ความคิดเห็นที่ 1 สมมุติให้ 1.เป็นเจ้าของที่นาเอง 2.ต้องหาซื้อจ่ายเพิ่ม ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว เอง = ต้นทุน 3.ค่าไฟฟ้าจากการสูบน้ำ มาทำนา= ต้นทุน 4.ใช้ปุ๋ยหมัก ต้องหาซื้อเพิ่ม = ต้นทุน 5.กำจัดศัตรูพืช= ต้นทุน 6.เจ้าของมีรถไถนา+รถเกี่ยวข้าว 7.ค่าน้ำมัน = ต้นทุน 8.เจ้าของทำนาเองไม่มีต้นทุนค่าแรง ถ้าต้องการรายได้เฉลี่ย เดือนละ 10000 บาท ดังนั้นจะต้องมีที่ ไว้สำหรับทำนา ประมาณ กี่ไร่ อ่ะ ต้องเอาระยะเวลาทำนา ทั้งหมด ที่ได้รายได้ ลบด้วยต้นทุน แล้ว หารเฉลี่ยให้เหลือ 1 เดือน เฉพาะกำไรที่ได้เท่านั้น คุณคิดว่าเจ้าของต้องมีที่นากี่ไร่ จากคุณ : เนื้อหา เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 10:13:32 A:125.26.53.4 X: TicketID:348039

ความคิดเห็นที่ 2 บางทีก็ขึ้นกับราคาข้าวและคุณภาพของผลผลิต รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 10:38:31

ความคิดเห็นที่ 3 เอาราคาข้าวตั้งครับ เกวียนละเท่าไหร่  แล้วนา 1 ไร่ ได้กี่เกวียน  แล้วเอาต้นทุนทั้งหมดที่คุณว่ามาตั้งแต่ต้นนะ ถ้าคุณได้จดบันทึกไว้ นับทุกอย่างตั้งแต่ ตีดิน หว่าน ปักดำ ใส่ปุ๋ย พ่นยา กำจัดวัชพืช ค่าแรง ค่ากับข้าวกับปลา ค่าจ้างคน ค่าจ้างรถตีดิน ค่ารถปักดำ ค่าน้ำมันวิดน้ำ ตีดิน เกี่ยว  ถ้าคุณจดครบก็ง่าย ว่าตั้งแต่คุณเริ่มกระบวนการทำนามานี่เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ตั้งแต่ต้นจนจบ เเล้วเอาข้าวไปขาย ไปจำนำ  สมมุติ นา 1 ไร่ คุณได้ 2 เกวียน เกวียนละ 12000  ก็ตก 24000  มี 5 ไร่ ก็คิดประมาณ 90000 พอ แล้วค่าต่างๆ คุณคิดได้ประมาณ 50000 ก็คิดว่ากำไร สัก 3-4 หมื่น อยู่ได้เเล้ว อันนี้คิดเอานะ เพราะไม่เคยมีนาให้ทำ แต่ยังไงก็คุ้มครับ เห็นชาวนามีรถใหม่ๆ กันทั้งนั้น จากคุณ : kenjiwa เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 10:54:47

ความคิดเห็นที่ 4 กำไรปีละแสนสอง ที่ทำอยู่ สี่ไร่ ได้มากกว่านิดหน่อย จากคุณ : nai_per เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:03:12

ความคิดเห็นที่ 5 บ้านเรายังใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรล้าหลังเช่นเดียวกับสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีที่แล้ว กล่าวคือ พึ่งพาฟ้าฝนเทวดา ธรรมชาติเป็นหลัก ผลผลิตจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับธรรมชาติ กับการไหว้ผีสางเทวดาบูชาหัวหมูกราบไหว้ต้นไม้พืชผักใบ หญ้าแล้วก็อ้อนวอนตั้งความหวังว่า ฟ้าท่านจะปราณีให้ผลผลิตทางการเกษตรดีๆ เนี่ยน่ะเหรอ ศักยภาพการผลิตที่ตั้งตนเป็นครัวของโลก ? ไม่มีการปรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ต่อต้านเทคโนโลยี ต่อต้านความเจริญ เลิกใช้ควายเหล็ก กลับไปใช้ควายเนื้อ ต่อให้มี ทุกอย่างแบบในอุดมคติอย่างที่คุณ จขกท ยกขึ้นมา ก็ไม่ได้ทำให้ช่วยหรือพัฒนาอะไรเลย เพราะประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ ชาวนาจะเป็นเจ้าของที่ดินเองหรือไม่จะเช่าที่นาเขาทำหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ชาวนาเป็นอาชีพที่จำเป็นต้องจนและเจ็บเพื่อผล ประโยชน์อะไรบางอย่าง ราชการส่งเสริมให้คนกลับไปเป็นชาวนา เป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงคือมันเป็นการส่งเสริมให้คนกลับไปจนและลำบาก มากกว่า เพราะอาชีพชาวนา เหมือนโดนกดขี่ ให้จนและเจ็บ อยากจะเจริญลืมตาอ้าปาก ใช้ของหรูหรา ปลูกบ้านใหญ่โต ก็ ถูกกล่าวหาว่าไม่พอเพียง ในขณะที่คนเมืองเงินเดือนไม่กี่พันผ่อนโทรศัพท์เครื่องเป็นหมื่นได้ กูทำนาได้ปีละเป็นล้านทำไมจะ ปลูกบ้านปูนบ้างไม่ได้ จะผลิตเพื่ออุตสาหกรรมก็โดนหาว่าคลั่งทุนนิยม จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิต ก็หาว่าไม่ อนุรักษ์ของเก่า จะให้เพื่อนบ้านเช่าที่ทำนานอนกินค่าเช่าที่ก็หาว่าขายชาติ สรุปว่าชาวนา ต้องเป็นคนจน ทำงานหนัก ประหยัด กินอยู่อย่างยากลำบาก แต่งตัวมอซอ ใช้แรงงานทำนาห้ามใช้เครื่อง- จักร เพื่ออนุรักษ์วิถีความเป็นไทย ส่วนความทันสมัยและสะดวกสบามันเป็นคนเมืองเท่านั้น ทุกวันนี้เราเห็นชาวนาเป็นอะไร เป็นผู้แบกรับวิถีแห่งความเป็นไทย อยากให้คนไทยกลับไปทำไร่ทำนาเยอะๆ พราะจะได้ อนุรักษ์วิถีความเป็นไทย แล้วอยากจะถามเหมือนกันว่ากลับไปทำนาแล้วรวยหรือเปล่า มีกินหรือเปล่า มีระบบเอื้อเกื้อกูล ให้เกษตรกรได้ร่ำรวยลืมตาอ้าปากได้บ้างหรือเปล่า ผู้คนทำราวกับว่า อาชีพชาวนาชาวไร่เกษตรกร คือ คนต่างจังหวัดที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยากๆ จนๆ เชยๆ ไม่ทันสมัย และต้อง อยู่ในสภาพนั้นเท่านั้น ถึงจะเป็นสภาพที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของไทย พอชาวนาจะทำอะไรให้มันได้เงินมาเป็นกอบเป็น กำก็หาว่าไม่พอเพียง คลั่งทุนนิยม อะไรไปเรื่อย เกษตรกรในบริบทของสังคมไทยคือชนนั้นล่างที่ต้องจนไม่มีปากมีเสียง ซึ่งมันนำพาไปสู่การโดยกดขี่ในรูปแบบต่างๆ นานา การดูถูกคนต่างจังหวัด การดูถูกชาติพันธ์ุตามพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลวง จากคนที่เชิดชูยกหางตัวเองว่าเป็นคนเมือง นำสมัยมีอารยะ แต่ความคิดต่ำทราม ยกย่องว่าตนเองเป็นชนชั้นสูงมีการศึกษา ผลลัพธ์มันก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็นอยู่ แล้วในปัจจุบัน ตราบใดที่เรายังลบความคิดกดขี่เหยียดหยามกันเองโดยใช้อาชีพเยี่ยงนี้ ตราบนั้นประเทศไทยก็คงจะเจริญ ยากเพราะการแบ่งชนชั้นในสังคมไม่เคยหายไปจากสังคมไทย เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้นเอง จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:05:56

