ความคิดเห็นที่ 1 ท้าวความนิดนึงว่า ในระบบทางเดินอาหารของคนเรา ตั้งแต่ช่องปากเป็นต้นไปถึงทวารหนัก มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ตลอดเส้นทาง มีมากในลำใส้และช่องปาก  - มีน้อยในหลอดอาหารและกระเพาะครับ เชื้อเหล่านี้ เรียกว่า เชื้อประจำถิ่น normal flora ซึ่งมีประโยชน์ในแง่ของการช่วยการย่อยสลายอาหารที่เราทานเข้าไป ปรับสภาพภายในทางเดินอาหารให้เหมาะกับเรา (หรือเราเหมาะกับมันก็ไม่รู้) จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:30:25

ความคิดเห็นที่ 2 การที่ใครซักคนจะมีอาการของโรคท้องเสียได้ ก็มีหลายสาเหตุครับ ที่เจอกันบ่อยๆคือ 1. อาหารเป็นพิษ สิ่งที่เรากินเข้าไปมันแย่ ลำไส้เลยพยายามบีบไล่ออกมาให้เร็วที่สุด ซึ่งอาการก็มักจะหายไปหลังจากที่สิ่งที่เป็นพิษถูกขับออก และสภาพภายในลำไส้ฟื้นตัวขึ้น 2. การติดเชื้อในลำไส้ เช่น อาหารที่เก็บไว้นาน, เด็กที่หยิบขนมตกพื้นทาน บางทีก็จะได้เชื้อโรคที่ก่อโรคเข้าไปด้วย เชื้อพวกนี้ก็จะแบ่งตัว เบียดบังเชื้อประจำถิ่น และทำให้เราท้องเสีย กรณีนี้บางทีก็หายเอง บางทีเราก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะไปฆ่ามัน 3. โรคที่เกิดจากระบบลำไส้ของเราเอง เช่น IBS -irritable bowel syndrome, short bowel syndrome เป็นต้น 4. อื่นๆ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:30:53

ความคิดเห็นที่ 3 ในกรณีที่มีการติดเชื้อ และบางครั้งเรารักษามันด้วยการฆ่าเชื้อ ใช้ยาปฏิชีวนะ (ตัวที่นิยมกันบ่อยๆในบ้านเราก็คงเป็น norfloxacin กระมัง) ถ้าเชื้อดื้อยา เราก็มักจะให้ยาฆ่าเชื้อที่แรงขึ้นไปอีก เช่น vancomycin, metronidazole ยาพวกนี้มีข้อดีคือฆ่าเชื้อได้หลายชนิด (board spectrum) ซึ่งหางเลขที่เราจะได้คือ บางครั้งเราจะฆ่าเชื้อประจำถิ่นของเราเกลี้ยงไปด้วย และเป็นช่องทางที่ทำให้เชื้อโรคที่ดื้อยาได้บ่อยๆบางตัว เช่น Clostridium difficile เจริญเพิ่มขึ้น เพราะไม่มี normal flora มาคอยกดมันไว้ รูปสีสวยนี่คือเจ้าตัวร้าย C.difficile ครับ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:32:09

ความคิดเห็นที่ 4 . พอเจ้า C.Difficile เนี่ยเพิ่มขึ้นเยอะๆ มันก็กดเชื้อประจำถิ่น สมดุลย์ภายในลำไส้ของผู้ป่วยก็จะเสียไป และเกิดภาวะท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งเจอได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหลายๆอย่าง บางท่านต้องใช้แพมเพอร์สผู้ใหญ่กันเป็นปีปี...... ไปหาหมอแต่ละครั้ง ก็จะได้ยาปฏิชีวินะที่แรงขึ้นๆ และได้ผลแป๊บเดียว คือ ลดจำนวนของ C.Difficile ไป พอมันแบ่งตัวเพิ่มจำนวน ก็ท้องเสียกันใหม่อีก ทุกข์ทรมาณแบบเหม็นๆกัน แบบนี้ สาหัสทางอารมณ์นะครับ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:33:12

