ความคิดเห็นที่ 1 แพนเจียในปลายยุคเพอร์เมียนนั้นเปรียบเสมือนสวรรค์เขตร้อน เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี สายธารสดชื่น รวมทั้งสัตว์แปลกๆ เหมือนมาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ พวกมันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในโลกยุคนี้เราจะพบสัตว์ชนิดเดียวกันได้ทั่วทุกที่ ตั้งแต่เหนือสุดของทวีปไปจนจรดใต้ ส่วนในมหาสมุทรนั้นก็อุดมไปด้วยชีวิต แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 08:10:58 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:15:09

ความคิดเห็นที่ 2 5 ชั่วโมงก่อนการสูญพันธุ์ ที่ซึ่งในปัจจุบันนี้คือ ไซบีเรีย แรงดันภูเขาไฟกำลังผุดขึ้นมา สะสมอยู่ใต้ป่าเขียวชอุ่มที่เต็มไปด้วยชีวิต มันเริ่มพ่นควันที่มีกลิ่นคล้ายกำมะถันออกมา จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:15:32

ความคิดเห็นที่ 3 ทันใดนั้น แผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้นทั่วทั้งผืนป่า การตายหมู่ครั้งใหญ่และการสูญพันธุ์ครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งได้เริ่มขึ้นแล้ว หินบะซอลต์หลอมเหลว พุ่งขึ้นมาจากใต้ผืนโลกลึงลงไป 60 ไมล์ (96.54 กิโลเมตร) รอยแตกลึก 20 ไมล์ (32 กิโลเมตร) แยกพื้นดินออกจากกัน พื้นโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พวกสัตว์ต่างๆ ถูกกวาดล้างไปในพริบตา เหมือนกระดาษถูกเปลวไฟ พวกมันถูกกลืนด้วยคลื่นไฟที่เป็นของเหลว ธารลาวาไหลพรั่งพรูอย่างรวดเร็ว มันสามารถท่วมทั้งรัฐนิวยอร์กได้ใน 48 ชั่วโมง จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:15:49

ความคิดเห็นที่ 4 1 ปี หลังจากการระเบิดครั้งแรก ชีวิตหลายแสนหลายล้านหายไปแล้วในไซบีเรีย แต่มันกำลังจะกลายเป็นพันล้านในทั่วทั้งโลก ลาวา ยังคงไหลออกมา ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์เรียกเหตุการ์ต่อเนื่องทางธรรมชาตินี้ว่า เหตุการณ์ "ไซบีเรียนแทรปส์" ภูเขาไฟทั่วไป ส่วนใหญ่พอระเบิดขึ้นแล้วจะหยุด ต่อด้วยการปะทุในช่วงสั้นๆ และช่วงพักยาวนานหลังจากนั้น แต่เหตุการณ์"ไซบีเรียนแทรปส์"นั้นเล่นนอกกติกา มันพ่นลาวาต่อเนื่องออกมาเรื่อยๆ 100 ปี 1,000 ปี จนนานถึง 10,000 ปี ปกติแล้วภูเขาไฟระเบิด จะเกิดขึ้นจากสายหินหลอมเหลวสายเดียว แต่ไซบีเรียนแทรปส์ เติมเชื้อได้อย่างไม่มีวันหมดผ่านท่อจากทะเลหินหลอมเหลวใต้พื้นโลกที่ปั่นป่วน ในยุคของเรา ปัจจุบันนี้หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ มันอาจสร้างความเสียหายเฉพาะพื้นที่เท่านั้น แต่ครั้งนี้ ที่ทวีปต่างๆยังรวมกันอยู่ ปฏิกิริยาลูกโซ่นั้น ไม่อาจยับยั้งได้ สัตว์ที่รอดชีวิตเริ่มพากันอพยพออกจากไซบีเรีย ลาวาที่ปะทุไหลหลากออกมาจากภูเขาไฟอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นดินเสียความสมดุล จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:16:18

