ความคิดเห็นที่ 1 อยากเห็นคนไทยบินได้... จากคุณ : Mr.Kito เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:16:58

ความคิดเห็นที่ 2 อะไรคือความมีอยู่จริงครับ ความมีอยู่จริงจะต้องเห็นได้ด้วยตาปกติ สัมผัสได้ด้วยกายปกติ อธิบายได้ด้วยเหตุด้วยผล ผมว่าคนหว้ากอไม่ได้ปฎิเสธศาสนานะครับ แต่เค้ามองด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า ศาสนาหลักๆแล้วก็มีเหตุมีผลนะครับ ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว แต่บางทีคนก็เอาเรื่องอื่น เรื่องจินตนาการอื่นๆ หรือความเชื่อทางไสยศาสตร์มาเกี่ยวโยงกับศาสนาแล้วมาเหมาว่านี่คือศาสนา จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:18:42

ความคิดเห็นที่ 3 เค้าท่าจขกท.มาพิสูจน์ง่ายกว่ามั๊ย ไหน ๆ ก็ฝึกมานานกว่านักวิทย์แล้ว เอามาพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านรู้เห็นมันจริงหรือเปล่า ไม่ยากเลย วันเดียว ก็ได้ผลแล้ว blind test แบบ GT200 เลย (ใส่กระดาษเขียนข้อความลงในกล่อง แล้วให้ ผู้มีญาณ คุยกับผี เทวดา ว่ากระดาษ 1 ใบนั้น ใส่อยู่ในกล่องไหน แล้วกระดาษเขียนข้อความว่าอย่างไร ไม่จำกัดว่า จขกท.จะใช้ผีกี่ตัว เทวดากี่ตน) ถ้าจขกท. รู้จริง ค่อยไปกระบวนการต่อไป คือให้นักวิทย์ไปฝึกเอาเอง พิสูจน์ว่า กระบวนการฝึก สร้าง skill ด้านนี้ได้ยังไง เอานักวิทย์ไปฝึก พอไม่ได้ ก็อ้างว่า วาสนาไม่ได้มาทางนี้บ้าง บารมีไม่พอบ้าง ของเก่าทำมาน้อยบ้าง ต่าง ๆ นานา ผมรู้จักหลายคนที่ชอบพูดแบบนี้ ฝึกมาเป็นสิบปียังไม่รู้เห็นอะไรเลย หรือที่บอกว่ารู้เห็น แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้เห็นของจริง จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:20:32 A:27.130.210.40 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 4 จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า การรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การคิดไปเอง จากคุณ : อินทรีย์ผยอง เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:22:18

ความคิดเห็นที่ 5 บางเรื่อง ปล่อยวางบ้างก็ได้นะคะ จากคุณ : โลกนี้ไม่มีอะไรเลย เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:32:05

ความคิดเห็นที่ 6 เขานั่งกรรมฐาน ให้จิตใจสงบ เป็นสมาธิ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกรรมเลย จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:38:03

ความคิดเห็นที่ 7 บางครั้้งเวลานั่งกรรมฐาน จิตก็ปรุงแต่งไปเอง คิดเอาเองว่าตัวเองเห็นโน่นเห็นนี่ อาจารย์กรรมฐานท่านไม่ให้ใส่ใจในสิ่งที่เห็นเน้  จากคุณ : i love my boss เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:40:42

ความคิดเห็นที่ 8 อะไรคือนักวิทยาศาสตร์ เรียบจบวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวะ เคมี ฟิสิกส์ หรือคนที่ทำงานกระทรวงวิทยาศาสตร์ อย่างผมจบวิศวะผมก็ไม่คิดว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดีมากครับ และคนที่เรียนหนังสือเก่งพวกนี้ก็มีสมาธิกว่าคนที่เรียนไม่เก่งอยู่แล้ว แต่เอาผลของสมาธิมาใช้คนละอย่าง ถ้าจะให้ได้ถึงระดับฌาณ ๔ คงจะยาก เพราะบางคนแค่อุปจารสมาธิยังยากเลย สิ่งที่สั่งสมมาไม่เท่ากันครับ จะให้ผลเสมอกันคงไม่ได้ ใครเขาจะคิดเห็นอย่างไรช่างเขาเถิด ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปบังคับหรือเปลี่ยนความคิดใครครับ คนที่แน่จริงเขาพิสูจน์ไปเยอะแล้วครับ โลกมี ๓๖๐ องศาทุกคนย่อมเลือกมองในมุมที่อยากจะมองที่แตกต่างกันไป แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 17:49:21 จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 17:47:31

ความคิดเห็นที่ 9 คนที่พึ่งเริ่มทำสมาธิใหม่ๆ มักมีปิติกับสิ่งที่พึ่งจะรู้ ก็เลยเกิดศรัทธามาก ซึ่งทางพุทธท่านว่ามากไปไม่ดี เพี้ยนได้ โดยเขาหลอกให้ทำบุญจนหมดตัวได้ ช่วงที่ศรัทธามากๆก็เที่ยวได้ไปบอกคนอื่นเอาบุญโดนคนรอบๆเขามองว่าเพี้ยนแล้วก็มีหรือหลักหน่อยอาจถึงขั้นโดน... สมัยนี้คนมีปัญญา ทั้งนักวิทย์ นักบริหาร นักการเมือง พ่อค้า เขาทำสมาธิกันถมไป ใครจะเชื่ออะไรก็ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกครับ ตนเป็นที่พึ่งของตนเอง ขนาดใครมาถามถ้าไม่แน่ใจก็อย่าไปเที่ยวแนะนำส่งเดช บาป จากคุณ : Mr MOT เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 18:41:27

