ความคิดเห็นที่ 1 รถที่ใช้น้ำมันออกเทนต่างกันได้ เพราะมีตัวตรวจวัดออกซิเจนที่ปล่อยออกมาทางท่อไอเสีย ทำให้สามารถประเมินการเผาใหม้   แล้วปรับการจุดระเบิดให้เหมาะสมได้ โดยหลักการจึง ควรวิ่งได้ระยะทางเท่ากัน จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 01:34:54

ความคิดเห็นที่ 2 รถที่ใช้น้ำมัน 91 จะสามารถใช้ 95 ได้ แต่รถที่ใช้ 95 ได้ จะใช้ 91 ไม่ได้เนื่องจากรถมีอัตราส่วนในการอัดเชื้อเพลิงสูงกว่า ทำให้มีความเสี่ยงในการจุดระเบิดได้เองของเชื้อเพลิงสูงกว่า จึงใช้น้ำมัน อ๊อกเทนต่ำกว่าไม่ได้ ดังนั้น ตัวออกซิเจนเซนเซอร์ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้  อย่างไรก็ตามตัวน้ำมัน 91 กับ 95 เอง ไม่ได้มีส่วนโดยตรงกับอัตราการกินน้ำมัน อัตราการกินน้ำมันขึ้นอยู่กับการออกแบบของเครื่องยนต์และความฉลาดของ ECU เอง ซึ่งจะคอยตรวจสอบผลการเผาไหม้ จากเซ็นต์เซอร์หลายตัว เพื่อปรับการจุดระเบิดให้เหมาะสม จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 03:09:07

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ คห.2 เคยมีคนบอกเหมือนกันว่า รถที่ใช้95 อย่าไปเติม91 นะ แต่ก็ไม่บอกเหตุผลว่าทำไม ที่สงสัยเพราะเห็นราคาน้ำมัน คิดว่าแพงกว่าออกเทนสูงกว่าจะวิ่งได้ระยะทางมากกว่าด้วย :-) จากคุณ : Aqua_sai เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 05:11:34

ความคิดเห็นที่ 4 รถยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกัน(ที่สามารถใช้ได้ทั้งเบนซิล 91, เบนซิล95 >>>>>>>>>> รถที่เติม 91 และ 95 ได้ ยังไม่ชัดเจน ..ควรแก้เป็น "รถที่เขาออกแบบให้เติม 91 แต่เราเติม 95"  คือ เลือกใช้ Octane สูงขึ้นจะมีผลอย่างไร ? อันนี้ผมทำมาแล้ว กับรถ VW เต่า แน่นอนครับ แรงอัดเครื่องรถรุ่นนี้ เติม 91 ได้ แต่ผมเติม 95 ซึ่งมีค่าออกเทนสูงกว่า ผมก็ปรับแต่งจูนเครื่องเพิ่ม   ปรากฏเป็นลำดับ ดังนี้ 1) ตั้งไฟจุดระเบิดแก่ขึ้น จากเดิม x องศา BTD  ผมตั้งให้แก่ขึ้นเป็น X+2 องศา 2) รอบเดินเบาเครื่องยนต์ก็สูงขึ้น  Idle เร็วขึ้นมาเอง เป็นผลจากการตั้งไฟแก่ครับ (ใครไม่เชื่อ ลองทำดู) ผมต้องปรับจูนนมหนูคาร์บิว "ลดรอบ Idle" ====> ส่งผลให้ "ลดน้ำมันลง" นึกออกนะครับ 3) อัตราเร่ง มันดีกว่าเดิม แตะปุ๊ป พุ่งปั๊ป สรุป เติม Octane สูงกว่า มีผลให้ Thermal Efficiency สูงขึ้น เห็นได้จาก Idle ที่สุงขึ้น ชัดเจน อัตราเร่งดีขึ้น แต่ วิศวกรฝ่ายรัฐบาล พยายามพุ่งประเด็นว่า Octane สุงไม่มีผลกับเครื่องยนต์ ผมอยากถามว่า แล้วรอบ Idle ที่สูงขึ้นมันมาจาก ฟ้าประทานหรือ ? จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 05:30:20