ความคิดเห็นที่ 5 10 ปีผ่านไป ขณะที่ลาวายังไหลออกมาไม่หยุด ก๊าซต่างๆก็ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ก่อเกิดหายนะใหม่ตามมา การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ร้ายแรง รอยแตกบนพื้นโลกปล่อยก๊าซ "คาร์บอนไดออกไซด์" และ "ซัลเฟอร์ไดออกไซด์" ออกมากว่า 1,000 ล้านตัน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ บดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ คาร์บอนไดออกไซด์ กักเก็บความร้อนเอาไว้ การเพิ่มขึ้นของก๊าซ 2 ชนิดนี้ ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนขึ้นลงนานนับ 10 ปี หลังการระเบิดครั้งแรก อากาศของโลกจะเย็นลง จากผลของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากนั้นก็ร้อนขึ้น เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เริ่มสะสมตัวในบรรยากาศ สภาพอากาศจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เป็นการยากที่สัตว์จะปรับตัวได้ทัน นอกจากนั้นยังทำให้สัตว์ทุกชนิดมีปัญหาเรื่อง "การหายใจ" เนื่องจากปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วทั้งโลก ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นหลายองศาเซลเซียส แต่ยังรวมถึงปริมาณออกซิเจนที่ลดลงมากด้วย ซึ่งระบบทางเดินหายใจแบบสัตว์โบราณ ไม่เหมาะกับการอยู่ในสภาพอากาศที่มีออกซิเจนเบาบาง ทั้งสัตว์นักล่า และผู้ถูกล่าต่างต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดเหมือนๆกัน จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:16:39

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ "ไทรแน็กโซดอน" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นตระกูลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโบราณยุคต่อมา กลับมีลักษณะทางกายภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อการอยู่รอดในสภาพอากาศแบบนี้ ด้วยรูปร่างเล็กและผอมเพรียว ทำให้ได้เปรียบกว่าสัตว์ใหญ่ในโลกที่อากาศร้อนจัด และแผ่นกระดูกที่แยกจมูกของมันออกจากปากซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทำให้ไทรแน็กโซดอนสามารถ"หายใจ" และ "เคี้ยว" ได้ ในเวลาเดียวกัน นี่เป็นการปรับตัวครั้งสำคัญในสภาวะที่อากาศเลวร้ายลง นอกจากนั้นพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ยังช่วยให้พวกมันช่วยกันดูแลซึ่งกันและกันในยามวิกฤตนี้ และการอยู่รวมกันเป็นฝูง ก็เป็นลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบัน จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:16:57

ความคิดเห็นที่ 7 ในยุคนี้ผู้รอดชีวิตเพียงน้อยนิดนอกจาก "ไทรแน็กโซดอน" แล้ว ยังมี "โปรเทอโรซูซุส (Proterosuchus)" สัตว์ในกลุ่ม "อาร์โคซอร์ (Archosaur)" โปรเทอโรซูซุส ไม่ใช่ไดโนเสาร์ แต่ในไม่ช้า สัตว์ประเภทนี้จะทำให้เกิดไดโนเสาร์ขึ้นมา ลักษณะของมันเหมือนๆจระเข้ แต่มีขาทั้ง 4 อยู่ใต้ลำตัวของมัน ต่างจากจระเข้ที่มีขาอยู่ข้างลำตัว ส่วนหัวมีรูปร่างคล้ายจระเข้ แต่แคบกว่าในส่วนด้านข้าง และการที่มันเป็นสัตว์เลือดเย็น นั่นหมายความว่ามันใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย ยิ่งร้อนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:17:17

ความคิดเห็นที่ 8 25 ปีหลังการระเบิดครั้งแรก หินบะซอลต์หลอมเหลวยังคงหลั่งไหล และเย็นตัวลงจนกลายเป็นภูเขาสีดำสนิทปกคลุมทั่วหนระแหง ไม่มีต้นไม้ใดๆ สามารถเติบโตได้ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:17:32

ความคิดเห็นที่ 9 หายนะขั้นต่อไปกำลังก่อตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมตัวกับ ไอน้ำ เกิดเป็น "กรดซัลฟิวริก" ตอนนี้แม้แต่น้ำฝน ก็มีพลังทำลายล้าง ฝนที่มีพลังกรัดกร่อนตกลงมาในทุกมุมโลก คร่าชีวิตพืชพันธุ์ทั้งหมด ส่วนสัตว์ที่ไม่มีซ่อนตัว ก็ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสจากฝนกรด แต่บรรพบุรุษของเรา "ไทรแน็กโซดอน" ที่ตัวเล็ก จึงพอที่จะสามารถหาที่หลบฝนได้ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:20:20

