เด็กฝรั่งปลูกฝังกันมายังไง ในการมีนิสัยชอบโต้เถียง
ตามด้านบน คนไทยนิยามคำว่า "โต้เถียง" ไม่เหมือนฝรั่ง เรามองคำว่าโต้เถียงเป็นสีดำ อย่างดีก็สีเทา แต่จริงๆ มันไม่มีสี มันปกติ มันก็เหมือนกินข้าว มันเป็นกิจกรรมที่ปกติสุดๆ ที่ทุกๆ สังคม สังคมซึ่งหมายถึงการมีสมาชิกหลากหลาย ต้องมีกิจกรรมนี้ คือการถกเถียง
อิสรภาพทางความคิด มันไม่มีจริง หรือไม่ก็จริงแบบปลอมๆ ถ้าเราได้แค่มีแล้วเก็บไว้ลึกๆ แต่ห้ามถกเถียง เพราะมองผิดๆ ว่ามันรุนแรง มันไม่ดี
เสียดายพรสวรรค์ในการเป็นมนุษย์ คือความกระหายใคร่รู้ ความอยากรู้อยากเห็น การสื่อสารกันในหมู่เผ่าพันธ์ การส่งต่อความรู้ไปยังสมาชิกคนอื่น หรือรุ่นอื่นๆ ที่ซึ่งสัตว์อื่นๆ ไม่ค่อยมี
ห้องหว้ากอ คนเข้าอยู่กันยังไง ทำใจกับการโต้เถียงกันได้อย่างไร
ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตัวเองให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง คนดี สีขาว กับ คนชั่ว สีดำ ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องต้องมีส่วนผสมที่พอดีๆ มีทั้งขาวและดำ ผิดบ้างถูกบ้าง
หว้ากอ ก็เป็นแบบนั้น มันไม่ใช่ที่ๆ มีแต่วิชาการหนักแน่นถกเถียงหน้าดำหน้าแดงตลอด บางครั้งก็ตลกเฮฮาบ้าบอไร้สาระ มันคือ ความเป็นคน
ขอเพียงแค่ว่า ถึงเวลาทำอะไร ต้องทำให้จริง ถึงเวลาถก ก็ต้องคุยกันให้ได้ แค่นั้นพอ
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งเกิดในผับ มันสะท้อนอะไร
การเข้าผับ กินเหล้า ระหว่างคนไทยกับฝรั่งก็ไม่เหมือนกันอีก
ทายสิครับว่าครั้งหลังสุดที่ผมกินเหล้ากับฝรั่งชาว อังกฤษ กับ เวลส์ เราคุยเรื่องอะไรกัน? "Monarchy", "Politics" & "Pattaya" นี่ครับ คนไทยกินเหล้าเพื่อบ้าบอสนุกสนาน บ้างก็ปลดปล่อยสิ่งที่ "วัฒนธรรม" กดดันเราเอาไว้ (ยาว เอาไว้ทีหลัง) แต่เอาเป็นว่า function ของ "การดื่ม" ระหว่างคนไทยกับฝรั่ง ต่างกันครับ
ผมก็เป็นคนพวกนี้ ผมดีใจที่มีคนคุยเรื่องมีสาระกับผมบ้างในเวลาดื่ม เพราะกับคนไทย การคุยเรื่องเครียดๆ อาจพาลถึงขั้นโดนด่า มีเรื่องกันได้เลย คือต้องบ้าบอไร้สาระอย่างเดียว
สิ่งสำคัญก็คือ เวลาดื่ม ก็เหมือนเวลาที่เราหยุดมองหลังจากเราวิ่งมาไกลๆ เราหยุดมอง ทบทวน และคิด บางครั้งการตะลุยๆ ไปข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่มีการทบทวนจุดหมาย ที่มา วิธีการ ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาวิ่งไล่กระดูก
เราต้องรู้จักหยุด คิดทบทวน มีนักคิดเก่งๆ หลายคนที่วันๆ แทบจะเอาแต่คิด ในหัวมีแต่ทฤษฏี ดังนั้นการคิดนี่สำคัญมาก คนไทยต้องชอบคิดให้มากกว่านี้ และอย่าปิดกั้นการคิดเล็กๆ น้อยๆ อย่าปิดกั้นสิ่งที่คิดว่าไร้สาระ
คนไทยเราก็ชอบแลกเปลี่ยนเหมือนกัน เพียงแต่อาจจะเป็น "เด็ก" มากกว่าฝรั่ง ลองย้อนไปเรื่องคำถาม "ผู้ใหญ่กีดกันเด็ก"
การแลกเปลี่ยนระหว่างคนไทย มันจะมีกำแพงวัฒนธรรม มีตัวกรองที่เป็น เพศ, อายุ, สถาน, ฐานะ ฯลฯ มาเป็นตัวกีดกั้น
คนไทย ไม่มีวันแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคนที่ต่างกันทางด้านองค์ประกอบทางสังคมมากๆ ได้ เช่น อายุ ห่างกันมาก, เพศ ต่างกัน, สถานะทางสังคม ต่างกัน, ฐานะ ต่างกัน
