ความคิดเห็นที่ 1 โดยการระเบิดเพียง 10 วินาที ให้พลังงานเท่ากับดวงอาทิตย์ถึง 1,000 ดวง รังสีมรณะทะลุทะลวงไปทั่วทั้งจักรวาล เดินทางด้วยความเร็วแสง มาปะทะกับดาวสีน้ำเงินดวงเล็กนั่นคือ "โลก" รังสีแกมมานั้นมีพลังทำลายล้างมากที่สุดในจักรวาล จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:20:59

ความคิดเห็นที่ 2 โลกสมัยนั้นอยู่ใน "ยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician)" ทวีปต่างๆในสมัยนั้น ยังกระจัดกระจายตัวกันอยู่เป็นทวีปน้อยใหญ่ "แผ่นทวีปกอนวานา (Gondwana)" ในสมัยนั้น ซึ่งประกอบไปด้วยทวีปออสเตรเลีย-แอฟริกา-ยุโรปตอนใต้-แอนตาร์กติกา-อเมริกาใต้ ทวีปอเมริกาเหนือและบางส่วนของทวีปยุโรปอยู่รวมกันบริเวณเส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศของโลก "ชื้นและอบอุ่น" ระดับน้ำทะเลสูงกว่าในยุคปัจจุบันหลายร้อยฟุต บนพื้นดินนั้นแตกระแหงและแห้งแล้ง รวมทั้งมีปริมาณออกซิเจนต่ำ จนมนุษย์หายใจลำบากถ้าอยู่ในยุคนี้ ทำให้มีสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดบนบก เช่น แมลง ตรงข้ามกับในท้องน้ำมหาสมุทร มหาสมุทรที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกยุคนั้นมากกว่าโลกในปัจจุบันมาก สหรัฐฯบางส่วนรวมทั้งทวีปเอเชียยังจมอยู่ใต้ผืนน้ำในยุคนี้ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:21:27

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในทะเลยุคนั้นมีมากมาย ล้วนรูปร่างหน้าตาต่างจากโลกปัจจุบันสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น พวก "ไทรโลไบต์" ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ"มด" พวกมันทำให้พื้นทะเลสะอาด เพราะพวกมันกินทุกอย่างที่กินได้ "แอสตราพิส" ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ "ปลาและสัตว์มีกระดูกสันหลังอีกหลายชนิด รวมทั้ง "มนุษย์" " ขนาดของพวกมันเท่าฝ่ามือ ความยาวแค่ 6 นิ้ว "นอร์ติลอยด์รูปกรวย"  สัตว์นักล่าลำดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารของยุคนั้น รูปร่างเหมือนหมึกยักษ์ตัวยาว 12 ฟุต กินเนื้อเป็นอาหาร "ยูริปเทอริคส์" แมงป่องทะเลยาว 6 ฟุต เป็นนักล่าคู่แข่งของนอร์ติลอยด์ และยังเป็นแมลงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกกำเนิดมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:21:50

ความคิดเห็นที่ 4 วินาทีแรกของการสูญพันธุ์ รังสีแกมมาได้ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลก วินาทีนั้นโมเลกุลต่างๆที่อยู่ในอากาศเกิดการระเบิดทันที ก่อให้เกิดภาพที่สวยงาม แต่น่าสยดสยองบนท้องฟ้า พลังงานจากการระเบิดของดาวฤกษ์ ให้ลำแสงสว่างเจิดจ้ากว่าดวงอาทิตย์หลายเท่าอยู่นานนับเดือน กว่าจะเลือนหายไป จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:22:13

ความคิดเห็นที่ 5 24 ชั่วโมงหลังรังสีมาถึงโลก รังสีแกมมาได้ทำลาย"ชั้นโอโซน" ซึ่งคอยปกป้องสิ่งมีชีวิต ไปกว่า 30% ทำให้รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ทะลุผ่านลงมามากขึ้น การเพิ่มขึ้นของระดับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต ทำให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกยุคนั้นสูงกว่าในทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบันถึง 50 เท่า สิ่งมีชีวิตที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เช่น แพลงก์ตอน จะเป็นพวกแรกที่ได้รับผลกระทบ พวกที่อยู่ใกล้ผิวน้ำตายลงเป็นจำนวนมาก และสัตว์ในห่วงโซ่อาหารตอนต้นๆ ตายเกือบหมด รวมทั้งปะการัง จากผลของรังสีแกมมาและอัลตร้าไวโอเล็ต ระบบห่วงโซ่อาหารกำลังจะถูกทำลาย จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:22:32