ความคิดเห็นที่ 10 50 ปีผ่านไปหลังการระเบิดครั้งแรก ภูเขาไฟยังระเบิดอย่างต่อเนื่องที่ไซบีเรียนแทรปส์ โดยไซบีเรียนแทรปส์นั้น ตั้งอยู่บนแหล่งของ"ถ่านหิน"ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งที่อยู่ในถ่านหินนั้นคือสารที่ระเบิดง่ายและมีพิษ มันคือ "ก๊าซมีเทน" "ก๊าซมีเทน" เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีพลังมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า การเพิ่มสูงขึ้นของก๊าซมีเทนในช่วงนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ซึ่งระดับของก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในบรรยากาศนั้น ปกติแล้วจะถูกควบคุมให้สมดุลโดย"พืช" แต่ตอนนี้พืชในโลกตายลงไปมาก ที่เหลืออยู่จึงไม่อาจดูดซับก๊าซอันตรายแหล่านี้ได้ทัน รวมทั้งสัตว์ด้วยเช่นกัน พวกมันลดจำนวนลงไปมากทั้งนักล่าและเหยื่อ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:20:36

ความคิดเห็นที่ 11 200 ปีหลังการระเบิดครั้งแรก อุณหภูมิของโลกยังคงสูงมาก แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อสัตว์เลือดเย็นอย่าง โปรเทอโรซูซุส ส่วนบรรพบุรุษของเรา ไทรแน็กโซดอน ถูกกำหนดมาให้รอดชีวิต พวกมันปรับตัวให้ดำรงชีวิตด้วยการกิน"ซากสัตว์"และกินทุกอย่างที่กินได้ และตอนนี้การตายหมู่ครั้งใหญ่กำลังรุกรานมายัง"มหาสมุทร"แห่งยุคเพอร์เมียน ซึ่งสิ่งมีชีวิตกว่า 70% ในยุคเพอร์เมียนนั้นอาศัยอยู่ในท้องทะเล จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:20:50

ความคิดเห็นที่ 12 10,000 ปีผ่านไปหลังการระเบิดครั้งแรก มรสุมจากอากาศแปรปรวนของโลก อันเป็นผลจากสภาวะโลกร้อน ได้ก่อให้เกิดฝนและอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้น น้ำท่วมครั้งใหญ่พร้อมกับพัดพาเอาหน้าดินนับล้านๆตัน รวมทั้งซากพืช ซากสัตว์ที่เท่าเปื่อยผุพังออกสู่ทะเล การไหลบ่าของของเสียจำนวนมากลงสู่ทะเลนั้น กำลังเปลี่ยนมันให้กลายเป็น"บ่อปฏิกูล" และภาวะโลกร้อนก็ยิ่งซ้ำเติมให้ความเสียหายนั้นรุนแรงขึ้นไปอีก สภาวะโลกร้อนในตอนปลายของยุคเพอร์เมียนนั้นมาถึงจุดสูงสุดจนทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรหยุดไหล เมื่อกระแสน้ำหยุด น้ำก็จะเริ่มสูญเสียออกซิเจน และน้ำร้อนเก็บกักออกซิเจนได้น้อยกว่าน้ำเย็น และมันทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำค่อยๆตายไปหมด พื้นมหาสมุทรเต็มไปด้วยซากศพของสิ่งมีชีวิต ที่จะรอดก็มีเพียงแค่แบคทีเรียเท่านั้น แต่แบคทีเรียพวกที่อยู่รอดได้ในน้ำที่แทบจะปราศจากออกซิเจน ล้วนแต่เป็นแบคทีเรียที่เป็นพิษ พวกมันเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและสร้างสารพิษชื่อ "ไฮโดรเจนซัลไฟด์"ขึ้น คุกคามชีวิตสัตว์ที่ยังรอดชีวิตอยู่บนบก ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เปรียบเหมือนอาวุธเคมี สัตว์บนบกต้องล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก"ลม"ได้พัดพาเอาก๊าซพิษนี้ไปทั่วทั้งโลก แต่สำหรับสัตว์เลือดเย็นอย่าง "โปรเทอโรซูซุส" นั้น พวกมันสามารถทนทานต่อสารพิษเหล่านี้ได้มากกว่าสัตว์อื่นหลายเท่า พวกมันจึงสามารถผ่านวิกฤตนี้มาได้ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:21:11

