ความคิดเห็นที่ 1 "Space และ Time มันเป็น "มิติ" มันไม่ใช่มวล ไม่ใช่แรง ไม่ใช่พลังงาน มันไม่ใช่อะไรที่จับต้องได้ มันเป็นการบิดงอของมิติ แล้วมันจะไปทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ได้อย่างไร ???" -เรื่องนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันคับ รอผู้รู้มาตอบเหมือนกัน แต่ผมว่าอย่ายึดติดกับความคิดเรื่อง rubber sheet ตลอดคับ มันอาจจะมีนิยามในฟิสิกส์เรื่องความบิดเบี้ยวของกาลอวกาศของเค้าไปตามเรื่องตามราว แต่อาจจะไม่ใช่การบิดของแผ่นอะไรซักอย่างจริงๆ ก็ได้ เพราะงั้นก็อย่าเพิ่งสรุปว่าอะไรที่ "ดู" ไม่สมเหตุสมผลแล้วจะไม่จริงคับ "แต่.. ถ้าเรามองออกไปในจักรวาล เราก็ยังไม่เคยเห็นดาวดวงไหนมันจะวิ่งมาโคจรรอบดาวดวงไหนโดยการตกลงไปในร่องของ Space-Time เลยสักดวง (มันเหมือนเป็นแค่ทฤษฎีที่ยังไม่เห็นภาคปฏิบัติ)" -อันนี้ผมไม่เข้าใจน่ะคับ อธิบายละเอียดๆ กว่านี้หน่อยนะคับ เพราะระบบดาวที่หมุนรอบๆ ดาวฤกษ์มีเยอะแยะเลยนิคับ มีถึงขั้นหมุนควงกันเป็นคู่ๆ ด้วย อย่าง Binary star "แรงจากมือที่ใช้เหวี่ยงก้อนหินที่ผูกกับเส้นด้าย มันไม่ใช่แรงดึงดูด มันเป็นแรงเหวี่ยง" -ก็ถูกคับ เพราะภายใต้สนามโน้มถ่วงของโลก แรงดึงดูดระหว่างก้อนหินกับมือเรา น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับแรงโน้มถ่วงโลก ถึงต้องเหวี่ยงไปเรื่อยๆ แต่ในอวกาศไม่มีแรงใดกระทำต่อกันเลย (โอเคๆ สมมติว่าแรงระหว่างมวลอื่นๆ ในจักรวาลมันหักล้างกันไปก่อนละกัน) แรงที่เหลืออยู่ก็เลยมีแค่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งเอาเข้าจริงแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นว่าโลกต้องทำหน้าที่เหวี่ยงเชือกนี้ไปเรื่อยๆ คับ อ่อ... ถ้าผมจำไม่ผิด "แรงหนีศูนย์กลาง" ไม่มีอยู่จริงนะคับ มีแค่ "แรงสู่ศูนย์กลางเท่านั้น" "และเราว่า แรงเหวี่ยงที่วัตถุนั้นมันพุ่งเฉี่ยวโลกจนทำให้มวลส่วนหนึ่งของโลกหลุดออกมานี่แหละ คือแรงที่ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก" -ในความเห็นของผม หลังจากที่มวลหลุดออกมาจากโลก มวลนั้นเป็นอิสระจากโลกก็จริง แต่ภายใต้สนามโน้มถ่วงที่เกิดจากโลก ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ดวงจันทร์"ไหล"ไปตามทางโคจรรอบๆ โลก อาจจะไม่จำเป็นต้องเพิ่มแรงเหวี่ยงของโลกเองหลังจากนั้นอีก ประมาณว่า ต่อให้โลกหยุดหมุน ฉันก็จะรักเธอ... เอ่อ.. ไม่ใช่ ดวงจันทร์ก็จะยังหมุนรอบโลกต่อไป ถ้ามองแบบ rubber-sheet โลกอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้กาลอวกาศโค้งงออยู่แล้ว ถ้ามองแบบ newton มีมวล 2 มวล ก็เกิดแรงดึงดูดระหว่างกันอยู่แล้ว ยังไงก็ตามนี่ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเช่นกัน รอผู้เชี่ยวชาญมาชี้แนะนะคับ จากคุณ : ชโรนนท์ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 07:39:23

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านแล้วต้องใช้เวลาทำความเข้าใจว่าต้องการสื่ออะไรนานเหมือนกัน ผมไม่เคยได้ยินว่า นิวตันพบว่าแรงดึงดูดน้อยไป โอกาสที่เราจะเห็นดาวดวงนึง กำลังวิ่งเข้าวงโคจรซึ่งกันและกันกับดาวอีกดวงหนึ่งนี่ยากนะครับ เพราะโอกาสมันน้อย และต้องอาศัยจังหวะพอดี ตามการคำนวณแล้ว พบว่า วัตถุในอวกาศ ถ้าวิ่งเข้าหากันจากระยะทางไกลมากๆ จะไม่มีทางเข้าโคจรรอบกันและกันได้เลย นอกจากชนกันและเสียพลังงานให้กันไป เราจึงมักเห็นดาวสองดวงมันโคจรรอบกันอยู่แล้ว เหมือนว่ามันเกิดมาพร้อมกัน เรื่องมวลทำให้อวกาศโค้ง เขาอธิบายด้วยชีทก็ดีแล้วนี่ครับ จะได้เห็นภาพง่ายหน่อย แต่จนกระทั่งบัดนี้ ผมก็นึกภาพการโค้งของอวกาศสี่มิติไม่ออกเหมือนกัน ได้แค่เปรียบเทียบกับชีทที่ว่านี้แหละ บางทีท่านก็ให้นึกภาพเราเดินทางไปบนผิวโลก ซึ่งมันโค้ง แต่อีตอนเราเดิน เราก็คิดว่ามันตรง(ในสองมิติ แต่ไปโค้งเอามิติที่สาม) พอจะต่อยอดไปคิดเพิ่มอีกมิติ ผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน จินตนาการไม่พอครับ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:01:21