ความคิดเห็นที่ 6 ปีนี้ทำนา 14 ไร่ นาตัวเอง แต่ถ้าคิดค่าเช่าก็ 500 บาทต่อไร ก็ตก 7000 บาท ค่าปุ๋ย ประมาณ 6 กระสอบ กระสอบละประมาณ 1200 ค่าน้ำมันไถนา สูบน้ำ ประมาณ 2000 บาท ค่ากำจัดแมลง บำรุง ประมาณ 2000 บาท ค่าจ้างดำนาประมาณ 3000 บาท ค่าจ้างเกี่ยวข้าวประมาณ 5000 บาท รวม ๆ ต้นทุน ประมาณ 26200 บาท นา 1 ไร่ได้ข้าวประมาณ 6 กระสอบ หรือ 600 กิโล 14ไร่ก็ได้ประมาณ 8400 กิโลกรัม ปีนี้ข้าวเปลือกเจ้า โลละประมาณ 7.50 บาท ถ้าเอา 8400 กิโลกรัม ไปขายก็ได้ประมาณ 63000 บาท ลบทุนแล้วเหลือประมาณ 36800 บาท ทำนา 4 เดือน ก็ตกเดือนละ  9200 บาทครับ ไม่ถึงหมื่นนะ แต่ในความจริง ข้าวที่ได้มาต้องเก็บไว้กิน ไม่ได้ขายหมดหรอก จะขายก็ยามจำเป็นจริง ๆ เพราะ ข้าวได้มา ต้องเก็บไว้แบ่งให้พี่น้อง ญาติ ๆ จากกรุงเทพเอาไปกินอีก เรื่องเกี่ยวข้าว ถ้าจ้างคนเกี่ยวก็ตกประมาณ 5000 แต่ถ้าจ้างรถเกี่ยวก็ตกไร่ละประมาณ 700 บาท ก็ตก 9800 โดยประมาณ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 11:14:59 จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:13:31

ความคิดเห็นที่ 7 มีมรดกตกทอดเป็นที่นาอยู่ 32 ไร่ ตัวเองทำนาไม่เป็นคะ ตอนนี้ให้เขาเช่าทำอยู่ จบแล้วก็อยากไปทำนาเหมือนกัน แต่ติดที่ทำไม่เป็น คิดไว้ว่าจะเปลี่ยนเป็นปาล์มนำมันดีรึป่าว จากคุณ : น่าเสียดาย (โลกนี้ไม่มีอะไรเลย) เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:21:29

ความคิดเห็นที่ 8 ญาติผมทำแล้วหักค่าใช้จ่ายเหลือ 180000 จากทั้งหมด55ไร่นะ ไม่รู้มันเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะไม่ได้ถามมาก เขาบอกมาแค่นี้ จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:25:54

ความคิดเห็นที่ 9 คิดคล้าย คห 5 เศร้ากะประเทศไทย จากคุณ : STlive (stlive) เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:29:15

ความคิดเห็นที่ 10 คห. 15 พื้นที่ 14 ไร่ คนไทยเราบริหารจัดการ ให้ผลกำไรเพียงแค่ 9 พันกว่าบาทต่อเดือน ผมว่าถูกเอามากๆ เป็นเมืองนอก หากจัดสรรค์ดีๆ ผมว่า 14 ไร่น่าจะให้ผลตอบแทนได้เป็นล้านเลยนะครับ เราน่าจะเอาไปทำอย่างอื่น นอกจากปลุกข้าว ถึงว่าทำไมเกษตรกรไทยถึงจนกันจัง ไม่ได้ว่า คห.15 นะครับ ผมมองโดยรวมๆหากเป็นอย่าง คห. 15 จริง สงสารชาวนาไทยเราจริงๆ จากคุณ : เป็นไปไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 11:51:56

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้ผมคิดแค่ต้นทำทำนาครับ บ้านผม 1 ปีทำนาได้แค่ ครั้งเดียวเพราะน้ำไม่มี แต่หลังจากทำนาแล้ว ที่ 14 ไร่เกี่ยวข้าวเสร็จก็ไถปลูกมันสัมปหลังต่อ ได้เฉลี่ยก็ไร่ละ4 ตัน ตันละ 3000 บาท ตก ถ้ามันราคาดีเหมือนสองปีที่แล้ว โลละ 3 บาท ก็ได้ ได้แสนหกแสนเจ็ด หักทุนแล้วก็ได้เกือบแสน บาท  บางปีก็ปลูกข้าวโพด ปีที่แล้วโลละ 8 บาทก็ได้เยอะเหมือนกัน ปี ๆ หนึ่ง ที่นาไม่ได้ว่างไว้เฉยๆ หรอกครับ ที่คิดให้ดูในคห. 6 คือเฉพาะรายได้จากการทำนาครับ ที่บ้านผม ฝนปลูก ข้าว ร้อนปลูกมัน ข้าวโพด  มันสัมปะปลัง ที่ไร่ก็ปลูกอ้อย ปลูกมัน จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 12:04:25