ความคิดเห็นที่ 13 150,000 ปีหลังการระเบิดครั้งแรก ธารลาวาที่ไซบีเรียนทรานซ์ซึ่งปะทุต่อเนื่องมานาน ถึงตอนนี้ลึกเป็นไมล์แล้ว ลึกพอที่จะเอาตึกเอ็มไพร์เสตท 4 ตึกต่อกันลงไปวางได้ ป่าไม้เขียวขจีหายไปแล้ว สายน้ำไหลเย็นก็หายไปเช่นกัน ฝูงสัตว์ที่เคยมีอยู่ก็หายไป พื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีก็หายไป มองจากอวกาศ โลกไม่มีสีเขียวเหลืออยู่เลย มีแต่ลานหินกว้างใหญ่เท่านั้น ความตายได้แผ่ไปรอบโลก จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:21:27

ความคิดเห็นที่ 14 500,000 ปี หลังการระเบิดครั้งใหญ่ ในที่สุดมันก็เริ่มปิดฉากลงแล้ว ไซบีเรียนแทรปส์พ่นลาวาปริมาณกว่าครึ่งล้านตารางไมล์ออกมายังผิวโลก มีหินบะซอลต์สีดำเพียงพอที่จะถมพื้นที่ 3 ใน 4 ของสหรัฐอเมริกาได้หนาหลายไมล์ ประมาณ 90 - 95% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้สูญสิ้นไป การสูญพันธุ์ในยุคเพอร์เมียนนี้ ร้ายแรงเป็น 2 เท่าของการสูญพันธุ์ที่ผ่านๆมาในช่วง 600 ล้านปี แต่ยังไงก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่ร้ายแรงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตสูญสิ้นไปทุกพันธุ์ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:21:43

ความคิดเห็นที่ 15 จบกระทู้แล้วครับ อย่าลืมรอชมทฤษฎีที่ 4 นะครับ ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่"ครั้งแรก"ในประวัติศาสตร์โลก แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 11:23:16 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:23:08

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Kross_ISC เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:01:17

ความคิดเห็นที่ 17 สนุกดีครับ รอตามชมอยู่ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:18:16

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนเช้าก็กระทู้นึง  ตอนบ่ายก็กระทู้นึง  ใจคอจะเอากิฟผมให้หมดเลยหรอครับ จากคุณ : มิวกำลังจะครองโลก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:00:00

ความคิดเห็นที่ 19 มาเร็วๆนะคะ ;) จากคุณ : cherry..Boom เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:03:26

ความคิดเห็นที่ 20 ทฤษฎี 2012 แน่ๆ 555555 อีกไม่กี่เดือนสูญพันธุ์กันหมดแน่ จากคุณ : กระจั๊วเรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:15:58

ความคิดเห็นที่ 21 มาเร็วๆ นะครับ..รออ่านอยู่ครับ จากคุณ : AD_FOUR เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 19:50:21

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ช่าง ต.จ.ว เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:05:13

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณค่ะ ! แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 21:49:52 จากคุณ : propofol เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:48:39

ความคิดเห็นที่ 24 ตามหมดจนถึงนี้แล้ว สนุกมาก !!! จากคุณ : แดงเร็กเก้บาร์ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 02:54:52

ความคิดเห็นที่ 25 สนุกและได้ความรู้ดีครับ ชอบมวาก จากคุณ : sommass เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:35:51

ความคิดเห็นที่ 26 นอนรอทฤษฎี 4 ใจจะขาด จากคุณ : ช่วยบอกทีจะให้ใช้ชื่ออะไร เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 11:35:01

ความคิดเห็นที่ 27 มาเร็วๆนะคะ จากคุณ : domye เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 11:41:58

ความคิดเห็นที่ 28 ชอบหลายๆ เลยครับ ขอบคุณ จากคุณ : ชายพจน์ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:01:03

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านๆดูแล้วเหมือนไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตรอดมาได้เลยนะเนี่ยะ ธรรมชาติโหดร้ายมากๆ แค่สกิลปรับตัวเก่งคงไม่พอ ต้องvitเยอะด้วย = =; จากคุณ : ElinTyne เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 21:44:44

ความคิดเห็นที่ 30 ตอนนี้ใช้ Ectothermal แทนสัตว์เลือดเย็นครับ จากคุณ : Mr.Potato Head เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 20:21:09