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อมูลเกี่ยวกับ C.Difficile  สถิติในตอนนี้ ของอเมริกาคือ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ยอดผู้ป่วยจากเชื้อตัวนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย (เพราะมันก็ดื้อกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) รายงานชิ้นหนึ่ง บอกว่า จำนวนผู้ป่วยจากเชื้อนี้ ที่ต้องนอนรพ. ในปี 2000 มี 134000 คน และเพิ่มเป็น 291000 คนในปี 2005 รายงานอีกชิ้น บอกว่า ผู้เสียชีวิตจากเชื้อตัวนี้ มี 5.7 /1,000,000 ในปี 1999 และเพิ่มเป็น 23.7/ 1,000,000 ในปี 2004 ---------------------- คนที่ติดเชื้อนี้ 100 คน - 20 คนจะติดซ้ำอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง - 8 คนจะติดซ้ำอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง - 5 คนจะติดซ้ำอีกตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ---------------------- ทางเลือกการรักษาในปัจจุบันของการติดเชื้อเรื้อรังในลำไส้ เท่าที่เขียนมาในคอลัมภน์นี้คือ - ทานยาฆ่าเชื้อที่แรงขึ้นเป้นครั้งคราว (ตอนนี้มียาใหม่ Fidaxomicin-เป็น narrow spectrum ที่สร้างมาฆ่าเจ้านี้ โดยฆ่าตัวอื่นน้อยหน่อย เพิ่งได้ FDA approve เมื่อพค.ปีก่อน) - ตัดลำไส้ทิ้ง แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 09:34:12 จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:33:42

ความคิดเห็นที่ 6 . ทีนี้ ทางนึงที่จะรักษาภาวะนี้ คือ สร้างเจ้าเชื้อประจำถิ่นขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้ C.Difficile เจริญขึ้นมาอีก ทางที่ง่ายและแหวะที่สุดอย่างหนึ่ง คือวิธีนี้นี่เองครับ fecal transplantation หลักการก็ง่ายๆ ให้ยาระบาย เพื่อลดปริมาณอึ๊อึ๊ของคนไข้เอง ส่องกล้อง colonoscope แบบเดียวกับที่เราใช้ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วฉีดเอาอึ๊อึ๊จากผู้บริจาคที่ผสมน้ำให้เหลวเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่กล้องจะส่องเข้าไปถึง จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:35:17

ความคิดเห็นที่ 7 ตัวอย่างผู้ป่วย คือ Marion Browning 79 ปี บ้านอยู่ Rhode island ซึ่งประสบปัญหาท้องเสียเรื้อรังมาปีนึง ป้าเคยได้รับยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อในลำไส้ ซึ่งทำให้เชื้อประจำถิ่นหายเกลี้ยง และมีท้องเสียเรื้อรัง หาหมอทีก็ได้ยาฆ่าเชื้อที ดีขึ้นพักนึงแล้วก็ท้องเสียใหม่ หมอที่รักษาคุณป้ามาเรียน แนะนำว่า ลองไปปรึกษาอ.Colleen Kelly ที่ Brown university's medical school สิ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:36:10

ความคิดเห็นที่ 8 คุณหมอ Kelly ได้ทำวิธีนี้ให้ โดยอาศัยอึ๊อึ๊ที่ได้รับการบริจาคจากลูกชายวัย 49 ของป้า marion เอง และอาการของป้ามาเรียนดีขึ้นจนเป็นปกติภายใน 2 วัน และไม่มีท้องเสียอีกเลยหลังจากนั้น นี่รูปหมอนะ ไม่ใช่รูปคุณป้า จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:36:50