ความคิดเห็นที่ 12 #10 ต้นทุนที่รวมมาเป็นค่าเช่าที่กับจ้างคนด้วย ลงทุน  4 เดือน กำไร 140.5% ผมว่า win นะ จากคุณ : chidkido เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 12:08:18

ความคิดเห็นที่ 13 **  ถ้าเดือนละ 10,000 ก็ตกปีละ 120,000          ค่าใช้จ่าย ปุ๋ย ยา เก็บเกี่ยว ฯฯ  40 %  48,000      ต้องมีรายได้ 168,000 ต่อปี      สมมุติข้าวเกวียนละ 8,000   จะต้องได้ข้าวปีละ 21 เกวียน      ประมาณได้ข้าวไร่ละ 0.7 เกวียน        ต้องมีที่ไร่ 30 ไร่   ทำปีละ  1 ครั้ง  นอนเล่น 8 เดือน      ต้องมีที่ไร่ 15 ไร่   ทำปีละ  2 ครั้ง  นอนเล่น 4 เดือน      ต้องมีที่ไร่ 10 ไร่   ทำปีละ  3 ครั้ง  นอนเล่นครั้งละ 15 วัน      อันนี้คำนวณต่ำๆ  เห็นเขาทำ 13 ไร่ ได้ครั้งละเกือบแสน ถึง แสนกว่าเป็นประจำ แต่ถ้าเจอน้ำท่วม เพลี้ยลง ข้าวดีดก็แย่หน่อย จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 12:46:18

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆรายได้ดี แต่ไปเสียตรงพ่อค้าคนกลาง แต่ขนาดโดนมันโกงมาตลอดแล้ว ก็ยังรรายได้ดี แต่ เห็นจนกันจริงๆ เพราะเสียค่ารักษาพยาบาล  ทีเป็นแสนๆ เป็นชาวนาไม่มีประกันสังคมอะไรสมัยก่อน จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 13:10:52

ความคิดเห็นที่ 15  หมู่บ้านผมทำนาเป็นอาชีพเสริมกันหมดแล้วครับ ปลูกเอาไว้กินไม่เน้นขาย ใช้ปุ๋ยเคมีน้อย เน้นใช้ปุ๋ยคอก ให้ต้นทุนมันต่ำ หมดหน้านาก็เอาที่นาปลูกพืชอายุสั้นขาย ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังๆก็ไปเป็นข้าราชการ ค้าขาย  รับจ้าง ตามความสามารถของตนเอง เป็นเกษตรสมัครเล่น ไม่ได้เป็นเกษตรอาชีพแบบสมัยบรรพบุรุษแล้วครับ อาผมเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน พอถึงหน้านา แกก็ยังมาทำนาเลยครับ ปลูกเอาข้าวไว้กินตลอดปี ไม่ต้องซื้อให้เปลือง   แถวบ้านผมปลูกขายไม่ได้หรอกครับ มันขาดทุน ผลผลิตต่อไร่มันได้ไม่เยอะเท่าที่ภาคกลาง แถวนั้นเขาปลูกข้าวได้ปีละ ๒ - ๔ ครั้ง  จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 13:23:24

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านแล้วอย่าตกใจนะครับ สำนักเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรเคยทำการวิเคราะห์คิดคำนวณต้นทุนทุกอย่าง การทำนาทำกำไรได้เพียง 80 บาทต่อข้าว 1 ตัน ถ้าต้องการกำไร 10,000 บาท ต้องขายข้าว 125 ตัน  ปัจจุบันชาวนาไทยปลูกข้าวได้ไร่ละประมาณ 600 กิโลกรัม จึงต้องใช้พื้นที่ทำนา ประมาณ 208 ไร่ แต่ที่คิดให้ดูนี่ไม่ถูกต้องเพราะในชีวิตจริงค่าใช้จ่ายบางอย่างชาวนาเขาไม่คิดมาเป็นต้นทุน จากคุณ : BPN_Dol เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 13:54:04

ความคิดเห็นที่ 17 เจอลูกชาวนามาเรียนในกรุงเทพ ซื้อไอโฟน 1 เครื่อง ข้าวก็หายไป 3 เกวียน/ปี แล้ว จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 14:01:10

ความคิดเห็นที่ 18 ต้นทุนที่กล่าวมา สำหรับเกษตรกรบางคน มันต้องรวม หนี้สิน ดอกเบี้ย สารพัดเข้าไปอีกครับ เพราะ ไม่ได้มีทุกคนที่มีเงินทุนเป็นกอบเป็นกำ เวลาทำนาทำไรแต่ละปีก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เขามาทำ พอทำได้แล้ว ก็ต้องขายเอาเงินไปใช้หนี้เขา ขายหมดก็ไม่ได้ ต้องเหลือไว้กิน อย่างบางคนกู้เงินธกส.มาทำ กู้มา สี่หมื่น ทำได้ หกหมื่น หักลบกลบหนี้แล้ว ไม่เหลืออะไร แค่มีกินไปวัน ๆ เพราะทุกคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน รายได้เลยไม่เท่ากัน ถ้าคนทำมีเงินทุนเพียงพอ ทำไปยังไงก็ได้กำไร มีเงิน แต่ถ้าให้คนที่มีหนี้สินมาทำ ปีนี้ ยืมเขามา สี่หมื่น ทำได้หกหมื่น ก็ต้องใช้คืนไปสี่หมื่น เหลือสองหมื่น เอาไว้กิน ปีหน้าก็ต้องกู้มาทำอีก เป็นวังวนต่อไป เกษตรกรเลยไม่มีเงินกันซักที บางที คนทำแค่สองสามคน แต่คนรอใช้เป็นสิบ อย่างครอบครัวผม คนที่ทำนาจริง ๆ มีแค่พ่อกับแม่ แต่พอเก็บเกี่ยวเสร็จ ญาติ พี่น้อง ก็มาใช้ด้วย จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 14:23:49