เมื่อคนไทย ไม่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ เพราะติดอีโก้พวกนี้ ความรู้ มันก็จำกัดอยู่ในวงเฉพาะของกลุ่มนั้นๆ คนรวยก็คุยภาษาคนรวย คนแก่ก็เมินเด็ก คนเรียนสูงไม่เข้าใจเชาว์ของคนเรียนน้อย
ปัญหา ไม่ใช่ผับหรือโรงเรียน แต่คือ คนไทย สังคมไทย
คนไทยชอบจับกลุ่มนินทา มากกว่าถกกันเรื่องวิชาการ มันสะท้อนอะไร
มันก็เชื่อมโยงไปถึงข้อบนๆ อีก คือ คนไทย ไม่เปิดใจ เราเป็น conflict avoiders เรามีอะไรก็เก็บไว้ในใจ เราไม่พูด เราหวาดกลัวคำว่า "โต้เถียง" ทำให้เกิดสังคมนินทา ซุบซิบ ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
หากเกิดการไม่เห็นพ้องกัน เราก็แค่ ต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน อีแบบนี้มันถึงได้นำมาซึ่งการซุบซิบนินทา เพราะเราพูดกันตรงๆ ไม่ได้ เปิดอกไม่ได้ เปิดเผยไม่ได้ เว้นแต่คนนั้นจะเป็นพวกคุณ ต้องเป็นเพื่อนซี้
เมื่อเส้นทางในการแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดมันจำกัด มันก็ต้องหาทางออกจนได้นั่นล่ะครับ มานั่งนินทากัน นี่ล่ะ
หากคุณอยู่ในสังคมที่พร้อมเปิดอกรับฟัง พร้อมโต้เถียงด้วยเหตุผลโดยไม่เข้าผิดว่ามันคือความรุนแรงอันน่ากลัว หากคุณพร้อมพูดคุยกันในยามอื่นๆ เช่นไปนั่งคุยกันในผับ คุณจะต้องมานั่งนินทาไหม?
รากของการนินทา มาจากความคิดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งนินทามาก ในทุกสังคมนั้นมี เพียงแต่มากหรือน้อย ซึ่งทุกวันนี้วัฒนธรรมสังคมไทย สนับนุนการปิดกั้นการแสดงออกทางความคิด จึงนำมาสู่การ นินทา นั่นเอง
คำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ทำให้เกิดการหลอกลวงกันหรือเปล่า
มันเหมือนคำสั่งว่า จงเชื่อ และถ้าไม่เชื่อ ก็จงเชื่อ
มันเป็นคำพูดติดปากที่ใช้มัดรอบ "สาวก" ของความเชื่อนั้นๆ เสียแน่นหนา ฟังเผินๆ เหมือนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่ก็กลับ "ควรจะเชื่อ" อยู่ดี
คำว่า "ลบหลู่" ก็คือวิธีการพูดคำว่า "ไม่เชื่อ" ในแบบแรงๆ นั่นเอง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากคุณไม่เชื่อมันแล้ว คุณก็ย่อมไม่ได้ลบหลู่อะไร เพราะคุณไม่ได้เชื่อมัน ที่ลบหลู่จริงๆ คือคุณกำลังลบหลู่ "สาวก" ต่างหาก
ถ้าต้องโดนคำนี้มาผูกมัด มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสิ้นอิสรภาพทางความคิดแบบเนียนๆ แบบไม้นวม แบบอ้อมๆ
คือ คนไทยเรามีบุคลิกอย่างหนึ่งก็คือ เรามักให้เครดิตคนรุ่นก่อน คนอาวุโส ใครก็ตามที่เริ่มตั้งคำถามด้วยตัวเองแทนที่จะเออ-ออห่อหมกไปเรื่อย ก็มักจะถูกมองในแง่ไม่ดี และกลายเป็นว่า หากคิดจะหาคำตอบมาหักล้างกับคำตอบอันเดิม ก็จะถูกมองว่า "ลบหลู่"
คนแก่ ก็คือ เด็ก เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาไม่สิทธิ์อะไรมาขีดเส้นให้คนรุ่นหลังต้องเป็นปศุสัตว์เดินตามต้อยๆ ไปตลอด ยิ่งหากมาคิดว่ากาลเวลาผ่านไป ความรู้ใหม่ๆ ได้ถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ล้ำหน้า ทำให้เรา "ฉลาดขึ้น" กว่าคนรุ่นก่อน จนสามารถหักล้างความเชื่อต่างๆ เหล่านั้นได้แล้ว
คำว่า "ลบหลู่" น่าจะหมายถึงคนที่ลบหลู่ความเป็นคนของตัวเอง โดยการปิดกั้นทางความคิด และพยายามขีดกรอบให้คนอื่นไปด้วยต่างหาก
หากอันไหนแรงไป ขออภัยครับ