เลยทำให้ฉันเป็นคนอ้วน  ที่บางคนผอมน่ะ เพราะมี อัตรา Metabolism สูงเขาเลยมีสุขภาพที่ดี, บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง แล้วเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ก็ไม่เสมอไป ครั้งหนึ่ง สำนักข่าว ABC เคยสัมภาษณ์  Dr. Jim Levine เกี่ยวกับการศึกษาที่ Mayo Clinic ที่มีการศึกษาเกี่ยวกับ อัตรา metabolism ของคน ในทั้งกลุ่มคนอ้วนและคนผอม. จากการศึกษาจากคนไข้สองคนพบว่า เรื่องนี้ตรงข้ามกับความเชื่อเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง โดยสรุปผลจากการศึกษาง่ายๆ ได้ว่า คนที่มีร่างกายหนักกว่านั้นก็ย่อมต้องมีการ metabolism เพื่อทำให้ร่างกายทำงานต่อไปได้อย่างดี ในขณะที่คนที่มีน้ำหนักน้อยนั้น อัตรา metabolism  จะต่ำกว่า Dr.Levin กล่าวว่าผลจากปัญหาเรื่องน้ำหนักนั้น มาจากผลเรื่องการ metabolism น้อยมากเมื่อเทียบกับลักษณะการใช้ชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก และยังไม่ต้องพูดว่าปัญหาพวกนี้ยังเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่ทาน การออกกำลังกายและปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ปัญหาเรื่อง metabolism นั้นเป็นเพียงปัญหาเล็กๆมากๆตัวนึงเท่านั้น ความเห็นผู้แปล  อ้วนไม่อ้วนเลิกโทษการเผาผลาญไม่เท่ากันได้แล้วครับ ^^; จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:51:44

ความคิดเห็นที่ 7 Myth 7: เราจะเป็นหวัดถ้าเราถูกอากาศหนาว (หรือตัวเปียก) เราคงถูกสอนมาตลอดว่า ให้ห่มผ้าให้ดีเวลาอากาศหนาว หรือว่าถ้าตัวเปียกให้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวจะเป็นหวัด แต่จริงๆแล้วหวัดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส คุณต้องสัมผัสกับเชื้อไวรัสคุณถึงจะเป็นหวัดได้ Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?,(ท่าทางจะฮิตนะหนังสือเล่มนี้) อธิบายว่า "อากาศหนาวหรือการที่ตัวเปียก ไม่ได้ทำให้เราเป็นหวัดแต่อย่างใด แต่เหมือนคนส่วนใหญ่จะไม่อยากยอมรับความจริงนี้กันเท่าไหร่นัก ไข้หวัดทั่วๆไปนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส ไวรัสมีอยู่ในทุกที่และก็เป็นการยากที่เราจะไม่สัมผัสมัน เวลาที่คุณเจอใครซักคนที่เป็นหวัด เป็นไปได้สูงว่าคุณจะติดหวัดจากเขา เพราะฉะนั้นให้ระวังไว้เวลาพบคนเป็นหวัดโดยต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ  การนอนไม่พอ( 8 ชั่วโมง?ฮะๆ :ผู้แปล)การทานอาหารอย่างไม่เพียงพอจะทำให้คุณมีภูมิต้านทานต่ำลงและติดหวัดได้ง่าย จงจำไว้ว่า antibiotics นั้นไม่ได้ช่วยคุณจากหวัด antibiotics จะทำงานกับแบคทีเรียเท่านั้น การพักผ่อน และการทานอาหารที่ดีต่างหากที่ช่วยคุณจากหวัดได้" แต่ถ้าเรื่องนี้จริง ทำไมคนส่วนมากมักเป็นหวัดกันในหน้าหนาวและเวลาเจออากาศหนาวๆ ล่ะ จริงๆแล้วคุณหมอก็ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็มีทฤษฎี อยู่บ้างว่า ในหน้าหนาว คนเรามักจะอยู่ใกล้กัน และอยู่ในบ้านหรืออาคารซะมากกว่ากลางแจ้งเลยเป็นโอกาสที่จะทำให้ติดหวัดได้มากขึ้น ความเห็นผู้แปล  ผมเคยคิดว่าที่โดนฝนแล้วเป็นหวัดได้ง่ายนั้นอาจจะไม่ใช่เพราะตัวเปียก แต่เพราะน้ำฝนสกปรกหรือเปล่า ความเห็นส่วนตัวนะครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:52:09

ความคิดเห็นที่ 8 Myth 8: ความร้อนส่วนใหญ่ของคนเราถูกระบายออกทางหัว เวลาหนาวๆ แล้วใส่หมวกไว้ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นจริงไหมครับ  ฉะนั้นถ้ามีคนบอกคุณว่าความร้อนของคนเราส่วนใหญ่ถูกระบายออกทางหัว ก็อาจจะไม่ดูเกินจริงไปนัก แต่จากผลการศึกษาพบว่า  ใส่หมวกไว้ ก็แค่ช่วยให้หัวคุณอุ่นขึ้น  ...แค่นั้นล่ะครับ Rachel C. Vreeman และ Aaron E. Carrol(อีกล่ะ) ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเก่ามากๆ ที่เล่ากันมาจากการศึกษาในกองทัพโดยให้ ผู้ถูกทดลองอยู่ในที่มีอากาศหนาวมากๆ และใส่ชุดสำหรับกันหนาวไว้โดยไม่ใส่หมวก และลองวัดอัตราการศูนย์เสียความร้อนแล้วพบว่า ความร้อนส่วนใหญ่นั้นสุญเสียไปจากทางหัว แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะว่ามันเป็นส่วนเดียวที่สัมผัสความเย็นโดยตรงต่างหาก นักวิจัยกล่าวว่าลอง ให้การทดลองนี้กลับกันโดยให้ใส่ชุดว่ายน้ำแทน ดูสิ แล้วคุณก็จะพบว่าความร้อนที่เสียจากหัวน่ะ ไม่เกิน 10% หรอกและจากการศึกษาในปัจจุบันก็พบว่า ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับหัวของคนเราในการระบายความร้อน สรุปแล้ว ถ้าหนาวมากๆ ก็ใส่ชุดให้มิดชิด แค่นั้นเอง" ควาเห็นผู้แปล เรื่องนี้เป็นบทความของชาวต่างชาติ ส่วนตัวผมไม่ค่อยเคยได้ยินเรื่องนี้นักครับ เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่แน่ใจว่าจากไหน จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:52:35

ความคิดเห็นที่ 9 Myth 9 :เวลาโดนงูกัด ให้ใช้ปากดูดพิษออก เราคงเคยผ่านตาจากหนังหรือละครมาบ้างที่พระเอกดูดพิษออกจากแผลของนางเอกด้วยปากตอนที่นางเอกโดนงูกัด จนคนส่วนใหญ่คงเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจริงๆแล้วมันเชื่อได้ไหม? Mark Leyner และ Dr. Billy Goldberg, ผู้แต่ง Why Do Men Have Nipples?,(ต้องไปหามาอ่านแล้วมั้งนี่) บอกว่า สภากาชาดได้บอกวิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัดไว้ดังนี้ 1 ล้างแผลที่ถูกกัดด้วยสบู่และน้ำ 2 ทำให้ส่วนที่ถูกกัดไม่เคลื่อนไหวและพยายามทำให้อยู่ต่ำกว่าหัวใจไว้ 3 รีบพบแพทย์หรือรับการรักษาทันที ในส่วนนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่มีเพื้อนๆหลายคนว่าอันตราย ตอนแปลเองผมก็แปลกใจเหมือนกัน  ผมเลยเอาข้อความต้นฉบับมาลงด้วย ในบางกรณีอาจจะมีการแนะนำให้มีการรัดเหนือแผลไว้เพื่อลดการกระจายของพิษด้วย    "Although it would be pretty bad ass if it were true, sucking on a snake bite to remove the poison is not only gross but a bad idea. According to Mark Leyner and Dr. Billy Goldberg, authors of Why Do Men Have Nipples?, doing so can even lead to an infection at the wound site. Instead, do what the American Red Cross suggests:    Wash the bite with soap and water.    Immobilize the bitten area and keep it lower than the heart.    Get medical help. In some cases it may also be recommended to loosely apply a tourniquet to slow the spread of the venom. So do those things. Don't try to suck it out." ****เครดิตเฉพาะรูปนี้จาก http://shadowfire-x.deviantart.com/art/Green-Mamba-50991795 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 10:22:56 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 10:21:59 จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:53:51

ความคิดเห็นที่ 10 Myth 10 การปลุกคนที่เดินละเมอเป็นเรื่องอันตราย จริงๆ แล้วการไม่ปลุกคนที่เดินละเมอต่างหากที่อันตรายบทความต้นฉบับกล่าวว่า ที่ว่าอันตรายที่จะปลุกคนเดินละเมอน่าจะเพราะคนส่วนใหญ่ที่โดนปลุก โดนปลุกโดยวิธีทุบให้รู้สึกตัวต่างหาก และคนที่ตื่นขึ้นมาก็อาจจะรู้สึกตกใจพอสมควรที่ตัวเองตื่นขึ้นมาในที่ไหนก็ไม่รุ้ทีไม่ใช่เตียงที่ัตัวเองเข้านอนอ และอาจจะทำให้คนที่ถูกปลุกบางคนรูึสึกกลัวได้   แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วการปล่อยให้คนเหล่านี้เดินไปเรื่อยๆ ต่างหากที่อันตรายเพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินไปไหนหรือมีอะไรอันตรายอยู่บ้าง Dr. Ana C. Krieger จาก Sleep Disorders Center at New York University กล่าวว่าทางที่ดีที่สุดที่จะจัดการเรื่องนี้ก็คือ พยายามพาคนที่เดินละเมอไปนอนที่ไหนซักที่ หรือถ้าจำเป็นก็ค่อยๆปลุกเขาขึ้นมา แต่สิ่งที่ดี ที่สุดก็คือพาพวกเขากลับไปที่เตียงที่เขานอนอยุ่ตอนแรกนั่นเอง ความเห็นผู้แปล   เรื่องนี้ก็ไม่คุ้น  แต่ผมเองเคยมีคนเล่าเหมือนกันว่าละเมอหนักมาก ถึงขนาดโวยวาย หรือลุกขึ้นมาเดินเลยทีเดียว เคยมีประสพการ์ณตื่นขึ้นมาแล้วงงๆว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงอยู่สองถึงสามครั้งครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:55:11