ความคิดเห็นที่ 19 ปัญหาของเกษตรกรคือ หมดไปกับค่าปุ๋ยค่ายาอันเนื่องมาจากความเชื่อผิดๆ และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงวิธีทำนา หวังพึ่งปุ๋ยยาฆ่าหญ้ายาฆ่าแมลงเป็นหลัก  บอกให้ใช้วิธีปลูกนาดำก็ไม่ทำ ไปทำนาหว่าน พอข้าวโตแย่งอาหารกันเองก็ใส่ปุ๋ยมากขึ้น  พอต้นข้าวโตชิดกันเกินไปก็เกิดปัญหาโรคและแมลงก็ใช้วิธีกระหน่ำยาฆ่าแมลง พอใช้ยาฆ่าแมลงก็ผลข้างเคียงต้องไปรักษาตัวโรงบาลหมดเงินอีก แต่จะบอกว่าทางรัฐไม่ให้ความรู้ไม่ได้นะ ทางรัฐพยายามให้คำแนะนำให้ความรู้เสมอ แต่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ยอมรับฟังและไม่นำไปใช้ มีเพียงชาวนาบางส่วนที่เข้าใจและยอมรับความรู้แบบนี้เท่านั้นแหละที่ทำให้ได้กำไรได้ ปัญหาข้าวราคาตกต่ำมันเกิดจากการที่เก็บเกี่ยวพร้อมกันเอาไปออขายพร้อมๆกัน ชาวนาบางคนข้าวพึ่งกำลังเหลืองได้ที่ก็เก็บเกี่ยวทันทีกลัวราคามันจะตก ไม่รอให้ข้าวสมบูรณ์เต็มที่  หรือบางคนก็ไม่มีที่เก็บข้าวหรือยุ้งฉางเมื่อได้ผลผลิตแล้วต้องขายทันทีทำให้ขายข้าวในขฯะที่ราคาไม่ดี ปัญหาการทำนาแล้วขาดทุนมีอีกเยอะครับ แต่โดยรวมแล้วปัญหานั้นเกิดจากบุคคลซะส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการเป็นชาวนาแล้วต้องจนเสมอไป บ้านผมมีที่นาไม่ถึง 10ไร่ ถ้าทำเองก็ได้ราวๆ เกือบๆแสนต่อปีหรือมากกว่า ปลูกข้าว 1 ครัง ปลูกถั่วเหลือง 1 แต่เดี๋ยวนี้ให้คนอื่นมาเช่าที่คิดค่าเช่าเป็นผลผลิตเอามากินทีี่เหลือก็เอาไปขาย วันก่อนก็พึ่งเอาไปขาย 1ลำรถปิ๊กอัพ ได้มาอีกหมื่นกว่าๆ(ข้าวที่เหลือจากการแบ่งไว้กินของปีที่แล้ว) จากคุณ : Mr.Sagittarius เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 14:39:03

ความคิดเห็นที่ 20  ชาวนาหัวดีๆและมีทุน ทำนาไม่ขาดทุนหรอกครับ บ้านผมทำนาไม่ขาดทุนหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เน้นขายซักเท่าไร เหลือกินถึงจะขาย พ่อผมแกคนหัวคิดแปลกใหม่ไม่เหมือนใครแถวบ้านซะด้วย ตอนหลังๆคนแถวบ้านหันมาทำนาแบบพ่อผมหมดเลย   พวกชาวนายุคเก่าตอนนี้กำลังลำบากมากครับ ชอบยึดติดแนวคิดเดิมๆ ทำไปขาดทุนไป แต่ไม่พัฒนาวิธีทำนาหรอกครับ ไปสอนก็หาว่ารู้มากอีกซะงั้น  จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 14:45:27

ความคิดเห็นที่ 21 ล๊อตที่ผ่านมาทำ 62ไร่ ได้ประมาณ 50 ตัน ขายได้เฉลี่ยตันล่ะ 10000 บาท ปีนึงทำ 2 ครั้ง ถ้าน้ำไม่ท่วมก็ทำ3 ครั้งได้(แต่ไม่เสียงเพราะมันท่วมทุกปี) ถ้าจะเอากำไรเฉลี่ยเดือนล่ะ 10000 ผมว่า ทำสัก 10 ไร่ก็พอแต่ทำ 3 ครั้ง/ปีนะ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 15:01:29 A:1.47.250.25 X: TicketID:283347

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบได้แค่ว่า พื้นที่นาไม่ได้เป็นตัวกำหนดรายได้ต่อเดือนเพียงปัจจัยเดียวครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 15:50:20

ความคิดเห็นที่ 23 หลายๆคนเข้าใจว่าเกี่ยวข้าวมา 100 กิโล จะขายข้าวได้100กิโล มันผิดน่ะครับ ข้าวเปลือกเอาไปสีก้ได้ข้าวแค่ครึ่งเดียวเท่านั่นเอง ส่วนท่านใดบอกให้ใช้เทคโนโลยีช่วย อย่างเช่น อย่าไปเผาฟางข้าว ให้ไปทำนาดำ ท่านรู้ไหมว่า ให้ค่าจ้างไถกลบฟางข้าวเท่าไร จ้างคนไปดำนาเท่าไร(ถ้าท่านมีเนื้อที่10ไร่ ท่าดำคนเดียวจะไหวไหม จะเสร็จทันไหม) รถไถเกี่ยวข้าวคุณรู้ไหมเขาขายคันเท่าไร ที่บอกว่ารัฐให้ความรู้ แต่ไม่ให้ทุนมามันจะไปทำอะไรได้เท่าไรเชียว ไม่ได้จะพาดพิงน่ะครับแต่เมื่อก่อนก็เคยคิดเยี่ยงนี้จนไปเจอเข้ากับตัวเอง ทำให้รู้ว่าบางครั้งให้เขาเข้าถึงแหล่งทุนก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งครับ จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 16:16:20

