Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อจักรวาลมี 5 มิติ แรงโน้มถ่วงจะจบลงอย่างไร{แตกประเด็นจาก X11795671} ติดต่อทีมงาน

จักรวาลมี 5 มิติ เวลา โลกและจักรวาลก็คือตัวเรา โลกสามมิติเรารับรู้ กันแล้ว ส่วนมิติที่ 4 คือเวลา  ส่วนมิติที่ 5 ที่เพิ่มเข้ามา คือตัวเราผู้สังเกตการณ์นี่แหละครับ ถ้าเราสังเกตการณ์(ด้วยตาหรือหู)ออกไปข้างนอก  แต่เมื่อเรากลับทิศทางของการสังเกตเข้ามาภายในตัวเรา รูปหรือร่างกายของเรา เป็นโลกสามมิติครับ ส่วนเวลาก็ยังคงอยู่ เป็นมิติที่ 4 ส่วนมิติที่ 5 คือจิตสำนึกและสติรับรู้ของเรา นี่เป็นหลักพื้นฐานของทฤษฎีครับ  ถ้าพื้นฐานมั่นคงถูกต้องทฤษฎีจะไปได้และไม่ล้ม จะลงตัวและสามารถอธิบายตัวมันเองได้ด้วย เคยมีนักฟิสิกส์ทฤษฎีเสนอมิติที่สูงกว่ามิติที่ 4 มาแล้วแต่หาคำตอบไม่ได้ ว่ามิติที่สูงขึ้นมานี้อยู่ที่ไหน แต่ทฤษฎีนี้บอกชัดเจนว่าคือมิติที่ 5 ตัวผู้สังเกตการณ์เอง  รอยต่อระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับควอนตัม  เหลือเพียงสิ่งเดียว คือ “จิตสำนึก” ของผู้สังเกตการณ์  จุดอ่อนของทฤษฎีสัมพัทธภาพและควอนตัมคือ ไม่ได้รวมเอาผู้สังเกตการณ์เข้าไปในคำตอบด้วย  แต่ขอยืนยันว่าหลักการ ภาษาและองค์ความรู้บางอย่างในการอภิปรายต้องอาศัยความรู้ในพระพุทธศาสนาเข้ามาช่วยด้วย  ผมไม่ได้เรียนฟิสิกส์ทฤษฎีมาโดยตรงและสร้างกราฟฟิกในคอมไม่เป็น มีแต่ภาพในกระดาษ ช่วยชี้แนะด้วยครับ เริ่มต้น
ประพจน์ที่ 1 . ในการสังเกตการณ์ทุกระบบ  ผู้สังเกต(ระบบสังเกต)และสิ่งที่ถูกสังเกตไม่อาจแยกจากกัน  ผลลัพธ์ของการสังเกต ย่อมสัมพันธ์กับเวลาและตำแหน่ง(มิติที่4 -  กาลอวกาศ)ของผู้สังเกตนั้นด้วย
        ประพจน์ที่ 2.  ในระบบสังเกตที่มีความเร่ง  กาล-อวกาศ ของผู้สังเกตจะหดสั้นลงและหยุดนิ่ง  ผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตจะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน  เมื่อระบบสังเกตมีความเร่งสูงสุด  กาล-อวกาศและผู้สังเกตจะยุบสลายตัว   เข้าสู่กรอบอ้างอิงสัมบูรณ์
         จักรวาลมี 5 มิติ    ขนาดและรูปร่างหน้าตาของจักรวาลขึ้นอยู่กับผู้สังเกต(กรอบอ้างอิง)เป็นผู้กำหนด
มิติที่ 1 แทนด้วย  x
มิติที่ 2 แทนด้วย  y
มิติที่ 3 แทนด้วย  z
         หมายถึง ความกว้าง ความยาว ความสูงของวัตถุ หรือโลกสามมิติ ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
มิติที่ 4  คือ เวลา( time)  แทนด้วย   t  
มิติที่  5 แทนด้วย   C       หมายถึงผู้สังเกต หรือในกรอบอ้างอิงพิเศษ  ( C2-5 )เมื่อเรากลับทิศทางของเวลาเข้าสู่ด้านใน หมายถึงจิตสำนึก-สติรับรู้ของผู้สังเกต ความหมายของจักรวาลจะเปลี่ยนไปตามการกำหนดของเราเอง !  กล่าวอย่างรวบรัดที่สุด  จักรวาล ก็คือตัวเรา – จักรวาลคือตัวผู้สังเกตที่อยู่ในแต่ละกรอบอ้างอิงนั่นเอง