ความคิดเห็นที่ 3 ความเห็น #2 คุณ ontjung คะ เรื่องนึกภาพไม่ออกเนี่ย สมัยก่อนเราก็เป็นเหมือนกัน >< แต่คุณต้อง.. ลองอ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์แบบ "ละเอียดๆ" แล้วมันจะเริ่มนึกภาพออก การยืดหดของ Space และ Time มันมีผลน้อยๆระหว่างผิวโลกและบนฟ้า แม้แต่ระหว่าง ดวงอาทิตย์ และ ดาวโลก ก็ยังไม่ต่างกัน (อาจจะต่างกันเป็นวินาที) แต่มันจะเริ่มต่างกันมากๆ ถ้าเราไปอยู่รอบๆหลุมดำ (จริงๆเราเคยอธิบายเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ก็ขี้เกียจพิมพ์หลายรอบแล้วล่ะ >< เอาสารคดีมาลงก็หลายกระทู้แระ) ขอพูดสั้นๆละกันนะคะ ^_^ Space-Time มันบิดงอ หมายความว่า.. วัตถุที่ 1, วัตถุที่ 2 และ วัตถุแสง 3 ตัวนี้.. จะมีผลต่อกันและกัน (มัน Relative ต่อกัน) ถ้าเทียบกับแสง ทั้งสองวัตถุจะเหมือนอยู่นิ่งๆกับที่(จะเห็นแสงเคลื่อนที่เร็วคงที่เสมอ) แต่ถ้า 1 กับ 2 เทียบกันเอง มันจะเห็นถึงความแตกต่างของความเร็วของวัตถุแต่ละชิ้น --- ตอบคำถามของคุณ Ontjung เลยก็คือ ถ้ามีใครสามารถอาศัยอยู่ใกล้ๆหลุมดำได้(สมมติมีบ้านเรือน มีครอบครัว มีการใช้ชีวิต) แล้วถ้าพวกเราเป็นพวก สายตายาว(มองไกลๆได้ไม่จำกัด) ถ้าเรามองคนที่อยู่หลุมดำจากโลก เราจะเห็นเขาเคลื่อนไหวช้าๆ ทำอะไรช้าๆ แต่ตัวเขาเองจะเห็นตัวเองเคลื่อนไหวปกติ.. ทำอะไรปกติ แต่ถ้าเขามองมาที่โลก เขาจะเห็นคนบนโลกเคลื่อนไหวเร็วๆ (เหมือนเรารีหนังให้ฉายเร็วๆอ่ะ) การศึกษาเรื่องทฤษฎีพวกนี้ มันสนุกมากๆค่ะ.. เราศึกษาแล้วติดอ่ะ >< (คุณแตงกวาชอบหาว่าเราเพ้อเจ้อ) อวกาศว่างๆรอบๆตัวเรา มันมีมิติของ Space-Time อยู่ แต่ที่เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะเราอยู่ในระดับ Space-Time เดียวกัน.. (เวลาของพวกเรา มันเป็นเวลาเดียวกัน) แต่ถ้าไปอยู่ในที่สูงๆ บนภูเขาสูงๆ เวลาจะเดินเร็วกว่า(เพราะ gravity น้อยกว่า) gravity มันทำให้เวลาเดินช้าลงค่ะ แต่บนภูเขาสูง จากการคำนวณแล้ว เวลาจะเดินช้ากว่าแค่.. เสี้ยววินาที (แทบมองไม่เห็นว่าช้ากว่า) ถ้าไปอยู่ใกล้ๆดวงอาทิตย์ มันก็จะห่างเป็นวินาที.. แต่ถ้าไปอยู่ใกล้ๆหลุมดำ มันจะเห็นชัดมากๆว่า.. เวลามันต่างกันจริงๆ จนเขามีทฤษฎี ที่.. หากพวกเราสามารถสร้างยานบินที่ไปบินวนรอบๆหลุมดำได้.. ถ้าเราไปบินวนรอบๆหลุมดำสัก 3 นาที แล้วบินกลับมาที่โลก เวลาที่โลกอาจผ่านไปแล้วถึง 200 ปี (เราเคยแนบสารคดีมาให้ดูแล้วนะ ^^ แล้วเรื่องพวกนี้ก็พิมพ์หลายรอบละ อิอิ ^^) แต่เห็นคุณ Ontjung ถาม ก็เลยเล่าใหม่ >< ^^ จากคุณ : mooesha เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:15:14

ความคิดเห็นที่ 4 ความเห็น #2 คุณ Ontjung ดูสารคดี 4 ตอนในกระทู้นี้ก็ได้ >> http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11764690/X11764690.html ดูให้ครบทุกตอนเลยนะคะ ^^ ถ้ายังไม่เข้าใจเลย เวลาเดินช้าเดินเร็ว ดูกระทู้นี้ต่อก็ได้ >> http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11764693/X11764693.html เราอธิบายในกระทู้ มันมีแต่ตัวหนังสือ อธิบายยาก (จริงๆเคยอธิบายไปหลายรอบแล้วแหละ ก็เลยขี้เกียจพิมพ์ใหม่) ถ้าดูสารคดีแล้วจะเข้าใจง่ายกว่า เรื่องราวทั้งหมด มันเกิดเพราะ มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เขาสังเกตุเห็นความผิดปกติ(ตามธรรมชาติ)ของความเร็วแสง ที่มันไม่สัมพัทธกับความเร็วของผู้สังเกตุ (ดูเรื่อง แสง ล้วนๆที่นี่เลยก็ได้ >> http://www.youtube.com/watch?v=OcdeBZGPXgY) มันเป็น สิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาเอง.. มันเป็นความแปลก และความประหลาดของจักรวาล.. แล้วไอน์สไตน์ ก็นำเอาคุณสมบัติข้อนี้ของแสงแหละ มาทำเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ พวกยานเคลื่อนที่เท่าความเร็วแสง และเร็วเกือบเท่าแสง เร็วกว่าแสง ฯลฯ (ดูในสารคดีเองละกัน ^^) จากคุณ : mooesha เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:33:20