ความคิดเห็นที่ 11 แถมครับ บทความต้นฉบับได้มีการอ้างถึงบทความหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมาจาก http://www.bmj.com/content/335/7633/1288.full โดยในบทความดังกล่าวยังมีเรื่องที่ยังที่คนเชื่อกันผิดๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 10 ข้อแรกดังนี้ -คนเราควรจะดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว -คนเราใช้สมองเพียง 10% เท่านั้น -ผมและเล็บยังจะงอกต่อไปหลังจากตายแล้ว -การกินไก่งวงทำให้คนเราเซื่องซึม(!??!) -คลื่นแม่เหล็กโทรศัพท์มือถือรบกวนการทำงานอุปกรในโรงพยาบาล แต่ผมไม่ขอแปลแล้วครับถ้าสนใจตามไปอ่านกันเองละกันครับ รูปทั้งหมด เครดิตให้แก่ที่เดียวกับต้นฉบับครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 00:56:34

ความคิดเห็นที่ 12 ไข่อุงเห็นด้วย เรื่องแคลเลอรี่ ไข่อุงก็เพิ่งตั้งกระทู้ไปว่ามันเป็นเรื่องมั่วทั้งนั้น ไข่อุงอ่านหนังสือในที่มืดมา 20 ปีแล้ว  เคยวัดสายตาได้ 0.00  (ตอนนี้ไม่รู้ แก่แล้ว แต่ยังเห็นปกติ)  ไม่จริงแน่นอน  ไข่อุงทดสอบด้วยตัวเอง การแมตตาบอลิซึ่มต่ำทำให้อ้วน  เป็นข้ออ้างอันน่าละอายของผู้หญิงอ้วน  ผู้หญิงอ้วนทุกคนจะพูดแบบนี้  แทนที่จะพยายยามทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่าง จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 01:15:26

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องตากฝนแล้วเป็นหวัด สำหรับผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า เป็นเพราะหัวเปียกน้ำฝนครับ ไม่ว่าจะน้ำฝนหรือน้ำประปาก็เหมือนกัน ต้องเช็ดหัวให้แห้ง จากคุณ : Akexorcist เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 01:44:22

ความคิดเห็นที่ 14 ดึกแล้วไข่ตุงระวังนอนไม่ครบ 8 ช.ม. นะครับ จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 01:46:26 A:27.130.59.171 X: TicketID:216886

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องที่ 6 Metabolism ตอนเด็ก ๆ จนถึงวัยรุ่นเป็นคนผอมมากครับ ทั้ง ๆ ที่กินเก่ง กินขนม กินของหวาน น้ำอัดลม แต่พอเริ่มอายุมากหน่อย 25 ปีขึ้นมา เริ่มอ้วนครับ ทั้ง ๆ กินน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ โดยส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะมีกลไกอะไรซักอย่างที่ทำให้อ้วนหรือผอม จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 01:54:27

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่ามั่วบ้างจิงบ้าง จากคุณ : varitpum2 เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 03:27:04

ความคิดเห็นที่ 17 อ่ะ ผมเชื่อเรื่องโกนขนมาโดยตลอด ฮาๆ จากคุณ : Wizzard เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 03:28:44

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่อง metabolism จากประสบการณ์ที่รู้จักกับคนที่โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์สิครับ เพื่อนผมสามารถเปลี่ยนจากอวบๆเป็นผอม ผอมแล้วกลับไปอ้วนได้เลย metabolic rate ไม่ใช่ค่าคงตัว มันมีปัจจัยควบคุมมากมาย นอกจากพันธุกรรม อายุ ปริมาณพลังงานที่ได้รับ กิจกรรม อุปนิสัย การพักผ่อน ผมว่ามันมีผลแน่นอน แต่มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะก็เท่านั้น จากคุณ : เบ้ยเบ้ย เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 03:54:42 A:76.210.74.46 X: TicketID:230277

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องโดนฝน หรืออากาศเย็นแล้วเป็นหวัด หรือไข้ ผมคิดว่าเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสภาวะที่เย็น หรือร้อนเกิดไปอาจจะทำให้ เกิดความผิดปกติ หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จากการเปิดระบบอัตโนมัติของร่างกายที่ต้องรักษาสมดุลย์ร่างกายก็เป็นไปได้นะครับ เมื่อสมดุลย์ร่างกายเสียไป ก็อาจจะเป็นช่องโหว่ให้เชื้อโรครอบตัวโจมตีก็เป็นไปได้ บางทีอากาศเปลี่ยนบ่อยผมจะจามทั้งวัน(แพ้อากาศ) แต่ก็ไม่มีอาการไข้ แต่ถ้าผมไม่ดูแลตัวเองดีๆ ปล่อยไว้ผมก็อาจจะเป็นไข้ได้ จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 05:15:31

ความคิดเห็นที่ 20 ผมมาให้กำลังใจ จขกท นำบทความมาแปลต่อไป ส่วนตัวผมเห็นว่า  Metabolism มีผลกับการใช้ Cals ครับ   มันมีโฮโมนบางตัว ควบคุมสมองส่วนบัญชาการ เร่ง/ชลอ Metabolism เช่น Resistin and Adiponectin มีผลกับการลดไขมัน ลดน้ำหนัก ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 05:55:22

ความคิดเห็นที่ 21 ผมมีตัวอย่าง Metabolism มีผลกับ Cals balance คน 2 คน นอน รพ. ที่โภชนาการเขาควบคุม Cals uptake ต่อวัน + activity control คือ นอนเฉยๆ คนหนึ่ง อ้วนขึ้น คนหนึ่ง นน.ลด จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 05:58:06

ความคิดเห็นที่ 22 #21 ผมว่ามันก็ตอบอะไรไม่ได้มากนะครับ เพราะการนอนเครียดกับนอนชิวมันก็ใช้พลังงานไม่เท่ากัน สมองเราใช้พลังงานเยอะมากนะครับเพราะงั้นคนที่เครียดคิดอะไรมากๆเลยดูซูบลง จากคุณ : thReality เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 08:55:39 A:202.94.73.23 X: TicketID:202234

ความคิดเห็นที่ 23 เราก็เชื่อมาตลอดว่าตัวเอง metabolism ไม่ดีแหงๆ  พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เคยผอมแห้งสักที โธ่....แล้วแบบนี้จะหลอกตัวเองยังไงต่อเนี่ย !! จากคุณ : XziBitch เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:09:03

ความคิดเห็นที่ 24 งูกัด รัดเหนือแผล? ถึงจะบอกว่าบางกรณีก็เถอะ  บทความนี้ตั้งแต่ปีไหนแล้วอ่ะครับ? จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:09:13

ความคิดเห็นที่ 25 สงสัยลืมเรื่องต่อมรับรสบนลิ้นอีกเรื่อง แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 55 09:33:34 จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:31:17

ความคิดเห็นที่ 26 คห 25 ขอแจมเรื่อง ต่อมรับรสบนลิ้น ด้วยคนครับ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:35:53

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องหวัดหนิก็เชื่อเหมือนกันว่าไม่เกี่ยวกับอากาศหนาว แต่สงสัยอย่าว่าถ้านั่งเคื้ยวน้ำแข็งเยอะๆ เอาหัวตากลมแรงๆนาน เจ็บคอทุกที จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:48:37

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่อง ตุ่มรับรสนี่ ผมก็เชื่อมาทั้งชีวิตเหมือนกันนะครับนี่ ตอนหลังที่รู้เรื่องนี้นี่ รุ้สึกช็อคใช้ได้ แล้วจริงหรือเปล่าครับว่าในหนังสือเรียนสมัยนี้ยังสอนเรื่ืิองนี้อยู่? จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 09:58:36

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องสายตา น่าจะเป็นเรื่องพันธุกรรมด้วย ลูกสาวเรา เราและแฟนจะระวังเรื่องการใช้สายตาอย่างมากก... ห้ามนอนอ่านหนังสือ ห้ามอ่านหนังสือบนรถ ห้ามดูทีวีใกล้ๆ ห้ามสารพัด สุดท้ายลูกก็สายตาสั้นอยู่ดี (เห้อ ยัยเด็กแว่น) ทางพ่อเค้าสายตาสั้นกันทั้งบ้าน ส่วนทางบ้านเรา มีเรากับพ่อเราที่สายตาปกติ นอกนั้นก็สั้นกันหมด เรื่องนับจำนวน cal กับ metabolism ไม่รู้ รู้แต่ว่าออกกำลังกายสม่ำเสมอ กับเลือกสิ่งที่จะเอาเข้าปาก (กินครบ 3 มื้อต่อวัน) ทำให้เราลดน้ำหนักหลังคลอดลูก 2 คนมาได้ แล้วยังไม่กลับไปอ้วนอีก ทำต่อเนื่องจนเป็นนิสัยแล้วค่ะ โดยเฉพาะการชอบกินผัก ทำให้ลูกเป็นเด็กกินผักง่ายไปด้วย (แม่กินอะไร ก็ป้อนให้ลูกกินด้วย) การออกกำลังกาย ช่วยให้รูปร่างกระชับ สัดส่วนดีขึ้นกว่าก่อนมีลูกซะอีกค่ะ ส่วนเรื่องอากาศเย็น ทำให้เป็นหวัด ไม่รู้ แต่จริงสำหรับเรามากๆ เมื่อก่อนเป็นหวัดปีละ 2-3 ครั้ง เพราะนั่งทำงานตรงที่แอร์ตกพอดี ช่วงหลังจากมีลูก เราออกกำลังกายสม่ำเสมอ และบางช่วงก็กินวิตามินเสริมบ้าง รักษาร่างกายให้อบอุ่น ช่วยให้ไม่เป็นหวัดมาหลายปีแล้วค่ะ แต่พอเข้าหน้าหนาว อาการไอของเราจะกำเริบ เสียงแหบหาย แต่ไม่เจ็บคอ ต้องพันผ้าพันคอไว้ ดื่มแต่น้ำอุ่นๆ แล้วอาการจะดีขึ้น จากคุณ : == พิ้งค์กี้ == เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:07:36

