ความคิดเห็นที่ 1 เคยสงสัยเหมือนกันค่ะ แต่เดาว่าเป็นของที่ซื้อแล้วใช้นาน กว่าจะกลับมาซื้ออีก จากคุณ : Cat is a Must! เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 10:58:23

ความคิดเห็นที่ 2 มันแพงเพราะ ภาษี ผมเคยซื้อ 1000 จากคลองถม แต่ ที่ร้านขาย 3900 จากคุณ : ต้นอ้อที่ไหวลม (ต้นอ้อที่ไหวลม) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:00:57

ความคิดเห็นที่ 3 แพง เพราะว่า ค่าการตลาดและ Brand มันนั่นแหละ แถมแว่นตา ที่ค่าโฆษณา ค่อนข้างน้อย เลยทำให้ กำไรค่อนข้างสูง แบรนด์ดังๆ อย่าง Lindberg ที่ผมใช้ ใช้ Titanium หนัก ไม่ถึง 5 กรัม ค่าไททาเนียมไม่กี่สตางค์ แบบ ก็ไม่ได้ซับซ้อนทำยากอะไร ต้นทุนค่าผลิต ถ้าไม่รวม ค่าออกแบบ ผมว่า หลักร้อย บาท แต่ ตั้งราคาขาย เกือบสามหมื่น ลด 45% ก็ยังเกือบๆสองหมื่น ถ้าเอาความคุ้มค่า มันไม่คุ้ม แน่ๆ แต่เอาความสวย สบายดูดี เทียบกับแบรนด์อื่นๆแล้ว ถ้ามีจ่ายก็โอเค จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:07:35

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นเพราะแบรนด์ของกรอบด้วยมั้ง เห็นขายในร้านแว่นก็มีแบรนด์ทั้งนั้น และเพราะเลนส์ค่าตัดมันราคาไม่แพง กำไรไม่มาก เลยเอาไปบวกที่กรอบมากกว่าอ่ะ ของเราครั้งแรกก็ซื้อกรอบจากร้าน เลือกถูกๆ ก็ยังเป็นพันอยู่ดี แล้วไม่ค่อยสวยด้วย แบบสวยๆ ก็แพงไปอีก ก็ตัดครั้งแล้วก็ไปเดินซื้อกรอบแว่น หรือแว่นแฟชั่นตามตลาดนัด เอาเลนส์ที่มันติดมาออกแล้วใส่เลนส์เราเข้าไปแทน จากคุณ : ลิงกะล่อน เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:11:14

ความคิดเห็นที่ 5 เคยเขียนโปรแกรมให้กับร้านแว่นตายี่ห้อนึง  เห็นต้นทุนแล้ว รู้เลยครับว่าทำไมเขาจึงอยู่ได้ จากคุณ : ขอชื่อที่รักจ๋า ณ พันทิป เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:11:28

ความคิดเห็นที่ 6 มันใช้การตลาดแบบงานศิลปะน่ะคือถูกๆก็มี คลองถม20บาทได้ทั้งกรอบได้ทั้งเลนส์ รับได้หรือเปล่า บางคนรับไม่ได้ ก็ต้องซื้อจากห้างแว่น ก็จะอีกราคานึง ห้างแว่นเค้าไม่ง้อเพราะของพวกนี้มันทำเองไม่ได้ยังไงก็ต้องซื้อเอา ผมซื้อแว่นสำเร็จคลองถม อันละไม่ถึงร้อยตลอด(เลือกดีๆตาถึงๆได้กรอบดีๆเหมือนห้างแว่นทุกประการ) พังง่ายก็จริงแต่เปลี่ยนปีละอัน 10 ปี ราคายังไม่ถึงพันเลย ไปซื้อทีนึง 3 - 4 อัน ใช้ได้หลายปี แต่ก็เพราะโชคยังดีสายตาสั้นไม่มาก ไม่เอียง ไม่พิสดาร แต่อันนี้พูดถึงกรอบนะ ส่วนเรื่องเลนส์ยอมรับว่าของห้างแว่นดีกว่าแบบไม่ติดฝุ่นเลย แต่ราคามันก็ไปตามคุณภาพ อยากได้ของดีต้องจ่ายแพง ห้างแว่นเอากรอบห่วยมาย้อมแมวผมเคยเห็น แต่เรื่องเลนส์เท่าที่เห็นมีแต่ของดี อีกอย่างเลนส์ดีๆที่เหมาะกับตาของเรา(โดยเฉพาะพวกสายตาพิสดารมากๆ)ต้องใช้ช่างมือดีๆตัดให้ ซึ่งช่างเทพเหล่านี้หาไม่ได้ง่าย ค่าตัวไม่ใช่ถูกๆ ถ้าซื้อเลนส์ตัดแบบคุณภาพสูงสุด ยังไงไม่มีถูกแน่นอน (โดยส่วนตัวทำไมถึงซื้อแว่นสำเร็จรูป เพราะแรกๆใส่แว่นตัดแล้วเลนส์ชอบหลุดจากกกรอบ แล้วก็มึนหัวด้วย แปลวว่าได้ช่างห่วยตัดให้ เข็ดเลยแพงก็แพง) ตามความเข้าใจแว่นแพงเพราะเลนส์ ถ้าไปตัดกับห้างแว่น กรอบยกให้ฟรียังได้เลย เพราะต้นทุนมันถูกเหมือนได้ฟรีอยู่แล้ว จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:26:22

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องเทียบกับกระเป๋า LV ไม่ก็กระเป๋าหรู แล้วครับ นั้นก็โครตจะแพงเลย จากคุณ : lovodath เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 11:57:46

ความคิดเห็นที่ 8 บางทีเราต้องพิณาคุณภาพกับราคาด้วย อย่าให้ใครหาว่าเราโง่หรือบ้าแบรนด์ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครรู้จักแบรนด์แว่นมากนัก ช่วงราคามันกว้างมากนะ ตั้งแต่หลักร้อย จนหลักหมื่อนหลักแสน แล้วแต่คนเลือก คุณภาพสินค้าก็ต่างกันไม่มาก น่าจะเป็นค่าอื่นๆมากกว่า สังเกตดูมีร้านแว่นนึงที่หลายสาขาอ่ะมันลด 50% ทั้งปีเลย  เพราะจะเขียนราคาหรือโฆษณายังไงก็ได้มันไม่มีมาตรฐานสินค้าหรือมาตรฐานราคาเหมือนทองคำนี่ เคยสงสัยว่าร้านนี้มันอยู่ได้อย่างไรจัดร้านกว้าง สว่าง มีคนขายหลายคนใส่ชุดสวยๆ แต่ไม่ค่อยเห็นใครเข้าร้านสักเท่าไหร่ สรุป มันเป็นสินค้าแฟชั่น เหมือน นาฬิกา แว่นตา มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักแสน ไม่ได้แพงด้วยproduct value อาจจะแพงด้วย service, personel หรือ image value  อย่าว่ามีคนรวยที่โง่อีกเยอะเลย บางทีเขามีเหตุผลของเขา บางอันอาจสวยมีทองมีเพชรแซม เป็นต้น จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 12:12:03