ความคิดเห็นที่ 5 ผมใช้ Honda Jazz   เติม 91 เต็มถัง วิ่งได้ 350-400 กม. เติม E20 เต็มถัง วิ่งได้ 400-450 กม. ครับ.. ให้เป็นข้อมูลเพิ่อพิจารณาครับ.. แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 05:49:27 จากคุณ : T_Romance เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 05:48:25

ความคิดเห็นที่ 6 คห.ข้างบน ผมพูดถึงเครื่องยนต์โบรารณ VW รุ่นเก่า ไม่มี ECU คอย feed back การเผาไหม้ แล้วปรับแก้ เครื่องหัวฉีดรุ่นใหม่ๆ จะมี sensor สำคัญ 2 ตัว 1) Knock sensor ตัวนี้เป็นไมโครโฟน แปะ เอาไว้ข้างเสื้อสูบ คอยดักจับเสียงน๊อคของเครื่องยนต์ ถ้าตรวจพบเสียงน๊อค (ตามปกติหูคนจะแยกเสียงได้ยาก ) เจ้า ECU มันจะจัดการให้ "ไฟอ่อนลง" คือ retard จังหวะการจุดระเบิด ค่อยๆ retard ทีละน้อย 1-2 องศา จนกระทั่งหาย น็อค ก็หยุดแค่นั้น ..วิธีการนี้ แม้เติม Octane ต่ำกว่า เครื่องไม่น็อค ก็จริง แต่มันช่วยได้ระดับหนึ่ง ส่วนประสิทธิภาพเชิงความร้อน Thermal Efficiency จากการจุดเผาไหม้ "มันช่วยไม่ได้" ต่อให้ ECU ฉลาดแค่ไหน มันช่วยให้มี Efficiency สูงเท่าเดิมนั้น ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ผมถึงยกมือถามว่า ...ที่วิศวะกรฝั่งรัฐบาลบอกว่า "91 ใช้ได้" กับ "ใช้ได้ดีที่สุด"  มันต่างกันใช่ไหม ? 2) O-sensor ตัวนี้จะวัด indirect คือ วัดอุณหภูมิไอเสีย ที่ปล่อยออกมาว่า มีความร้อนมากไหม ... ถ้ามีความร้อนสูง ==> แสดงว่า "ส่วนผสม-จาง"   ECU มันก็จัดการเพิ่มน้ำมัน ทำให้ A/F mixer หนาขึ้น  (แปลว่า กินน้ำมันเพิ่ม) ทั้งสองตัว sensor มันช่วยปรับให้เครื่องยนต์ทำงานได้ แต่ไม่ใช่ "ดีที่สุด" สรุปโดยรวม ถ้าจะถามว่า 91 หรือ 95 ดี ก็ต้องตอบ ลงลึกในรายละเอียด ลงไปถึงการออกแบบส่วนควบทั้งหมดของเครื่องยนต์ ไม่ใช่ แค่ดูว่า "แรงอัด" เหมาะสมกับ 91 หรือ 95 แค่นั้นยังไม่พอที่จะได้คำตอบที่สมบูรณ์ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 06:37:35