ความคิดเห็นที่ 10 ก็วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการค้นคว้า/ ศึกษาทดลอง/หาคำตอบ/ พิสูจน์ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองพิสูจน์กันดูล่ะ จากคุณ : เต่าพันปี เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 19:26:41

ความคิดเห็นที่ 11 เอางี้มั้ย ผมให้คุณนั่งสมาธิไปเลย 15 วันโดยอยู่ที่วัดห้ามใช้คอม ผมจะนั่งเล่นเกม 15 วันที่วัดโดยไม่นั่งสมาธิ สุดท้ายแล้วเรามา DotA กันดูสิว่าจะรู้จริงมั้ย จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 19:29:20

ความคิดเห็นที่ 12 ผมจะอธิบายให้ฟังง่ายๆน่ะครับ จากผมคนที่ไม่ได้จริงจังด้านศาสนาแบบคุณ แต่ผมนับถือพุทธเหมือนกัน มันคือหลักการง่ายๆว่า ความรู้ที่คุณมี หรือ สิ่งต่างๆทุกวันที่เจอ มันเยอะ มันมาก ไม่มีเวลามาทบทวนมาขบคิด เหมือนท่อน้ำที่กำลังตัน น้ำหรือความคิดมันก็ไหลไม่ได้ ซึ่งเมื่อคุณนั่งสมาธิมันทำให้จิตว่าง เหมือนท่อน้ำที่กำลังว่าง ความคิดอ่านตอนนั้น มันก็เหมือนน้ำ ซึ่งไหลได้ง่ายเมื่อท่อมันว่าง ทำให้คิดอะไรดีๆได้ง่ายขึ้น ok มั้ย ไม่ได้รู้เอง แต่มีเวลาได้คิดทบทวน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมบางคนทำสมาธิแล้วก็ไม่ได้อะไร เพราะคนเหล่านั้นปลงไม่ลง ถึงไปนั่งสมาธิก็ยังคิดมั่วไปหมด แค่นั้นเอง หลักแค่นี้เอง บอกมาได้ตัวเองชาวพุทธ หลักการง่ายของศาสนายังไม่เข้าใจ มาท้าคนอื่นไปเรื่อย เฮ้อออ จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 19:35:38

ความคิดเห็นที่ 13 ...ตาม คห.#9 ครับ... ...การทำสมาธิ ถ้าไม่ยึดติด ปล่อยวาง ในกายสังขาร สมาธิจิตอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง... ...เช่นลมหายใจเข้าออก มิใช่ยึดติด แต่เป็นสิ่งกำหนดให้จิตอยู่นิ่ง... ...พอถึงระดับหนึ่ง จะเหมือนเข้าถึงความสว่าง จนมีความรู้สึกถึงความปิติ... ...น้ำตาแทบไหล... ...นั่นแหละครับเท่าที่ผมเคยผ่านมาแล้ว ถือว่ามีแค่ประสบการณ์แค่เล็กน้อย... ....ถ้าใครยึดติดผสมจินตนาการ...ก้ออาจจะเป็นตาม คห.#9... จากคุณ : msnet2009 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 19:36:30

ความคิดเห็นที่ 14 เพ้อเจ้อวะ กับห้องตัวเองไปไป๊ [ไม่ได้หยาบคาย แต่เห็นกระทู้แน้วนี้เยอะแล้ว พอเถอะครับ โตๆกันแล้ว] จากคุณ : Focus 4 ever เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 19:43:48

ความคิดเห็นที่ 15 ขณิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ รูปฌาน 1-4 อรูปฌาน 5-8 สมาธิแค่ระดับเอาไปใช้ในชีวิตการทำงานปกติ ก้แบบแรก แต่ถ้าสมาธิในระดับ สมถะกรรมฐาน ก็แค่ให้จิตสงบจากกิเลส วิปัสสนากรรมฐาน อันนั้นระดับเจริญปัญญา ปล่อยวางจริงๆ คนที่ไม่ได้ศรัทธา แต่ยังติดในรสชาติของกามฉันทะ เขาไม่ชอบปฏิบัติกรรมฐานหรอกครับ เพราะนั่ง 5 นาที ก็จิตฟุ้งซ่านตลอดเวลาแล้ว โอกาสที่จะได้สมาธิจริงๆ มันน้อยมาก ต้องอดทน มีความเพียรสะสม จริงแล้วสมาธิก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือกำจัดกิเลสระดับกลาง ถ้าทำเป็นก็มีประโยชน์กับมนุษย์ จะพบความสุขในแบบที่ไม่ต้อง พึ่งพิงสิ่งภายนอกใดๆ สุขทั้งหลายทางโลกที่เคยมี เป็นรองสุขในฌาน ถ้าใครสนใจก็ลองดูได้ ไม่ต้องสนใจพิธีกรรมใดๆ เอาแค่ทำใจหยุดนิ่งจริงๆ สัก 15 นาที โดยไม่คิด ไม่วิเคราะห์ใดๆ นิ่งๆต่อเนื่อง มีสติอยู่กับลมหายใจ ละนิวรณ์ให้ได้ แล้วจะพบความมหัศจรรย์เอง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 20:04:15