ความคิดเห็นที่ 9 มันแพงที่ยี่ห้อ กรอบ วัสดุที่ใช้ทำครับเลนซ์ ไม่เท่าไรนัก จากคุณ : kwanchaiisra เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 12:16:56

ความคิดเห็นที่ 10 ทำร้านแว่นอยู่ต่างจังหวัดครับ ถ้าบอกต้นทุน คงไมมีผลอะไร เลนส์มัลติโค้ท ที่ตัดกันคู่ละ 1,200 ต้นทุนอยู่ที่ 375 บาท กรอบ ที่ขาย สามสี่พัน ต้นทุนอยู่ทีพันเศษๆ บางทีก็เอามาลดราคา ทั้งกรอบทั้งเลนส์ 1,900  ก็กำไรห้าหกร้อย ปัญหาคือ ต้องสต็อกกรอบและเลนซ์จำนวนมาก (ทุกเบอร์ ทุกสั้น ทุกเอียง ) และเลนซ์พวกนี้พอนานๆถ้าไม่ได้ใช้ จะกรอบ เหลือง เสื่อมสภาพก็ต้องทิ้งไป เช่นเดียวกับกรอบ นานๆก็จะเหลืองครับ แตกง่าย (เลยต้องเอามาลดราคาเป็นระยะๆ) จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 13:02:03

ความคิดเห็นที่ 11 ร้านแว่นตาใหญ่ ๆ จะมีเจ้าหน้าที่วัดสายตาที่มีใบรับรองคล้าย ๆ กับประกาศนียบัตร นั่นก็คิดค่าวิชาเพิ่มเข้าไปด้วย เคยดูข่าวเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ ในเมืองไทยมีไม่ถึงร้อยคน จากคุณ : Mr. SJ เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 13:15:22

ความคิดเห็นที่ 12 แต่กรอบไททาเนี่ยมมันดีจริงๆนะ ว่าแต่ กรอบ ๕,๐๐๐ กว่าบาทที่ผมเคยใส่ มันเขียนว่า ไททาเนี่ยม ไม่รู้จริงไหม (เห็นราคาของคุณหมอแล้ว ของตู ไททาเนี่ยม ปลอมไหมหว่า....) จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 13:23:14

ความคิดเห็นที่ 13 หลักจิตวิทยา แพง=ดี ถูก=ห่วย จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 13:24:46

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขอถามนะครับ  แล้วอย่างแว่นกันแดดหลักหร้อย ที่ซื้อตามตลาดนัดนั้น กันแดดได้ไหมครับ จากคุณ : adolescent เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 13:35:23

ความคิดเห็นที่ 15 Titanium ราคาหลักพันก็มีเยอะ ครับ. แต่ lindberg นี่เค้าดังแบรนด์ ครับเลยแพงพิเศษ แต่แว่นสายตาเลนส์ดีๆ นี่แพงนะครับ โดยเฉพาะ พวก progressive lens ดีๆ มุมมองกว้างๆ ภาพบิดเบี้ยวน้อยๆ Rodenstock รุ่นดีๆนี่ 4-5 หมื่นแน่ะ แค่ exilor รุ่นดีหน่อยนี่ก็ 2 หมื่นกว่าๆ เหมือนกัน 5 เดือนก่อน ไปภูสอยดาว น้องเค้าเรียกไปถ่ายรูปที่น้ำตก เดินเข้าไป ยืนใต้กระแสน้ำตกลืม ถอดแว่น วูบเดียว fino คันนึงลอยวับไปกับสายน้ำ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 14:22:54

ความคิดเห็นที่ 16 กรอบแว่นตา หรือ เครื่องสำอางค์สินค้าพวกนี้ การตลาดเขาทำราคาให้เว่อร์เข้าไว้ จะได้ดูดีมีคุณภาพ ตอนแรกผมก็เห่อแว่นตามียี่ห้อ ตอนหลังผมเห็นแวนตลาดนัดสวยๆ ไม่ถึง 300 บาท ผมเล่นพวกนี้ 2-3 อัน ดีกว่า ซื้อมาเปลี่ยนเลนซ์เข้าหน่อย ก็ใช้ได้ นั่งทับพังไป ก็ไม่เสียดาย แกะเลนซ์เอาไว้ ใช้ได้อีก จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 14:24:29

ความคิดเห็นที่ 17 ใช้แว่นถูกแล้วโดนด่า จากคุณ : ไผ่พริ้ว (PyDE) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 14:40:59

ความคิดเห็นที่ 18 ซื้อแว่นสวยๆ อันละ 200   ซื้อ 2 อัน  (เก็บไว้สำรอง 1 อัน)    ก็ 400 เอาไปให้ร้าน ตัดเลนส์ใส่   450 ใส่สบายมา 2 ปีแระ จากคุณ : Mudady เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 15:03:19

ความคิดเห็นที่ 19 จริงๆแล้วพวกแว่นสายตาเนี่ย มันเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพนะครับ  ผมว่าเผลอๆอาจจะเข้าข่ายอุปกรณ์ทางการเเพทย์ ทำไมรัฐบาลไม่ควบคุมราคา?  ของมันจำเป็นต้องใช้ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย  ถ้าสายตาสั้นแล้วไม่ใส่แว่นเนี่ย  ถึงขั้นทำมาหากินไม่ได้เลยนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่เเว่นสายตา พวกแว่นกันแดดเงี้ย  ก็ขายแพงได้เพราะมันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ใส่ก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิต จากคุณ : ประกายแสงสีเหลืองแห่งแอนฟิลด์ เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 15:47:21

ความคิดเห็นที่ 20 ตามหลักการตลาดทั่วไป สินค้าที่มีอัตราการซื้อเพิ่มหรือซื้อใหม่น้อย ผู้ค้าจะฟันกำไรหลายเท่าตัว เพราะโอกาสที่จะขายได้ต่อวันแทบจะนับจำนวนได้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 16:22:10 จากคุณ : มวยมีค่าย เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 16:21:43