ความคิดเห็นที่ 7 เครื่องเดินรอบไอเดิลเร็วขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเวลาเครื่องมีโหลดแล้วจะดีตามไปด้วยเสมอไปครับ ...... ส่วนตัวเวลาผมจูนเรื่องไฟอ่อน , แก่นั้น มักจะขับทดสอบไปด้วย หาเนินเล็ก , หรือทางชัน แล้วสังเกตุเสียงการเขกของเครื่องยนต์ประกอบด้วย .. ถ้าขึ้นเนินแล้วมีเสียงเขก แสดงว่าไฟเกินไป แต่ถ้าขึ้นเนินไม่ราบเรียบแสดงว่าไฟอ่อนเกินไป ... ส่วนรอบเดินเบานั้นมีปรับสกรูเดินเบากัยสกรูอากาศให้สัมพันธ์กันก็ได้ ... รถยนต์รุ่นเก่าหลายคันสามารถฟังเสียงตอนสตาร์ทก็พอจะรู้ว่าไฟชิดอ่อนหรือชิดแก่ ... เคยพบว่าเติม 95 สิ้นเปลืองกว่า 91 เล็กน้อยครับสำหรับเครื่อง 3K (น่าจะพอทราบยี่ห้อของรถ และอายุคนซ่อมนะครับนะครับ ... อิอิอิ) จากคุณ : c_keskaew@yahoo.co.th เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 07:33:56 A:223.206.230.203 X: TicketID:335213

ความคิดเห็นที่ 8 รถยนต์รุ่นใหม่ปรับองศาการจุดระเบิดอัตโนมัติได้ครับ อิงสัญญาณจากanti Knock sensor มันจะปรับไฟแก่สุดเท่าที่ไม่เกิดอาการknockเพื่อให้การเผาใหม้มีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา จากคุณ : ลิงจุ่น เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 09:57:06

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาดูดความรู้ อิอิ จากคุณ : Phalanx เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 10:15:43

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเติม E20 ตลอดครับ ทั้งรถมอไซค์ เวฟ หัวฉึด  รถนิสสัน ทีด้า สำหรับผม สนแค่ว่า มันช่วยลดนำเข้าน้ำมันก็พอ จากคุณ : MazNis เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 13:33:17

ความคิดเห็นที่ 11 อิงจากความคิดเห็นที่ 6 1) Knock sensor ตัวนี้เป็นไมโครโฟน แปะ เอาไว้ข้างเสื้อสูบ คอยดักจับเสียงน๊อคของเครื่องยนต์ ถ้าตรวจพบเสียงน๊อค (ตามปกติหูคนจะแยกเสียงได้ยาก ) เจ้า ECU มันจะจัดการให้ "ไฟอ่อนลง" คือ retard จังหวะการจุดระเบิด ค่อยๆ retard ทีละน้อย 1-2 องศา จนกระทั่งหาย น็อค ก็หยุดแค่นั้น ดังนั้น ซึ่งเมื่อเติม Octane ต่ำ กำลังอัดตอนจุดระเบิดจะต่ำกว่า ดังนั้น จะได้กำลัง และ ระยะทางในการวิ่งต่ำกว่าด้วยใช่มั้ยครับ ซึ่งรถยนต์จะใช้ Octane เท่าไร ขึ้นกับกำลังอัดของกระบอกสูบ ยิ่งอัตราส่วนการอัดมาก จะต้องใช้ Octane สูงขั้น เข้าใจอย่างนี้ถูกใช่มั้ยครับ จากคุณ : gent_bkk เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 15:29:41