ความคิดเห็นที่ 9 นอกจากเรื่องของหมอ Colleen kelly และป้า marion browning แล้ว ยังมีหมออีกหลายสิบคนในอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย เคยให้การรักษาวิธี fecal transplantation นี้กับคนไข้ และรายงานมามากกว่า 300 รายแล้ว เช่น - Alex Khoruts/ GI-immulonogist ที่ U. of Minnesota - Christina Surawicz/ Prof. ที่ U. of Washington - Michael Simmerman/ U. of Toronto มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตีพิมพ์ใน The journal of clinical gastroenterology และอื่นๆ ผลคือ 90-95% หายเป็นปกติเต็มร้อย (ซึ่งน้อยครั้งมากที่จะมียาที่ไหนให้ผล positive เทพแบบนี้) จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:37:10

ความคิดเห็นที่ 10 . สรุปว่า บางครั้งเรื่องโบราณๆอย่าง - อาการเจ็บป่วยเกิดจากความไม่สมดุลย์ในร่างกายของน้ำทั้งสี่ - ก็อาจมีส่วนถูกในบางภาวะโรค ตัวอย่างคือกรณีนี้ และบางครั้ง การรักษาที่เรานึกไม่ถึง นึกถึงแล้วแหวะ ก็อาจช่วยชีวิต และนำสมดุลย์กลับมาสู่หลายๆชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ เนื้อหา เอามาจาก Swapping germs /Maryn McKenna หนังสือ Scientific American december 2011 ---ขอเหตุผลและความรู้จงอยู่คู่ท่าน--- จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:37:47

ความคิดเห็นที่ 11 เคยมีคนโพสต์เรื่องนี้แล้วในหว้อกอครับ แต่ของคุณ จขกท. ให้รายละเอียดดีกว่ามากๆ เลย^^ จริงๆ แล้วควรจะเลี่ยงคำว่า fecal จะดีกว่า เพราะหลักการใหญ่ก็คือการนำจุลินทรีย์ที่ให้คุณไปแพร่พันธุ์ข่มจุลินทรีย์ที่ไม่ได้ในลำไส้ มันก็คือหลักการ "probiotic" นั่นเองครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 09:44:55

ความคิดเห็นที่ 12 แอบมาดู หมอตา มุดลง Tood แทน จะว่าไป การเอา แบคทีเรีย จากลำไส้ คนอื่น มาเข้าตัวเรา คนไทย และคนเอเชีย อย่าง อินเดีย จีน นี่  ทำกันมานาน โดยเอาใส่ทางปาก(จากการปนเปื้อน)  จน ภูมิต้านทานแข็งแรง  กันดีหมด จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 10:26:09

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านแล้ว (ปลา)หมดแรง จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 11:58:10

ความคิดเห็นที่ 14 มันแหวะจริงๆ  แต่ก็ดูได้ผลดี ถ้าต้องทำวิธีนี้ต้องยอมสินะ *-* จากคุณ : ผู้หญิงโหดร้าย เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 13:37:44

ความคิดเห็นที่ 15  อึที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคที่อาจติดต่อได้หรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 14:38:00 แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 14:37:16 จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 14:33:08

ความคิดเห็นที่ 16 สุดยอด ปรับสมดุลย์ในร่างกายตามตำราหมอโบราณ  จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 22:39:18

ความคิดเห็นที่ 17 กินโยเกิร์ตสิ จากคุณ : ดี (Sapporo-shi) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 23:02:54

ความคิดเห็นที่ 18 ใช้ฆ่า C. diff ใช่ไหมครับ เขาเรียก coprotherapy มั้ง คห.15 ถ้าฆ่าเชื้อแล้วจะให้ไปทำไมครับ เขาให้เพื่อให้เอาเชื้อประจำถิ่นกลับคืนสู่ลำไส้ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 23:04:54

ความคิดเห็นที่ 19 คห.18                    ผมหมายถึงเชื้อโรคอื่นยกตัวอย่าง เช่น hiv ซึ่งก็พบได้ในอุจจาระ    อย่างนี้เค้าต้องทำยังไง   ถึงจะกันเชื้อที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ครับ จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 10:21:07

ความคิดเห็นที่ 20 ลืมบอกไปว่าจะต้องตรวจเลอดผู้บริจาคแบบเดียวกับที่ต้องตรวจในผู้บริจาคอวัยวะอื่นๆครับ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 06:53:40