             เอกภพ,จักรวาลหรือสรรพสิ่ง แทนด้วย  U  ซึ่งมีค่าคงที่  ค่าแห่งความเป็นปกติตามกรอบอ้างอิงหนึ่งๆ  ที่เรารับรู้ได้เหมือนๆกันทุกคน เช่น ในกรอบอ้างอิงปกติ( C )  ทุกคนรับรู้ว่าโลกหยุดนิ่งสัมพัทธ์กับตัวเรา   ดวงอาทิตย์กำลังหมุนรอบโลกและส่องแสงตอนกลางวัน  ดวงดาวไกลโพ้นส่องแสงระยิบระยับตอนกลางคืน ขณะที่ดวงจันทร์สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน   แต่ในอีกกรอบอ้างอิงหนึ่ง เมื่อเราใช้จิตสำนึกสติรับรู้จากมิติที่ 5 เพียงอย่างเดียว เราจะพบกับสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาและก็เป็นความจริงเช่นกัน  นั่นคือโลกและตัวเรากำลังเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์  ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงตอนกลางคืนและดวงดาวก็ยังคงส่องแสงในตอนกลางวัน  ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าเราได้ขยายขอบเขตของความรู้ให้กว้างขวางออกไป  ในกรณีแรกผู้สังเกตได้เปลี่ยนกรอบอ้างอิงไปอยู่นอกโลกและใช้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง(ในจินตภาพ)จึงเกิดปรากฏการณ์โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ และถ้าเราลากเส้นจินตภาพเชื่อมต่อระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เราเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์และเคลื่อนที่ไปพร้อมกับมัน เราจะเห็นโลกและดวงอาทิตย์เคลื่อนที่คู่ขนานกันไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่  แต่เมื่อเราสลับที่หรือสลับขั้วของตำแหน่งระหว่างโลกและดวงอาทิตย์กล่าวคือเปลี่ยนตำแหน่งให้โลกเป็นจุดหมุนสลับกับดวงอาทิตย์คนละรอบเราจะเห็นโลกและดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปด้วยกันเหมือนคู่เต้นรำแบบสวิงล่องลอยไปในเอกภพ  ความเป็นไปในเอกภพอันกว้างใหญ่จึงถูกกำหนดจากมิติที่ 5  ขณะที่ใจเราเป็นปกติโลกและจักรวาลจะมีความงดงามและเรียบง่าย ในความเป็นปกติจึงไม่ต้องการสิ่งใดๆเพิ่มเข้ามาและไม่ต้องเอาสิ่งใดทิ้งออกไป  เป็นความสัมบูรณ์ตามธรรมชาติอย่างแท้จริงเช่นเดียวกับแสงที่เป็นสิ่งสัมบูรณ์ ไม่อาจวัดหรือแทนด้วยค่าใดๆทั้งสิ้น การวัดความเร็วแสงเป็นเพียงการสร้างกรอบอ้างอิงของผู้สังเกตขึ้นมา   ความเร็วที่ได้เป็นเพียงการเคลื่อนไปของจิตสำนึกและเป็นข้อสรุปของผู้สังเกตในขณะเวลาหนึ่งเท่านั้น  การวัดความเร็วแสงของไมเคิลสันและเมอร์ลีก็เป็นเพียงกรอบอ้างอิงสัมพัทธ์( relative frame  of   refferrence)อันหนึ่ง   การเพิ่มเข้าลบออก การเพิ่มแบบทวีคูณและการแบ่งเป็นส่วน(บวกลบคูณหาร)ก็เป็นการกระทำโดยกรอบอ้างอิงหรือจิตสำนึกของผู้สังเกตคน หนึ่งๆนั่นเอง  
                 จักรวาล 5 มิติเขียนในรูปสมการ คือ  U=xyztc
                ผมสร้างกราฟฟิกในคอมไม่เก่ง ขอใช้แบบรรยาย
โลก 3 มิติ มี แกนxyz เพิ่มแกน t มิติที่4 เข้าไป และเพิ่ม มิติที่ 5 คือ c เข้าไป ที่ปลายแกนt  เมื่อลดรูปโลก3 มิติลงแทนด้วย m(มวล)
U=xyztc      U=mtc      t=mc   คือเวลา
U=xyzfc      U=mfc      f=mc      คือเรื่องแรง
U=xyzec     U=mec     e=mc     คือพลังงาน