ความคิดเห็นที่ 12 1) ซึ่งเมื่อเติม Octane ต่ำ (กำลังอัดตอนจุดระเบิดจะต่ำกว่า) ดังนั้น จะได้กำลัง และ ระยะทางในการวิ่งต่ำกว่าด้วยใช่มั้ยครับ >>>>>>>>> ใช่ครับ (ในวงเล็บ ผมเข้าใจว่า คุณพูดถึง mean effective Pressure ซึ่งคุณเข้าใจถูกต้อง) ผมขออนุญาตเล่าละเอียดสักนิด เมื่อเติม Octane ต่ำ ECU จะปรับจังหวะการจุดระเบิด=ให้ช้าลง (ไฟอ่อน) โดยอัตโนมัติ แรงดันสูงสุด peak pressure เกิดขึ้นเมื่อลูกสูบเคลื่อนลงจาก TDC แล้ว ลูกสูบยิ่งลงมาต่ำมาก ..ห้องเผาไหม้ก็ยิ่งขยายตัวโตขึ้น .. ผนังกระบอกสูบก็ยาวขึ้น ทำให้มี Heat loss มากขึ้น "เครื่องร้อนขึ้น" ระยะทาง-ที่เหลือ คือ power-stroke ==> ก็สั้นลง ระยะ power stroke คือ output Energy ที่ได้ไปขับเคลื่อนล้อ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใช้ Octane ต่ำ จังหวะจุดระเบิดไฟอ่อน -พลังงาน output ก็ลดลง -เครื่องร้อนขึ้น เพราะผนังรับความร้อนในกระสอบสูบเพิ่มขึ้น -พลังความร้อนที่เหลือก็ออกไปทางไอเสีย ไอเสียก็ร้อนขึ้น ทั้งหมดนี้คือ Thermal Efficiency ประสิทธิภาพเชิงความร้อน ลดต่ำลง ส่งผลให้ สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น ---------------------------- 2) ซึ่งรถยนต์จะใช้ Octane เท่าไร ขึ้นกับกำลังอัดของกระบอกสูบ ยิ่งอัตราส่วนการอัดมาก จะต้องใช้ Octane สูงขั้น เข้าใจอย่างนี้ถูกใช่มั้ยครับ >>>>>>>>>>>> ถูกต้องครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 17:28:49

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเติม E20 ตลอดครับ ทั้งรถมอไซค์ เวฟ หัวฉึด  รถนิสสัน ทีด้า สำหรับผม สนแค่ว่า มันช่วยลดนำเข้าน้ำมันก็พอ จากคุณ : MazNis   >>>>>>>>> ขอโทษนะครับ ผมว่า คุณกำลังเป็นเหยื่อของกระแสชี้นำ เขาชี้นำให้เข้าใจว่า ลดการนำเข้าน้ำมัน แต่เขาไม่ได้พูด บัญชี ทั้งสองด้าน พืชที่เราเอามาทำ Ethanol เราใช้รถไถ พรวนดิน ใช้รถบรรทุกสิบล้อขนมาโรงงาน ถนนหนทางพัง เพราะรถพวกนี้เท่าไร ?   ประชาชนไม่ค่อยรู้ กว่าจะได้พืชมาทำ Ethanol เราลืมนึกถึง น้ำมัน ที่เอาไปขับเคลื่อนเครื่องจักรพวกนี้ รวมๆ แล้ว .... ผมว่า ประชาชน ได้รับข้อมูลเพียงส่วนเดียว แต่แน่ๆ มีคนบางกลุ่มได้รับผลประโยชน์มหาศาล จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 17:34:20

ความคิดเห็นที่ 14 คห. 8 Knock sensor มันจะปรับไฟแก่สุดเท่าที่ไม่เกิดอาการknockเพื่อให้ "การเผาใหม้มีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา"   >>>>>>>>> ขออนุญาตทำความเข้าใจสักนิด ... Knock Sensor "ช่วยให้การเผาใหม้มีประสิทธิภาพสูงสุด"  "สำหรับค่า Octane นี้" แต่ไม่ได้หมายความว่า Octane  91 หรือ 95  เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูง=เท่ากัน จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 17:40:11

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะได้ความรู้เยอะเลยค่ะ จริงๆแล้วเรื่องนี้ผู้หญิงบางคนรวม เราด้วยไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ จากคุณ : Aqua_sai เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 00:48:17

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่งกลับมาอ่าน   ไม่ทราบว่าจะตอบช้าไปป่าว ตอบ คห 4   "ผมอยากถามว่า แล้วรอบ Idle ที่สูงขึ้นมันมาจาก ฟ้าประทานหรือ ? " ไม่ใช่ฟ้าประทานหรอก แต่เพราะคุณปรับองศาไฟจุดระเบิดนั่นเอง ก็..ตอนแรก องศามันยังไม่เหมาะสมกับน้ำมัน-95  ที่คุณเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ( ถ้าไม่ปรับการจุดระเบิด  มันก็จะวิ่งเห่ยกว่าเดิม) พอปรับการจุดระเบิดให้เหมาะแล้ว มันก็ย่อมเห็นรอบเดินเบาดีขึ้น ( แปลว่า  มันจะกลับมาวิ่งได้ดีเหมือนเดิม ไงล่ะ) จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 19:01:51