ความคิดเห็นที่ 30 ผมว่าเมตาบอลิซึ่มมีส่วนครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และจะมีผลมากกับคนที่มีอัตราการเผาผลาญผิดปกติจริง ๆ ที่เป็นประเด็นเพราะคนที่ตามใจปากแต่อยากผอมมักใช้เป็นข้ออ้างครับ เรื่องการนอนผมเคยอ่านมาสองเรื่อง เรื่องนึงเขาทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ที่ขั้วโลก ในการหาต่าเฉลี่ยชั่วโมงการนอน ให้ผู้ทดลองไม่รับรู้เวลาโดยไม่ให้ดูเครื่องบอกเวลา เพราะขั้วโลกบางช่วงจะมีแสงตลอดเวลาครับ ง่วงเมื่อไหร่ก็นอน หายง่วงก็ตื่นเองตามธรรมชาติ ให้นอนแบบเต็มที่ ทำนานเท่าไหร่ไม่ทราบครับ ก็ได้ผลออกมาว่าผู้ทดลองมีค่าเฉลี่ยการใช้เวลานอนอยู่ที่ ๑๐ ชั่วโมงครับ ถ้าจำไม่ผิดนะครับ อีกเรื่องนึงคือ ชั่วโมงการนอนไม่สำคัญเท่าการนอนอย่างเต็มอิ่ม ในเรื่องนั้นระบุว่า ถ้าคนที่นอนหลับลึกไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการนอน อาจแค่ ๔ หรือ ๖ ชั่วโมง ในขณะที่คนหลับไม่ลึกพอ เวลานอน ๘ ชั่วโมงก็อาจไม่พอก็ได้ครับ จากคุณ : นักล่าภาพ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:21:30

ความคิดเห็นที่ 31 #28  เรื่องตุ่มรับรส ผมเชื่อมาทั้งชีวิตเหมือนกันนะ สมัยก่อน ไม่รู้ว่าใครเอารูปลิ้นมาวาด แยกตำแหน่งรับรส แถมอธิบายเป็นตุเป็นตะว่า นั่นไงเด็กเลียไอติม เพราะรับรสหวานที่ปลายลิ้น จากนั้น textbook ก็ง่ายๆเนียนๆ ลอกกันทั่วไป เลยสอนกันอย่างนั้น ความจริงคือ ลิ้นมีปุ่มรับรสต่างๆทั่วลิ้น Contrary to popular understanding that different tastes map to different areas of the tongue, taste qualities are found in all areas of the tongue, although some regions are more sensitive than others http://en.wikipedia.org/wiki/Taste_bud#Localization_of_taste_and_the_specious_.22tongue_map.22 Challenging the Tongue Taste Map http://www.aromadictionary.com/articles/tonguemap_article.html จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:26:11

ความคิดเห็นที่ 32 ยังไม่เห็นด้วยเรื่องหวัดครับ ถ้าในทางปฏิบัติเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงมันอธิบายได้แค่ว่าทฤษฎีในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมพอ ไม่ใช่บอกปฏิเสธเหตุการณ์นั้นว่ามันไม่จริง จากคุณ : donutpla2 เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:27:21

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องการดูดพิษงูยังไม่ชัดนัก เคยเจอเขาใช้หอยตัวเล็กดูดพิษงู โดยเอาหอยแช่น้ำมะนาวแล้วแปะตรงแผล ถ้ามาทันไม่ตายสักราย และเชื่อว่าการดูดด้วยปากจะช่วยลดความเข็มข้นได้บ้าง แบบเดียวกับใช้สบู่นั่นแหละ อย่างน้อยก็ลดปริมาณพิษได้ไม่มากก็น้อย จากคุณ : nilnate เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:41:07

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องตากฝนแล้วเป้นหวัดผมคิดว่า เพราะร่างกายของเราอุณภูมิลดต่ำลงจนไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้มากกว่านะ จากคุณ : sillfai เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:44:15

ความคิดเห็นที่ 35 การอ่านหนังสือในที่แสงน้อย การนั่งมองจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ผมว่าไม่น่าจะมีผลกับสายตาในระยะยาวครับ แต่ิสิ่งที่มีผลก็คือ ภาวะเครียดขณะใช้สายตาครับ มีผลแน่นอน ชีวิตนี้เจอมาแล้ว 2 ครั้ง ทำงานแบบเครียด ๆ ครั้งหลังนี่ อาการรุนแรง เหมือนจะเกิดรูรั่วที่ม่านตาหรืออะไรสักอย่าง ทำให้มีน้ำเข้าไปอยู่ในจุดโฟกัสตา มองเกือบไม่เห็นเลย ต้องไปหาหมอ วิเคราะห์คอมพิวเตอร์ วุ่นวาย ดังนั้น อ่านหนังสือได้ ทำงานหน้าคอมนาน ๆ ได้ แต่อย่าเครียดครับ แล้วสุขภาพตาจะดี ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าให้เล่นเกมติดต่อกัน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่เคยรู้สึกสายตาจะล้าหรือมีอาการผิดปกติอะไรเลยครับ ^^ (สำหรับผมนะ จากคุณ : แตงโมสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 10:53:12

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณคุณเอ็กซ์โนเนะที่แปลมาให้อ่านครับ จากคุณ : คนรักมิวฟิล เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:00:38

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องหวัด ผมเคยอานเจอมาแบบนี้ครับ เวลาโดนฝน ฝนจะชะล้างบรรดาเชื้อโรคในอากาศลงมาจำนวนมาก เมื้อเชื้อจำนวนมากเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ เม็ดเลือดขาวก็จะจัดการกับเชื้อเหล่านั้น แต่เมื่อเชื้อมากเกิน ก็ป่วยเป็นหวัด จากคุณ : กระป๋องด๋อย เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:01:46

ความคิดเห็นที่ 38 อีกเรื่องที่สำคัญ คนเรา สามารถ เลียข้อศอก ได้ จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:19:34

ความคิดเห็นที่ 39 กระทู้ดี มีสาระ ^^ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:20:18

ความคิดเห็นที่ 40 Myth 1: แล้วถ้าแบบนี้ละครับ เมื่อก่อนผมต้องโกนหนวด 2 สัปดาห์/ครั้ง แล้วมันต้องค่อยๆโกนถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ต้อง 2 วัน/ครั้ง จากคุณ : psychoshocker เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:29:23

ความคิดเห็นที่ 41 เห็นด้วยกะ คห.15 และคุณ TinyNu  Metabolism rate มีผลต่อน้ำหนักตัวและปริมาณอาหารที่ทานจริงๆ แต่จะมากหรือน้อยคงจะมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องอีกที ... ตัวผมก่อนอายุ 25 กินอะไรเท่าไหร่ยังก็ไม่อ้วน น้ำหนักวนเวียนแถว 50-52 กก. ปัจจุบันเกิน 30 กินนิดกินหน่อยก็อ้วน 72 กก แล้วอ่ะ ลดไงก็ไม่ลง จากคุณ : Dare More เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 11:54:44

ความคิดเห็นที่ 42 1 OK ถูกต้องผมยาวช้าเร็ว ไม่เกี่ยวกับ การตัด หรือ โกน 2 ถูกบางส่วน แคลลอรี่ ที่อยู่ในอาหาร แต่ล่ะอย่าง มีผลต่อความอ้วนต่างกัน เนื่องจาก การย่อยสลาย และนำไปใช้ยากง่าย ต่างกัน แต่การ กินแบบคำนึงถึงแคลลอรี่ ก็ยังดีกว่า ที่จะกินแบบไม่ได้สนใจ เลย ที่สำคัญ นอกจากการควบคุมปริมาณ และชนิดของอาหารแล้ว การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญ 3 OK คนเราไม่ใช่ต้อง Fixed 8 ชม.เป๊ะ  แต่ละคนต้องการการพักผ่อนโดยการนอนไม่เท่ากัน บางคน 8 ชม.อาจจะ ไม่พอ แต่บางคน อาจจะมากเกินไป ขึ้นกับ วัย และ นิสัยแต่ล่ะคน ด้วย 4 ถูก แต่ไม่เคลียร์ การอ่านหนังสือในที่แสงน้อย แม้จะไม่ได้ทำให้สายตาสั้น หรือทำให้ถึงขั้นตาบอด แต่มีผลเสียต่อสายตา อย่างน้อยก็คือเกิดภาวะเครียด กับ การล้า ของกล้ามเนื้อตา สังเกตุดูคนที่สายตาไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะคนที่มีภาวะตาคนแก่(การปรับโฟกัสตา) ในเวลาอ่านหนังสือระยะใกล้ ลำบาก พวกนี้ ถ้าอ่านหนังสือตัวเล็กต้องแสงน้อย จะต้องเพ่งมากกว่าปกติทำให้ ปวดตากล้ามเนื้อตาล้า เครียดทำให้ปวดหัว หรือตาพร่าได้ 5 อันนี้ไม่เคยลอง แต่ว่า ปกติแล้ว ที่เค้าใช้เค้าใช้น้ำส้มสายชู ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ แต่ว่า ปัสสาวะค่อนข้าง PH เป็นกลาง น่าจะได้ผลพอๆกับน้ำปล่าวๆ 6 OK ในหลักการ ที่ว่าคนอ้วนส่วนใหญ่ กินมากเกินไป หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป มากกว่า ความผิดปกติของ Metabolism หรือ การเผลาผลาญอาหาร แต่ว่า ก็มีเหมือนกัน ที่บางคน มันเกิดจาก Metabolism ที่ผิดปกติ เช่นพวกที่เป็นไทรอยด์ ถ้าระดับฮอร์โมนต่ำ ก็ทำให้ Metabolism ต่ำ ทำให้อ้วนบวมฉุได้ ในขณะที่พวกไทรอยด์เป็นพิษ มีฮอร์โมนมาก Metabolism สูง 7 อันนี้ ไม่ค่อยโอเค เค้าสอนกันมา ก็ค่อนข้างถูกต้องแล้ว จริงอยู่ที่ ไข้หวัดหรือปอดบวมมันเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงอากาศ และอุณหภูมิ อย่างรุนแรง และเร็วๆ มีผลต่อร่างการทำให้ภูมิร่างกายต่ำลง และเชื่อโรค ที่มันมีอยู่รอบตัว หรือในตัวเราอยู่แล้ว แสดงอาการ ทำให้เกิดโรคขึ้นมาได้ ง่าย ดังนั้นไม่แปลกที่เห็นคนที่ตากฝน หรืออกกำลังกายหนักๆกลางฝน แล้วเป็นหวัดไม่สบายได้ง่าย อีกอย่างน้ำฝนที่ตกใหม่ๆ ชะสารเคมี และฝุ่นละอองสกปรก ลงมามากด้วย อันตรายกว่า น้ำปล่าวๆ 8 OK ใช่ ครับ หัว เป็นแค่ส่วนนึงที่มีการระบายความร้อนออก เหมือนผิวส่วนอื่นๆ แถมมีพื้นที่น้อยกว่า ผิวตัวรวมๆด้วย 9 Ok การดดูดปากแผล พิษมันปนออกมากับเลือดที่ออกน้อยมาก ที่ดูดได้ส่วนใหญ่ก็คงเป็นน้ำเลือด น้ำเหลือง กับ น้ำลายคนดูดนั่นแหละ ผลเสีย อาจจะเกิดจากเชื้อในปากคน ซึ่งมีมาก ด้วย 10 OK คนโดนปลุกไม่อันตรายหรอก แต่ ระวัง คนที่ไปปลุกเค้า อาจจะเจอลูกหลง โดนชกสวน   จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:05:06