ความคิดเห็นที่ 21 กรอบแว่นที่ร้านแว่นชื่อดังขาย 4,000 บาท ผมซื้อในเน็ต 1,500 บาท เอาไปตัดเลนส์ที่ ร้านแว่นก็เลยขอเขาดูกรอบแว่นของร้านที่ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบ ปรากฏ ว่าเหมือนกันทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากคุณ : คนข้างถนน เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 16:47:39

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบ คห.14 คิดว่าไม่ได้ครับ เนื่องจากแว่นถูกๆตัวเลนส์แว่นไม่ได้เคลือบป้องกันรังสีUVไว้ (ซึ่งเป็นฟิลม์ใสนะครับ) แต่ตัวแว่นดันทึบ ผลก็คือเราเห็นแสงขาวน้อยลง ทำให้รูม่านตาขยายโดยอัตโนมัติเพื่อรับแสงขาวมากขึ้น และทำให้UVเข้าตาเราเต็มๆ เสียสายตายิ่งขึ้นไปอีกครับ เสียน้อยเสียยาก(แว่นดีๆสักอัน) เสียมากเสียง่าย(ค่าผ่าตัดรักษาตา)นะครับ จากคุณ : EeTsu เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 17:28:03

ความคิดเห็นที่ 23 หลักการตลาดทั่วไปครับ พอๆกับโรงอาหารมหาลัยฯ ราคาถูกกว่าร้านอาหารทั่วไปนั่นแหละ เพราะมันทดแทนส่วนกำไรได้ด้วยความถี่ ที่ไงๆโรงอาหารมหาลัยก็ขายออก และขายได้เยอะทุกวัน ในขณะที่บางร้าน อย่างในชนบท อาจมีคนมากินแค่วันละไม่เกิน 10-20 คน รายได้มันเลยต่างกันครับ ทีนี้ลองมาดูร้านแว่นกันครับ ร้านแว่นร้านหนึ่งๆ จะต้องเปิดทุกวัน ดูแลร้าน และแว่นจำนวนไม่น้อย และต้องมีเจ้าหน้าที่ ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งในการค้าขายแว่น และเรื่องตา ซึ่งปกติจะเป็นแพทย์สายตา ร้านแว่น ถ้าใครเคยเข้าไปน่าจะเห็นว่าปกติเราจะเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวของร้านครับ และถ้าสังเกตหน่อย จะพบว่าก่อนที่เราจะเข้าไป พนักงานจะหงอยค่อนข้างมาก และพยายามอย่างยิ่งที่จะขายแว่นให้ได้ เพราะแว่นเป็นสินค้าประเภทที่ไม่ได้มีคนมาซื้อใช้บ่อยๆครับ อีกทั้งการเรียนสายแพทย์ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย และเมื่อเรียนจบมา ค่าวิชาชีพย่อมไม่ต่ำครับ ซึ่งการตรวจเรื่องตา เพื่อให้ได้แว่นที่เหมาะสมกับสายตานั้นจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถจริงๆครับ และสุดท้าย แว่นที่ทำออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน อาจขายออกแค่ 1 ในร้อย หรือน้อยกว่านั้นครับ เพราะแว่นที่ดี จำเป็นต้องพอดีกับโครงหน้า และร้านแว่นเหล่านั้น จะต้องมีตัวเลือกมากมายให้เลือก ทั้งขนาด และรูปร่าง แต่พอใช้จริง จะมีแค่อันเดียวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อขายอันหนึ่ง จะต้องเอากำไร ไปโปะ ต้นทุนแว่นอันอื่นด้วยครับ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ซึ่งหลักๆจะเป็นการที่สินค้าประเภทนี้ ลูกค้าไม่มาก ทำให้จำเป็นต้องฟันกำไรเยอะๆ เพื่อให้อยู่รอดได้ครับ ย้ำว่าจำเป็นเพื่อให้อยู่รอดได้ครับ อย่างผม ซื้อแว่นที ก็ใช้กันไปเป็นสิบปีเลย เรียกว่าใช้คุ้มครับ แต่ถ้ามองในด้านผู้ขาย ทำเงินลำบากครับ เพราะลูกค้า ไม่ค่อยไปซื้อ ถ้าไม่มีเงินจากกำไรเยอะๆจากการขายครั้งหนึ่ง แล้วจะหาค่าใช้จ่ายต่างๆมายังไง บางทีผมเองก็สงสาร (แต่ผมก็ไม่มีเงินมากพอไปอุดหนุนบ่อยๆ :P) และการวิจัยแว่นของคนทำกรอบแว่น หรือเลนส์ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำครับ ถ้าใครใส่แว่นเป็นประจำ ไม่ได้ใส่แค่ตามแฟชั่น ก็น่าจะรู้ถึงปัญหาจุกจิกมากมายดี อย่างแว่นไม่ค่อยตรงจมูก หลุดง่าย หรือเหงื่อออกแล้วเป็นสนิม กัดผิวหนัง (รุ่นใหม่ๆไม่น่าจะเจอปัญหานี้กันแล้วนะ) การรับแสง การทนกระแทก ความร้อน และอื่นๆสารพัดที่เราทำในชีวิตประจำวัน แล้วมีผลกระทบกับแว่น ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จำเป็นต้องใช้เพื่อพัฒนาอยู่ตลอดครับ ส่วนแว่นคลองถม ราคาถูกๆ นั้นไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญ ไม่จำเป็นต้องให้เหมาะกับสายตา หรือโครงหน้า และไม่จำเป็นต้องให้ทนต้องสภาวะต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จึงไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ครับ ราคามันจึงถูกได้กว่ามาก สรุปก็คือ กรุณาอย่าคิดแค่ค่าวัสดุต่ออันครับ เพราะมันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้ได้แว่นที่เหมาะกับเราซักอันหนึ่ง จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 17:37:34

ความคิดเห็นที่ 24 ... จากคุณ : pisity เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 18:16:27