ความคิดเห็นที่ 17 ตกลงแกสโซฮอล์91กับ95 มีปริมาณแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ครับ เคยเซิร์ชดูพบแต่ อี10 ว่ามีออกเทน95 ส่วนแกสโซฮอล์91ก็เป็นอี10เหมือนกัน   ถ้า10เปอร์เซ็นต์เท่ากันแล้วมันต่างกันตรงไหน  เลยคิดเองว่า โซฮอ95 น่าจะผสมสารบางตัวที่ให้แรงระเบิดเพิ่มเข้าไป จากคุณ : meezaa เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 00:26:47

ความคิดเห็นที่ 18 พอปรับการจุดระเบิดให้เหมาะแล้ว มันก็ย่อมเห็นรอบเดินเบาดีขึ้น ( แปลว่า  มันจะกลับมาวิ่งได้ดีเหมือนเดิม ไงล่ะ) จากคุณ : sb*star >>>>>>>>>>> ขอบคุณ คุณ sb*star มาร่วมแจม ผมแค่ตัวอย่างให้ดูชัดๆว่า ต่อให้รถที่ออกแบบให้ใช้ Octane 91 ได้ (ที่จริง VW ใช้ 87 ได้) เมื่อเติมน้ำมัน Octane สูงขึ้น คือ 95 ก็จะได้ Efficiency เพิ่มขึ้น ดูง่ายๆ จาก Idle ที่สูงขึ้น (โดยไม่ได้จูนคาร์บิวเลย) รอบ Idle ที่เพิ่มขึ้น แสดงถึง พลังงาน Output  ที่มากขึ้น เมื่อปรับจูนน้ำมัน ลดรอบ Idle ให้ลดลงเหลือเท่าเดิม ... เป็นเครื่องแสดงว่า "ประหยัดน้ำมัน" กว่า 91 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:01:42

ความคิดเห็นที่ 19 ตกลงแกสโซฮอล์91กับ95 มีปริมาณแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ครับ เคยเซิร์ชดูพบแต่ อี10 ว่ามีออกเทน95 ส่วนแกสโซฮอล์91ก็เป็นอี10เหมือนกัน   >>>>>>>>> ตอบ คห. 17 คุณ meezaa ทั้งโซฮอล 91 และ 95 ต่างมีส่วนผสมของ Ethanol 10% เท่ากัน แต่ เบนซิน-เริ่มต้น (ก่อนนำมาผสม E-10) มีค่า Octane = ไม่เท่ากัน โดยที่ 1) โซฮอล 91 ใช้เบนซิน-เริ่มต้น Octane 87 (ตัวอย่าง) 2) โซฮอล 95 ใช้เบนซิน-เริ่มต้น Octane 91 (ตัวอย่าง) จะเห็น 1) และ 2) ค่า Octane เริ่มต้นไม่เท่ากัน เขาใช้ Ethanol 10 % หรือ E-10 เป็นตัว Octane booster เพิ่มค่าออกเทน ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:06:27