ความคิดเห็นที่ 43 #14 อุง!!! จากคุณ : 76 (KuMp) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:17:51

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาอ่าน จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:24:42

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องการเผาผลาญพลังงานต่างกัน ผมก็ไม่เชื่อครับ คนปรกติถ้าไม่ป่วยเป็นอะไรเลย ยังไงก็ใช้พลังงานวันละ 2000-2400 ใกล้เคียงกัน ต่างกันตามมวลร่างกาย ยิ่งอ้วน ก็จะยิ่งใช้เยอะ เป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้หญิงตัวผอมๆ กล้ามเนื้อก็น้อย จะบอกว่าตัวเองการเผาผลาญพลังงานดี กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ถ้าหล่อนไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลย ผมมั่นใจว่า สาเหตุที่หล่อนไม่อ้วน ทั้งที่กินเยอะกว่าผู้ชายตัวใหญ่ ก็คือ 1 หล่อนพูดความจริงไม่หมด อาจจะเห็นพฤติกรรมการกินจุ แค่บางครั้ง แต่นอกนั้น อาจน้อยกว่าคนทั่วไปเสียอีก คือกินจุไม่สม่ำเสมอ 2 ระบบการย่อยและการดูดซึมมีปัญหา ไม่รู้ว่ามีข้อมูลเรื่องนี้แค่ไหน แต่ผมเคยสำรวจ คนที่กินเยอะไม่อ้วน มักจะถ่ายเยอะ (อันนี้ถามส่วนตัว) จากคุณ : งูๆปลาๆ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:31:59 A:180.180.25.5 X: TicketID:346249

ความคิดเห็นที่ 46 ผมไม่เคยเป็นหวัดเพราะสระผมแล้วไม่เช็ดหัวให้แห้งเลยนะ จริง ๆ สระผมทีไรก็เช็ดหมาด ๆ นั่นแหละ แล้วก็ปล่อยให้แห้งเอง แต่ถ้าเปียกฝนกลับบ้านนี่ต้องรีบอาบน้ำด่วนเลยอะ เหนียว! จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:39:43

ความคิดเห็นที่ 47 ผมว่าการโกนน่าจะมีผลนะ แต่ก่อนมีขนที่หน้าท้องเป็นแนวเส้นตรงแลสวยดี จู่ๆนึกพิเรนไปโกนมันออก โดยโกนรอบๆด้วย(เพื่อให้ท้องเกลี้ยงเกลา น่าจุ๊ฟ -.-) ต่อมานี่ มันขึ้นเป็นแถบเลย ไม่เป็นแนวเส้นตรงอีกแล้ว หนวดตรงมุมปากก็ด้วย อย่าไปโกนมัน เพราะจะขึ้นมาอีก ดูทุเรสเลย ไม่เชื่อทดลองโกนได้เลย ทั้งขนล่างขนบนจะไม่สวยอีกต่อไป จากคุณ : เขียนบน android 2.3.6 (kenjiwinness) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 12:40:01

ความคิดเห็นที่ 48 #6 บทความนี้คล้ายจะบอกว่า การอ้วนขึ้นของคนส่วนใหญ่ มาจากการกินล้วนๆครับ กินมากเกินความต้องการของร่างกาย โดยปกติ คนที่มีกล้ามเนื้อมากน้อยต่างกัน ก็จะมีmetabolismสูงต่างกัน หลังจากกิน คนเราจึงมีความสามารถในการนำไปใช้ ไม่เท่ากัน และการขับส่วนเกินทิ้ง ของแป้งโปรตีนไขมัน ก็ไม่เท่ากัน เช่น กินแฮมเบอร์เกอร์3อัน metabolism เป็นตัวบอก ความสามารถในการเบิร์นไขมัน ขณะทำcardio และการใช้ไขมัน ขณะอยู่เฉยๆ (แต่จริงๆตอนอยู่เฉยๆ คนเราก็ใช้ไขมันแค่นิดๆ) เพราะคนที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า เวลาทำcardio จะสามารถเบิร์นไขมันได้มากกว่า ปล.ค่อนข้างยุ่งยากครับ งานวิจัยหรือเขียนบทความ ก็เหมือนการตอบกระทู้ เราพิมพ์แค่ไหน คนก็จะคิดว่าเรารู้แค่นั้น เวลาพูดเรื่องนึง แต่มันมีมุมอื่นๆให้เถียงอีกมาก คนเขียนจึงต้อง พยายามพูดให้ครบรอบด้าน คนอ่านควรนำตรรกะต่างๆ มาผูกรวมเอาเอง ให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 55 13:21:27 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 55 13:03:25 จากคุณ : Patriots เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:01:28

ความคิดเห็นที่ 49 อีกข้อ... การค้นพบใหม่ๆ และวิทยาศาสตร์ อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป ป็น Myth อย่างหนึ่งในอนาคตก็ได้ จากคุณ : Jeja เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:01:51

ความคิดเห็นที่ 50 อยากให้ทหารประติวัติการเรียนรู้ไทย มั่งอ่ะ จากคุณ : นานมาหและ (tarkamineboy) เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:11:11

ความคิดเห็นที่ 51 อ้อ ใช่เพิ่มอีกตัวครับ อันนี้ผมจำได้เลาๆ การกิน กลางคืน/ก่อนนอน ทำให้อ้วน # มีทั้งส่วนถูกและผิด คนส่วนใหญ่นั้นทานอาหารอย่างเพียงพอ(หรือมากเกินไป) อยู่แล้วในเวลาปรกติ การทานอาหารกลางคืน จึงมักจะเป็นมื้อพิเศษที่เป็นการเพิ่มพลังงานเกินความต้องการไป จริงๆ จึงมักจะพบว่าคนที่ทานอาหารมื้อดึกหรือก่อนนอน มักจะอ้วนครับ แต่ว่า ถ้าคนๆ นั้นวางแผนการทานอาหารมาอยู่แล้ว เช่นกลางวันทานแค่ประมาณ 1600 แล้วดึก ๆ มีมื้อเสริม โดยไม่เกินที่ร่างกายต้องการ ไม่มีหลักฐานอะไรอย่างชัดเจน ว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำหนักเกินครับ กลับกันผู้ที่มีการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด เช่นนักเพาะกาย จะมีการแบ่งทานอาหารเป็นมื้อ มากกกว่าคนปรกติเช่น 6 มื้อ ฉะนั้นการทานก่อนนอนก็ไม่แปลกอะไรนัก จำคนที่แสดงเป็นวูลฟ์วอรีนได้ไหมครับ ก่อนแสดง ที่เขาเพาะกายอยู่ เขาโดนปลุกทุกๆ 4 ชั่วโมงขึ้นมาอักโปรตีนเลยนะครับ สรุป การทานอาหารอย่างพอเพียงตามที่ร่างกายต้องการ และใส่ใจต่อสิ่งที่ตัวเองทานเข้าไปว่ามันคือะไรก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่เช่นเคยครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:17:08

ความคิดเห็นที่ 52 แนวทางการปฏิบัติเมื่อถูกงูกัด ของสถานเสาวภา ก็คล้าย ๆ กับที่ post มา เพิ่มเติมเล็กน้อย ใช้น้ำสะอาดล้างแผล ไม่ต้องตีงูมาด้วยก็ได้ แต่ถ้าตีได้แล้ว ให้นำงูไปด้วย   ปัจจุบันไม่แนะนำให้รัดเหนือแผลต่อไปแล้ว เพราะมีอันตรายมากกว่าได้ประโยชน์ การดูดพิษไม่ได้ประโยชน์เลย ในต่างประเทศมีการใช้ที่ดูดพิษแบบใช้ถ่านไฟฉาย ซึ่งมีพลังการดูดได้ดี ก็พบว่าได้น้ำเหลืองใส ๆ ไหลออกมาจากแผลงูกัด ซึ่งนำไปตรวจ ก็พบว่าไม่ใช่พิษงู   การใช้สมุนไพรพอกทา ก็ไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นไปไม่ได้เลยว่า เนื้อยาจะถูกดูดซึมเข้าร่างกายผ่านแผลงูกัดได้ (งูกัดจะฝังเขี้ยว แล้วปล่อยพิษ ต่างจากการทายาภายนอก) ข้อนี้อาจมีคนโต้แย้งเยอะว่า มีคนทามากมาย และเห็นผลมานับต่อนับแล้ว ความจริงก็คือ อุบัติการณ์งูกัดมีเพียง 30% เท่านั้นที่เป็นงูพิษ และงูพิษบางครั้งกัดก็ไม่ได้ปล่อยพิษ หรือเป็นงูพิษที่มีพิษไม่รุนแรง การพอกทาสมุนไพรจึงดูเหมือนจะได้ผล   จากคุณ : toxicobkk เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:34:02

ความคิดเห็นที่ 53 ขนหน้าแข้งตอนแรกก็ไม่ค่อยมี บางๆ แบบขาผู้หญิงเลย พอไปโกนมันเข้า ที่นี่มันถึงใหม่เป็นขนหนา และปริมาณมากกว่าเดิมด้วย จากคุณ : Mr.Moohpee เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 13:56:12

ความคิดเห็นที่ 54 ผมเคยโดนยุง และแมลงตัวเล็ก ๆ มาบินวนบนหัว บ่อย ๆ บางทีเป็นฝูง เกี่ยวกับความร้อนพุ่งออกทางหัวหรือไม่ จากคุณ : เจ้าออฟ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 14:17:38

ความคิดเห็นที่ 55 สมัยหนุ่มๆผมเริ่มร่วง เลยโกนซะให้ผมใหม่มันขึ้นอย่างเเข็งแรง 10ปีผ่านไปยังไม่ขึ้น ฮ่วยยย จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 14:24:25

ความคิดเห็นที่ 56 อืม... จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 14:38:04

ความคิดเห็นที่ 57 คห.54 ไม่ได้สระผมหรือเปล่าครับ ฮา ล้อเล่นนะ ผมว่าเพราะเส้นผมมันมีสีดำมากกว่า ยุงเลยตอม รู้นะว่ายุงมันมองไม่เห็น แต่เค้าทดลองมาแล้วว่ายุงจะชอบตอมของสีดำมากกว่าสีขาว จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 14:38:24