ความคิดเห็นที่ 25 กรอบแว่นธรรมดา โนเนม กำไรอย่างต่ำ 3.5 ถึง 5 เท่า (ของไต้หวัน) ใครกำไรต่ำกว่านี้ ถือว่าโง่ กรอบยี่ห้อดัง ของฝรั่ง บางรุ่น กำไรถึง 50 เท่า แต่มีคนโง่หลงซื้อ เพราะหน้าตาไม่หล่อ แต่มีเงิน คิดว่าใส่แล้วหล่อ แต่ว่าใส่แล้วยิ่งทุเรศ เหมือนขอทานตาบอด กรอบแว่นไม่กี่อัน แต่มีราคาเท่ากับรถยนต์เครื่อง 1600 ซีซี จากคุณ : นักเรียนชายชั้น ม.5 เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 18:25:02 A:58.9.19.185 X: TicketID:343602

ความคิดเห็นที่ 26 เพราะพรีเซ็นเตอร์ จากคุณ : MarsksMan เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 20:04:31

ความคิดเห็นที่ 27 ต้นทุนวัสดุการประกอบ ไม่แพง แต่ต้นทุนสินค้าแพง (ภาษี +กำไร + ค่าโฆษณา + ค่า่เช่าที่ + ค่าเงินเดือนพนักงาน + ค่าจิปาถะ พวกนี้บวกเข้าเป็นต้นทุนเรียบร้อยแล้ว) เหมือนของอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ถ้าคิดตามต้นทุน เอาวัตถุดิบมาทำแล้ว โดยเฉพาะยี่ห้อดัง ๆ ฟังแล้วจะตกใจ ราคาขายเกินกว่า 500% ทั้งนั้นเลย จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 21:10:42 A:14.207.232.106 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ใช่ของที่ขายได้ทุกวัน ต้อง+กำไรเยอะๆไว้ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ยกตัวอย่าง ลูกอม จะ+กำไรน้อย เพราะขายได้บ่อยๆ แต่แว่นนานๆได้ขายที เพราะคนไม่ได้ตัดแว่นบ่อยๆ ร้านก็ต้องเ่ช่า แอร์ก็ต้องจ่าย พนักงานก็ต้องจ้าง จากคุณ : Freedomone เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 23:06:29 A:124.120.229.38 X: TicketID:343154

ความคิดเห็นที่ 29 คนไทยซื้อของชอบคิดแต่ราคาของ ราคาวัสดุ ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่มีเวลามัวไปซื้อทุกอย่างจากคลองถมหรอกครับ ถ้าคนซื้อพอใจ ไม่เดือดร้อนตามกำลังที่มี  คนขายก็ไม่ได้หลอกลวงทุจริตอะไร ถ้าจะมีคนได้กำไรจากการค้าขายมันผิดตรงไหน? หรืออะไรๆในชีวิตก็ต้องกดราคาเข้าไว้ตลอดเวลา อะไรๆก็มาจากดาวคลองถม ผมว่ามันก็เกินไป จากคุณ : Sial เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 23:50:22

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าสายตาสั้นเยอะๆแล้วใส่ติดหน้าตลอดผมว่าเลือกซื้ออันที่ดีๆทนๆจากห้างแว่นไปเลยดีกว่าครับ เพราะถ้าทำกิจกรรมแล้วแว่นเกิดพังไปเราจะลำบาก ผมซื้อกรอบแว่น ไทเทเนียมหุ้มพลาสติกราคา 3500  ใส่มา4ปีแล้วครับยังไม่พังเลย ผมก็ทำกิจกรรมหนักๆเล่นกีฬาอะไรมาตลอด4ปี แว่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญของผมเลยครับขาดไปไม่ได้ ถ้าแว่นเกิดเป็นอะไรไปผมกลับบ้านไม่ได้แน่ๆ  เพื่อนผมใช้แว่นตลาดนัด 150 บาท ตกทีเดียวกรอบหักครับ ถ้าสำหรับคนสั้น 100-200 ใส่ๆถอดๆ อาจเห็นว่าแว่นราคาแพงคุณภาพสูงไม่สำคัญ แต่สำหรับคนสั้นมากๆแล้วคุณภาพจำเป็นมากๆครับ จากคุณ : BangRon TUN เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 01:23:43

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบในฐานะขายแว่นนะคะ จะพูดถึงแว่นทั่วไปไม่ใช่แว่นแบรนด์ และร้านแว่นระดับกลางขึ้นไป ไม่รวมพวกแผงลอยและร้านหน่วยรถ แว่นตาก็เหมือนสินค้าอื่นถ้าคุณซื้อกับ ผู้ผลิต หรือ บริํษัทนำเข้าได้มันก็ถูกกว่า ที่ซื้อกับผู้ขายปลีกเยอะ เริ่มจากผู้ผลิต ราคาของแว่นขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ของประเทศอะไร แว่นยุโรปแพงกว่าแว่นจีนแน่นอน วัสดุ ดีไซน์ เทคโนโลยีการผลิต คุณภาพ และแบรนด์เนม ซึ่งถ้าแว่นแบบถูกๆ แน่นอนว่า QC ต่ำกว่า ความละเอียดเรียบร้อยของแว่นก็ด้อยกว่า แบบก็จะโหลๆ วัสดุห่วยกว่า ใช้ 1-2 ปี หัก   ผู้นำเข้าเวลาติดต่อผู้ผลิต สั่งไป แว่น 1 รุ่น มีกี่สี สมมุติว่ามี 3 สี   1 สีจะต้องสั่งขั้นต่ำ 100-1000 ชิ้นขึ้นไปขึ้นกับราคาสินค้า ถ้าของถูกก็ต้องสั่งเยอะ ถ้าแว่นแพงก็ไม่ต้องสั่งเยอะ  เมื่อนำเข้ามาแล้วก็มีค่าภาษี ค่าบริหารธุรกิจ ค่าจ้างเซลล์ ในบรรดาแว่น 1 ล๊อต ไม่ได้แปลว่า แว่นทั้งหมดจะถูกขายออกไป แน่นอนว่าเหลือค้างสต๊อกเพียบ 30-50% เมื่อหมดเทรนด์  บริษัทก็จะทำการเลขาย ถ้ายังเหลืออีกภายใน x ปี ก็บริจาคองค์กรการกุศลไป ขั้นตอนแว่นเข้าสู่ร้านค้า ซึ่งราคาแว่นตาก็จะมาถูกบวกกำไรที่ขั้นตอนนี้เป็นหลัก โดยปกติร้านจะสั่งขั้นต่ำ 1 โหลโดยคละแบบได้  ร้านแว่นก็เหมือนร้านเสื้อผ้า จะต้องมีสินค้าโชว์ให้เต็มร้าน แต่ก็ไม่ใช่แว่นทุกตัวที่จะขายออก บางตัวเก็บเป็นปีกว่าจะขายได้ บางตัวก็ขายไม่ออก  และภายใน 1 วันแต่ละร้านอาจจะขายลูกค้าเพียง 1-10 รายก็ได้ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 02:29:24 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 02:23:05 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 02:21:28 จากคุณ : mintykitty เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 02:20:37