ความคิดเห็นที่ 16 สมาธิเป็นของมีประโยชน์ ไม่มีใครเถียงหรอกครับ แต่ถ้ามาแนวอภินิหาร แถมท้ามาให้พิสูจน์ ผมเองก็อยากพิสูจน์อยู่แล้ว (คห. 10 ก็ยังเชียร์ให้พิสูจน์เลย) แต่ลำพัง สำนักแต่ละสำนัก ในห้องศาสนายังตกลงกันไม่ได้เลย เห็นเถียงกันประจำแทบทุกวัน ว่าสำนักนั้นผิดบ้าง สำนักนี้สอนเพี้ยน ฯลฯ ในเมื่อยังตกลงกันไม่ได้ การไปฝึก ก็ไม่ใช่ว่าระดับสมาธิจะไ้ด้เหมือนกันทุกคน ก็เอาคนท้า มาพิสูจน์แบบเป็นรูปธรรมชัด ๆ ใช้เวลาไม่นานอย่างที่เสนอไปนั่นแหละ ไหน ๆ ก็มาประกาศศาสนาแล้ว ถ้าให้พิสูจน์ ตามเงื่อนไขการทดลองที่ว่าไปแล้ว แล้วตอบได้จริง ผมประกาศตรงนี้เลย ว่าผมจะเข้ารีตสำนักท่าน เพื่อไปฝึกพิสูจน์ด้วยตัวเองตามวิธีที่ท่านได้ฝึกมา แต่ถ้าจะมาแนวหาสมาชิกอบรมขายตรง "อยากรู้ใช่ไหม ก็ลองไปดูสิ" ขอร้องล่ะครับ ปล่อยวางบ้างเถอะ ขอให้เข้ามาห้องนี้แล้วได้อ่านเรื่องราวหว้ากอบ้าง ห้องศาสนาก็มีอยู่แล้ว ห้องหว้ากอแค่นี้ก็จับฉ่า่ยมากแล้ว ยังจะกลายเป็นห้องศาสนาสาขาสองเข้าไปอีก มันเยอะอย่างคห.14 ว่ามาจริง ๆ จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 20:37:15 A:27.130.210.40 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 17 ไขาอุงก็พยายามฝึกมาหลาย 10 ปีแล้ว  แต่ไปไม่ถึงไหน มันชอบคุนยุบ ๆ ยิบ ๆ ตามตัว  ก็เลยไปได้แค่ระดับคันยุบ ๆ ยิบ ๆ จากคุณ : ไข่อุง เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 20:43:36

ความคิดเห็นที่ 18 ตรัสมู้คลั่งศาสนา !! จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 20:46:01

ความคิดเห็นที่ 19 เเล้วยังไงต่อครับ เอาเเค่สมาธิ สติ ปัญญา ไม่ได้หรือท่าน นี่ถ้าสิ่งที่ท่านทำเเล้วนิ่งจากกิเลส ระงับความอยากได้ เกิดปัญญาจริง กระทู้นี้คงไม่เกิดขึ้น จากคุณ : werty_max เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 20:53:32

ความคิดเห็นที่ 20 งมงายไม่มีสาระ จากคุณ : อะไรมันจะเว่อร์ปานนั้น เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 21:03:44

ความคิดเห็นที่ 21 เช่าว์เช่าว์จนน้ำไหลออก ก็ขึ้นสวรรค์แล้วล่ะ (อย่าถามเลยศัพท์ทางเทคนิคของผม) จากคุณ : kraab เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 21:04:11 A:115.67.96.80 X: TicketID:351527

ความคิดเห็นที่ 22 ธุระไม่ใช่ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 21:13:05

ความคิดเห็นที่ 24 จขกท เขาก้เชิญชวนให้มาศึกษาดีๆ อย่าไปเสียดสีเขาเลยครับ สมาธิมีประโยชน์ และคำว่าความอยาก กับคำว่า วิริยะ ฉันทะ ที่จะ ชวนคนทำความดี มันก็มีระดับของมัน หาใช่กิเลสใดๆ เชื่อสิ อุปสรรคสำคัญของคนที่ปฏิเสธกรรมฐานคือ กิเลส ว่าด้วยเรื่อง ของ ละนิวรณ์ไม่เป็น ยังติดหนืบในกามฉันทะ ถ้าไม่เคยฝึกมาเลย ส่วนใหญ่เขาเรียกว่า โมหะ ยังติดใน ลาถ ยศ สรรเสริญ กามฉันทะ แต่ถ้ามีโอกาสได้ลองสักคอร์ส ความยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ ก็ยังค่อยๆลดลงไป การที่เขาเชิญชวน ก็คือให้มาสัมผัสด้วยตนเอง หลายคนก็เข้าใจถูกแล้วว่า แก่นคำสอน ไม่ได้สอนให้ไปเห็นอะไรพิสดาร แต่ถ้ามันจะเกิด ก็เป็นไปตามธรรมชาติของจิต ถึงจะมีหลายวิธีที่เถียงกัน จริงๆแล้วมี 40 กองกรรมฐาน สุดท้ายก้ไปเจอที่ยอดเขา เมื่อเห็นไตรลักษณ์แบบเดียวกัน ใช้คำว่าเข้ารีตสำนักท่าน น่าจะหมายถึงคริสต์เหรอเปล่า สมาธิมีหลายระดับ ถ้าประยุกต์ใช้แต่ละขั้นเป็น มันมีสิ่งที่ดีๆรออยู่ เอาแค่นั่งนานสัก 15 นาทีไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิด ไม่เกา ไม่ขยับตัว ว่ามีมดไต่ตอม ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่คัน ไม่คิดนู่นนี่ ทำตรงนี้ให้ผ่านขั้นแรกก่อน ถ้าทำได้ก็คุยกันต่อ การบ้านง่ายๆของคนสนใจ ทำสมาธิด้วยตนเอง เริ่มจากหลับตาในห้องก่อนนอน นั่งในท่าสบายๆ แค่ตามลมหายใจ เข้าและออก รู้ว่าลมเข้า  รู้ว่าลมออก แบบต่อเนื่องแน่วแน่ สัก 15 นาีที ทำได้ไหม วันไหนที่นั่งแล้วสบายต่อเนื่อง สงบจริงๆ น้ำตามันจะไหลออกมาเองแบบอัตโนมัติ ก็หลังไมค์มาถามได้ ยังไม่ต้องไปที่วัดหรอก เพราะกิเลสหนาๆทำยาก ทนลำบาก กินน้อย น้อยนอน มันจะทรมานมากกกก แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 55 22:16:49 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:14:53