ความคิดเห็นที่ 5 จขกท. เข้าใจผิด และฝังหัวกับความเชื่อเดิมๆ มาโดยตลอด ทั้งๆที่ปากพูดว่า ค้นคว้า ศึกษา เอาคลิปมาแปะนับไม่ถ้วน แต่สงสัยไม่เคยได้ดูคลิป ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจกับคลิปที่ตัวเองเอามาแปะเลย แค่เอามาแปะแล้ว ก็จบกันไป ที่ว่านิวตันพบว่าแรงดึงดูดน้อยเกินไปเนี่ย ไปเอามาจากไหนกัน ? ที่ว่าเขาวัดแรงเส้นเชือก(แรงโน้มถ่วง)ของดวงดาวแล้ว เขาก็ว่ามันมีแรงไม่พอ "เขา" นี่คือใคร ใช่ไอ้ปื๊ดรึป่าว ? ได้เคยลองศึกษามารึป่าวว่า ทำไม "เขา" ถึงว่าเช่นนั้น และมันน่าเชื่อถือรึไม่ อย่าเพียงเชื่อตามๆกันไป ต้องลองคิดตามไปด้วย ทำความเข้าใจไปด้วย อย่าหยิบคำพูดคนอื่นมาอ้างส่งเดช ทั้งนี้คำอธิบายทั้งของนิวตัน และของไอน์สไตน์ มันก็เรื่องเดียวกัน เพียงแต่ต่างมุมมอง ต่างวิธีอธิบายเท่านั้นเอง - นิวตันมองเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวล - ไอน์สไตน์มองว่าเกิดจาก space-time ที่เบี่ยงเบนไปอันเป็นผลจากมวล แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาทั้งคู่ ต่างก็พยายามอธิบายปรากฏการณ์อันเดียวกัน ในสเกลระดับดวงดาว ด้วยมวลระดับนั้น ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ยังห่างไกลกับคำว่าความเร็วแสง กฏของนิวตัน ยังคงใช้การได้ดีอยู่ เจ้าค่ะ สามารถอธิบาย/ทำนายการเคลื่อนที่ด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวล ยังให้ความถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าขนาด NASA ส่งจรวดไปดวงจันทร์ ก็อาศัยการคำนวณด้วยสมการของนิวตันนี่แหละ อันที่จริง เคปเลอร์ ก็พยายามอธิบายเรื่องเดียวกันนี้ ด้วยกฏเรขาคณิตรูปวงรี มาตั้งแต่สมัยพันปีก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ดี ไอน์สไตน์มาขยายความกฏของนิวตัน ให้ครอบคลุมถึงวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วใกล้ความเร็วแสง โดยใช้ทฤษฎีเรื่องสัมพัทธภาพมาช่วยอธิบาย   แต่แม้กระนั้น ถึงสมการของไอน์สไตน์ถึงแม้ได้ผลดีในการคำนวณ/ทำนาย สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วใกล้เคียงแสง ได้แม่นยำกว่าสมการของนิวตัน แต่สมการของไอน์สไตน์ก็ยังมีจุดอ่อนที่ยังไม่สามารถใช้กับการเคลื่อนที่ในระดับ เล็กกว่าอนุภาคได้ จึงเป็นที่มาของอีกทฤษฎีคือ ทฤษฎีควอนตัม ที่ใช้อธิบายในระดับสเกลเล็กกว่าอนุภาคได้เป็นอย่างดี เรื่องนี้ ไม่ใช่นิวตันผิด ไอน์สไตน์ถูก แต่เป็นการมองจากมุมมองที่ต่างกันออกไป ด้วยเงื่อนไขที่ต่างกัน เป็นการพยายามสร้างโมเดลเพื่ออธิบายปราฏการณ์เดียวกัน ด้วยมุมมองที่ต่างๆกัน เพื่อให้มันครอบคลุมมากขึ้น สมการของไอน์สไตน์ ครอบคลุมสมการเงื่อนไขของนิวตัน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ครอบคลุมไปถึง เช่นในระดับเล็กกว่าอนุภาคมูลฐาน นักวิทยาศาสตร์จึงกำลังพยายาม รวมสมการของไอน์สไตน์ เข้ากับสมการควอนตัม เพื่อให้มันครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทั้งมวลใหญ่ทั้งมวลเล็ก ทั้งความเร็วใกล้แสง ทั้งความเร็วต่ำกว่านั้น พยายามศึกษาเรื่องพื้นฐานก่อนนะเจ้าคะ จะได้เข้ารูปเข้ารอยหน่อย ไม่ใช่เพ้อเจ้อไปวันๆ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:33:27

ความคิดเห็นที่ 6 แล้วก็มาตั้งกระทู้ใหม่   อันเก่าก็เพิ่งถกไป จขกท ศึกษา กฎของนิวตัน ก่อน  แล้วค่อยไปศึกษา ของ ไอน์สไตน์ครับ    ถ้าคุณยังคิดว่าสิ่งที่คุณรู้มานั้นถูกต้องโดยไม่ฟัง การโต้แย้งของผู้อื่น   ผมว่าคุณอาจจะเข้าข่ายเพ้อเจ้อแบบคุณแตงกวาว่าก็ได้ครับ และไม่ต้องให้ผมไล่ไปดูคลิป  เพราะผมดูหมดแล้ว  และผมมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากคุณครับ ในคลิป ไม่มีตรงไหนที่บอกเลยว่า    แรงโน้มถ่วงของนิวตัน น้อยเกิน ดาวเทียม ดวงจันทร์ ก็โคจร ในแบบเดียวกัน   ถ้าไม่เป็นแบบเดียวกัน  สงสัย  ผมกับdr.greenของคุณต้องไปเผาตำราทิ้งแล้วครับ จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:38:59

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าจะถก  ก็เอากระทู้นี้แหละครับ   ไม่ต้องไปเปิดกระทู้ใหม่   ผมจะเมมไว้ มาตอบโต้ด้วย จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:43:55

ความคิดเห็นที่ 8 รอบที่ 5... โอเค ผมขี้เกียจพูดซ้ำเดิมละ - -" จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:45:58

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าแรงโน้มถ่วงของนิวตัน น้อยเกิน อย่างที่ จขกท ว่า  ผมและ Dr.Green คงต้องเผาตำราเล่มนี้ทิ้ง แก้ไขเมื่อ 29 ก.พ. 55 08:51:27 จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 08:48:18