ความคิดเห็นที่ 58 กระทู้ดีมีสาระ ขอบคุณครับที่แปลมาให้ได้อ่านกันครับ จากคุณ : คิกขุแมน เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 15:20:06

ความคิดเห็นที่ 59 กระทู้มีประโยชน์มากๆครับ เข้าใจผิดมาตลอดเกือบทุกเรื่องเลยทีเดียว = = จากคุณ : เสเพลย์หมื่นลี้ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 16:27:47

ความคิดเห็นที่ 60 โกนขน งอกเร็วไม่เร็วไม่รู้ แต่ที่แน่ มันหนาขึ้นแน่นอนครับจนถึงจุดนึงก็ไม่หนาเพิ่ม ยืรยันจากผมเอง โกนขนหน้าแข้ง ขนหน้าแข้งของผมมันน้อยและบาง ครับอยากมี โกนอยู่ 4 รอบ ดกดำเลย  หนวดก็เหมือนกันออกบางๆ ก็โกน มันก็หนาขึ้น จากคุณ : DIVERSITY เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 16:56:51

ความคิดเห็นที่ 61 ผมว่าคนที่รวบรวมนี้ ค่อนข้างขวางโลกทีเดียว จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 16:57:42

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่อง อากาศเย็นและเปียกทำให้เป็นหวัด ผมอดนึกถึง นิทานชีวิตไม่ได้ ประมาณว่าร่างกายเราต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ นั่นคือทีมงานทั้งหลายของเรามัวแต่ไปดูแลอุนหภูมิร่างกาย จนไม่สามารถไปต่อกรกับเชื้อไวรัสที่เข้ามาได้เต็มที่ ทำให้เป็นหวัดง่ายกกว่า ตอนอากาศอบอุ่นที่ทีมงานต่อต้านไวรัสอยู่กันครบครับ จากคุณ : แข้งบวม เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 17:01:48

ความคิดเห็นที่ 63 ข้อที่ 1 กับข้อที่ 7 ผมว่าจริงครับ คหสต.นะครับ หนวดผมตอนขึ้นใหม่ๆมันก็เป็นเส้นเล็กๆอ่อนๆครับ แต่พอผมโกนหรือถอนมันพอขึ้นใหม่เส้นมันใหญ่ขึ้นหนาขึ้นครับ แล้วก็เรื่องอากาศหนาวเย็น บางทีอากาศเย็นมากๆก็มีน้ำมูกใหลและจามครับ ยกตัวอย่าง เวลาอยู่ในห้องแอร์เวลาที่ลมแอร์ปะทะตัวเรานานๆ และอุณภูมิต่ำๆครับ จากคุณ : LABADORS เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 17:04:30

ความคิดเห็นที่ 64 "โกนขนมันเกี่ยวยังไงกับการขึ้นใหม่ของผม " 555 จากคุณ : ผมรักครูแหม่ม ครูแหม่มน่ารักนะ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 17:26:46

ความคิดเห็นที่ 65 ส่วนใหญ่ก็โอเคนะครับ แต่มีบางข้อขออธิบายดังนี้ เรื่องอากาศเย็นหรือตากฝนมักเป็นหวัด อันนี้เกิดจากว่าเวลาฝนตกทำให้เชื้อโรคในดินหรือตามพื้นคลุ้งขึ้นไปในอากาศโดยเฉพาะพวกไวรัส สังเกตว่าเวลาฝนตกจะได้กลิ่นเฉพาะ นั่นก็คือกลิ่นดินนั้นเองครับ ทำนองเดียวกับเวลาฤดูหนาว ฝุ่นผงเชื้อโรคต่างๆก็จะคลุ้งไปในอากาศได้ดีเช่นกัน ส่วนเรื่องการนอนได้มีการวิจัยของ American Cancer Society เพื่อหาว่านอนนานเท่าไหร่จึงจะมีอายุยืนยาวที่สุด โดย วิจัยในคนมากกว่า 1.1ล้านคน เป็นเวลา 6 ปี ผลคือ The best survival was found among those who slept 7 hours per night. Participants who reported sleeping 8 hours or more experienced significantly increased mortality hazard, as did those who slept 6 hours or less http://www.byz.org/~david/neuro/kripke.pdf และยังมี At least 14 other studies have reported the same results 2. A. Tamakoshi, Y. Ohno, Sleep 27, 51 (2004). 3. J. P. Chaput, J. P. Despres, C. Bouchard, A. Astrup, A. Tremblay, Sleep Medicine 10, 919 (2009). 4. R. Faubel et al., Sleep 32, 1059 (2009). 5. K. A. Stamatakis, R. C. Brownson, Preventive Medicine 46, 439 (2008). 6. J. E. Ferrie et al., Sleep 30, 1659 (2007). 7. A. Seicean et al., Sleep and Breathing 11, 285 (2007). 8. G. Buela-Casal, E. Miro, A. Ianez, A. Catena, International Journal of Clinical and Health Psychology 7, 615 (2007). 9. M. Sampei, M. Dakeishi, D. C. Wood, K. Murata, Biomedical Research-Tokyo 27, 111 (2006). 10. H. K. Yaggi, A. B. Araujo, J. B. McKinlay, Diabetes Care 29, 657 (2006). 11. G. Burazeri, J. Gofin, J. D. Kark, Croatian Medical Journal 44, 193 (2003). 12. M. A. Dew et al., Psychosomatic Medicine 65, 63 (2003). 13. N. T. Ayas et al., Archives of Internal Medicine 163, 205 (2003). 14. L. Mallon, J. E. Broman, J. Hetta, Journal of Internal Medicine 251, 207 (2002). 15. T. Akerstedt, P. Fredlund, M. Gillberg, B. Jansson, J Sleep Res 11, 69 (2002). จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 17:38:59

ความคิดเห็นที่ 66 โกนหนวดเกี่ยวแน่นอนครับ แต่ก่อนผมหนวดเคราบางๆเส้นอ่อนๆ ปัจจุบันต้องโกนทุกวันครับเส้นหนาขึ้นเยอะขึ้นเร็วมาก จากคุณ : นายเปเล่ เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 18:01:05

ความคิดเห็นที่ 67 เรื่องที่คนเราใช้สมองเพียง 10% เท่านั้น จริงๆแล้วเป็นยังไงเหรอครับ ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กละ (=_=!) จากคุณ : ProtesttheJK เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 18:11:02 A:183.88.51.123 X: TicketID:346760

ความคิดเห็นที่ 68 คาใจบางเรื่อง โดนพิษแมงกระพรุน ใช้กรดอ่อนๆ ทาแล้วหายปวด แต่ใช้ด่างอ่อนๆ ทากลับยิ่งปวด กลไกอะไรที่เป็นตัวสนับสนุนในเรื่องนี้ เท่าที่เคยทราบ เขาต้องการทำลายพิษแมงกระพรุน จึงใช้กรดอ่อนในการล้าง แล้วด่างอ่อนก็ทำให้ protein ถูกทำลายได้ ทำไมจึงให้ผลต่อความปวดที่ต่างกัน จนกว่าจะชัดเจนว่ากรดอ่อนเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรกับกลไกยับยั้งความเจ็บปวด ผมก็คงยังเชื่อว่าจะกรดอ่อนหรือด่างอ่อนก็ใช้ได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เข้าไปช่วยทำลาย protein ที่เป็นพิษ ... ส่วนเรื่องอากาศเย็นจะทำให้ป่วย กับอาการหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสนั้น อากาศเย็น จะทำให้ร่างกายเพลีย เนื่องจากร่างกายต้องคงอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา หากทำให้ตัวเองอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานานๆ ร่างกายก็ต้องเผาผลานพลังงานมาทำให้ตัวเองอบอุ่น นี่ล่ะทำให้อ่อนแอ และง่ายต่อการติดเชื้อ เรื่องมันเกิดก็ตรงที่ อากาศเย็นเชื้อไวรัสก็มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าปกติ ขณะที่ร่างกายอ่อนแอกว่าปกติ เพราะเหนื่อยล้ากับการอบอุ่นร่างกายตลอดเวลา ปัจจัยทั้งสอง หากมาเจอกันก็ไม่แปลกที่เราจะเป็นหวัดได้ง่ายกว่าเวลาอยู่ในอุณหภูมิปกติ สำหรับไข้หวัดที่บอกว่าเกิดจากเชื้อไวรัสนั้นก็ถูกต้องครับ แต่หวัดในที่นี้คือ Influenza ซึ่งภาษาไทยแปลว่าไข้หวัด เพียงแต่ต้องแยกให้ออกระหว่างไข้หวัดกับอาการไข้ คืออาการไข้อาจเหมือนกัน คืออ่อนเพลีย อุณหภูมิร่างกายสูง แต่สาเหตุของอาการไข้อาจมาจากการติดเชื้อไวรัสหวัดหรือติดเชื้อแบคทีเรียก็ได้ ดังนั้นหากมีอาการไข้ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ต้องกินยาปฏิชีวนะถึงจะหาย เพราะภาษาไทยเรียกอาการไข้ที่มีอาการตัวร้อน อ่อนเพลีย ไอจาม มีน้ำมูก ว่าเป็น "ไข้หวัด" แทนที่จะเรียกว่าไข้เฉยๆ ซึ่งฝรั่งเขาจะเรียกอาการเหล่านี้แบบรวมๆ ว่า fever แต่เมื่อวินิจฉัยได้ว่าสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสก็จะเรียกใหม่เป็น influenza หรือไข้หวัด ขณะที่คนไทยจะเรียกไข้หวัดทั้งหมดไม่มีแบ่งแยก ดังนั้น เป็นไข้ก็ไปหาหมอเพื่อวินิจฉัยว่าเกิดจากเชื้ออะไรนะครับ อย่าไปเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเพราะไวรัสหมด เดี๋ยวจะไม่หายไข้เพราะเข้าใจเรื่องภาษาแบบผิดๆ ... เพิ่มเติมเรื่องการรัดเหนือแผลงูกัด นี่เป็นความเชื่อโบราณที่อันตรายมากๆ เพราะเคยมีกรณีศึกษาว่า มีคนถูกงูกัดแล้วรัดเหนือแผลก่อนนำส่งโรงพยาบาล ไปถึงโรงพยาบาล พบว่างูที่กัดไม่ใช่งูพิษ แต่ต้องถูกตัดขาทิ้งเพราะขาเน่าเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน อีกประการหนึ่ง หากรัดไว้นานจนอวัยวะเน่า พอคลายเชือกที่รัดออกแล้ว เลือดเสียก็จะพุ่งเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ยิ่งอันตรายหนักเข้าไปอีก การรัดเหนือแผลหรือขันชะเนาะนั้นเขาเอาไว้สำหรับการห้ามเลือดครับ กรณีเส้นเลือดใหญ่ขาด หรือแขน-ขาขาด ไม่สามารถห้ามเลือดได้ กรณีนั้นต้องใช้วิธีขันชะเนาะครับ ไม่ได้เอาไว้สำหรับห้ามพิษงู แต่ก็มีการประยุกต์ใช้ในการรักษาอาการบางอย่างได้เหมือนกัน http://www.tutorlive.tutor-thai.com/index.php?topic=214.0 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 55 21:55:28 จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 21:44:49