ความคิดเห็นที่ 25 อยากให้กูรูทั้งหลายในห้องศาสนาไปศึกษาทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์แบบจริงๆจังๆบ้าง จะได้รู้บ้างซักทีว่ามันต่างกับนั่งเทียนเขียนเยอะ ลองใส่ inverse เล่นเฉยๆ~ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:21:06

ความคิดเห็นที่ 26 ด้วยความเคารพนะครับ ผมว่าศึกษาจนได้นิพพาน ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์กฎแห่งกรรมได้ คนที่รู้แจ้งกฎแห่งกรรม มีแต่พระพุทธเจ้า(ตามที่ผมรู้นะ) หรือคนที่มีอภิญญา พอได้บ้าง และถึงจะรู้ได้ ก็พิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้(รู้เฉพาะตน) ฟรั่งจึงยกพุทธศาสนา เป็นปรัชญา คือเขาไม่ปฏิเสธ แต่มันพิสูจน์ไ่ม่ได้เลยยกเป็นปรัชญาไว้ก่อน อย่าเอามาเถียงกันให้เสียอารมณ์ ดีกว่า คนไทยไม่ได้ใจกว้างเหมือนฟรั่ง พูดเรืองกฎแห่งกรรม ฟรั่งยกให้เป็นปรัชญา แต่คนไทย(บางคน)หาว่างมงายซะงั้น จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:31:15

ความคิดเห็นที่ 27 อยากให้กูรูทั้งหลายในห้องศาสนาไปศึกษาทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์แบบจริงๆจังๆบ้าง จะได้รู้บ้างซักทีว่ามันต่างกับนั่งเทียนเขียนเยอะ ลองใส่ inverse เล่นเฉยๆ~ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) พอจะยกทฤษฏี มาสักหน่อยสิครับ แล้วใครนั่งเทียนเขียน จะมีคนมาตอบเยอะเชียว มีนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่หลายท่าน เดี๋ยวไปตั้งให้ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:34:08

ความคิดเห็นที่ 28 เพ้อเจ้อครับ จากคุณ : issey kasawa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:40:24

ความคิดเห็นที่ 29 #26 การปฏิบัติทั้หลายในพุทธ สำหรับทางโลกุตตรธรรมแล้ว มิได้เพื่อรู้แล้วเอามาประยุต์ใช้ประโยชน์ทางโลกครับ แต่ปฏิบัติเพื่อจัดการความทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ถ้าในขั้นโลกียธรรมแล้ว ปฏิบัติก้เพื่อความสงบ เพื่อศีลธรรม การจะพิสูจน์กฏแห่งกรรม พิสูจน์ด้วยสองเงื่อนไขคือ กรรมที่ทำนั้นให้ผลในภพชาตินี้ เมื่อไหร่ กรรมที่ทำให้ผลในภพชาติต่อไปอย่างไร เรื่องกรรมวิสัย พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วว่าห้ามคิด มีคนเป็นบ้ามาเยอะแล้ว พิสูจน์การกระทำที่มองด้วยตาเปล่า คือทำดี ก้จิตใจเบิกบาน ทำชั่วก็จิตใจเศร้าหมอง ถ้าไปถึงขั้นนิพพานแล้ว ก็จบกิจแล้ว กฏแห่งกรรม ก็นอกเหตุเหนือผลไปแล้ว ไม่สำคัญอีกเลยครับ ฝรั่งเขาเริ่มสนใจมาบวชหลายสิบปีแล้วครับ คือศึกษาทุกอย่างแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ ปฏิบัติทุกขั้นตอนให้เห็นจริง ไม่ใช่นั่งคิดจินตนาการ  ถ้าสนใจลองไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ฝรั่ง วัดสาขาของหลวงพ่อชานะครับ คือ พุทธสอนให้ศึกษา กฏแห่งปฏิจสมุทปบาทธรรม เพียงพอแก่การมองเห็นความจริง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 22:41:27

ความคิดเห็นที่ 30 เอ่อ....5555+ เอาเถอะไครจะแข่งนั่นสมาธิกันก็ช่างประไร แต่แปลกใจรู้ได้ยังไงนักวิทย์ไม่นั่งสมาธิทำโพลกันตอนไหน 555+ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 23:05:03

ความคิดเห็นที่ 31 จขกท ระวังจะเพี้ยนนะ เตือนด้วยความหวังดี มีปราชญ์ด้่านพุทธคนไทยที่มีชื่อเสียงมากๆๆๆๆ หลังจากลองมาเยอะแว้ว ได้สรุปว่า เป็นจิตเราที่คิดไปเอง ทำเพื่อความสุขในความสงบในสมาธิ อย่าทำเพื่ออภินิหารรัยเรย จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 23:47:25

ความคิดเห็นที่ 32 "เลอะ" จากคุณ : เขียนบน Android (ทำไมถึงไม่ผ่าน) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 23:50:09