ความคิดเห็นที่ 32 มาพูดถึงร้านแว่นต่อ ร้านแว่นมาตรฐาน 1 ร้านจะต้องลงทุนอะไรบ้างๆ  พื้นฐานคือ ทำเล ร้านแว่นก็ต้องเสียค่าเช่าร้าน ต้องเซ็งขั้นต่ำหลายๆปี ต้องตกแต่งร้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ติดแอร์ ให้น่าเข้าไปชมและดูน่าเชื่อถือ และก็ลงทุนซื้อสินค้าแฟชั่นใหม่ๆ ซึ่งต่างจาก ตลาดนัดที่ ค่าแผงแค่วันละร้อยสองร้อย วางๆๆก็ขายได้แล้ว แน่นอนว่าร้านแว่นย่อมต้องมีเครื่องมือ จริงๆแล้วร้านแว่นมาตรฐาน 1 ร้านลงทุนน่าจะมากกว่าร้านหมอฟันซะอีก พวกเครื่องต่างๆก็หลักแสนเหมือนกัน   ช่างก็เป็นต้นทุนสำคัญ ส่วนใหญ๋จะเป็นเจ้าของร้านเอง ถ้าร้านเฟรนไชน์ก็จ้างพนักงาน การวัดสายตาและประกอบแว่นเป็นอะไรที่ต้องใช้ประสบการณ์ ซึ่งช่างที่มีประสบการณ์เก่งๆ หายาก เพราะถ้าเป็นลูกจ้าง ก็มักจะไปเป็นเถ้าแก่ภายหลังเสียเอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร้านแว่นส่วนใหญ่เจ้าของถึงทำเอง  (ค่าช่างที่มีฝีมือ ประสบการณ์สูง 30-50 k) แต่ในปัจจุบัน เครื่องมือก็ช่วยทุนแรงได้เยอะ อย่างเครื่องวัดตาแบบคอมพิวเตอร์ ทำให้พวกร้านเฟรนไชน์ หรือหน่วยรถ สามารถทำได้ง่าย เพราะแค่ฝึกช่าง 1 เดือนก็สามารถทำได้แล้ว แต่เราบอกได้เลย ว่าการวัดด้วยคอมพิวเตอร์ย่อมมีค่า error พวกช่างใหม่ๆถ้าเจอเคสยากๆ บางทีอาจจะทำำพลาดหรือแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น ต้นทุนค่าฝีมือและประสบการณ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของค่าแว่นตา และในอนาคต เขาคาดหวังไว้ว่า การเปิดร้านแว่นจำเป็นจะต้องมีใบอนุญาต ซึ่งต้องไปร่ำเรียนและสอบใบประกอบวิชาชีพ คล้ายๆ เภสัช หมอฟัน ซึ่งอาชีพนี้เรียกว่า นักทัศนมาตร์ ภาษาชาวบ้านคือ หมอสายตา (ไม่รักษาโรค) ซึ่งถ้ามันเป็นจริง (ไม่ได้ง่ายๆหรอก) ค่าแว่นก็จะอยู่ในระดับราคานึง ที่ไม่ใช่หลัก ร้อยกว่าบาทแน่นอน  เพราะว่า นักทัศนมาตร์ ก็ต้องร่ำเรียนไม่ต่างจากหมอฟัน คือ 6 ปี และค่าเรียนที่ยังสูงเอาการ คือ 1 ล้านบาท จากคุณ : mintykitty เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 02:57:40

ความคิดเห็นที่ 33 อนึ่ง แว่นมันก็เหมือนเสื้อผ้า เครื่องประดับ มันขึ้นกับรสนิยม บางคนก็ใช้แต่ของแบรนด์ บางคนก็เน้นใส่แล้วดูดีมีสไตล์ เน้นคุณภาพ  ซึ่งก็ขึ้นกับความพอใจและสถานะของแต่ละบุคคล ทำไมบางคนซื้อน้ำหอมตลาดนัด ทำไมบางคนซื้อของในห้าง เหตุผลเดียวกัน แว่นที่กำไรดีสุด คือแว่นตาก๊อปปี้ ก๊อปทั้งแบบ และแบรนด์ หลอกขายว่าแท้ มีอยู่ถมไป อย่างที่สยามก็จะมีบางร้าน เอาของแท้ผสมของก๊ิอปขาย แล้วทำเป็นว่าร้านชั้นขายถูกบอกต่อ อะไรแบบนี้ ซึ่งร้านแว่นมาตรฐานเขาไม่ทำกันมันเสียชื่อและศักดิ์ศรี พวกแผงลอยหน่วยรถ บางทีก็บอกว่าของแท้ ทั้ง prada gucci playboy rayband คนซื้อก็อาจจะรู้อยู่แ่ก่ใจหรือว่าไม่รู้ก็ได้  เพราะถ้าของก๊อปกะของแท้บอกได้เลยว่า ต้นทุนต่างกันฟ้ากะเหว ตัวอย่าง prada ลดพิเศษ เหลือ 3 พันบาท  วิธีคิดง่ายๆว่ายี่ห้อนี้ 3000 มันซื้อได้เหรอ ??? ระดับร้านแผงแบบนี้ มีปัญญาซื้อของแบรนด์ทั้งร้าน มาขายแสดงว่าเจ้าของต้องรวยมากกก และแว่นแบรนเนม ราคาหลายพัน กล้าวางบนโต๊ะ และให้ลูกค้าหยิบลองง่ายๆ อันนี้ก็ใจกล้าเกิ๊น (เพราะต้นทุนมันไม่กี่ตังหน่ะสิ)  พวกเนี่ยบอกได้เลยว่า ลงทุนน้อย แต่กำไรเยอะมากๆๆ หลายเท่าเลยหล่ะ จากคุณ : mintykitty เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 03:11:47