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องพวกนี้อย่าไปอินกับมันมาก เดี๋ยวจะบ้าตายก่อนครับ...  คุณจขกท. จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 09:01:00

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เข้าใจซักอย่าง.....  (O.O) แต่เข้ามาชื่นชม  "หว้ากอ" จากคุณ : vongkong เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 09:12:36

ความคิดเห็นที่ 12 เห็น จขกท พูดเรื่องแรงโน้มถ่วงไม่พอตั้งแต่กระทู้ก่อนหน้าแล้ว คิดว่า จขกท คงเข้าใจผิดมากกว่า คือผมก็ไม่ได้ดูคลิปอะไรต่างๆ ที่ จขกท โพสมาหรอกนะ (เนื้อหากระทู้หรือความเห็นก็ดูผ่านๆ) แต่เรื่องแรงโน้มถ่วงไม่พอนี่ ถ้ามีคนพูดแบบนี้จริง เขาน่าจะหมายถึง กฏแรงโน้มถ่วงของนิวตันไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างได้ (ไม่พอที่จะเอามาอธิบาย) เช่น วงโคจรดาวพุธ ก็เลยต้องใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมาอธิบายแทน จากคุณ : Naibruda เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 09:15:04

ความคิดเห็นที่ 13 แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์ มีเชือก 2 เส้นนะครับ... จากคุณ : ลุงบุญคำ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 09:16:45

ความคิดเห็นที่ 14 จขกท เรียนอะไรมาครับ เกี่ยวกับสัมพัทธภาพของไอสไตน์ ถ้าจะลงเชิงลึกมากขนาดนี้ แนะนำ ต้องไปเรียนฟิสิกส์ครับ สารคดีที่ดูๆกันจะข้ามในส่วนของการคำนวณ ซึ่งผมว่ามันสำคัญมากๆ ถ้าอยากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ แนะนำว่าถ้าสนใจจริงๆ ลองหาหนังสือที่ใช้เรียนมาอ่านดูครับ จากคุณ : หมั่นไส้ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 09:19:00

ความคิดเห็นที่ 15 จขกท กรุณาศึกษาทฤษฎีของนิวตัน และ ไอน์สไตน์ให้ละเอียดลงลึกกว่านี้ครับ ก่อนที่จะตั้งคำถามใดเพิ่มเติม เท่าที่ติดตามมาขอชมเชยในแง่ความอยากรู้อยากเห็นและความช่างสงสัย แต่พื้นฐานความรู้นั้นยังไม่แน่น/ไม่ถูกต้อง ครับ ก่อนจะสรุปว่าทฤษฎีใครผิดหรือกล่าวไว้อย่างไร ควรศึกษาทฤษฎีนั้นให้เข้าใจก่อนนะครับ จากคุณ : Pomzazed เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 10:45:06

ความคิดเห็นที่ 16 ปัญหาของ คุณ mooesha คือ ไม่ใส่ใจให้จบในเนื้อหา เรื่องแรงโน้มถ่วง และแรงเหวี่ยงมีการตอบกระทู้ไปถึง 2 รอบ ก็ตั้งกระทู้เดิมครั้งที่ 3 ถ้าคุณไม่เข้าใจอะไรก็ตั้งคำถามให้จบในกระทู้นั้นสิครับ คนที่เขามาตอบเขาก็สงสัยว่าสรุปว่าที่เข้ามาตอบๆ นี่มีคุณค่าอะไรบ้างหรือเปล่า หรือจริงๆ คุณ mooesha ไม่คิดจะสนใจคำตอบของใครอยู่แล้วหล่ะ เพราะ คุณเชื่อในเรื่องบางอย่างไปแล้ว ดูคำตอบของคุณสิ -------------------------------------------------------------------------------- แต่การโคจรรอบดาวดวงหนึ่ง อาจไม่ใช่เพราะ G หรือ S-T แต่อาจเป็นเพราะ แรงเหวี่ยงตั้งแต่แรกเริ่ม(ตั้งแต่ตอนถือกำเนิดของดาวดวงนั้น) นี่ก็เดาอ่ะนะ --------------------------------------------------------------------------------- นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เดา แม้แต่สิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเขายังคิดโต้แย้งความคิดตัวเองจนกระทั่งไม่พบ สิ่งที่จะทำให้ทฤษฏีของเขาผิด นักวิทยาศาสตร์แบบ ไอสไตน์ หรือนิวตั้น เขาไม่ได้ เชื่อความคิดตัวเอง แต่เขาพยายามหา สิ่งที่มาลบความคิดตนเองไม่พบ ซึ่ง สิ่งที่เขาหามากกว่าคุณนับ 1000 เท่าครับ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราคิดว่าตนเองจะเหนือผู้อื่นตลอดเวลา ไม่แปลที่คุณ mooesha คิดจะจับผิดวิทยาศาสตร์ โดยที่ไม่มีพื้นฐานความรู้เลย คนเราสามารถต่อยอดความรู้ได้จริง แต่อัตราส่วนของคนที่จะได้รับรางวัลโนเบล จากเพียงแค่ สารคดี มันจะมีกี่ %?? คุณ mooesha ควรเข้าอบรมแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ก่อนครับ ถ้าแบบนี้ไม่ต่างกับคนฟุ้งซ่าน คิดว่า ดาวนั้นต้องมีมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ คิดว่าดาวนั้นต้องอยู่อาศัยได้แน่ๆ คิด แต่ไม่รู้ว่าทำไม แล้วก็ใช้ข้ออ้างว่า ก็ฉันเป็นคนใฝ่รู้ ฉันผิดเหรอ? จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 10:56:58