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าถามกลับบ้างว่า ในศาสนาอื่น เขาก็เชื่อเรื่อง ปาฏิหาริย์ ที่มาจากศรัทธา ในพระเจ้า ท่านไม่เปลี่ยนศาสนา ไปปฏิบัติด้วยศรัทธา เพื่อพิสูจน์ล่ะครับ ถ้าท่านยังไม่ได้น้อมนำ แล้วทำตามหลักศาสนาของเขา ท่านก็จะไม่พบอะไร แบบที่เขาพบด้วยศรัทธา เช่นเดียวกัน มันเป็นปัจจัตตังเหมือนกัน คำถาม ท่านจะเปลี่ยนศาสนาไปพิสูจน์ แบบทีท่านเชิญชวนคนอื่น ไม๊ล่ะครับ อย่าเพิ่งปฏิเสธ ในสิ่งที่จิตสัมผัสไม่ได้ เพราะ สิ่งที่จิตสัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มี บางคน เชื่อในปาฏิหาริรย์ของจิต ทั้งๆที่ มันไม่มีตัวตน แล้วก็พิสูจน์เชิงประจักษ์ ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นจริง ให้คนอื่นเห็นไม่ได้ แล้วต่างอะไรกับ คนที่เชื่อในปาฏิหาริย์ของ พระผู้เป็นเจ้า ถ้าความเชื่อของคุณถูก สองพันกว่าปีที่ผ่านมา ทำไม ยังล้มความเชื่อ ฟากฝั่งตรงข้ามไม่ได้ ในทำนองกลับกัน ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าจะพูดให้นุ่มนวลและประนีประนอมที่สุด ก็หมายความว่า ความเชื่อสองสายนี้ ก็ยังมี จุดอ่อน หรือ สิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ อยู่ทั้งคู่ นั่นเอง จากคุณ : ก็...ว่ากันไป เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 01:42:17 A:110.168.180.75 X: TicketID:326785

ความคิดเห็นที่ 34 อ่านเรื่องที่คนเขียนเล่าว่าได้พบเทวดา หรือเทพ ได้เห็นทางช้างเผือกบนท้องฟ้า เป็นทางที่เทวดาเสด็จลงมา  หรือกลับขึ้นสวรรค์ สงสัยว่า เทพ เทวดา สวรรค์ชั้นต่างๆ มีจริงไหม  ใครพิสูจน์ได้บ้าง จากคุณ : padivarutda เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 03:12:50

ความคิดเห็นที่ 35 จัดพิสูจน์เลยดีกว่า เอาแบบว่าจขกท เหาะโชว์ หรือไม่ก็หายาเสพติดแข่งกับ gt200 จากคุณ : 666 เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 05:23:22 A:27.130.48.71 X: TicketID:295253

ความคิดเห็นที่ 36 ปาฏิหาริย์แปลว่า อะไร พุทธศาสนา สอนให้ละตัวตน มีแค่ศาสนาเดียวในโลกนี้ที่สอนแบบนี้ ส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนศาสนา ลองไปสัมภาษณ์ดู จะพบว่า แทบจะไม่มีใครทำ วิปัสสนากรรมฐานสักคน พุทธศาสนาเป็นคำสอนเรื่องการใช้ปัญญา แต่ปุถุชนทั่วไป ไม่เคยสัมผัส ภาวนามยปัญญา ในกระบวนการวิทยาศาสตร์ ยังไม่เคยมีใครศึกษาแบบจริงจัง เป็นเพียงขั้นเริ่มอนุบาล ที่ทดลองเรื่องจิต คำว่าปาฏิหาริย์ของจิต ถือเป็นโลกียะ ในขั้นอภิญญาแล้ว ก็พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง หลวงพ่อจรัญ ท่านก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 07:46:31

ความคิดเห็นที่ 37 อัตตา อัตต้าาา จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 07:59:25

ความคิดเห็นที่ 38 จขกท คับแค้น น่าดู จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 08:12:06

ความคิดเห็นที่ 39 ภาพที่เห็นจากการนั่งสมาธิเป็นแค่ภาพที่จิตสร้างขึ้น เขาบอกว่าเห็นลูกแก้วมันก็เห็นลูกใสๆ บอกนรกสวรรค์มนัก็เห็น คนนำก็บรรยายไปก่อน เชื่อว่าคุณเห็นจริง แตที่เห็นมันไม่ใช่ของจริง แต่หลงและแก้ไขยาก เพราะกว่าจะนั่งให้เห็นได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เลยผืดว่าตนเองได้คุณวิเศษเป็นของจริง จากคุณ : rdo เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 08:52:14

ความคิดเห็นที่ 40 คนไม่เชื่อ ต้องมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ ทำไมต้องบังคับให้เขาเชื่อด้วย ถ้าอ้างศาสนา วันหนึ่งย่อมมีเหตุให้คนที่ไม่เชื่อได้ประสบเองแหละ จากคุณ : bear brothers เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 09:18:37

ความคิดเห็นที่ 41 จขกท ครับ กี่ป่าช้าแล้วครับ ผมอย่างน้อยก็เคยนอนมาแล้ว 20 กว่าป่าช้า วัดไหนไม่มีป่าช้าก็ขางเมรุ หลังเมรุ ศาลาพักญาติ จากคุณ : BONDJUNG_TH เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:00:27

ความคิดเห็นที่ 42 การนั่งสมาธิไม่ได้ทำให้เรามีไฟฟ้าใช้นะ จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:07:00

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องแปลกๆมันมีอยู่แค่นี้เอง คือ คนที่ไม่เคยลอง ไม่เคยเหลียวตามาดู มาบอกว่าคนที่ ฝึก ที่ทำ อยู่ตลอดๆ เห็นผิด .. วิทย์มากมาย จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:34:11