ความคิดเห็นที่ 34 ตอบ คห บนๆ - แว่นถูกๆมันอาจจะกันรังสียูวีได้จริงๆก็ได้ แต่ who know? มันมีเครื่องวัด แต่ว่าเครื่องนึงมันเป็นหมื่น ร้านเขาไม่ลงทุนซื้อมาเทสต์กัน เวลาซื้อดูเอาที่มันน่าเชื่อถือดีกว่าค่ะ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแว่นแบรนเนมหรอกนะ อย่างเมืองนอก เช่น ยุโรป  อย. เขาบังคับว่า แว่นตาที่ผลิตและขายในประเทศนั้นๆจะต้องกันรังสีได้เท่าไหร่ ซึ่งบ้านเราไม่มีข้อบังคับแบบนั้น การที่เรามองในที่แสงน้อยรูม่านตาจะขยาย หากยูวีเข้ามาตรงๆ ตอนรูม่านตาขยาย มันจะเป็นผลเสียมากกว่าการไม่ใส่แว่น เราเคยมีเครื่องวัดระดับยูวี ซื้อมาจากนอก ขายต่อไปเครื่องนึง ทำเจ๊งไปเครื่องนึง พวกร้านแผงลอย บางทีไปเอาเครื่องวัดยูวีหลอกๆ มาโชว์ลูกค้าก็มี  เครื่องนั้นเราเคยซื้อเกือบ 2 หมื่น บอกได้เลยว่าแทบไม่มีร้านไหนลงทุนซื้อหรอก - ประเทศเพื่อนบ้านเราที่ควบคุมการเปิดร้านแว่นสำเร็จใกล้ๆ คือ สิงคโปร์  ตอนอยู่สิงคโปร์เคยทำแว่นหัก ทำแว่นใหม่ 1 อันถูกที่สุดแล้ว 3 พันกว่าบาท - มีอยู่พักนึง ร้านแว่นบางร้านปฎิเสธการรับตัดเลนส์ถ้าซื้อกรอบจากที่อื่นมาก แต่เด่วนี้เขาก็ปรับตัวแล้ว เป็นเพิ่มค่าเลนส์แทนถ้าไม่ซื้อกรอบกะเขา ค่าเลนส์ก็อย่าไปคิดว่ากำไรเยอะแยะ ค่าช่าง ค่าเครื่องฝนเลนส์อีกหล่ะ เขาก็ต้องเผื่อไว้เวลาฝนพลาดด้วย พวกเลนส์ที่กำไรดี คือ โปรเกสซีฟ สังเกตุว่าร้านต่างๆจะชอบเชียร์ทั้งๆที่ บางคนก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ลูกค้ามาใส่ปรับตัวไม่ได้เวียนหัวอีก - Lindberg เป็นแว่นแบรนด์ค่ะระดับ high พวกไทเทเนียมที่ไม่ถึงหมื่นก็มีเยอะแยะ เอกลักษณ์ของลินเบิกคือตรงบานพับไม่ใช้น๊อตค่ะ มีตังก็ซื้อค่ะ ไม่มีตังก็ซื้อยี่ห้ออื่น สไตล์เดียวกัน วัสดุเหมือนกัน แต่ยี่ห้อไม่ดังก็มี ราคาถูกกว่าหลายเท่า แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 03:46:01 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 03:40:24 จากคุณ : mintykitty เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 03:29:46

ความคิดเห็นที่ 35 กระทู้นี้  ได้ความรู้กลับมาเยอะทีเดียว   ส่วนตัวก็ใช้แว่นแบรนด์เนม  เพราะเคยผ่านใช้แว่นราคาไม่แพง ตอนเรียนมหาลัย(ตามกำลังทรัพย์ วัยเรียน ยังไม่มีรายได้)  พังเร็วมาก.. ไม่ทน  สามอันแล้วล่ะ  ทั้งแว่นห้าง ยี่ห้อโนเนม กับ คลองถม(ซื้อมาเล่น ๆ เพราะตอนนั้นสายตายังไม่สั้น)   พอได้ทำงาน จำได้แม่นเลย เอาเงินเดือนก้อนแรก ไปลงทุนซื้อแว่น Oakley ราคาหลักหลายพัน  มาใส่เลย และมันทนจริง  ผสมวัสดุไทเทเนี่ยม ด้วย   ใช้เลนส์แพงสุดของร้านประจำ  น้ำหนักเบา เล่นกีฬาได้สบาย ไม่หนักจมูก เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกัน  เวลาเดินผ่านร้านขายแว่น  ก็มอง และ คิดว่า ทำไมเขาอยู่ได้หว่า ? แว่นก็ตั้งราคาแพง  แต่เผอิญ เรียน Business มา ก็พอเดาต้นทุน และ กระบวนการ ได้  จึงไม่เคยสงสัย ไม่เคยได้ถามพวกเขา ปัจจัยข้อหนึ่ง  "ช่างทำแว่น" อันนี้ จำเป็นจริง ๆ  ก็ต้องลองไปเทียบกับ ร้านแว่นชื่อดัง ของตัวจังหวัด  กับ ร้านแว่นแฟรนไซส์  มันเทียบกันไม่ได้   เคยไปใช้บริการร้านแว่นแฟรนไซส์ที่ตั้งในมหาลัย  แบบไม่รู้เรื่อง    ตัดแว่นได้แย่มาก  ทิ้งลงถังขยะไปเลย กับแว่นราคา เกือบพันบาท แบบไม่คิดอะไรเลย ไม่คิดจะใส่  แต่ด่าตัวเองในใจว่า " ตรูมันโง่เอง ได้ค่าวิชาและประสบการณ์กลับมาเลย  และไม่เสียดายเงินเลย" ถ้าอยากถนอมสายตา สบายตา ไม่หนัก สวย หล่อ ทนทาน  ราคายิ่งแพงไปอีก  ใครอ่านมติชนสุดสัปดาห์ หลังปกมักจะมีโฆษณาเกี่ยวกับ "แว่นสายตา"  มีญาติใกล้ชิด  ใช้บริการอยู่  แกบอกว่า คุ้มมาก      เชื่อนะ  เพราะเคยขอญาติ เอามาใส่ดู   เอิ่มม... แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 14:20:15 จากคุณ : KJ_FBI เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 14:00:00

ความคิดเห็นที่ 36 ร้านทำแว่นสายตาที่อเมริกา แคนาดา อังกฤษ  จะคล้ายกัน ต้องมีใบอนุญาต ต้องมี optometrist ตรวจสายตาประจำ อย่างน้อย 1 ท่าน   ต้องมีใบ prescription จากการตรวจก่อนจึงตัดแว่นได้   ต้องมีการตรวจดวงตาโดยหมอตา Ophthalmologist (ที่ไม่ได้ตรวจสายตา) ถ้ามีการแนะนำจาก optometrist ตรวจสุขภาพตาและนำผลกลับมาให้ optometrist ประกอบการตรวจสายตา  เพื่อส่งต่อให้ optician ทำแว่น ต้องตรวจสายตาทุก 6 เดือน ต้องตรวจสุขภาพตาทุก 12 เดือน แว่นสายตาอันหนึ่งถึงแพงกว่าจะออกมารองรับการมองของเราค่ะ ^^ นี่ยังไม่นับกรอบ brand และเลนซ์พิเศษ transition lenses นะคะ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 15:07:35