ความคิดเห็นที่ 24 จาก คห 16  น่าจะได้คำตอบแล้ว และอ้างอิงได้ด้วย และอย่าลืมค่าเสียโอกาสของเิงินลงทุน และค่าแรงในการจัดการ หรือทำนาด้วยแม้ว่าเราลงแรงเองก็ตาม   ผมขอแสดงความเห็นบ้าง      ปีที่ผ่านมานี้ผมเพิ่งทำนาปีแรก   ได้เงินไม่มาก ทุกอย่างจ้างเค้าหมด  ถ้าคำินวนเฉพาะ เงินเข้าเงินออก ไม่ขาดทุน มีส่วนเกินเล็กน้อย   แต่หากคำนวนทางเศรษฐศาสตร์แล้วคิดว่าจะขาดทุน เพราะมีค่าเสียโอกาส จากการลงแรง ในการจัดการ และค่าความเสี่ยงที่สูงมาก    สิ่งที่ได้อย่างหนึ่งที่ชอบของผมคือ ได้ข้าวที่ปลอดสารพิษ  และอร่อยมาก เรื่องที่ฟังดูเกินไปหน่อย คือ ผมรู้สึกว่าเป็นข้าวที่อร่อยที่สุดในชิวิตที่เคยกินมาเลย ผม เอามาเป็นของขวัญให้เจ้านายและเพือนๆ ทุกคนรู้สึกความแตกต่างจากข้าวทั่วไปที่ซื้อกินในเิชิงบวก    คิดว่าถ้าหวังว่าจะทำนาเป็นอาชีพแล้ว  ตัวเองจะไปไม่รอด ไม่มีรายได้เพียงพอ    ความคุ้มค่า มีน้อย เพราะ รู้สึกเสี่ยง กับ สภาพน้ำ การดูแล และตลาด    ผมทำได้ปีละครั้ง ต้องรอน้ำจากฝนในฤดูฝนเท่านั้น หากผิดปกติ ก็ขาดทุนแน่ๆ    และหากเกี่ยวช้าหรือเร็วไปก็จะได้ข้าวไม่พอดี  ตากมากไปน้อยไปก็ไม่พอดี    ซึ่งพอขายโรงสี ก็จะโดนหัก ความชื้นและลักษณะข้าวที่หัก จากคุณ : dogmatist เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 16:16:54

ความคิดเห็นที่ 25 เจ๊ท โด้ มีพี่ที่บริษัทผม จะลาออกไปดูที่นาอยู่ เห็นบอกว่าบ้านแกทำนา หักทุนแล้ว เหลือกำไรปีละล้านกว่าบาท คุ้มกว่านั่งปวดหัวเป็นลูกจ้างเขา มีที่นากี่ไร่ล่ะเนี่ย จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 16:40:07 A:58.10.235.173 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 26 ผมมีคนรู้จักหลายคน ที่เป็นหนี้ ธกส. เวลา เขาทำไร่(ไม่นับทำนานะ เพราะที่บ้านทำได้ครั้งเดียว ส่วนมากจะเก็บไว้กิน ไม่ค่อยขายกันนอกจากจำเป็น) มีที่ 10 ไร่ ปลูกมันปลูกอ้อยหมด เป็นหนี้ธกส. อยู่ ซึ่ง ธกส.ถ้าจำไม่ผิดว่า ใคร ได้เป็นลูกค้า ระดับ AAA คือชำระหนี้ตรงตามกำหนดทุกปี มีสิทธิ์กู้ได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5000 บาทมั้ง ปีนี้แกกู้มันแล้วขายได้ เอาไปใช้หนี้ ธกส. พอใช้เสร็จแกก็ กู้ต่อเลย ใช้ไปสองหมื่น กู้มาสองหมื่นห้า ปีหน้า ใช้ไปสองหมื่นห้า กู้มาอีก สามหมื่น เป็นอย่างนี้ ปีไหน ที่ผลผลิต มันไม่ได้ตามเป้า ปีนั้นแกก็ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาเพื่อนที่จะเอาไปส่งต้นให้กับธกส. จนกลายเป็นวังวนไม่รู้จบ ส่วนหนึ่งผมก็โทษภาครัฐนะ ดีแต่ปล่อยให้กู้ แต่ไม่ติดตามผลของเงินที่ให้กู้ไปว่า ชาวบ้านชาวช่องเขาเอาเงินไปทำอะไรกันจริง ๆ เงินที่ได้มามันเลยไม่เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่างเงินกองทุนหมู่บ้าน คนที่กู้กับคณะกรรมการก็เออ ออ ห่อหมก ใครที่ไม่มีเงินจ่ายก็ไปขอกู้กับคณะกรรมการ แล้วกรรมการก็กินดอกต่อ ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเกษตรกรเองที่ไม่รู้จักวิธีใช้เงิน ส่วนหนึ่งก็มาจากทางภาครัฐ มันจึ่งทำให้เกษตรกรประเทศไทยถึงได้ไม่พัฒนา ไม่มีกินไม่ใช้ซักที จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 16:40:29

ความคิดเห็นที่ 27 รายได้ = จำนวนข้าวที่ขายได้ x ราคา - ต้นทุน ข้าวเป็นสินค้า commodity คือซื้อจากลุงมาหรือลุงมี ก็คือข้าวเหมือนกัน ไม่มีจุดเด่นอะไร ราคาข้าวเป็นปัจจัยภายนอกที่คุมไม่ได้ จึงขึ้นกับ demand / supply อย่างเดียว แต่ยังมีรัฐประกันราคาให้ คุณต้องตอบโจทย์ให้ได้ 1) เพิ่ม จำนวนข้าวที่ขายได้ = เพิ่ม Productivity / เพิ่มจำนวนไร่ 2) ลด ต้นทุน จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 17:29:03

ความคิดเห็นที่ 28 ได้นะได้นะพ่อเพื่อนผมก็ทำนาได้ประมาณหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เหลือแสนสอง(แต่เขาลืมหักค่าแรงตัวเองด้วยอะ) จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:03:02

ความคิดเห็นที่ 29 ทำนาแล้วไม่จนหรอก คนที่ทำแล้วจนมักไม่ปรับตัวและไม่เคยโทษตัวเอง เวลาจนมักโทษคนอื่น แล้วพ่อค้าที่ผันตัวเองมาทำนาก็ไม่เคยเห็นบ่นว่าขาดทุน ก็ยังบอกว่ามีกำไร รู้งี้มาทำนาตั้งแต่แรกแล้ว -*- น่าแปลกจริงๆ ใครหลอกใคร ก็ไม่รู้ เหอๆๆ ถ้าลำบากก็ไปทำอาชีพเหอะพ่อคุณ ไม่มีใครห้าม แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 19:07:57 จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:06:42

ความคิดเห็นที่ 30 ทำเกษตร อยากรวยต้องมีทุน จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:13:58

ความคิดเห็นที่ 31 เท่าที่ฟังมาจากชาวนาแถวๆสุพรรณ นครปฐมถ้ามีที่นาเอง ในหนึ่งปีทำนาครั้งแรกจะได้ทุนคืนกับกำไรพอเอาไว้ทำรอบต่อไป หลังจากนั้นขายได้เท่าไหร่ก็เป็นกำไรล้วนๆ มีที่นาซัก 20ไร่ ปีนึงก็ได้หลายแสนนะครับ เพราะทำได้สามสี่รอบต่อปี แต่ก็ได้เฉพาะแถบภาคกลางที่น้ำถึงดินดีนั่นล่ะครับ จากคุณ : โชคลาภย่อมบำเรอแด่คนใจเด็ด เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:24:36