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้า10เปอร์เซ็นต์เท่ากันแล้วมันต่างกันตรงไหน  เลยคิดเองว่า โซฮอ95 น่าจะผสมสารบางตัวที่ให้แรงระเบิดเพิ่มเข้าไป >>>>>>>>>> น้ำมันเบนซิน ประกอบด้วยกลุ่ม CH-group หลายตัว แยกเป็น 3 กลุ่มหลัก 1) กลุ่มหัว คือ กลุ่มที่มีอะตอม C ต่ำๆ น้ำมันกลุ่มนี้ vapor ง่าย ... มีผลกับการ start เครื่อง 2) กลุ่มกลาง mid range กลุ่มนี้มีอะตอน C สูงขึ้นกว่ากลุ่ม 1 ...มีผลกับ driveability การขับขี่ทั่วๆไป 3) กลุ่มหาง กลุ่มนี้มีอะตอมของ C สูงมาก น้ำมันกลุ่มนี้ระเหยยากกว่า แต่มันมีค่า Heat Value สูง ..  มีผลกับการประหยัดน้ำมัน CH ทั้ง 3 กลุ่มมีค่า Octane ในตัวของมันเอง โรงกลั่นมีวิธีทำ "เพิ่มค่า Octane ให้สูงขึ้น" เช่นกระบวน Isomerization และเก็บป็น Octane pool เพื่อนำมาเป็น Octane Booster ผสมเข้าไป จะได้ "น้ำมันเบนซิน-สำเร็จ" มีค่า Octane ต่างๆตามต้องการ เช่น 87  หรือ 91  หรือ 95  หรือ 98 (ต่อ) จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:35:08

ความคิดเห็นที่ 21 แต่เดิมนั้น   การทำเบนซินค่า Octane ต่างๆ  ใช้ส่วนผสมจาก Octane Pool ซึ่งเป็นกลุ่ม CH ที่มีค่า "Octane สูง" นำมา blend เข้าไปกับ CH-group หลัก ให้เป็น "น้ำมันเบนซิน-สำเร็จ" มีค่า Octane ต่างๆตามต้องการ เช่น 87  หรือ 91  หรือ 95  หรือ 98 มาดูค่า Hu ค่าพลังงานความร้อน ระหว่าง เบนซิน 91 กับ 95   เบนซิน 95 จะมีค่าความร้อนสูงกว่า (ผมงดพูดถึงตัวเลข อยากคุยในหลักการ) ดังนั้น เมื่อเติม ลิตร ต่อ ลิตร เบนซิน 95 จะได้ระยะทางไกลกว่า แปลว่าสิ้นเปลืองต่ำกว่า 91 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:42:53

ความคิดเห็นที่ 22 เล่าต่อ  เจ้า Ethanol ที่เอามาผสมกับเบนซิน ในรูป E10 E20 E85 มาจากไหน ? เริ่มแรกเมืองหนาวเขาใช้ L-กฮ พวกนี้เป็น Oxygenated  ใช้เพิ่มค่า O ในเบนซิน เพื่อให้การเผาไหม้ดี ใช้ในฤดูหนาว อากาศก็จะเป็นมิตรขึ้น เมื่อผสมแล้ว ค่า Octane ก็เพิ่มขึ้นเป็นผลพลอยได้ การที่ Ethanol ช่วยเพิ่ม O ได้ เพราะโครงสร้างเคมีของมัน จาก Ethane สูตรโครงสร้าง C2H6   เอา H ออกไป 1 ตัว แทนด้วย กลุ่ม OH จะได้  C2H5OH  ...คือ Ethanol สังเกตสูตรเคมีจะมี O เพิ่มขึ้นตัวหนึ่ง หรือจะเอา Methane CH4  ไปทำก็จะได้ CH3OH  เป็น Methanol จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:56:06

ความคิดเห็นที่ 23 จะเห็นได้ว่า   แก็สโซฮอล คือ เบนซิน ที่ผสม E หรือ Ethanol ให้มีค่า Octane ตามต้องการ มีข้อดี คือ มีตัว O เพิ่ม ช่วยการเผาไหม้ดี ลดมลพิษได้ (บ้าง ) ข้อเสีย คือ ค่า Hu heat value ของ gasohol ต่ำกว่า เบนซิน-แท้ (ที่มีค่า Octane เท่ากัน) นั่นคือ ความประหยัดโซฮอล สู้ เบนซิน-pure ไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 08:00:53 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 08:00:12