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ^ ^ รู้ได้อย่างไรครับ ว่าไม่เคยลอง ลองแล้วไม่ได้ ก็หาว่า บารมีไม่พอ ไม่ได้ทำมาด้านนี้ ของเก่าไม่มี ฯลฯ บางคนเห็นฝึกมา สิบปียังไม่เห็นอะไร ถึงได้ขอให้ผู้เห็นถูก ที่ว่ามีอภินิหาร ช่วยมาเปิดศาสนาซะที ด้วยวิธีการทดลอง ที่ยืนยันได้ว่า ไม่ได้คิดเอาเอง จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:46:51 A:27.130.212.177 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 45 เราจะแยกแยะได้อย่างไรว่า สิ่งที่เรา"เห็น" ไม่ใช่เกิดจากความฝัน จินตนาการ ที่สมจริง? พระป่าท่านเคยบอกว่า เห็นน่ะเห็นจริง แต่ที่เห็นน่ะ(อาจ)ไม่จริง เสียเวลาที่จะไปสงสัยแยกแยะถ้าจะปฎิบัติต่อไป ต้องไม่สนใจของพวกนี้ครับ จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:48:27

ความคิดเห็นที่ 46 ก็เท่าที่ฟังมา เกือบสองร้อยคนในห้องนี้ มีมากกว่า150คนที่แสดงความไม่สนใจ ไม่อยากรู้ไม่อยากลอง จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:49:38

ความคิดเห็นที่ 47 ขอถามคำถามง่ายๆว่า สมาธิคืออะไร ผมไม่รู้จริงได้ยินมาตั้งนานแล้วแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าสมาธิคืออะไร จากคุณ : ลูกมาร เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:52:50

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ^ แล้วท่านสนใจจะมาทดลองไหมครับ ผมสนใจนะครับ จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:54:12 A:27.130.212.177 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 49 (ถาม คห.46) ครับ จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 10:54:57 A:27.130.212.177 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 50 พูดจากใจนะ ในมุมมอง และจุดยืนของผม ถ้าพูดถึงพุทธ ผมแบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1 พุทธผิวเผิน 2 พุทธแท้ 3 ธรรมะ ระดับ 1 คือพวก ทำบุญ กลัวบาป นรกสวรรค์ เชื่อปาฎิหารย์ บราๆ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เกิน 90% ระดับ 2 คือ พระชั้นสูงดังๆ ที่ออกทีวี เคล่งคัดคำสอน มีความรู้ในธรรม ศึกษาพระไตรปิดกแตกฉาน ความเข้าใจยึดติดกับคำสอน ระดับ 3 อรหันต์ ก้าวข้ามพ้นทุกอย่าง ไม่มีปาฏิหารย์ใดๆ สิ่งที่เข้าใจเป็นสัจธรรม ไม่มีส่วนที่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ ในสายตาของผม ผู้ศึกษาเคล่งธรรมะ และปฏิบัติอย่างเคล่งคลัด เป็นได้แค่ ระดับ 2 และคงไม่มีวันก้าวถึงระดับ 3 ได้ ระดับ 3 จริงๆ มีน้อยมาก และไม่จำเป็นต้องเป็น "พระ" เพราะมันเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันมีหลงเหลือแค่พระบางรูปที่ไม่ดัง จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:09:46

ความคิดเห็นที่ 51 ผมเองก็ยังทำปราฏิหารย อะไรไม่เป็น และไม่คิดจะทำด้วย เพราะนั่นไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์ ----------- แต่ถ้าถามผมว่า ทำแล้ว เห็นทุกข์ สุข อะไร อย่างไร ช่วยเรื่องทุกข์สุข อะไร อย่างไร ผมก็ได้เขียนไว้ในห้องนี้ เยอะมากแล้ว และยินดีที่จะเขียนอีก ถ้าว่างนะครับ แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 11:16:47 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:11:09

ความคิดเห็นที่ 52 ผมฝึกก็พอจะเห็น ขั้วกรรมของตนเอง ชัดเจน ขึ้นเรื่อยๆ สามาถจะดับมันได้ ที่ต้นเหตุ จริงๆ สามารถเห็น ว่าแต่ละขณะ ที่จะกระทำกรรม จิต อารมณ์ ความรู้สึก เป็นอย่างไร --- สมาธิ คืออะไร ขอตอบอย่างนี้ก่อนนะครับ ถ้าสมาธิน้อย จะเหมือนกับ มีคลื่นนู่นนี่ นั่น ผ่านเข้ามาแทรกเรื่อยๆ สมาธิสูง สมองโล่ง ประสิทธิภาพ ในการดึงข้อมูล และประมวลผล จะสูง สามารถแก้ปัญหา ที่ถ้าขณะกระวนกระวาย เค้น หลายสิบชั่วโมง ตอบไม่ได้ ช่วงสมาธิสูง สมองโล่ง จะสามารถแว็บ มาได้ในแว็บเดียว จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:16:19

ความคิดเห็นที่ 53 คือถ้าจะให้ลองเนี่ยคุณต้องสรุปผลมาก่อนว่าลองทำจริงแล้วจะได้อะไร ยกตัวอย่างนะ อย่างเช่น นั่งสมาธินาน ๆ > ลอยตัวได้ คุณก็มาลอยตัวให้ดูจริง ๆ ก่อนว่าทำได้นะ ถ้าทำตาม 1 2 3 4 หรือ นั่งสมาธินาน ๆ > เห็นอนาคต ก็ลองมาทายง่าย ๆ กันดูว่าพรุ้งนี้ผมจะกินอะไร ทายสามมื้อแล้วจดไว้ แล้วก็มาเฉลยกันอะไรประมาณนี้ รับรองมีคนตามไปปฏิบัติตามตรึม แต่ของคุณบอกว่านั่งแล้วรู้ว่ากฏแห่งกรรมมีจริง แล้วกฏแห่งกรรมของคุณมันคืออะไร รู้แล้วมันทำไม เรื่องที่ว่าผลมาจากการกระทำ มีผมต้องมีเหตุ ถึงจะบังเอิญก็มีเหตุให้บังเอิญก็เป็นเรื่องที่ใคร ๆ รู้อยู่แล้ว ถ้าบอกว่าผลชาตินี้เป็นเพราะชาติที่แล้ว ก็ต้องอธิบายว่ากฏมันมีว่าอะไร เช่น ฆ่าคนชาติที่แล้ว ชาตินี้เลยมีปานที่แก้มก้นขวา ก็ต้องวิจัยว่าคนมีปานที่แก้มก้นขวาส่วนใหญ่ เคยฆ่าคนในชาติที่แ้ล้วรึเปล่า ต้องพิสูจน์กันไปว่าจริงแท้แค่ไหน ถึงจะยอมรับกันว่ามันเป็นของจริง ไม่งั้นก็เป็นแค่เรื่องที่คุณเห็น คุณคิดคนเดียว ซึ่งก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จากคุณ : hellmoon เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:19:08