ความคิดเห็นที่ 17 ผมออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนที่ใครบอกอะไรก็เชื่อตามเขา ผมไม่ใช่คนที่ เชื่อเพราะว่ามันชื่อ ไอสไตน์ หรือมันชื่อนิวตั้น แต่ ความคิด ของคุณ ตรงนี้ มันแคบไป ----------------------------------------------------------------------------------------------- ซึ่ง.. เราดูสารคดีมากๆ เราต้องการจับผิดไอน์สไตน์เรื่อง Space-Time (ซึ่งการจับผิดนี้ มันจะต้องตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า การทำงานของแรงดึงดูดแบบที่นิวตั้นบอกเนี่ย มันผิด.. จริงๆแล้วมันทำงานแบบที่ไอน์สไตน์บอก) ----------------------------------------------------------------------------------------------- คิดแต่จะจับว่าเขาผิด แต่ตัวคุณไม่มีพื้นฐานใดๆ เลยพื้นฐานมันสำคัญมากครับ เหมือนคนเรียนเลขบวกลบ แต่จะไปจับผิดคนที่เขาเรียน ตรีโกณ จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 11:04:38

ความคิดเห็นที่ 18 ผมถาม จขกท คำเดียวนะครับ ถามว่า ตอนที่เราส่งยานอวกาศขึ้นนอกโลก แรงอะไรเหรอครับที่มาฉุดยานไว้ หรือแรงอะไรที่ทำให้เครื่องบินตกได้หากน้ำมันหมด แรงเฉื่อย แรงเหวี่ยงที่ทำให้โลกหมุนรอบตัวเองหรือดวงอาทิตย์น่ะมีจริง แต่ถ้าลองให้มันหยุดหมุนสิ มันก็ยังมีแรงดึงดูดอยู่ เพราะมันมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมี นั่นก็คือ เมื่อดาวหางโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ เส้นทางที่มันพุ่งเข้ามาหาตรงๆ พอผ่านหน้าดวงอาทิตย์ไปจู่ๆก็ถูกเหวี่ยงให้โค้งแบบหักศอก แล้วกลับไปสู่ทิศที่มันพุ่งมาตั้งแต่แรก ถามว่าเหตุการณ์นั้นคืออะไร ดวงอาทิตย์ใช้แรงอะไรมาทำให้เส้นทางการเคลื่อนที่ของดาวหางดวงนั้นเปลี่ยนไปจากพุ่งมาตรงๆแล้วก็เปลี่ยนทิศกลายเป็นพุ่งกลับไป แบบนั้นได้ แล้วถ้าเป็นแค่แรงเหวี่ยงเฉยๆแบบเส้นเชือก วงโคจรของดาวหางจะตรงกลม แต่นี่วงโคจรของดาวหางคาบนาวทั้งหมด เป็นวงรี แรงเหวี่ยงของการดำเนิดดวงอาทิตย์เป็นวงกลมไม่ใช่หรือ ตอนกำเนิดดวงอาทิตย์นั้นมวลสารถูกทำให้เคลื่อนที่เข้าหาจุดศูนย์กลาง การโคจรนั้นมีลักษณธของวงโคจรเกือบจะเป็นวงกลมเลย เฉกเช่นเดียวกับวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงของดวงอาทิตย์ตอนนี้ไม่ใช่เหรอครับ จากคุณ : Styer เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 11:25:19

ความคิดเห็นที่ 19 โอ แต่ละท่าน ได้ใจผมจริงๆ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 11:34:08

ความคิดเห็นที่ 20 ฝาก จขกท ลองทำความเข้าใจตามนี้ เพื่อจะได้ หลุดพ้นคำว่าแรงของ เส้นเชือกนะครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11760220/X11760220.html#11 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 11:37:47

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท สนใจเรื่องนี้ดี ก็ดีครับ จะได้มีคนช่วยคิด อะไรที่ยังคิดไม่ออก ว่าแต่ อยากให้ เน้นกระชับจับใจความได้ว่า จะสื่ออะไรง่ายๆดีกว่านะ คนที่เค้าสนใจคนอื่น เห็นยาวๆอาจจะไม่อยากอ่านก็ได้ เอาแบบสั้นๆแต่สั้นๆแต่ได้ใจความ ดีกว่านะครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 11:44:59

ความคิดเห็นที่ 22 ตาม 18 เรื่อง ดาวหาง กับ ดวงอาทิตย์ แล้วการเกิดวงโคจร แบบ วงรี คาบยาว ผมว่ามันคือ การแสดง ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ ผกผัน ที่เกิดขึ้นระหว่าง มวลที่ ต่างกันมาก ของมวลขนาดใหญ่ เช่นดวงอาทิตย์ และ มวลขนาดเล็กที่เดินทางด้วยความเร็วงสูงเช่น ดาวหาง ฮัลเลย์ ความเร็ว 70.56 km/s (ไม่แน่ใจว่าใช่ไหมนะ) จึงอยากให้ จขกท อ่านเรื่องดาวหาง เพราะมันจะทำให้เข้าใจอีกรูปแบบของแรงดึงดูดระหว่างมวลที่เคลื่อนที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87 แก้ไขเมื่อ 29 ก.พ. 55 12:05:46 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 12:05:12

ความคิดเห็นที่ 23 แตงกวา กัดเจ็บนะ อยากโดนกัดมั่งจัง 555 จี๊ดๆ อะ จากคุณ : จี๊ดๆ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 12:10:10 A:58.11.231.44 X: TicketID:302658

ความคิดเห็นที่ 24 แง่งๆๆๆๆๆ (ฉีดยาแล้ว) จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 13:17:39

ความคิดเห็นที่ 25 แสดงว่า ไม่เคยเห็นลูกกอล์ฟควงปากหลุม 555 จริงๆแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะพยายามเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงเสมอ แต่ space-time มันดันโค้ง เหมือนเวลาเราขับรถตรงไปเรื่อยๆ รอบโลก ถ้าเราถอยห่างออกมา เราจะเห็นว่า เราขับรถเป็นวงกลม เพราะผิวโลกมันโค้ง การเคลื่อนที่ไปใน space-time ก็เหมือนเคลื่อนที่ไปบนพื้นผิวอะไรซักอย่างเหมือนกัน ซึ่ง ปกติมันก็จะตรงๆนี่แหละ แต่ว่า วัตถุมวลมากๆ จะส่งผลให้ space-time รอบๆ โค้งงอตามไปด้วย อะไรที่อยู่ใกล้ๆวัตถุนั้น ก็จะวิ่งตามเส้นโค้งของ space-time แต่ว่าเวลาเราสังเกตเห็น มันจะเห็นเหมือนวัตถุโดนดูด ความจริงมันไม่ได้โดนดูด แต่ทางมันเลี้ยว จากคุณ : hukdern เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 13:25:38