ความคิดเห็นที่ 69 โกนหนวดแล้วหนวดแข็งขึ้นนี่จริงหรือไม่ครับ? หรือยังไงขนที่ขึ้นมาใหม่ก็จะแข็งอยู่แล้ว?? ปล.สำหรับผมถ้านอนไม่ครบ9ชั่วโมงจะง่วงทั้งวันไปเลย แต่ให้ดีต้อง11ชั่วโมงจะสดชื่นสุดๆ จากคุณ : ดอกไม้ไฟสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 22:55:07

ความคิดเห็นที่ 70 ไม่เห็นด้วยกับเรื่องโกนขนอะครับ เมื่อก่อนผมไม่มีหนวด+เครา ตรงคางจะมีแค่ขนอ่อน แต่มีช่วงนึงอยากมีบ้าง แล้วโกนมันซะ ทุกวันนี้ ต้องโกนทุกวัน เพราะมันยาวเร็วเหลือเกิน -.- ปล.มีวิธีทำให้มันหยุดยาวไหมครับ >.< จากคุณ : ระวังแตก เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 23:02:26

ความคิดเห็นที่ 71 เคยสงสัยเรื่องหวัดเหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นเพราะไวรัส แล้วมันจะเกี่ยวกับการที่เราหนาว ไม่ห่มผ้า ไม่ใส่เสื้อหนาวได้ยังไง ถ้าโดนไวรัสเข้าสู่ร้างกายแม้ร่างกายจะอบอุ่นก็เป็นไม่ใช่เหรอ แต่ในชีวิตจริงทุกครั้งที่ผมเป็นหวัดจะมีอยู่ 2 แบบ 1.ติดจากเพื่อน 2.กินน้ำปั่น กินแล้วภายในร่างกายจะเย็นมากๆ (กินเมื่อไหร่มีโอกาสเป็นทันที) ตอนอยู่ชั้นมัธยม ผมไม่เคยใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียนเลย(อยู่เชียงใหม่) แถมตอนเช้าดูดไอติมแท่งโชว์เพื่อนด้วย แต่ไม่เคยเป็นหวัด จากคุณ : Boyerz เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 23:04:21

ความคิดเห็นที่ 72 ผมว่าบทความนี้มันดูมั่วๆมากกว่าความเชื่ออีกนะ จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 25 ม.ค. 55 23:16:27

ความคิดเห็นที่ 73 เรื่องฝน คิดว่าน้ำฝนสกปรกมากกว่า แล้วก็ทำให้อุณหภูมิืในร่างกายลดต่ำลง มีผลทำให้ระบบ antibody ทำปฏิกิริยาได้ช้าลง ร่างกายจึงได้รับเชื้อไวรัส ตามอากาสได้ง่ายขึ้น มีผลทำให้อาจเป็นหวัดได้ง่ายขึ้น จากคุณ : MondayCool เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 00:01:44

ความคิดเห็นที่ 74 เรื่องโกนขนแล้วขนจะแข็งขึ้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าไม่โกนแล้วขนจะไม่แข็ง ผมเองเวลาโกนหนวด ก็จะโกนขนตรงแก้มที่เป็นขนอ่อนๆด้วยทุกครั้ง ก็ยังไม่เห็นมันจะขึ้นต่างไปจากเดิมเลย หรือขนหน้าแข้ง ไม่เคยโกน ตอนนี้มันก็แข็งๆไปแล้ว หรือที่เรารู้สึกว่าขนมันแข็งขึ้นเพราะว่าเราไปจับตอนมันเพิ่งจะขึ้นที่ยังมีความยาวไม่มาก เลยรู้สึกสากมือกว่าขนที่ยาวแล้วหรือเปล่า จากคุณ : หมูกระเทียม+ไข่ดาว เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 04:02:14

ความคิดเห็นที่ 75 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 05:45:25

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณครับ สำหรับสาระดีๆ จากคุณ : เงาะสีชมพู เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 08:15:29

ความคิดเห็นที่ 77 เรื่องโกนขน คงไช้ไม่ได้กับบางที่ และใช้ได้กับบางที่ครับ ลองโกนขนหน้าแข้งดูจิ 555555 จากคุณ : NeoTokyo เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 08:59:21

ความคิดเห็นที่ 78 สงสัยเรื่องเปียกฝนเหมือนกันครับ เพราะผู้ใหญ่เตือนตลอดว่าอย่าตากฝน เดี๋ยวจะเป็นหวัด จนเชื่อไปแล้ว แต่ก็นึกงง ๆ ว่า ทีว่ายน้ำ ลงทะเลนี่ก็อยู่ในน้ำเย็น ๆ เหมือนกัน แถมยังอยู่เป็นชั่วโมง ๆ ไม่เห็นจะเป็นเลย จากคุณ : hellmoon เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 10:49:28

ความคิดเห็นที่ 79 เรื่อง ร่างกายอ่อนแอแล้วเป็นหวัดผมสงสัยมาก เพราะเคยอ่านข่าว นักบอลหลายคนลงสนามไม่ได้เพราะเป็นไข้หวัด (จำได้คือ จอห์น เทอรี่ สัก3-4 ปีมาแล้ว) ก็เลยงงๆว่า นักบอลที่ออกกำลังกายขนาดนั้น ร่างกายอ่อนแอได้ยังไง เรื่องโกน ทุกวันนี้หนวดเคราผมยาวเร็วขึ้นหนาขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเรียนมหาลัยนะครับ งงๆ จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 11:47:24

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องแมงกระพรุนนี่ แนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชู หรือ baking soda ผสมน้ำแทนได้นะครับ เขาแนะนำให้ใช้ล้างนานอย่างน้อย 30 วินาที ทันทีที่ทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้พิษมันมากขึ้นและช่วยลดการปล่อยสารจาก nematocysts (เมื่อโดนแมงกระพรุนต่อย จะมี nematocysts หรือถุงพิษมันติดอยู่ครับ) หลังจากเอาถุงพิษออก หรือ deactivate มันแล้ว แนะนำให้ใช้จุ่มน้ำร้อนที่พอทนได้ อย่างน้อย 20 min หรือจนกว่าจะหายปวดครับ ไม่จำเป็นต้องพัน (pressure immobilization) บริเวณที่ถูกต่อยครับ เอามาจาก Part 13: First Aid - 2010 American Heart Association and American Red Cross International Consensus on First Aid Science With Treatment Recommendations ครับ จากคุณ : P^et^It_G^ar^Co^N เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 12:32:34

ความคิดเห็นที่ 81 เค้าเชื่อเรื่องอากาศหนาวแล้วเป็นหวัดตลอดง่ะ ตกลงเข้าใจผิดเหรอนี่ จากคุณ : หลานตาทิพย์ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 13:44:58

ความคิดเห็นที่ 82 ที่เข้าใจมาตลอดเรื่องโกนขน/ผม/หนวด ก็คือ ปลายของเส้นขนจะเรียวกว่าส่วนโคน ก็เลยสัมผัสบางอ่อนนุ่มกว่า......ทีนี้พอไปโกนออก มันก็จะเป็นตอ ซึ่งขนก็ยังต้องเจริญต่อไป ทีนี้เราก็จะได้ปลายผมที่หนาเท่าโคนผม มันก็เลยสัมผัสหยาบ และดูหนากว่า และคิดว่าต่างจากการถอน.....พอถอนแล้วขนหลุดไปทั้งราก ขนที่เกิดใหม่ก็เลยมีลักษณะปลายเรียวแบบขนทั่วไป และอ่อนนุ่มกว่า.........นี่คือการสังเกตจากการใช้ชีวิตประจำวันครับ...ก็คือหนวดผมจะโกนออก แต่เคราใต้คางจะถอนออก........พอทิ้งไว้ให้ยาวเท่าๆกัน ผิวสัมผัสมันนุ่มต่างกันจริงๆนะครับ หนวดจะหนาและแข็งกระด้าง ส่วนเคราจะอ่อนนุ่ม......อันนี้ทดสอบด้วยการเอาไปถูที่หัวไหล่ของแฟนครับ ถ้าเป็นหนวดเธอจะบอกว่าเจ็บ แต่ถ้าเป็นเคราเธอบอกจั๊กกะจี้..... แล้วที่ขำก็คือ....มีเพื่อนผมคนหนึ่งอยากคิ้วหนา ลงทุนโกนคิ้วตัวเองทิ้ง แล้วมันทำให้องค์ประกอบหน้าแปลกๆไป เพราะโกนแต่คิ้ว ผมเต็มหัว เพื่อนๆก็ล้อกันไปหลายเดือนเพราะคิ้วมันยาวช้ามาก พอยาวเต็มที่แล้วเอารูปถ่ายเก่ามาเทียบ ก็แทบไม่เห็นความแตกต่าง.... จากคุณ : กริธ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 15:32:34

ความคิดเห็นที่ 83 ้เรื่องเมตาบอลิซึม ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะเมตาบอลิซึมไม่เท่ากันนะ แต่เป็นการดูดซึมไขมันไม่เท่ากันมากกว่า จะด้วยเพราะลำไส้ หรือจะด้วยเพราะเซลล์ไขมันไม่เท่ากันก็ไม่แน่ใจ เพราะมีเพื่อนคนนึงที่ตอนเด็กๆอ้วน แล้วพอผ่าลำไส้(เพราะอะไรไม่รู็๋) ผอมเลย ทั้งที่กินเยอะเหมือนเดิม จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 17:21:28

ความคิดเห็นที่ 84 เรื่องตากฝนแล้วเป็นหวัด ถ้าเป็นคนโบราณจะบอกว่า ห้ามตากฝนตอนที่ฝนตกใหม่ๆ แต่ถ้าฝนตกไปสักพัก เล่นน้ำฝนได้ แล้วก็ไม่เป็นหวัดจริงๆ ตอนเด็กๆเล่นน้ำฝนประจำ สนุกมาก เคยมีคนบอกว่า จะเป็นหวัด ถ้าเราโดนละอองฝอยๆของน้ำฝน ไม่ใช่น้ำฝนที่ตกหนักๆ พอละอองพวกนี้เข้าปอด เลยทำให้เป็นหวัด อันนี้ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่เชื่อไปแล้ว จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 17:35:32