ความคิดเห็นที่ 37 จากการอ่านสรุปได้ว่า อย่าไปเข้าร้านแว่นที่มีหลายๆ สาขาใช่ไหมครับ เคยเอากรอบแว่นข้างนอกไปใส่เลนส์ เจาะเลนส์มาซะเกือบแตก จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 18:41:49

ความคิดเห็นที่ 38 เคยคุยกับพี่ที่มีเพื่อนอยู่ร้านแว่น ทั้งกรอบทั้งเลนส์ต้นทุนโค ตร ถูก เลนส์รู้สึกสองสามร้ายขายพันกว่า เดือนนึงขายได้ซัก 5 กรอบก็อยู่ได้แล้วครับ จากคุณ : เอ (godgo99) เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 20:19:31

ความคิดเห็นที่ 39 ก่อนนี้ทำใจไม่ได้เรื่องราคาครับ แต่หลังจากใส่แว่นมา 10 กว่าปี เปลี่ยนแว่นไปหลายอัน ศึกษามาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นครับ เอาเฉพาะแว่นสายตาน่ะครับ ปัจจุบันมองแว่บเดียวก็รู้แล้วครับ ว่าแว่นอันไหนถูกอันไหนแพง เพราะคุณภาพมันต่างกันเยอะ ด้วยความรู้ที่มากขี้นเลยไม่กลับไปใส่แว่นถูกๆอีกแล้วครับ เพราะแว่นมันติดอยู่กับหน้าเราวันล่ะมากกว่า 16 ชม ยกเว้นก็แต่ตอนนอนเท่านั้น มีเงินจ่ายครับ ถึงไม่มีก็หาจ่ายอยู่ดีครับ ไม่ถือว่าฟุ่มเฟือย แต่เป็นของจำเป็นอย่างหนัก ส่วนแว่นตา Lindberg จริงๆมันซับซ้อนกว่าที่คิดครับ เรื่องบานพับไม่ใช้น๊อตนี่เรื่องเล็กๆน้อยๆของยี้ห้อนี้เท่านั้นครับ เอาเฉพาะเป็นรุ่นไร้กรอบที่เป็น Rimless น่ะครับ แล้วมาดูว่าร้านแว่นจะรีดออกมาเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า หรือขายแค่เพียงให้มันจบๆไป ลองดูแล้วกันน่ะครับ ตัวอย่างง่ายๆเลย ขาแว่นมีความยาว 135 ,145,155 มม ให้เลือกตามขนาดศีรษะ อันนี้ไม่ยากเท่าไร มีแค่ 3 Steps โดยมากแล้วร้านแว่นสั่ง 145 มาขาย ต่อไปตัวสะพานจมูกมีความกว้างตั้งแต่ 14-22 มม ให้เลือก โดยมีรูปร่างให้เลือกอีก 4 แบบ คือ Round nose,Flatnose อีก 2 อันจำไม่ได้แล้ว แฮะๆๆ อันนี้ลำบากแล้วโดยมากแล้วร้านแว่นสั่ง Standard size M มาขาย อันนี้เริ่มไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว เพราะว่าใช้มาตรฐานแต่ไม่แน่ว่าจะเข้ากับรูปหน้าเราได้ ร้านแว่นที่ขาย Lindberg โดยมากของมีไม่เยอะหรอกครับ เพราะมันแพง จะให้ได้เปะ ต้องร้านตัวแทนจำหน่าย ถัดมาเลือกระยะห่างจากกระจกตา ถึงเลนส์แว่นตาได้ 5 ระดับ ( step ละ 1 มิลลิเมตร ) แฮะๆๆ เห็นไหมล่ะครับ ความละเอียดของแว่น Lindberg ว่ากันที่ล่ะดับ มิลลิเมตร เพื่อรีดประสิทธิภาพแว่นออกมาให้ได้สูงสุด ต่อมาเจาะกรอบใส่เลนส์ ต้องใช้เครื่องมือเจาะ Lindberg เพราะแว่น Rimless ของ Lindberg ใช้เครื่องมือของร้านแว่นโดยทั่วไปไม่ได้ ร้านที่ขาย Lindberg ก็ต้องลงทุนอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าLindberg ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ใครปุ๊ป รู้ปั็ป ใส่แล้วหล่อครับ แล้วแว่นทุกอันจะมี Serial อยู่ เอา Serial ไปเช็ดแล้วจะให้รู้ได้ว่าแว่นตามี Spec อย่างไร ผมใส่แว่นมาหลายอัน แต่รู้สึกฉงนกับแว่น Lindberg เพราะถ้าดูที่หน้า Web เขา จะรู้ได้เลยว่าโคตรธรรมดา ผมอยากรู้มาก เลย Mail ไปถามตรงเลย ว่า ทำไม ไม่ Promote เรื่องเทคนิค หรือว่าความซับซ้อนของแว่นหน่อย คนดูเขาจะได้รู้ และที่สำคัญ โอกาสซื้อ Lindberg มาใส่แล้วไม่ฟิตกับรูปหน้ามีสูงมาก เพราะอย่างที่บอกไว้ แบบแว่นมีตั้งเยอะ ร้านแว่นไม่มานั่ง Customize ให้เราหรอก เพราะต้องมีเครื่องมือวัดหน้าอีกเยอะแยะได้คำตอบมาว่า คนจ้องจะเลียนแบบตรู (Lindberg) มันมีเยอะ เลยขอสงวนไว้เป็นความลับทางการค้า ในเรื่องของแบบและอะไรอีกหลายอย่าง แนะว่าว่าตัดกับตัวแทนจำหน่าย จะมั่นใจได้มากกว่า ถึงตอนนี้เลยถึงบางอ้อ ว่า Lindberg แน่จริงๆ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ คนซื้อ Lindberg ซื้อทีใส่กันชั่วชีวิต เบื่อก็เปลี่ยน Shape ของเลนส์เอา โอกาสซื้อซ้ำอีกมันน้อย แต่ด้วยจำนวนคนใส่แว่นจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ต้องมีบ้างที่อยากใส่ Lindberg จนต้องไปคว้ามาเพราะความคุ้มค่า ซื้อทีใส่กันเกือบทั้งชีวิต จึงทำให้ Lindberg อยู่ได้ Lindberg หาคนเลียนแบบได้ แต่ผมเหร่ตาด้วยหางตาก็รู้แล้วครับว่าไม่ใช่ ใช้ Lindberg เป็นตัวต้นฉบับเฉยๆ 555 ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเรื่องวัสดุน่ะครับ ซึ่งจริงๆขั้นตอนคงมีอีก แต่เขาเก็บเป็นความลับ หาแหล่งข้อมูลไม่ได้ ถ้าจะขอไปดูงานที่โรงงานเลยคงกะไรอยู่ ผมแค่นักเล่นแว่นครับ ฮิๆๆ ปล ผมไม่ทำธุรกิจอะไรเลยเกี่ยวกับแว่นน่ะครับ แต่ใส่แว่นมานาน มันคันอยากรู้ เลยต้องสืบหาซะหน่อย จากคุณ : golfturbo (golfturbo) เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 21:49:46