ความคิดเห็นที่ 54 ที่ตลกมากสำหรับผมก็คือ ห้องศาสนา กลับเป็นห้องที่สิงสถิตของกลุ่ม ระดับ 1 กันแทบจะทั้งห้อง มีคนที่อยู่ระดับ 2 ประปราย แต่กลับกัน หลายคนที่เล่นห้องหว้ากอ เป็นพวกที่เข้าใกล้ระดับ 3 มากกว่าเสียอีก ทว่าการรู้ว่า ระดับ 3 เป็นเช่นไร แต่การจะเข้าถึงระดับ 3 อย่าง 100% คงยากมาก แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 11:21:38 จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:20:08

ความคิดเห็นที่ 55 เรื่อง แต่ละคน เห็นสิ่งๆเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน ออกมาเหมือนกันไหม สรุแ ทางวิทย์ สัมพัทธภาพ ควอนตั มาก่อน จะดีกว่า ว่า  จะต้องเห็นเหมือนกันไหม และ ผมก้ไม่ได้มองตรงนั้น จะเป็นความจริงของคนคนเดียว หรือเปล่า ก็แล้วแต่ แต่ถ้าผมทำซ้ำได้ ผลแบบเดิม ไปบอกคนอื่น เค้าทำซ้ำได้ อาจจะเห้นไม่เหมือนผม หรือเปล่า ไม่รู้ แต่ก็รู้่ามีผลชัดเจน จากการกระทำนั้นๆ และทำซ้ำได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือเปล่าครับ หรือเรืองอย่างนี้ วิทย์ จะบอกว่า ไม่ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:20:58

ความคิดเห็นที่ 56 ผมก็เคยยกตัวอย่างไปแล้วว่า การกระทำของคนหายใจยาว จะส่งผลให้คนที่รับผลหายใจยาวตาม ตัวอย่างง่ายๆ ไม่ได้รัดกุมอะไรนะครับ อยากให้เป็นวิทย์ก็ ต้องเริ่ม ที่อะไรพวกนี้ ไม่ใช่ว่ามานั่งด่ากัน จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:23:28

ความคิดเห็นที่ 57 การทดลอง คุณก็ตั้งหน้าตั้ง ให้ตนเองมีการหายใจสั้นเยอะๆ ต่อคนรอบข้าง มากๆเข้า ซักเดือนนึง แล้วลองเก็บผลดู ว่าส่วนใหญ่ เค้าหายใจสั้นลง หรือยาวขึ้นกัน มองง่ายๆ พุทธ สะท้อนทุกข์ ออกมาเป็นลมหายใจที่สั้นๆ และถ้าการที่พุทธ จะมีโครงสร้างหลักการ การกระจายการมีลมหายใจยาวๆ ออกไปในสังคม นั่นเป็นสิ่งที่วิทย์ ไม่ควรจะมาเหลียวแล หรือเปล่าครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:28:24

ความคิดเห็นที่ 58 คือถ้าสมาธิหมายถึงการที่สองโล่งนี่ผมแบบว่า ทำทุกวันอะครับ ประมาณว่าบางงคืนซึ่งส่วนใหญ่ที่ผมนอนไม่หลับแบบว่าไม่ง่วงนะแต่อยากหลับก็หลับตาแต่ จะคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อง อย่าเช่นสงครามบ้าง นิยายบ้าง หนังบ้าง เพลงบ้างแบบว่าเพ้ออะคิดไปคิดมาเริ่มง่วงละนอนดีกว่าช่วงนอนดีกว่าความคิดเพ้อๆจะหายไปก่อนหลับแล้วก็หลับถ้ามีโทรศัพท์มาอะจะรู้ตัวเลยว่าเอ่ออืมๆ อย่างนี้เรียกสมาธิรึป่าวครับ แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 11:40:23 จากคุณ : ลูกมาร เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:31:42

ความคิดเห็นที่ 59 การสื่อสารผมมีขั้วกรรมอยู่บ้าง ถ้ากระทบกระทั่งไป ก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 11:31:42

ความคิดเห็นที่ 60 สวรรค์อยู๋ในอกนรกอยู่ในใจ การจะให้คนทำดีมันก็ต้องมีกุศโลบายเพราะปัญญาคนมันไม่เท่ากัน ก็เอานรกสวรรค์เข้าไปกล่อมให้รู็สึกเกรงกลัวละอายต่อบาป แต่หลักจริงๆมันก็คือธรรมชาตินั้นเหละ แต่พระพุทธเจ้าเอามาปรับให้ชาวบ้านทั่วไปได้เข้าใจง่ายและเข้าถึีง ถ้าตัดเรื่องอภินิหารเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีหลักเหตุและผลดีเยี่ยมเลยล่ะ จากคุณ : Kloster60D เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 13:02:09

ความคิดเห็นที่ 61 จัดกันไปยาวๆ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 14:17:23