 c คือพวกเราผู้สังเกตการณ์ เป็นผู้กำหนดค่า สองค่าแล้วจึงหาความสัมพันธ์เพื่อให้ได้ค่าที่ 3 คือ บวกลบคูณ หาร จึงเกิดค่า(ที่เป็นตัวเลขออกมา)
    เมื่อเรากลับทิศทางของเวลาเข้าด้านใน  ก็คือจิตสำนึกและสติรับรู้ของเราเอง มิติที่ 3 หมายถึงร่างกายของเรา (คือ มวลหรือวัตถุ)  แทนด้วย  H=  มนุษย์ที่ประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ   สมการจึงเป็น  U=HTC   C คือสภาวะของจิตสำนึกปกติที่คนเรารับรู้โลกและจักรวาลด้วย หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัสและจิตเป็นลำดับสุดท้าย  เมื่อกรอบอ้างอิงหรือสภาวะการรับรู้ของจิตสำนึกเข้าสู่กรอบอ้างอิงเฉพาะ คือ การสังเกตรูป(ร่างกาย)ของเราเอง และสังเกตจิตสำนึกในระดับต่างๆของเราเอง ซึ่งมีรอบเกิดดับแตกต่างกันไปในแต่ละระดับ  การรับรู้โลกของเราก็จะเปลี่ยนไปตามกรอบอ้างอิงนั้นๆ  จนถึงมิติที่เล็กที่สุดและช่วงเวลาที่สั้นที่สุดของจักรวาล เราจะพบกับสภาวะสุดท้ายที่อวกาศเวลาและผู้สังเกตการณ์ได้ยุบสลายตัวลง     สมการที่แทนสภาวะดังกล่าว คือ    สติปัฏฐานสูตรภาคฟิสิกส์  U=HC5  โดยแทนที่ มวล(กว้าง ยาว สูงหรือรวมน้ำหนักของวัตถุสามมิติ) ด้วยมนุษย์(H=human)และแทนกรอบอ้างอิงหรือจิตสำนึกสติรับรู้ของมนุษย์เราด้วย C และ เลขยกกำลัง  คือสภาวะที่เปลี่ยนไปของกรอบอ้างอิงในมิติต่างๆที่สูงขึ้นไป    ในสภาวะปกติC  คือจักรวาลที่เราสังเกตได้ด้วยตา        คลื่นแสงที่เรามองเห็นได้ มีขนาด 10^-6(C=10^-6) และในภาวะที่สูงขึ้นไป ของจิตสำนึกสติรับรู้   คือ C2 หมายถึงการรับรู้ความรู้สึกจากภายในของร่างกายและจิตใจซึ่งมาจากการกระทบจากภายนอก เช่นเกิดความรู้สึกว่าเห็นภาพจากการที่แสงกระทบตา หรือแรงกระทบจากการสัมผัสจากภายนอก เช่นความร้อน ความเย็น โฟตอนจากแสงกระทบผิวกาย รวมถึงแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อเราอยู่ตลอดเวลาและเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบหรือเฉยๆ  C2=10^-36 และ C3 หมายถึงการรับรู้จากภายในจิตใจต่อ ความจำ(สัญญา)ในอดีต เช่นภาพและเสียงที่เราได้รับรู้ผ่านมาและเก็บไว้ในความทรงจำ C3=10^-216      C4 หมายถึง การรับรู้ในสภาวะปรุงแต่งของความคิดเพื่อหาเหตุผล เพื่อการประมาณค่า  C4=10-^1296 (หมายถึง 1 ในหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบหกล้านส่วน)  จะเห็นได้ว่าเมื่อเลยขอบเขตของการรับรู้ด้วยตาแล้วตัวเลขจะไม่มีความหมายใดๆเลยในขอบเขตของโลกจินตภาพ และในสภาวะสูงสุดอย่าง  C5สภาวะของจิตสำนึกจะยุบสลายลงเหลือเพียง  “สติรับรู้” ของผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ในภาวะเช่นนี้ ตัวตนหรืออัตตาของผู้สังเกตการณ์จะยุบสลายไปเป็นพลังงาน
            พักก่อน  เดี่ยวยาวเกิน ช่วยวิพากษ์หลักการ ความเป็นไปได้ด้วยครับ

จากคุณ : สมาธิเล็ก
เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 55 14:55:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com