ความคิดเห็นที่ 6 3 เดือน หลังจากรังสีมาถึงโลก สัตว์นักล่าอย่างยูริปเทอริคส์ กลับต้องหันมากินซากสัตว์แทนเนื่องจากอาหารขาดแคลนอย่างหนัก จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:22:47

ความคิดเห็นที่ 7 8 เดือนหลังจากโลกถูกรังสีแกมมาแผดเผา โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โมเลกุลของชั้นบรรยากาศโลกเกิดการกระจายตัวและหมุนเวียนไปทั่วโลก ทำให้อากาศเริ่มเป็นพิษ เนื่องมาจาก อะตอมของก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ซึ่งมีสีน้ำตาลทึบเหมือนหมอก อากาศเป็นพิษได้ห่อหุ้มโลก และปิดกั้นแสงแดดไปกว่าครึ่ง อุณหภูมิของโลกลดต่ำลงถึง -22 องศาเซลเซียส โลกกำลังอยู่ในสภาพ"เยือกแข็ง" จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:23:03

ความคิดเห็นที่ 8 10 ปีหลังรังสีมาถึงโลก อุณหภูมิในน้ำทะเลที่มีปะการังอาศัยอยู่จำนวนมาก ได้ลดลงอย่างรวดเร็วถึง 10 องศาเซลเซียส ทำให้ห่วงโซ่อาหารพังทลายลง เนื่องมาจากการที่สาหร่ายเซลล์เดียวในปะการังเริ่มทยอยกันตายลงตั้งแต่ 24 ชั่วโมงแรกที่รังสีแกมมามาถึงโลกและตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไป 10 เดือน สัตว์ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เพื่อหาที่อยู่อาศัยใหม่อย่างปะการังและฟองน้ำหลายชนิดจึงพากันตายลงหมดสิ้น รวมทั้งการที่อุณหภูมิของน้ำทะเลลดลงอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้ปะการังสร้างสารแคลเซียมคาร์บอเนตเพื่อปกป้องตัวเองได้ลำบากขึ้น นอกจากนั้นอุณหภูมิและสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง อันเป็นผลจากรังสีแกมมา ทำให้เกิด"พายุเฮอริเคน"  ที่มีความรุนแรงมากกว่าระดับ 5 พัดพาท้องทะเลให้เกิดเป็นคลื่นยักษ์ ทำลายแนวปะการังไม่มากมาย ผลักดันให้ "นอร์ติลอยด์รูปกรวย" นักล่าลำดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ต้องดำดิ่งลงสู่ส่วนลึกของมหาสมุทร เพื่อหนีอันตรายจากคลื่นที่รุนแรง แต่พวกมันไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังว่ายลงไปสู่ความตาย ด้วยการที่เปลือกของมันมีรูปร่างเป็นกรวย ทำให้ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันใต้น้ำได้ ตัวของพวกมันระเบิดออก และตายลงในที่สุด แต่ญาติของมัน คือ "นอร์ติลอยด์รูปเกลียว" ที่มีรูปร่างเหมือน "แอมโมไนต์" กลับได้ประโยชน์จากเปลือกที่ม้วนเป็นเกลียวของมัน ทำให้พวกมันสามารถดำดิ่งลงสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรได้ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 15:47:21 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:23:22