ความคิดเห็นที่ 62 คือ ที่ผมฝึกมา คือ ให้มีสติ รู้ว่า ตอนนี้ ตัวเอง ติดกับ อารมณ์ โกรธเหงาเศร้า หงุดหงิด ปิติ ยินดี ... และอารมณ์นี้ จะสืบเนื่อง ต่อๆไป เป็นการกระทำอะไร เป็นสิ่งไหน ควรทำ ไม่ควรทำอย่างไร อารมณ์ ความรู้สึก แบบ นี้ๆนั้นๆ มาจากการยึดติด อะไรแบบไหน จะดับมันอย่างไรให้ดี เห็นการเกิดดับ แปรเปลี่ยนไป ของอารมณ์ต่างๆ เห็นการกระตุ้นต่างๆ การตอบสนองต่างๆ (และที่มาที่ไป) และการฝึก ก็คือ ฝึกให้เห็นได้ไว ตอบสนองได้ดีขึ้น และจัดการในระยะยาว ให้ได้ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า เป้าหมายในระยะยาว คือการดับทุกข์(โดยสิ้นเชิง) ส่วนจะเห็นภาพพุทธเจ้ามั้ย จะเห็นอนาคต อดีต นรกสวรรค์มั้ย จะเหาะเหิน เดินอากาศ อ่านใจคน ไม่ได้มองอยู่ในสาะรระบบความคิด แค่ขนาดอารมณ์ปิติ ยังไม่คิดจะไปติดอยู่ ตั้งใจจะให้ถึงอุเบกขา แต่กรรมก็ชักเวียน ให้ขึ้นๆลงๆอยู่ บางช่วงวุ่นวายมาก ก็ขอเข้าแค่ปิติ ก็ยังยาก สรุปคือ ให้มี ศีล สมาธิ สติ ปัญญา เห็นทุกข์และ แน่วแน่ หาทางดับทุกข์ โดยส่วนตัว ผมไม่ได้ใช้ ศรัทธา แต่ค่อยลองๆเลาะเส้นเกณฑ์ เทียบดูผลจริงเอา ซะมากกว่า ปล.คือ ผมไม่รู้ว่าผมพอจะมีอะไร ให้มาแสดงหรือพิสูจน์หรือ จะมีอะไรที่ท่านๆคิดจะดูจะเห็นกันหรือเปล่า แต่ก็ได้ทดลอง ใช้สติเก็บ ทุกข์ สุข มาไม่น้อย และเห็นชัดเจน ว่าทำแล้ว ได้อะไรบ้าง ไม่ได้อะไรบ้าง ถ้าสิ่งที่ผมทำไปจะเป็นประโยชน์ก็จะยินดีอย่างยิ่ง ถ้าสิ่งที่ผมทำไปเป็นที่ขัดหูขัดตาขัดใจก็ขออภัยอย่างยิ่ง เช่นกัน สุดท้าย ผมเป็นคนไม่ขายของ แต่ของที่ผมเคยเอามาฝากเพื่อนๆ ไม่เคยมีที่จะเป็นของชั้นเลว อีกนิด ผมเป็นคนไม่เคย บังคับ หรือชักชวนใคร แม่กระทั่งตัวผมเอง (คิดอธิบายข้อดี ข้อเสีย ไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น และแน่นอนว่า ถ้าเพื่อนอธิบายให้ผมเห็นข้อเสียได้ชัด ผมพร้อมจะเปลี่ยนขั้วการเมือง ได้ทันที(ที่ผมเห็นชัดถึงสิ่งนั้นๆ) สิ่งที่ผมอาจจะพลาดไป แต่เพื่อนเค้าอาจจะเห็นอยู่) ติดลม ผมว่าผมมีความเป็นปัจเจกพอที่จะช่วยพัฒนาสังคมได้ มีความรับผิดชอบพอ ที่จะไม่นำเสนอสิ่งเลว เหลวไหลไร้สาระ และความบันเทิงให้กับเพื่อนๆ คล้ายๆโฆษณาโด๊ป ที่ใช้ดีแล้วเลยอยากให้เพื่อนใช้บ้าง แต่ด้วยกรรมส่วนตัวที่ออกจะซาดิส หน่อย ชอบเสนอให้ทดลองตรงข้ามดู มากกว่า แต่ก็แนะนิดนึงว่า ให้มีสติ เห็นให้ทันด้วย อย่าให้ทุกข์ จมเตลิดไปไกล ทดลองได้เลยครับ ลดสติ กินเหล้า โกหก ฆ่าสัตว์ แก่งแย่งของที่เค้ามีเจ้าของ ผิดลูกเมียเขา ทำประจำๆ เห็นผลได้หนักในไม่เกิน3ปี สิ่งเหล่านี้จักต้องนำความทุกข์ และความวุ่นวายกลับมาสู่ท่าน(และคนรอบข้าง)แน่ๆ จบละครับ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 15:01:09

ความคิดเห็นที่ 63 ห้องนี้เขามีให้ถกเถียงเรื่อง physical world ถ้่จะสนใจเรื่องของโลกภายใน พันทิปเขาก็มีบริการให้นี่ครับ ใครจะสนใจอะไรก็อย่ามายุ่มย่ามกันนักเลย แค่นี้ยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะให้คนอื่นอยากไปสนใจตามได้อย่างไร จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 55 16:37:36

ความคิดเห็นที่ 64 จขกท ก็ยังใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี ที่ทางวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา ทำไมไม่ปลงซะล่ะครับ ^_^ จากคุณ : ยาม (BLACKBABA) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 07:07:32

ความคิดเห็นที่ 65 หาสาระมิได้ จากคุณ : TheToey เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 11:54:17