ความคิดเห็นที่ 85 มีหลายข้อที่ยังไม่อยากปักใจเชื่อครับ เหมือนเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเจ้าของบทความ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง... นิดนึง ผมลดน้ำหนักโดยกินมื้อเช้าปกติ หนักมื้อเที่ยง แล้วงดมื้อเย็นนะครับ เพื่อนผมตอนบวชเป็นพระก็ใช้วิธีฉันเพลเยอะ ๆ กลางคืนถ้าหิวก็กินน้ำปานะ ซึ่งพอสึกมาน้ำหนักก็ลดไปหลายโล (แต่ก็ยอมรับว่าอาจไม่เกี่ยว เพราะพระหลายองค์ก็ดูน้ำหนักเกินเหมือนกัน) จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 17:49:51

ความคิดเห็นที่ 86 น่าสนใจดี : ) จากคุณ : แมวอยู่บนยูเอฟโอ (แมวอยู่บนยูเอฟโอ) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 18:58:27

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณครับ สำหรับ สาระ ดีๆ ความคิดเห็นที่ 5 Myth 5: ปัสสาวะช่วยลดอาการเจ็บปวดจากพิษของแมงกะพรุนได้ แมงกะพรุน ผมไม่เคย แต่ถ้า หอยแม่นตำเท้า ทุบๆ นวด ๆ ฉี่รดเท้า ช่วย ลดอาการเจ็บได้ครับ ลองมากับตัว ที่เกาะ สีชัง เมื่อ กว่า 10 ปี ที่ผ่านมา จากคุณ : สลัก ลูกสูบ (สลัก ลูกสูบ) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 20:15:21

ความคิดเห็นที่ 88 เรื่องอาหารที่บอกว่า  แต่ก่อนกินแล้วไม่อ้วน  พออายุ25ปีขึ้นไปกินนิดหน่อยก็อ้วน  แบ่งเป็น2ช่วงค่ะ 1. ช่วงเด็ก-25ปี  ร่างกายนำอาหารไปใช้2ทาง คือ ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปและใช้เพื่อการเติบโตต่างๆ เช่น สร้างกระดูก สร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ 2. 25ปีขึ้นไป  ร่างกายเติบโตเต็มที่แล้ว  อาหารส่วนใำหญ่เลยนำไปใช้แค่ชีวิตประจำวันทั่วไปค่ะ  แม้ทานอาหารเท่าเดิมแต่ใช้น้อยลงกว่าเดิมมาก  ทำให้อ้วนขึ้นค่ะ วิธีแก้  เปลี่ยนอาหาร เช่น ทานผักมากขึ้น ทานไขมัน แป้ง เหล้า ลดลงค่ะ  ^ ^  (พูดง่ายทำยาก) จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 55 23:32:04

ความคิดเห็นที่ 89 นานมาแล้วเคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่า ถ้าเราดูดพิษงูด้วยปาก ถ้าเกิดเราเป็นแผลในปากนิดๆ หน่อยๆ เรานั่นแหละ จะเดี้ยงก่อน เพิ่งรู้ว่าไม่เกี่ยวเลย พิษมันเข้าไปแล้ว ตามเขี้ยวที่เจาะลงไปในผิวหนัง ผมว่ากระทู้นี้ได้ความรู้เรื่องแผลงูกัดมากมายเลยครับ จากคุณ : กึ่งยิงกึ่งผ่าน เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 01:58:45

ความคิดเห็นที่ 90 เรื่อง metabolism มีผลค่ะ ยิ่งเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ทั้งไฮเปอร์ และไฮโป เนื่องจากเราเป็นคนหนึ่งที่เผชิญปัญญาร่างกายเผาผลาญน้อยเนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ฮอโมนต่างๆผิดปกติ แล้วในใบรับรองแพทย์เขียนว่า มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และเป็นโรคทาง Metabolic น้ำหนักพุ่งค่ะ ตอนนี้ก็เลยอิ่มแน่นไปหมด อาการปรากฏตอนโต อายุได้ 24 ปี เป็นมา 2ปีแล้ว อาการดีขึ้นจากช่วงปีแรกมาก แต่ต้องกินยาตลอดไป จากคุณ : ดิฉันขำขันมาก,,* เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 07:07:29

ความคิดเห็นที่ 91 เพิ่งรู้อะว่า อ่านหนังสือ ในที่มืด ไม่ทำให้สั้นเพิ่ม แต่แม่ก็ชอบเอะประจำ ว่าไฟไม่พอๆ จากคุณ : มิยุจังน่ารักค่ะ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 07:56:00

ความคิดเห็นที่ 92 จัดหนักดีมากครับทุกท่าน อิๆ ชอบๆ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ข้อมูลส่วนใหญ่เลยจริงๆ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของผมเลยนะครับ และถ้าเกิดใครติดใจตรงไหนว่าผมแปลผิด หรือเรื่องที่ผมเอามาผิดอย่างร้ายแรงและเป็นอันตราย ก็รีบบอกมาเลยครับ อย่างเรื่องพิษงู แล้วรัดเหนือแผล ผมก็ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันครับ ตอนแรกกะจะไม่แปลในจุดนั้นมาแล้ว เพราะคิดว่าอาจจะเป็นความเห็นของคนทำบทความหรือเปล่า ส่วนเรื่องหวัดกับอากาศเย็น ส่วนตัวผมก็โดนเหมือนทุกคนครับ โดนอากาศเย็นๆ นานๆมากๆก็รู้สึกเพลียๆ จะเป็นไข้เหมือนกัน ***เดี๋ยวผม Comment แก้ไขตรงเรื่องพิษงูไว้ให้ครับ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 10:19:39

ความคิดเห็นที่ 93 เอ่อ เรื่องโกนขนแล้วขนใหม่ที่งอกจะแข็งขึ้น นี่นับรวมถึงการถอนด้วยหรือป่าวคะ ? เพราะโกนเนี่ย ตอมันยังอยู่ พอมันงอกต่อ มันก็ย่อมแข็งเป็นธรรมดา แต่ถ้าถอนเนี่ย ถอนรากถอนโคนเลยนะ พองอกใหม่  มันก็แข็ง แข็งจริงๆ confirm อย่างเช่น ขนรักแร้ และขนหน้าแข้ง เราชอบถอนขนหน้าแข้งเล่นตอนเด็กๆมัธยม พอโตมาถ้าไม่ถอนนะ มันจะดำยาว และ หยิกด้วยอะ ทุกวันนี้ต้องถอนทุกๆเดือน ไม่งั้น มันจะกลายเป็นตะไคร่ ถอนทีน้ำตาร่วง T_T แต่ไม่ถึงเป็นเหมือนชื่อ คห 62 นะ จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 11:54:49

ความคิดเห็นที่ 94 แล้วมีคำตอบสำหรับชื่อหนังสือที่ผู้เขียนมาอ้างบ่อยๆ มั้ยอะคะ "why do men have nipples?" อยากรู้ จากคุณ : ยูจินคุง เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 12:00:55

ความคิดเห็นที่ 95 เอาข้อ1 เลย ตอบจริงครับ ถ้าขนบางๆ แล้วโกนหรือถอน...ขนขึ้นใหม่จะสีดำครับ แล้วแข็งกว่าเดิม ปกติถ้าเราดึงขน รากมันจะเป็นเม็ดเล็กๆขาวๆ แต่ถ้าเราถอน...แล้วรอมันขึ้น มันจะดำแล้วหนา ทีนี้ลองถอน ตรงรากมันจะเป็นคล้ายถุงสีดำ ลองเอาไปวางตรงไหนมันก็จะติดหนึบครับ ลองถอนดูครับ จะถอนง่ายมาก ไม่ค่อยเจ็บ ดังนั้นผู้ใหญ่เลยบอก ห้ามถอนขนเล่น จากคุณ : เขียนบน iPhone (Pakinai) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 12:47:07

ความคิดเห็นที่ 96 ผมเดาเรื่องหวัดแบบดูจากตัวเองนะครับ ถ้าอากาศหนาวแล้วผมแข็งแรง ถ้าไม่หาอะไรอุ่นๆผิงจมูก มันจะแห้งแล้วน้ำมูกก็จะไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติทำให้มีน้ำมูกใสและจมูกจะไม่แ้ห้งเกินไปแต่ไม่เป้นหวัด ถ้าอากาศหนาวแล้วผมไม่แข็งแรงตามที่ควรเป็น ถ้าเจออากาศเย็นก็จะเป้นหระบวนการตามนี้แต่ผมจะติดเชื้อง่ายขึ้น เริ่มจากจมูก ลงไปที่คอและมีเสมหะในที่สุด โดยสรุปผมว่ามันคือการปรับสมดุล ทันหรือไม่ทันครับเรื่องหวัด จากคุณ : ตามน้ำูู (wipeout) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 12:59:17

ความคิดเห็นที่ 97 หลายๆเรื่องก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บทความเรื่องสาเหตุความอ้วนหรือมะเร็งมีใหม่ๆมาให้อ่านได้ตลอด  แต่ยังไงเป็นกระทู้ที่ดีมากๆเลยครับ จากคุณ : patungka เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 14:09:30

ความคิดเห็นที่ 98 โดนไปหลายข้อ จากคุณ : เป็ดสวรรค์ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 17:55:28

ความคิดเห็นที่ 99 จาก คห1 ผมอยากรู้จังครับ ว่าคนที่ผมยิ่งยาว จะทำให้ต้องสูญเสียอาหารสมองไปหล่อเลี้ยงเส้นผมมากกว่าคนผมสั้นจริงหรือไม่  แบบที่ครูเคยบอกมาสมัยเด็กๆ ว่าปล่อยให้ผมยาวจะยิ่งโง่ แต่โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อครับ จากคุณ : ดินสอปากกา เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 20:30:55