ความคิดเห็นที่ 26 เพิ่มหน่อย นึกถึงเวลาคนโยนโบวลิ่ง ลูกโบวลิ่งจะวิ่งไปตามทาง ถ้าเราสังเกตไม่ดี จะรู้สึกเหมือนว่า ไอ้ช่องข้างหลังมันดูดลูกโบวลิ่งเข้าไปไง จากคุณ : hukdern เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 13:31:09

ความคิดเห็นที่ 27 คห 25 คุณ ต้องแยกก่อนว่าอะไรทำให้ ปากหลุมมันโค้งอยู่ หากไม่มีหลุม จะมีปากหลุม ให้โค้งหรือไม่โค้งไหม ทุกสิ่งเกิดอยู่ใต้สภาวะของการมี ตัวตันอยู่ ก่อนเช่นมีมวล ถึงจะมีผลจากการมีมวล จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 13:44:28

ความคิดเห็นที่ 28 จริงๆแล้วมันเป็นแค่การยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจว่า ไอ้ที่เรารู้สึกว่ามันโดนดูด ความจริงมันอาจจะไม่ได้โดนดูดนะ อย่างเช่น ถ้านั่งอยู่ในรถที่จอดนิ่งๆ แล้วรถคันอื่นพากันถอยหลังกันหมด เราก็จะรู้สึกว่ารถเราวิ่งไปข้างหน้า หรือ รถดับเครื่องอยู่ มันจะไปวิ่งได้ไง แต่มันก็ได้ ถ้าไปปล่อยลงมาจากบนเขา แล้วทีนี้คนนั่งจะรู้มั้ยล่ะเนี่ยว่ามันวิ่งด้วยเครื่องยนต์ หรือมันไหลไปเอง อะไรประมาณนั้น แค่จะบอกว่า สามัญสำนึกกับความเป็นจริงบางทีมันก็ขัดแย้งกันเอาง่ายๆ จากคุณ : hukdern เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 14:03:49

ความคิดเห็นที่ 29 จขกท จะหลบไปตั้งกระทู้ใหม่อีกมั้ยนิ ผมยินดีแลกเปลี่ยนความคิดน่ะ   และดีใจที่ จขกท สนใจเรื่องยากๆแบบนี้ แต่ ควรต้องรับฟังข้อมูลที่ถูกต้องด้วย  ไม่ใช่คิดเอาเอง เออ เอาเอง  แบบที่ จขกท ทำอยู่ในขณะนี้ ไม่รับฟังข้อมูลคนอื่น   ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ Dr.green เล่า คุณก็น่าจะฟังผมด้วย  เพราะเราเรียนตำราเล่มเดียวกัน และผมมั่นใจว่า เท่าที่ฟังคลิป Dr.green ของ จขกท  มันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมเรียนในมหาลัยเลย จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 14:06:24

ความคิดเห็นที่ 30 มีแรงอะไรผลักขอบๆของดวงอาทิตย์ให้หมุนรอบตัวเอง แรงเหวี่ยงตั้งแต่แรกเริ่ม แรงที่ทำให้ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง แรงนั้นที่ทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ นิวตัน(ตัวปลอม)"ผมขอยืนยันว่าคือแรงโน้มถ่วงครับ ไม่ใช่แรงเหวี่ยง อย่าเพิ่งเหวี่ยง แรงที่ผลักดวงอาทิตย์ให้หมุนรอบตัวเองคือแรงโน้มถ่วง ต้องกลับไปก่อนกำเนิดดาวฤกษ์ เชื่อกันว่ากลุ่มเมฆ/ก๊าสค่อยๆสะสมรวบรวม ใหญ่ขึ้นๆ ยิ่งก้อนใหญ่แรงดูดยิ่งเยอะ แรงดูดจึงดูดก๊าสมารวมมากขึ้นเรื่อยๆ ก๊าสที่เข้ามาไม่สมมาตรกันทุกทิศทาง ทำให้ก้อนก๊าสค่อยๆหมุน แรงดูดยิ่งมากก้อนก๊าสยิ่งหดตัว ความเร็วหมุนเพิ่มขึ้น เมื่อก้อนก๊าสนี้มวลมาก แรงโน้มถ่วงสูง อตอมเบียดบี้เสียดสีกันจนเกิดความร้อน ความร้อนได้ที่เกิดฟิวชั่น คายพลังงาน-เปล่งแสงแรก นับเป็นกำเนิดดาวฤกษ์" จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 14:24:38

ความคิดเห็นที่ 31 รูปที่ 2 จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 14:27:01

ความคิดเห็นที่ 32 กว้างใหญ่ ซับซ้อน สวยงาม น่าหลงไหลยิ่งนัก (รึตูบ้าไปแล้ว) จากคุณ : - NPie - เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 16:06:41

ความคิดเห็นที่ 33 แรงเหวี่ยง เข้าใจว่าแรงหนีศูนย์กลาง เช่นจับมือเด็กเหวี่ยงเป็นวงกลม พอปล่อยมือเด็ก เด็กกระเด็นออกไปจากแรงเหวี่ยง-แรงหนีศูนย์กลาง http://en.wikipedia.org/wiki/Centrifugal_force แรงหนีศูนย์กลาง(Centrifugal force) เป็นแรงมายา(fictitious force) บ้างเรียกแรงเทียม(pseudo force) คือแรงปรากฎต่อมวลในกรอบไม่เฉื่อย(กรอบเร่ง) A fictitious force(pseudo force) is an apparent force that acts on all masses in a non-inertial frame of reference, such as a rotating reference frame. http://en.wikipedia.org/wiki/Fictitious_force จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 17:55:17

