 |
อย่างที่เรียนไปข้างต้นครับ ราชสำนักหมิงได้ทำการผูกขาดทางการค้ามาก ทำให้โอกาสทางการค้านั้นลดลง การเกิดชนชั้นพ่อค้าหน้าใหม่ๆก็ลดลง ทำให้หนทางเดียวในการมีหน้ามีตาและร่ำรวยในสังคมก็คือ การสอบเข้ารับราชการให้ได้ครับ
1. ในสมัยหมิงนั้น ระบบการสอบเข้ารับราชการและระบบราชการของจีนพัฒนาไปอย่างมาก การสอบได้เปิดกว้างแก่ผู้ศึกษาหาความรู้โดยไม่จำกัดเชื้อชาติหรือต้นกำเนิด (สมัยหมิงนี่มีบัณฑิตจากเกาหลีและเวียดนาม เข้ามาสอบในระบบราชการของจีนเยอะเหมือนกัน) การก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพิมพ์และกระดาษ ทำให้สังคมจีนในสมัยหมิงมีการพิมพ์หนังสือหรือตำราที่ใช้ประกอบการสอบออกมามากมายครับ ทั้งตัวอย่างข้อสอบเก่าๆ, ตัวอย่างบทความของผู้เข้าสอบรุ่นก่อนที่ได้คะแนนดีเยี่ยม, หลักการเขียนคำตอบในรูปแบบของเรียงความแปดขา ให้ได้กระชับและได้ใจความ, รวมไปถึงตำรารวมเสียงและคำพ้องเสียงต่างๆ (เพื่อให้สามารถใช้แต่งกลอนตอบลงในข้อสอบได้อย่างสละสลวย)
ตรงนี้เองที่ทำให้บัณฑิตจำนวนไม่น้อย พยายามใช้วิธีลัด ได้ไม่ศึกษาตำราซื่อซูหวู่จิงให้แตกฉาน แต่ไปเรียนรู้หรือท่องจำพวกตัวอย่างข้อสอบกับคำตอบที่ดูสละสลวย เพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนดีๆครับ
2. ในยุคราชวงศ์หมิงและชิงนี่ จำนวนประชากรจีนเพิ่มขึ้นมาก รวมไปถึงจำนวนผู้เข้าสอบด้วยครับ แต่จำนวนคนที่สอบได้จิ้นสือและได้เป็นขุนนางกลับมีคงที่เกือบตลอด (ตลอดราชวงศ์หมิง ในการสอบแต่ละครั้งจะจำกัดจำนวนจิ้นสือไว้เพียง 200-300 คนเท่านั้น ในขณะที่มีผู้เข้าสอบหลายแสนคน)
การแข่งขั้นนั้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนคนที่ประสบความสำเร็จกลับมีแค่หยิบมือหน่ะครับ ทำให้คนที่ล้มเหลวจำนวนมากจากการสอบนั้น ต้องพยายามผันตัวไปทำอาชีพอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ความรู้ในตำราซื่อซูหวู่จิงและการปกครองนั้น มีประโยชน์ไม่มากนักกับการประกอบอาชีพในฐานะประชาชนธรรมดา บัณฑิตจำนวนมากที่สอบตกและไม่ร่ำรวยพอจะอยู่เฉยๆ ก็ต้องผันตัวไปเป็นนักบัญชี, ครูสอนหนังสือ, นักเขียนนิยาย, นักวาดภาพ เพื่อเลี้ยงชีพ
3. องค์ความรู้ที่ใช้ในการสอบนั้น จำกัดอยู่เฉพาะในตำราซื่อซูหวู่จิง, ตำราการปกครองในสมัยชุนชิว และตำราประวัติศาสตร์ยุคก่อนฉินเท่านั้น ซึ่งการเข้าใจถึงตำราเหล่านี้ว่ายากแล้ว การจำให้ได้ขึ้นใจทุกตัวอักษรก็ยากไม่แพ้กันครับ (เพราะหากตอนไปตอบข้อสอบ เกิดยกตัวอย่างประโยคในตำรามาผิดแม้สักคำเดียว ก็ถูกหักคะแนนแล้ว) บัณฑิตจำนวนมากต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีในการเรียนรู้ตำราเหล่านี้ ซึ่งมีประโยชน์น้อยมาก หากเขาไม่สามารถสอบเข้าเป็นขุนนางได้
4. จริงๆเหล่าบัณฑิตในยุคนั้นที่เป็นขุนนางก็เกรงว่า การใช้ความรู้ในตำราเหล่านี้จะไม่ได้คนเก่งจริงๆหน่ะครับ พวกเขาเลยยิ่งพยายามออกข้อสอบให้ยากยิ่งขึ้นไปอีก จำเพาะเจาะจงมากขึ้น ควบคุมรูปแบบการเขียนคำตอบว่าต้องให้ได้ตามแบบฟอร์มของเรียงความแปดขาเท่านั้น, การยกตัวอย่างประโยคำก็ต้องสอดคล้องและได้ฉันท์ลักษณ์ การตอบผิดสักคำเดียวก็แปลว่าไม่เข้าใจถึงตำราฃ
ทำให้เหล่าบัณฑิตยิ่งละทิ้งจินตนาการในการทำความเข้าใจตำราซื่อซูหวู่จิง หันไปท่องจดจำกันอย่างเอาเป็นเอาตายแทน และก็เล่นทางลัดด้วยการซื้อพวกหนังสือรวมข้อสอบมาอ่านกันครับ (แน่นอนว่า คนออกข้อสอบก็กลัวว่าจะเป็นแบบนี้และจะไม่ได้คนรู้จริง เลยยิ่งทำให้ข้อสอบมันยากขึ้นและวกวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ)
ผลสรุปก็เลย ออกมาเป็นว่า พวกขุนนางราชบัณฑิตมากมาย จำตำราซื่อซูหวู่จิงขึ้นใจ เข้าใจในเนื้อหาและพรรณราได้เป็นฉากๆ แต่ดันไม่ได้เอาคุณธรรมและหลักการของตำราเหล่านี้เลย (เพราะถ้าเข้าใจในหลักการที่ขงจื้อกล่าวไว้แล้วนั้น คงจะไม่เข้าเป็นขุนนางเพื่อโกงกินกันพุงกางจนราชสำนักหมิงและชิงล่มจมหรอกกระมัง)
จากคุณ |
:
อุ้ย (digimontamer)
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ก.พ. 55 19:08:04
|
|
|
|
 |