ความคิดเห็นที่ 32 มีใครจะเสี่ยงไปทำนาบ้าง  เอ้าลองดู    แล้วจะรู้ว่าทำไมชาวนาถึงอวยพรให้ลูกเรียนเก่งๆ จะได้ไม่ลำบากแบบตัวเอง จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:45:47

ความคิดเห็นที่ 33 คห.23 แล้วเราจะมีธกส. ไว้ทำพระแสงชะเอม๗๙ หรือครับ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 19:46:26

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นเขาบอกว่าให้ใช้ควายไถนาจะได้ลดต้นทุน คนที่ออกสปอตเรื่องนี้มันเคยทำนารึเปล่าฟระ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 55 18:52:59 จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 20:21:56

ความคิดเห็นที่ 35 งั้นก็ทำตลาดข้าวออกแกนิก ใส่สตอรี่ขายตลาดบนเลยดิ ทีชาขี้แพนด้ายังขายได้กิโลละเป็นหมื่นเป็นแสน ข้าวหอมมะลิที่ปลูกด้วยน้ำตา หยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ วิญญาณ ชีวิตสุดแสนจะดราม่าของชาวนา ก็น่าจะขายได้เช่นกัน กินข้าวไปพร้อมเสพรับสตอรี่ไป น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มันเป็นรสชาติที่สุดจะบรรยายออก มาเป็นคำพูดได้ ถูกจริตต่อมรับรสพลเมืองชั้นสูงของโลกนักแล สรรหาของแปลกของเลอเลิศ จากทุกมุมโลกมาปรนเปรอให้มีกำลังใจค้ำยันเสาหลักเศรษฐกิจของโลก แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 20:55:32 จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 20:52:35

ความคิดเห็นที่ 36 ต้องคิดเรื่องต้นทุนกันใหม่ซะก่อน  ถ้าเรามัวแต่บอกว่าต้นทุนคือเงิน หรือที่นาแล้วล่ะก็ต่อให้มีทุนสองอย่างนี้มากแค่ไหนก็หมด ต้นทุนนั้นควรรวมไปถึง ทุนความรู้  ทุนเวลา ทุนความอุตสาหะ หลายคนบอกไม่ได้หักค่าแรงตัวเองผมก็งงๆนะ กำไรที่ได้หน่ะแหละก็คือค่าแรงตัวเอง  จะค่าแรงมากจะค่าแรงน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ลงทุนไปนั่นเอง อยากลดต้นทุนเงิน ก็ต้องทดแทนด้วยต้นทุนความรู้ และต้นทุนความอุตสาหะ เพราะต้นทุนสองอย่างนี้ได้มาฟรีๆ หรือน้อยมากๆ ไม่ใช่ว่าใช้ไปมากๆมันจะหมดไปซะเมื่อไหรกันล่ะ การใช้เครื่องจักรการเกษตรก็เป็นเรื่องดีที่จะมีไว้ใช้งาน แต่ไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้วใช้เฉพาะตัว ในหมู่บ้านผมก็มีอยู่สองสามเจ้าไปขอกู้เกษตรมาซื้อ มีอยู่เจ้าหนึ่งลงทุนซื้อมาแต่ใช้เฉพาะที่ตัวเองไม่รับจ้างคนอื่นมันก็เป็นภาระ สู้อีกสองเจ้าที่เหลือไม่ได้มีงานตลอดทั้งปีสามารถผ่อนหมดได้ในสองปี  ที่รู้เพราะพ่อเป็นหัวหน้ากลุ่มธกส.   ในส่วนของทุนนั้นไม่ใช่ว่ารัฐไม่ให้ความช่วยเหลือนะครับ ธกส.ก็สามารถกู้ได้เดี๋ยวนี้ที่หมู่บ้านผมหลายคนเขากลับมาที่บ้านทำนาหลายคน เขาก็สามารถทำเรื่องกู้เงินมาลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อที่นา กู้ซื้อเครื่องจักรทางการเกษตร เค้ามีเจ้าหน้าที่มาตรวจถึงที่นา  หรือไปดูถึงสัญญาซื้อเครื่องจักรเลยทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องมีเครดิตที่ดีหน่อย  เพราะธกส.มีลูกหนี้ที่กู้เงินมาแล้วไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เยอะมากครับ ลูกกลุ่มธกส.ของพ่อผมเนี้ยแบบว่าเกินครึ่งเลยล่ะ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 21:14:14 จากคุณ : Mr.Sagittarius เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 21:11:09

ความคิดเห็นที่ 37 ใครอยากกินข้าวจานละแสนก็กินไปนะครับ เดี๋ยวไปขนข้าวเวียดนามมากิน ยิ่งเปิดเสรีอาเซียนน่าจะเอาเข้ามาได้ง่ายหน่อย คุณภาพต่ำกว่ากันหน่อยคงไม่เป็นไรแต่ก็อิ่มท้องเหมือนกัน จะมีใครหาว่าไม่รักชาวนาเกษตรกรของชาติหรือเปล่าวะเนี่ย ไม่กินข้าวไทยจะไล่ไปอยู่้ที่อื่นเปล่าวะ 5555 จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 23:20:32

ความคิดเห็นที่ 38 แล้วท่านเจ้านรกเคยไปใช้บริการ ธกศ ไหม รู้ไหมว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หือ คาดว่าคงไม่เคยเพราะมัวแต่พูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 55 00:32:20 จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 00:31:34

ความคิดเห็นที่ 39 กว่าจะเป็นสมาชิกธกส.ได้นี่โคตรลำบาก กว่าจะเปิดกว่าจะได้เป็น กว่าจะหากลุ่มได้ ต้องมีบ้าน มีที่ แล้วก็รอประชุมนั่น ๆ นี่ เป็นปี ๆกว่าจะได้เป็น แถมเป็นแล้วกว่าจะได้เป็นสมาชิกระดับ AAA นี่ก็ใช้เวลาหลายปี ต้องส่งเงินฌาปนกิจ จะปาถะ ประชุมนั่น นี่  หึหึ ยุ่งยากครับ กว่าจะได้เป็นสมาชิก เว้นแต่จะได้สืบทอดเป็นมรดก จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 01:54:04