ความคิดเห็นที่ 34 ออกตัวว่าผมไม่เข้าใจ เรื่องที่กล่าวมา เลยนะครับ เพียงแต่ ด้วยเนื้อหา ของ คำถาม และ คำตอบ ที่ค่อนข้างยาว เลยขอ short cut ร่วมแสดงความคิดเห็นสักนิด - จากที่ผมเข้าใจว่า "แรงโน้มถ่วง" เกิดจาก มวล เป็นหลักใหญ่ ยิ่งมีมวลมาก แรงโน้มถ่วง ยิ่งมาก เปรียบเสมือน ลูกทรงกลม มีมวลมาก อยู่บน rubber sheet ที่เกิดรอย บุ๋ม เนื่องจาก มวลของลูกทรงกลม ไปกระทำ rubber sheet ที่ว่า คือ space-time เกิดการโค้งงอขึ้น เนื่องจาก น้ำหนักกด ลง <----นั่นแสดงว่า โลกเรากำลัง Free fall ใช่หรือไม่? แล้ว ด้วยสามัญสำนึกเรา ว่า ของที่อยู่บนโลก จะต้อง ตก ในทิศพุ่งลง สามารถไปใช้ ใน space time ที่ประหนึ่งถูก สมมุติ ได้หรือไม่? และมีทิศพุ่งลงอย่างเดียวหรือ? แล้วถ้าเกิด space-time ที่ เหมือนเป็นกรอบอ้างอิง ที่อยู่รอบๆวัตถุนี้ มีการโค้งงอ ต่างกัน รอบๆวัตถุทรงกลม จะเกิด อะไรขึ้น จะเกิดการหมุนได้หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนี้ จริง นั่นจะแสดงว่า สนามแรงโน้มถ่วง ทำให้เกิด space-time แต่ถ้าคิดนอกกรอบสักนิด ว่า ถ้า โดยปรกติ ของ Space-time มีความไม่สม่ำเสมอ บิดโค้งงอ อยู่ก่อน นั่นจะแสดงว่า Space-time ที่มีอยู่ก่อนทำให้เกิด สนามแรงโน้มถ่วง ขึ้น และนั่นอาจเป็นคำตอบว่า ดวงดาว แต่ละดวง มีการหมุน รอบตัวเอง หรือมีวงโคจร ที่ไม่เท่ากันได้หรือไม่? ผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัย ข้อคิดเห็นด้านบนเกิดจาก จินตนาการ ที่ปราศจาก ความรู้ล้วนๆ จากคุณ : tarot เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 18:05:17 A:192.55.18.36 X: TicketID:313461

ความคิดเห็นที่ 35 นอกจากแรงเทียม แรงจริงเรียก แรงพื้นฐาน(fundamental forces) นักวิทยาศาสตร์แก่ๆไม่ค่อยมีแรงบอกอย่าเรียกแรงเลยเรียกอันตรกิริยา(interaction) http://en.wikipedia.org/wiki/Fundamental_interaction มี 4 แรง แข็ง(Strong) อ่อน(Weak) โน้มถ่วง(Gravitation) แม่เหล็กไฟฟ้า(Electromagnetic) จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 18:13:03

ความคิดเห็นที่ 36 คห 28 แยก เรื่อง ประสาทสัมผัส ลวง ออก จาก ความเป็นจริงก่อนครับ เรื่องรถอยู่กับที่ แล้วรถอื่นเคลื่อนลองหลับตาเราจะรู้สึกแบบนั้นไหม สิ่งที่เรา เห็น กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่ตรงกัน แต่สิ่งที่บอกได้ตรงกัน คือหาก มีการเคลื่อนที่ เราจะรับรู้ได้ทั้งลืมตาและหลับตา การไหลลงจากเขา คุณจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอว่า ไหลด้วยการติดเครื่องหรือ ไหลโดย ดับเครื่อง เพราะคุณรับรู้แค่การไหลลง คือการเคลื่อนที่สูงไปต่ำ เนื่องจากผล ของแรงดึงดูด อยู่แล้ว ไม่ว่าจะไหลลงช้าหรือเร็ว ส่วนนึงก็คือผลจากแรงดึงดูด ลองถามตัวเองว่า หากดับเครื่องปลดเบรคทุกอย่าง แต่รถนี้กำลังอยู่บน ถนนเรียบๆ ที่ลาดเอียงมาก มันจะถอยหลังไหม แล้ว ถ้ารถไม่ถอยหลัง เพระติดเครื่อง คิดว่า คุณกำลังใช้กำลังเครื่องยนต์ สู้กับ อะไร .... แก้ไขเมื่อ 29 ก.พ. 55 18:35:35 จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 18:34:24

ความคิดเห็นที่ 37 โลกเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์แล้วหลุดออกมา แล้วค่อยมาเป็นโลก...ไม่น่าจะจริง ธาตุในดวงอาทิตย์-H,He ธาตุในโลก-ธาตุหนักๆ หนักกว่าธาตุในดวงอาทิตย์ เชื่อว่า ธาตุบนโลกเกิดจาก supernova ของดาวฤกษ์อื่นที่ระเบิดตายไป ดวงอาทิตย์จึงอายุอ่อน ดาวเคราะห์เกิดก่อนดวงอาทิตย์ Earth and the other planets in the Solar System had formed out of the solar nebula http://en.wikipedia.org/wiki/Earth#Chronology จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 18:35:50