ความคิดเห็นที่ 100 เด็กวัยรุ่นผู้ชายส่วนมากน่าจะเคยถูกพ่อหรือผู้ชายที่มีอายุมากกว่าเตือนว่าอย่าเพิ่งโกนหนวดแรกเพราะหนวดที่ขึ้นมาใหม่จะแข็งและเข้ม อันนี้ผมเห็นว่าจริง เพื่อนรอบตัวตอนวัยรุ่นและจนถึงเดี๋ยวนี้ เราเห็นความแตกต่างของวัยรุ่นที่โกนหนวดแรกกับวัยรุ่นที่ปล่อยให้เป็นหนวดอ่อนเยอะ ๆ ชัดเจนนะครับ ที่จริงความเชื่อของไทยเรื่องขนยังมีอีกแยะนะครับ เช่นเขียนคิ้วเด็กอ่อนด้วยก้านพลู หรือดอกอัญชันจะทำให้เด็กโตมามีคิ้วเข้ม อันนี้ถ้ามีคนทำบันทึกข้อมูลของเด็กที่เขียนคิ้วไว้ก็น่าจะดีนะครับ ถ้าจริงก็จดสิทธิบัตรของไทยไว้ทำขายซะเลย อิ อิ จากคุณ : หมาตามเกวียน เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 20:35:17

ความคิดเห็นที่ 101 เรื่องงูกัดนะครับจาก #68 ที่บอกว่า"มีคนถูกงูกัดแล้วรัดเหนือแผลก่อนนำส่งโรงพยาบาล ไปถึงโรงพยาบาล พบว่างูที่กัดไม่ใช่งูพิษ แต่ต้องถูกตัดขาทิ้งเพราะขาเน่าเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน" คือที่เคยอ่านมานะครับ เวลาขันชะเนาะนั้นไม่ให้ขันทิ้งไว้ตลอด แต่ให้คลายทุกๆกี่นาทีจำไม่ได้ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงที่ขาได้ จากคุณ : jao เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 21:28:54 A:125.27.121.154 X: TicketID:347046

ความคิดเห็นที่ 102 เข้ามายืนยันเรื่องโกนขนอีกคนนะครับ คือตอนแรกมีขนหน้าแข็งน้อยมาก เป็นเส้นเล็กๆ แต่ด้วยความอยากเล่นมีดโกน เลยโกนเล่น พอขี้นใหม่เท่านั้นแหละตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีขนหน้าแข็ง รกไปหมด โกนไปถึงไหนขึ้นไปถึงนั่นเลย จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 12:30:18

ความคิดเห็นที่ 103 ผมสงสัย ความเชื่อที่ว่า มีกิจกรรมบางอย่างในตอนกลางวัน แล้วผมหงอก จริงปล่าวครับ จากคุณ : ~Medmangrak~ เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 16:44:53

ความคิดเห็นที่ 104 ผมคิดว่ากรณีของไข้หวัดกับอากาศหนาวอะครับ จริงครับไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจริงๆแล้วแทบทุกๆ นาทีก็มีเชื้อไวรัสหรือเชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ทางเดินหายใจ หรือทางอื่นๆ ของร่างกายครับ แต่ร่างกายมีภูมิต้านทานครับ เราเลยไม่ติดเชื้อ ไม่ใช่ว่ามีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทุกครั้งจะต้องเป็นไข้หวัดกันนะครับ โดยส่วนใหญ่ร่างกายเราต้านทานเชื้อโรคได้ แต่อากาศหนาว หรือฝนตก ทำให้สุขภาพอ่อนแอลง(ด้วยสาเหตุหรือ กลไกได้ผมไม่ทราบ) แน่นอนทำให้ระบบภูมิต้านทานลดลงด้วย ส่งผลให้เมื่อเชื้อโรคเข้าสู๋ร่างกาย จึงเกิดการติดเชื้อได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าตากฝนมาหรืออากาศหนาวต้องเป็น ไข้หวัดทุกครับนะครับ) สรุปคือ ไวรัสหรือแบคทีเรียเป็นสาเหตุ แต่อากาศหนาวหรือฝนตก เป็น"ปัจจัย"ที่ทำให้เป็นไข้หวัดได้ง่ายขึ้นครับ หมายความว่าอากาศ หนาวหรือฝนตกไม่ใช่สาเหตุแต่ก็เกิ่ยวข้องกับการเป็นไข้หวัด ส่วนตัวผมเองถ้าเป็นไข้หวัด(ติดเชื้อไวรัส)เป็นไม่มาก ดำเนินชีวิตได้ ปกติ แต่ถ้าไปตากแดดแรงๆ นานๆ ละก็ กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตาม มาทุกที (จากมีน้ำมูก ไข้ต่ำอยู่ก่อน พอเป็นไข้หวัดใหญ่ น้ำมูกแห้งสนิท มีไข้สูง มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก แบบว่าโดนเสื้อผ้าแล้วแสบ) ส่วนเรื่องของการลดความอ้วนกับ metabolismนั้น ผมขอเพิ่มเติมหน่อยหนึ่งครับ ผมเคยเรียนมาว่า คลอเรสเตอรอลทั้งหมดของร่างกาย ร่างกายสร้างคลอเรสเตอรอล2/3 รับมาจากอาหารเพียง1/3 ดังนั้นจึงพบว่าหลายๆคนงดอาหารหรือกินแต่ผักแล้วน้ำหนักไม่ ลดซะที เพราะส่วนใหญ่ร่างกายสร้างไขมันขึ้นมาเองครับ ดังนั้นนอกจากลดหรือเลือกกินอาหารให้เหมาะสม ต้อง!!!ออกกำลังกาย ด้วยครับ เพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไปจร้า จากคุณ : ครั้งหนึ่งเคยเล่นดอท เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 18:28:54

ความคิดเห็นที่ 105 เฉพาะอันที่มีความเห็นนะครับ 1) เรื่องความยาวเราก็ต้องเชื่อตามการทดลองวิทยาศาสตร์ใช่ไหมหล่ะครับ แต่ผมว่าต้องมีการทดลอง แล้ววัดผลที่ระดับการส่องเส้นใยของผมหรือขนที่มีการโกนครับว่ามันเปลี่ยนไปรึเปล่า มันอาจมีการเปลี่ยนแปลงในทางคุณภาพได้  เวลาโกนจะมีลักษณะของmicrotaumaที่รูขุมขน ซึ่งมันอาจทำให้การทำงานสร้างขนและผมต่างออกไปได้ครับ ปัตตาเลี่ยนที่เราใช้ฝรั่งเขาจะเรียกว่า"ตัด"ไม่ใช่"ไถ" ความยาวต่างกันและการกระเทือนต่อเซลล์รูขุมขนต่างกันได้ครับ รอการพิสูจน์ๆ(ทำได้อาจได้อิคโนเบล) 3) ไอ้เรื่องความแตกต่างกันเฉพาะบุคคลมันน่าจะมีอยู่แล้วนิ 8ชั่วโมงมันน่าจะแค่ค่าเฉลี่ยอยู่แล้วปะครับ? 4) สงสัยเรื่องการวัดผลครับ มันจะไม่มีผลต่อกล้ามเนื้อที่ควบคุมขนาดเลนส์ เลยจริงๆเหรอครับ 6) คุณนักวิทยาศาสตร์เว้ยครับ มันน่าจะต้องวัดเป็นอันตราส่วนมากกว่านะคร้าบบบบ เช่นอัตราเมตาบอลิซึมต่อน้ำหนักตัว อันตราเมตาบอลิซึมต่อพื้นที่ผิวอะไรพวกนี้ คนอ้วนมันก็ต้องมีอัตราเมตาบอลิซึมสูงกว่าคนผอมอยู่แล้วเด้!!! แล้วตอนมันผอมเท่ากันหล่ะครับท่าน วัดตั้งกะตอนนั้น แล้วก็ให้มันกินเท่ากัน แอคทิวิตี้เดียวกัน แล้วค่อยชั่งวัดน้ำหนักเปรียบคนน้ำหนักเยอะกว่ากับน้อยกว่า ว่าอัตราเมตาบอลิซึมเริ่มต้นของใครสูงกว่ากัน งานวิจัยหลอกด่าคนอ้วนชัดๆ!!!!!(byหมูตอนของขึ้น) แล้วปัจจัยอื่นๆที่ทำให้กินเท่ากันแล้วอ้วนไม่เท่ากันก็ยังมีอื่นๆอีกนาเฮ้ย ขนาดของอวัยวะภายในต่างๆต่อมต่างๆเล่าเว้ยยยยยยยย (แต่ก็ต้องยอมกินน้อย ออกกำลังกาย นอนเร็วมันก็ผอมกว่าอยู่แล้วอะนะ) 8)เห็นด้วยกับเรื่องอากาศเย็นทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ และนักวิทยาศาสตร์ไม่ควรรีบสรุปครับ 9)รูเขี้ยวงูเล็กลึกและพิษงูหนืดมากครับ การดูดพิษก็ไม่ออกแน่นอน จะทำให้เลือดไปแถวนั้นเยอะขึ้นด้วย เรื่องขันชน็อคนี่ยังสงสัยอยู่ครับ 10)มีความเชื่อบ้าๆนี่ในฝรั่งด้วยเหรอฟระ!!!!!!!!!!!!!!!! (คนไทยต้องกลัวผีที่สิงย้ายเข้าตัวเราสินะ แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 55 19:22:05 จากคุณ : aniinc เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 19:15:51

ความคิดเห็นที่ 106 ฉี่แก้ปวดได้  เพราะมี ยูเรีย มันช่วยลดความแสบจากพิษแมงกระพรุน จากคุณ : blitzs เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 23:22:45

ความคิดเห็นที่ 107 โกนขน ตอนเด็กๆเราไม่ชอบขนอ่อนๆของตัวเอง อยากผิวเนียนเหมือนน้อง เลยจัดการโกนทั้งแขนและขา ผลปรกฏว่า เรากล่ยเป็นลูกลิงยิ่งกว่าเดิม สาวขนหน้าแข้งหยิก(มันตรงๆ เรียงๆอย่างเดิมล่ะไม่ชอบ ซ่าดีนัก) มาที่หนวด มีครั้งนึงต้องแต่งหน้า ช่างโบราณโกนขนทั้งหน้าเพื่อให้แป้งติดง่าย เราขนเยอะอยู่เเล้ว เจอการโกนทั้งหน้่รอบนั้นไป หน้าขนแถมเป็นสาวหนวดครึ้มที่แก้ยังไงก็ไม่หาย สาวเข้มเลยล่ะ เฮ้อออ เราเชื่อสนิทใจ ว่ายิ่งโกน มันยิ่งมา จากคุณ : by iPad (เทียนลอย) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 01:34:27

ความคิดเห็นที่ 108 เรื่องตุ่มรับรสบนลิ้นนี่ความรู้ใหม่ค่ะ เพราะตอนประถม ครูก็สอนแบบเนียะ = ='' แย่จัง ในหนังสือเรียนวิทย์เลยนะ จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 03:17:02

ความคิดเห็นที่ 109 ช่องเจ็ดเอาไปออกข่าวเที่ยงวันนี้แล้ว จากคุณ : s[l]aY เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 13:04:21