ความคิดเห็นที่ 40 ผมว่า อาชีพชาวนามันไม่ได้แย่นักหรอก ... ไม่งั้นถามว่า นักการเมืองส่วนนึงจะโตขึ้นมาได้ไง ถ้าไม่เริ่มจากทำนาทำไร จนตั้งตัวมาเป็นโรงสี ปัญหาจริงๆคือการกินรวบ ทำให้โอกาสไม่ทั่วถึงสำหรับคนที่มีความสามารถ ถ้าลองถามจริงๆ ตามคณะดังๆ มหาลัยดังๆ ดีไม่ดีครึ่งนึงของนิสิต นักศึกษา ก็ต้องมีรากเหง้าเคยเป้นชาวนามาทั้งนั้น แถวยังมีที่นากันคลละ สิบยี่สับไร่ๆกัน เอาว่า ทำนาส่งลูกเรียนใหญ่โตกันมาได้หลายยุคแล้ว เพียงแต่ พอเด็กโตในสายงานอื่นที่ สบายกว่า ก็เลยลึมวิธีทำนาไป พอคนเก่งๆ ไม่อยู่นา นาก็เลยไม่พัฒนา ไม่มีอำนาจการต่อรอง พวกที่เหลืออยู่ แล้วเก่งๆ พวกนี้ก็ไปเป้นนักการเมืองทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 02:05:38 A:124.120.172.74 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 41 ใครคำนวณได้บ้าง "อาชีพทำนา" ถ้าต้องการรายได้เฉลี่ยเดือนละ 10000 บาท ต้องใช้ที่นาทั้งหมดกี่ไร่ ในความเป็นจริงแล้วการคำนวณรายได้เฉลี่ย ไม่ได้คิดแค่เพียงจากจำนวนพื้นที่มากน้อยของนา เพราะเกษตรกรในแต่ละพื้นที่มีปัจจัยต้นทุนทางธรรมชาติ ปัจจัยต้นทุนทางเศรษฐกิจ ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. และนาย ข. มีพื้นที่นาเท่ากันคือ 1 ไร่ บ้านนาย ก. เป็นพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง เป็นนาน้ำลึก พื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม ทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ปลูกข้าวพันธุ์ขาวบ้านนา 432 ได้ข้าว 2 คราว บ้านนาย ข. เป็นพื้นที่ภาคเหนือ เป็นนาน้ำฝน พื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมอย่างฉับพลัน ทำนาได้ปีละครั้ง ปลูกข้าวพันธุ์ข้าวเจ้าหอม ได้ข้าวคราวเดียว พันธุ์ข้าวที่นำมาใช้เพาะปลูกย่อมแตกต่างกันตามสภาพ พื้นที่ ราคาพันธุ์ข้าวก็แตกต่าง ตามจุดเด่น และข้อดี ของแต่ละพันธุ์  ผลผลิตต่อไร่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการทำนา การดูแล การเก็บเกี่ยว ส่วนราคาก็ขึ้นอยูกับความชื้น กลไกตลาด และคนกลาง  นอกจากนี้รายได้ยังขึ้นกับการเป็นหนี้ตอนลงทุนทำหรือไม่ด้วย ***ทุกอย่างไม่แน่นอน...คนทำนาบางคนรวยมีกำไรเหลือเก็บมากรายได้ต่อปีหารเฉลี่ยแล้วมากกว่าเงินเดือนมนุษย์เงินเดือนหมื่นกว่าบาท แถมเป็นนายตัวเอง บางคนทำนาก็ประสบปัญหาขาดทุนก็มีเช่นกัน หารเฉลี่ยแล้วไม่ถึงหมื่นก็มี... จากปัจจัยหลายๆด้านที่เกี่ยวข้องคิดง่ายๆ นาย ก. มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีรายได้มากกว่า นาย ข. ทั้งที่มีพื้นที่นาจำนวน 1 ไร่ เท่ากัน ดังนั้นจำนวนไร่ไม่สามารถระบุ/คำนวณรายได้ที่แน่นอนได้หลังเฉลี่ยแล้วว่าจะได้อัตรา 10,000 บาท/เดือน จากคุณ : ชีพชีวิน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 06:57:32

ความคิดเห็นที่ 42 ปล.แถวบ้านเราอาชีพหลักคือทำนา เราทำงานในระบบเงินเดือนทั้งปี ยังได้ไม่เท่าพี่ป้าน้าอาที่ขายข้าวคราวเดียว คำพูดติดปากอย่างหนึ่งที่แถวบ้านเราพูดกันขำๆ แต่อาจเป็นข้อคิดถึงใครอีกหลายคนได้ "คนทำงานบริษัทแต่งต้วโก้ ขับรถรุ่นใหม่ แต่ที่ไหนได้.....เป็นลูกหนี้ชาวนา" จากคุณ : ชีพชีวิน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 07:08:18

ความคิดเห็นที่ 43 ประมาณ 30 ไร่ครับ ผมอยู่อีสาน การทำนาจะขึ้นอยู่กับฟ้าฝนเป็นสำคัญ ปลูกข้าวหอมมะลิจะได้ประมาณ 500 กก./ไร่  ปีที่แล้วราคาข้าวสดเกี่ยวเสร็จใหม่ กก.ละ 13.80 บาท ตกไร่ละ 6,900 บาทครับ จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 08:41:48

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณกระทูนี้มากครับ เพิ่งซื้อที่ 55 ไร่ แถวสายเอเซียนครสวรรค์ ว่าจะหนีเมืองกรุงไปทำการเกษตร ได้อ่านข้อมูลจากระทู้นี้ได้ความรู้ดีมากเลยครับ จากคุณ : snk เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 09:17:21

ความคิดเห็นที่ 45 #44 ไร่ละเท่าไรครับ จากคุณ : พระจันทร์สีฟ้า เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 10:15:23

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้ามันสำปะหลังกิโลล่ะ2บาท ถ้า1ไร่ได้ผลผลิต 8ตันต่อไร่ ถ้ามีที่50ไร่ จะได้เงินอย่างน้อย 800000บาทต่อปี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ มันมีรายละเอียดมากกว่านั่น จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 10:36:36

ความคิดเห็นที่ 47 ทำสวนยางรายได้ดีกว่าครับอิๆ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 16:18:07