ความคิดเห็นที่ 38 เรื่อง ลูกกอล์ฟ วน ปากหลุม หรือ การโคจรรอบดวงดาว ถามว่า มี มวลใดบ้างที่เคลื่อนที่ เป็นวงรัศมี โดยไม่ได้ อ้างอิง กับอีกมวลนึง คือ หมุนแบบไม่ได้มีอะไรอยู่ตรงกลางของการหมุนเลย หาก จะบอกว่าเรือตั้งหางเสื้อ หรือรถตั้งพวงมาลัยให้ มีมุม เวลาวิ่ง มันจะเดินทาง เป็นวงกลม โดยไม่ต้องมีอะไรอยู่ในจุดศูน์กลางของการวนนั้น สิ้งนี้ เกิดขึ้นได้บนพื้นผิวโลก แต่เกิดขึ้นไม่ได้ หาก ไปทำแบบนี้ในอวกาศ ซึ่ง ในอวกาศ ต้องการ 2 แรง เพื่อทำให้เกิดการโคจร เป็นวงกลม นั่นคือ แรงที่เคลื่อนไปข้างหน้า กับ แรงยึดเหนี่ยวที่จะทำให้มวลนั้นไม่ เคลื่อนไปข้างหน้า แบบไร้มุม หรือเป็นเส้นตรงอีกต่อไป และ แรงที่ว่านี้ แผ่เป็นรัศมีออกมาตามรูปทรงกลมของมวลอีกมวล จึงทำให้มวลที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้านั้นเดินทางเป็นวงกลม ตามรัศมีของแรงดึงนั้นวึ่ง หากแรงไป หรือความเร็วในการเคลื่อนไปข้างหน้ากับ แรงดึง หรือ ความเร็วที่จะดึงเข้าสู่ อีกมวลนึง เข้าสู่สมดุลจะเกิดเป็น วงโคจร วนไปวนมา สิ่งนี้ อธิบายเรื่อง แรง 2 แรง ที่กระทำ ไม่ใช่ มีแรงนึงวิ่งแล้วไปตกหลุมอะไรสักอย่างที่จะไม่มีเลยแม้กระทั่งมวลอยู่ตรงกลางแบบที่เกิดขึ้นบนพื้นโลก ยกตัวอย่างการโคจรกันรอบๆ ของสสารที่มีมวล เช่น มวล โลก โคจรรอบมวล ดวงอาทิตย์ มวลดวงจันทร์ โคจรรอบมวลโลก การโคจร มันไม่ใช่มันจะโคจรได้เอง โดยมีแค่หลุม ที่เกิดจากอะไรก็ไม่รู้แล้วอ้างมาลอยๆ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 19:05:00

ความคิดเห็นที่ 39 เรื่อง rubber sheet นั้น ก็เป็นแค่ภาพสมมุติ เพื่อให้จินตนาการออกว่ามันโค้งงอยังไงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง กาล-อวกาศ ไม่ได้เป็นแผ่นแบนๆแบบนั้น (เป็นแบบไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน) รู้แต่ว่า มวลสูงๆ ทำให้มันบิดเบี้ยวไป (บิดเบี้ยวแบบไหน ก็ไม่ทราบเหมือนกัน) และมันไม่ได้บุ๋มลงด้านล่างเสมอไปเท่านั้นด้วย รู้แค่ว่า แสงที่เดินทางเฉียดมวลขนาดใหญ่ จะถูกดูดให้เลี้ยวเบนเข้าหามวลนั้นได้ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 20:28:52

ความคิดเห็นที่ 40 แต่ จขกท หายแห๊ะ จากคุณ : Meredith R. McKay เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 21:24:51

ความคิดเห็นที่ 41 การที่ดขาใช้ rubbet sheet เพราะสมองเรารับรู้ได้เพียงแค่ 3 มิติ เราต้องมาสร้างมิติที่ 4 ในหัวเอง ผมไม่ได้เชื่อในเรื่องมิติที่ 4 แต่การบิดโค้งที่เกิดขึ้นมันเกิดทุกแนวระนาบใน 3 มิติครับ คือ จะตั้ง rubber sheet ที่ไหนกับ มวลมันก็โค้ง จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 23:21:03

ความคิดเห็นที่ 42 หาก เทียบแผ่นยางแล้ว นึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงลูกโลกที่มีชั้นบรรยากาศห้อมล้อมก็ได้ครับ มันจะอยู่รอบๆทรงกลมของมวล แบบนั้นแหละครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 29 ก.พ. 55 23:24:22

ความคิดเห็นที่ 43 จขกท หากยังสงสัยประการใดถามได้ครับ จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 55 08:17:56

ความคิดเห็นที่ 44 รู้สึกเค้าจะเรียกพลังงานมืด ในจักวาล จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 55 08:49:59

ความคิดเห็นที่ 45 พลังงานมีทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น วัดได้แล้ว กับ ยังไม่สามารถวัดได้ เราก็ต้องพัฒนา เพื่อ ยืนยันการมีอยู่ของสิ่งนั้นต่อไป จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 55 09:39:52

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ mooesha ใช้จินตนาการได้ถูกต้อง ตามธรรมชาติของจักรวาลครับ แต่อธิบายแบบฟิสิกส์ไม่ได้ เมื่อโดนรุกหนักๆ ผมยังยืนยันแรงเดียวกัน แต่ต่างกรอบอ้างอิง ต่างสเกล โดยเฉพาะ ต่างภาษาครับ  พลังงานที่มองไม่เห็นอยู่ในสเกลที่เล็กมากๆ อยู่ในตัวเราเองครับ แรงที่ทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หมุนรอบโลกคือแรงโน้มถ่วง(ในกรอบของนิวตัน)แรงที่ทำให้แสงโค้งก็คือแรงโน้มถ่วงในกรอบของไอน์สไตน์ แล้วแรงที่ยึดเราไม่ให้หลุดไปจากโลกก็คือแรงโน้มถ่วง(ในกรอบของจักรวาล 5 มิติที่ผมตั้งเอง ฮา...) แรงที่ทำให้เราเคลื่อนที่ด้วยการเดินไปบนผิวโลกได้เป็นแรงจาก ระบบกลไกของร่างกาย และแรงยึดและยืดของกล้ามเนื้อ แรงของกล้ามเนื้อเกิดจาก แรงทางไฟฟ้า กระบวนการทางเคมี การเผาผลาญออกซิเจน แรงที่ยึดอะตอมให้เป็นโมเลกุล เป็น เซลล์ ยึดโปรตรอนนิวตรอนให้เป็นนิวเคลียสและยึด ควาร์กให้เป็นโปรตรอน และสุดท้ายผู้สั่งการ คือจิตสำนึก(มิติที่ 5 ครับ) และแรงสุดท้ายที่ทำให้โลกและจักรวาลหมุนไป คืออะไร? ติดตามอ่าน จักรวาล 5 มิตินะครับ จากคุณ : สมาธิเล็ก เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 12:22:08