ความคิดเห็นที่ 9 150,000 ปีหลังรังสีมาถึงโลก ขณะนี้โลกกำลังเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งเริ่มก่อตัวที่ขั้วโลกใต้ น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้ระดับน้ำทะเลลดลงไปถึงกว่า 200 ฟุต (60 เมตร) เมื่อระดับน้ำทะเลลดลง สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำตื้นและชายฝั่งต่างพากันตายลง ซึ่งตรงกันข้ามกับในยุคปัจจุบันที่พวกเรากำลังอยู่ในช่วงที่น้ำแข็งละลาย แต่โลกที่เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ก็ยังมีสัตว์บางชนิดที่สามารถทนทานต่อสภาวะเลวร้ายนี้ได้ เช่น "แอสตราพิส" บรรพบุรุษของปลาและสัตว์มีกระดูกสันหลัง รวมทั้งมนุษย์ นอกจากความสามารถในการปรับตัวต่ออุณหภูมิเยือกแข็งแล้ว พวกมันอยู่รอดได้เพราะสามารถ"กินทุกอย่าง"โดยไม่เลือก มันกินทุกอย่างที่มันหาได้รอบๆตัว และต่อมาไม่นาน พวกมันจะวิวัฒนาการมาเป็น"ปลา"นานาชนิด สัตว์อีกชนิดที่อยู่รอดมาได้คือ "ยูริปเทอริคส์" มันเข้ามาแทนที่ส่วนในห่วงโซ่อาหารที่เคยเป็นของนอร์ติลอยด์รูปกรวย สัตว์และพืชที่อาศัยอยู่ในทะเลแถบเส้นศูนย์สูตร กำลังถูกภัยจากน้ำแข็งคุกคามอย่างช้าๆ และพากันตายลง แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 10:09:59 แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 10:09:07 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 15:47:35 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:23:50

ความคิดเห็นที่ 10 250,000 ปีหลังรังสีมาถึงโลก ระดับของน้ำทะเลยังคงลดลงเรื่อยๆ ทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มากมายหลายชนิดหายไป แนวปะการังที่โผล่พ้นน้ำเริ่มผุพังจากลม ฝน และแสงแดด ทำให้เกิดสภาพของทะเลทรายขึ้นกว้างขวาง จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:24:09

ความคิดเห็นที่ 11 550,000 ปีหลังรังสีมาถึงโลก สภาพเยือกแข็งได้ฆ่าเผ่าพนธุ์บนโลกไปมากถึง 2 ใน 3 ต่อมา เมื่ออุณหภูมิเริ่มกลับมาเป็นปกติ น้ำแข็งเริ่มละลาย "นอร์ติลอยด์รูปกรวย" ที่ครั้งหนึ่งเคยยาวถึง 20 ฟุต บัดนี้มันวิวัฒนาการให้ร่างกายเล็กลงครึ่งหนึ่ง ทำให้ "ยูริปเทอริคส์" ขยับขึ้นมาเป็นนักล่าลำดับชั้นสูงสุดในห่วงโซ่อาหารแทน นอกจากนั้นพวกมันยังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย โดยจะลากเหยื่อที่ล่าได้ ขึ้นมาบนชายฝั่ง ทำให้ยูริปเทอริคส์บางส่วน วิวัฒนาการมาเป็น"สัตว์บก" ซึ่งสาเหตุนั้นอาจจะมาจากการที่น้ำทะเลลดระดับลงอย่างรวดเร็ว เร่งให้เกิดการวิวัฒนาการ"ปอดเทียม"ขึ้นมาใช้หายใจ อย่างเช่นพวกแมลงยุคใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่พวกยูริปเทอริคส์เท่านั้นที่วิวัฒนาการอย่างน่าทึ่ง แต่ แอสตราพิสบางกลุ่มก็ได้วิวัฒนาการกลายมาเป็นสัตว์จำพวก"ปลา" เรียกว่า "อแคนโทเดียน" อแคนโทเดียนนั้นแตกต่างจากแอสตราพิสตรงที่พวกมันมี "ขากรรไกร" เพื่อใช้กัดกินซากสัตว์ แทนที่การกรองเอาเศษอาหารที่พื้น จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:24:25

ความคิดเห็นที่ 12 700,000 ปีหลังรังสีมาถึงโลก โลกกลับมามีอุณหภูมิและสภาพอากาศปกติอีกครั้ง แต่ปะการังยังคงทรุดโทรม เพราะพวกมันมีสภาพเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และปรับตัวได้ยากเมื่อต้องเจอกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน มากกว่า 70% ของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดบนโลก ดับสิ้นลงอย่างไม่หวนคืน หากเทียบกับจำนวนสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันที่มีมากกว่า 1,000,000 ชนิด จึงเท่ากับว่ากว่า 700,000 ชนิดได้สูญพันธุ์ไป จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:24:42