ความคิดเห็นที่ 48 จริงๆชาวนาไม่ได้อดอยากนะ ข้าวก็มีกินแถมเลี้ยง เป็ด ไก่ หมู ปลา สารพัดพืชผักก็ปลูกเอง หาเก็บกินได้ ถ้าพอมีทุนแล้วบริหารนาดีๆนี่กำไรปีละหลายแสนเหมือนกันนะ แต่ที่ดูเหมือนชาวนาจะยากจนอยู่เพราะบ้านเรายังทำเกษตรแบบโบราณอย่างข้างบนว่า ประกอบกับชาวนาไม่มีทุนต้องไปกู้มาทำนา พอผลผลิตราคาไม่สูงกำไรก็ลดลง ไหนจะต้องส่งลูกเรียนอีก ก็เป็นหนี้เข้าไปใหญ่ จากคุณ : lukva เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 20:16:06

ความคิดเห็นที่ 49 จริงแท้ครับ อีสานตอนบนถึงได้เลิกทำนาหันไปทำสวนยางกันเยอะเลย จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 20:16:41

ความคิดเห็นที่ 50 บ้านผมที่บนเขาก็เปลี่ยนจากปลูกมันเป็นยางเกือบหมดแล้วครับ เพราะปลูกทีเดียว ที่เหลือก็บำรุงอย่างเดียว หาแค่คนงานดูแลกับกรีด ไม่ต้องเยอะเหมือนทำเกษตรแบบอื่น จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 55 11:34:23

ความคิดเห็นที่ 51 ผมคิดว่าทำแบบเกษตรสวนผสมน่าจะคุ้มสำหรับคนที่ยังมีกำลังไม่มากครับ มีที่ดินซัก 10 ไร่ แบ่งทำนาครึ่งหนึ่ง ที่เหลือปลูกพืชสวนครัว ทำขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้เก็บกักน้ำ ไปด้วย วิธีลดต้นทุน ได้แก่ 1. อาหารการกินก็กินพืชผักสวนครัว ข้าว ปลา ที่ปลูกที่เลี้ยงเอง ประหยัดไปได้หลายมื้อ 2. ปุ๋ย ก็หันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ หมักเอง หรือใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีอย่างละครึ่งก็ยังดี 3. แรงงาน ก็ใช้ระบบช่วยเหลือ ไม่ต้องจ้าง 4. ต่อยอด ต้องแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าบ้าง ผมเชื่อว่าหากมีเก็บเป็น "อาหาร" ทุนสำรองที่ทำให้เราอิ่มท้องได้แล้ว พอขายสินค้าออกไป ก็ค่อยๆ สะสมเงินทอง เอาไปออม เอาไปลงทุนต่อให้งอกเงย ... หรือเก็บเป็นทุนสำรองใช้ลงพืชในรอบต่อไป ไม่ต้องกู้มาลงทุน ไม่ต้องกู้มากิน กู้มาใช้ ทำสะสมไปเรื่อยๆ อาจใช้เวลาหน่อย ถ้ามีเงินทุนมากพอค่อยขยับขยายให้เป็นอุตสาหกรรมเกษตรใหญ่ขึ้น ก็จะยั่งยืนกว่าการคิดรวยเร็วในครั้งเดียวครับ คำว่า "พอเพียง" ความหมายมันลึกซึ้ง หากไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจไปตลอดชีวิต จนวันตาย แต่หากเข้าใจได้ ก็จะเป็นการพลิกชีวิต ยกระดับความคิดครั้งยิ่งใหญ่ ให้หายเจ็บ หายจนได้ มีคนพิสูจน์มาแล้ว ทำได้จริง อยู่ที่ว่าจะทำกันหรือไม่ครับ... "ถ้ามัวแต่เปรียบเทียบกับคนอื่นมากๆ สุดท้ายก็จะเห็นตัวเองน่าเกลียดครับผม" จากคุณ : คนไทยไม่ท้อ เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 55 16:59:22 A:202.44.8.100 X: TicketID:324733

ความคิดเห็นที่ 52 ^ ^ แรงงานระบบช่วยเหลือนี่ฝันไปได้เลยครับสมัยนี่ แรงงานเกษตรเป็นอะไรที่หายากมาก พี่น้องกันยังต้องจ้างกันเลยครับ เพราะ เงินมันกลายเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่ได้ใช้ซื้อกิน แต่ก็ยังต้องมีเงินไว้จ่ายให้ลูกหลานไปเรียน แรงงานสมัยนี้จึงไม่มีคำว่าฟรี หรือขอแรงกันหรอกครับ ปล. บ้านผมเคยทำแบบนี้ คือ ตอนดำนา อาผมขอแรงบ้านผมไปช่วยกันลง ที่สิบกว่าไร สี่ห้าวันเสร็จหมด บ้านผมยกบ้านไปช่วยกัน 5 คน แต่พอถึง คิวบ้านผมขอมั่ง มีมาคนเดียว แถมมาแบบครึ่งวันอีก นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมฟันธงไว้ก่อนเลยว่าการช่วยเหลือในยุคนี้เป็นไปได้ยากมาก จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 55 18:52:38

ความคิดเห็นที่ 53 พ่อผมทำนา 15  ไร่เศษ เฉลี่ย ได้เดือนละ 15000 เป็นอย่างต่ำครับ อันนี้เอาเงินที่ได้ในปีมาหาร 12 นะครับ ทำนาปรังครับ จากคุณ : NiGht pRincE เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 02:59:56

ความคิดเห็นที่ 54 ต้องไปดู คนค้นคน ตอน ชัยพร ชาวนาเงินล้านค่ะ ปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ แต่ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แถมเครื่องทุ่นแรงที่ใช้ ส่วนมากเค้าก็ประดิษฐ์เองซะด้วย นาที่ทำก็เป็นนาหว่าน ไม่ใช่นาดำ ใช้เครื่องหว่านข้าว เพราะหว่านได้สม่ำเสมอกว่าหว่านมือ ใส่ปุ๋ยขี้หมู ใส่น้ำหมักชีวภาพทำเอง ปั๊มน้ำ ก็ซื้อที่มันเก่าๆ พังๆ มาซ่อม วางทิ้งไว้ก็ไม่กลัวหาย เค้าบอกว่าต่อให้ราคาข้าวตกต่ำเหลือเกวียนละ 8 พันเค้าก็สบาย เพราะต้นทุนเค้าเกวียนละไม่ถึง 3 พัน ให้เงินเดือนตัวเองกับภรรยา คนละ 5 หมื่นค่ะ ทำนากันเองแค่สองคนผัวเมีย แต่ตอนนี้ลูกคงมาช่วยบ้างแล้ว ลูก 3 คน ส่งเรียนจบ ป.โท ทุกคน ถ้าอยากเรียน ป.เอก ให้ไปหาเงินเรียนเอง 555 จากคุณ : == พิ้งค์กี้ == เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 17:16:15