ความคิดเห็นที่ 40 คุณภาพวัสดุต่างกันนะผมว่า เคยใส่ทั้งกรอบเกรดAAA+ กับกรอบแท้ จากคุณ : นายชอล เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 22:27:22

ความคิดเห็นที่ 41 เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าของตาคนใส่ จากคุณ : ตุ้บตั้บ เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 22:30:18

ความคิดเห็นที่ 42 มติชนสุดสัปดาห์ หลังปกมักจะมีโฆษณาเกี่ยวกับ "แว่นสายตา ที่คุณ KJ_FBI พูดถึงนั่นแหละครับ เป็นคนเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับแว่นตาเลยน่ะครับ ทุกๆขั้นตอนของเขามีค่าใช้จ่ายแบบเมืองนอก แต่ราคาต่ำกว่า ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือแกอลังการ ทำโคตรละเอียดครับ จากคุณ : golfturbo (golfturbo) เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 55 22:59:48

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องการออกแบบ design ของแบรนด์เนี่ย ยอมรับเลยค่ะว่าแตกต่างจากธรรมดาจริงๆ ตอนลูกสาวไปตัดแว่น บอกพนักงานให้เลือกกรอบสีขาวมาให้ลอง เพราะดูเรียบ แต่ไม่ขรึมดี แบบหวือๆหวาๆก็กลัวเป็นปัญหากับครูที่โรงเรียน พนักงานก็หยิบมาให้เลือกไปเรื่อยๆ กระทั่งเค้าหยิบอันนึงมาวาง มันเป็นกรอบแว่นสี่เหลี่ยมสีขาวที่ดูเป๊ะ ดูดีมากๆ แตกต่างจากอันอื่นๆจริงๆ ทั้งๆที่ทุกอันที่หยิบมา มันก็คือกรอบสีขาวเหมือนกันหมด แต่อันนี้แต่งต่างอย่างชัดเจน ถูกใจมากๆเลยค่ะ แต่มันไม่ถูกกระเป๋าตังค์ เพราะมันอันละ 7,000 กว่าบาท.... เป็นกรอบแว่นของ อาร์มานี่ค่ะ พนักงานเค้าไม่ได้บอกก่อนนะคะ ว่าอันไหนยี่ห้ออะไร เค้าหยิบมาวางๆๆ แล้วให้เราเลือกก่อน ถูกใจค่อยถามเพิ่มเติม เข้าใจความแตกต่างของแบรนด์กับไม่แบรนด์ ก็วันนั้นแหละค่ะ แต่แว่นของเด็ก 7,000 ก็เกินไปหน่อย เลือกได้แว่นราคาพันกว่าๆ รวมค่าเลนส์ก็กว่าสองพัน กว่าจะโต ต้องเปลี่ยนกี่อันเนี่ย... จากคุณ : == พิ้งค์กี้ == เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 14:43:15

ความคิดเห็นที่ 45 ตาดีได้ ตาร้ายเสียครับ (ภาษี +กำไร + ค่าโฆษณา + ค่า่เช่าที่ + ค่าเงินเดือนพนักงาน + ค่าจิปาถะ พวกนี้บวกเข้าเป็นต้นทุนเรียบร้อยแล้ว) อันนั้นมัน cost ทั้งนั้นเลยนะนี่ ไม่ใช่ value ประเดนปัญหา คือ value ทั้งหลายที่ด้านบนๆว่ามา มันวัดกันยาก(ทั้งๆที่อยู่ติดกับตาแท้ๆ) ความทนทาน หารราคาตามอายุเอาได้ ความสวยงาม เป็นอะไรที่ตีราคายาก เพราะไม่รู้เค้าใช้เวลาดีไซนด์ แบบละเท่าไหร่ อันไหนสวยไม่สวย ก็แล้วแต่สไตล์คนจะมองอีก กันรังสี นู่น นี่ นั่น มันก็ไม่มีตัวเลขชัดๆมาว่า ใส่แล้ว คุณสั้นลงแค่ 50ในรอบ50ปีของชีวิตคุณนั้น เกิดความสบายตา เหมือนกับคุณได้มอง อั้มพัชราภาพ วันละครั้ง ตลอดอายุการใช้งานแว่น ปวดหัวน้อยลง ปีละ365ครั้ง ถ้ามีตัวเลขพวกนี้บอกมา จะได้ตีราคาได้ชัดๆ วันก่อนดูโฆษณาในควอนตัมทีวี โครตรเจ๋งอะ เครื่องพ่นสี 4พันบาท พ่นประตูลายๆ เสร็จใน58วินาที (แบบเนียนๆ) แถมพ่อแม่ขี้เกียจพ่น ให้เด็กพ่นเล่น ก้ยังได้ คุณยายก้มาพ่นให้ดู ง่ายๆมากๆ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 16:19:50

ความคิดเห็นที่ 46 มีแบบหรือตัวอย่าง จ้างร้าน ที่มีเครื่อง CNC Mill ทำได้นะครับ ราคาแมท ไทเทเนียมเกรด 2 ไม่น่าจะเกิน 2000 ราคาแมชชีน เขียนแบบ ทำโปรแกรม ขัด ประกอบ ตีว่า 15,000 ราคานี้ผมว่าเอาอยู่ครับ อันนี้ Made to order ของจริงเลย ตามสรีระเลยทีเดียว จากคุณ : api (Kimtanti) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 18:52:51