ความคิดเห็นที่ 13 3,000,000 ปีหลังการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ถิ่นอาศัยของสัตว์ในทะเลน้ำตื้นเริ่มฟื้นสภาพ จากการที่โลกอุ่นขึ้นและระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น "อแคนโทเดียน" ซึ่งวิวัฒนาการมาจากแอสตราพิสได้ปรับตัวเข้ามาอาศัยในน้ำจืดได้บางส่วน และเพิ่มจำนวนขึ้นกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในโลกทั่วท้องน้ำทั้งทะเลและแม่น้ำ พวกมันได้วิวัฒนาการมาเป็นปลาที่พวกเราเห็นในปัจจุบัน เช่น ปลาฉลาม ปลาดุก ปลาดาบ ฯลฯ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:24:58

ความคิดเห็นที่ 14 จบกระทู้แล้วครับ สำหรับทฤษฎีนี้ยังคงมีการถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรังสีและสาเหตการสูญพันธุ์อยู่ แต่ที่สรุปออกมาได้ จากหลักฐานและสมมติฐานหลายๆอย่าง ก็เป็นดังเนื้อหาในกระทู้ครับ อย่าลืมรอชมทฤษฎีที่เหลืออีกนะครับ ยังไม่หมดนะ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 08:27:04

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบพระคุณมากครับ สนุกและน่าสนใจมาก แต่กิ๊ฟของผมหมดแล้วเอาใจไปแทนนะครับ จากคุณ : nadashiko เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 10:42:42

ความคิดเห็นที่ 16 โหวต !!!!! ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : kornclod (kornclod) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:11:48

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:29:41

ความคิดเห็นที่ 18 สนุกดี ขอบคุณ จากคุณ : ชายพจน์ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 13:35:43

ความคิดเห็นที่ 19 สมควรโหวต จากคุณ : AJ_da_NR เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 15:22:46

ความคิดเห็นที่ 20 ขอโทษนะครับ แต่6เมตร นี้ 20ฟุตรึเปล่าครับ แล้วก็ใน คห8  ในรูปเขียน10ปี แต่พิมพ์เอาไว้ว่า10เดือน  นี่ผิดพลาดรึเปล่าครับ ปล. ขอบคุณสำหรับความรู้ จากคุณ : มิวกำลังจะครองโลก เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 15:34:55

ความคิดเห็นที่ 21 #20 ขอบคุณมากๆเลยครับ คุณมิวฯ สงสัยผมคงจะเบลอจัด คูณเลขผิดเลขถูกซะงั้น -*- จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 15:49:18

ความคิดเห็นที่ 22 มีแอบจินตนาการเล่นๆนะ ว่าไดโนเสา อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาว หรือไม่ก็อาจเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ต่างดาวที่เคยแวะมาโลก จากคุณ : 10 เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 00:35:13 A:115.87.192.215 X: TicketID:113782

ความคิดเห็นที่ 23 2000 ฟุตนี่หกกิโลจริงอะ - -* จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 17:43:35

ความคิดเห็นที่ 24 อยากดูเป็นสารคดีเลยน่ะครับ หาได้ที่ไหนหรอครับ จากคุณ : อาแปะมีพุง เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 16:39:34

ความคิดเห็นที่ 25 น่าสนใจมากๆเลย นำไปสร้างเป็นหนังไว้ศึกษาได้ยิ่งดีเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : MarvericK เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 23:23:04

ความคิดเห็นที่ 26 อุตส่าห์ค้นคว้า หามให้ศึกษากัน นับถือ นับถือ นับถือ ๆ ๆ ๆ สุดยอดจริง ๆ จากคุณ : PS เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 19:44:49 A:182.53.214.100 X: TicketID:286511

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แดงเร็กเก้บาร์ เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 02:36:25