ความคิดเห็นที่ 1 สงสัยเหมือนกันครับ ไม่ทราบว่าทำไมเขาต้องเขียนพุทธประวัติอย่างนี้ จากคุณ : ชาวทัวร์ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:41:40

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้ามีใครบางคนที่รู้สึกเป็นสุขที่ได้รับข้อมูลตรงนี้ ผมก็ถือว่านั่นคือกุศโลบายครับ ไม่สำคัญเลยว่านั่นจะจริงหรือไม่ ส่วนตัวผมไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าคนที่เชื่อ จะเกิดความเสียหายหรือโง่เขลาแต่อย่างใด แต่จะไปชี้ว่าลวงโลก ผมว่ามันออกจะเกินไปหน่อยครับ และเหมือนไม่ให้เกียรติคนที่เค้าเชื่อด้วย จากคุณ : Limelight เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:42:00

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าว่าจริงๆ มันก็ไม่จริงละ เกิดเหมือนคนปกติทั่วไป แต่สร้างตำนานให้เกิดความรู้สึกมหัศจรรย์ น่าเคราพนับถือ ไม่ถึงขั้นล่วงโลก จากคุณ : stlive เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:43:15

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้ามันไม่จริง ก็เท่ากับลวงโลกนั่นแหละ ไม่ต้องสรรหาคำมาทำให้ดูดีหรอก - - จากคุณ : Mikegelo เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:45:03

ความคิดเห็นที่ 5 กุศโลบายครับ แต่ถ้าใช้เพื่อโน้มน้าวอะไรบางอย่าง ผมมองว่าลวงโลกครับ จากคุณ : SuperTee (itCrazy) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:45:36

ความคิดเห็นที่ 6 ผมคิดว่าจริง แต่เพราะคนทั่วไป ไม่สามารถเดิน7ก้าวตอนเกิดได้ เลยคิดว่าไม่มีจริง จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:46:02

ความคิดเห็นที่ 7 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:28:46 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:49:18

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ควรใช้คำว่าลวงโลกเลยครับ ดูไม่เหมาะไม่ควร ถามแค่ว่า เรื่องจริงหรือไม่จริง และท่านมีเหตุผลสนับสนุนอย่างไร ก็น่าจะพอแล้ว จากคุณ : ebonydevil เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:49:23

ความคิดเห็นที่ 9 ใช้กับ  ลัทธิสายหลัก เรียก กุศโลบาย ใช้กับ ลัทธินอกรีต เรียก ลวงโลก ความยุติธรรมอยู่เคียงข้างผู้แข็งแกร่งเสมอ จงจำไว้ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:49:59

ความคิดเห็นที่ 10 #3 แค่ทำให้ "น่าเคราพนับถือ ไม่ถึงขั้นล่วงโลก" งั้น GT200, Scholar, MRET, ฯลฯ ก็ไม่ลวงโลกสินะ ผมว่าอะไรที่ไม่เป็นความจริง มันก็คือลวงโลกทั้งหมดแหล่ะครับ จากคุณ : Lucky Man. เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:51:20

ความคิดเห็นที่ 12 โมเสส สามารถแยกทะเลแดงได้ เยซู ก็เดินบนน้ำได้ แล้วทำไม พระพุทธเจ้า จะเดิน 7 ก้าวตั้งแต่เกิดบ้างไม่ได้ จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:53:25

ความคิดเห็นที่ 13 พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งภายใน7วัน ไม่อภินิหารกว่าเรอะ ผมมองว่าจะให้ศาสดาเป็นอะไรแบบเบสิคๆเหมือนคนทั่วๆไปไม่ได้หรอกครับ พวกนี้มันไม่ใช่แก่นของศาสนา ฟังเอาสนุกก็พอ จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:56:35

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องพุทธประวัติ ที่เป็นอภินิหาญ บางส่วนก็มาจากศาสนาพราหมณ์ครับ ที่อินเดีย ยุคหนึ่ง ทำการกลืนศาสนาพุทธ พราหมณ์จับพุทธมารวมกับพราหมณ์ โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าเป็นอวตารร่างหนึ่งของพระนารายณ์ แล้วบอกว่า คนที่นับถือพุทธก็คือนับถือพราหมณ์นั้นเอง และ คนที่นับถือพราหมณ์ก็ไม่จำเป็นไปนับถือพุทธ ศาสนาพุทธจึงค่อยๆหายไปจาก อินเดีย จากคุณ : du เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:56:50 A:203.149.4.38 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 15 เชื่อว่าคนที่เผยแผ่ศาสนาสมัยโบราณแต่ขึ้นเอง รวมถึงเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องคนที่เผยแผ่ศาสนาที่แต่งขึ้นเอง แต่งขึ้นเองเขียนเป็นวรรคเป็นเวร จากคุณ : ZHEZA_N1 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 14:57:37

ความคิดเห็นที่ 16 ลวงสำหรับคนที่ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ในการรับสัมผัส องค์สมเด็จเดินได้ ๗ ก้าวหลังการประสูติ สำหรับผมผมไม่คิดว่าอัศจรรย์เท่าสิ่งที่พระองค์ค้นพบเลยแม้แต่นิด อริยะสัจ ๔ ที่พระองค์ค้นพบประเสริฐและอัศจรรย์ยิ่งกว่านัก จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:03:20

ความคิดเห็นที่ 17 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:29:09 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:03:22

ความคิดเห็นที่ 18 ...พระเยซู เสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่ได้เสวยอะไรเลย ? ...พระเยซู รักษาคน เป็นอัมพาต เป็นง่อย หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ให้หายขาด ด้วยเพียงการสัมผัส ? ...พระเยซู ถูกตรึงกางเขน โดนแทงด้วยทวน จนสิ้นพระชนม์ และอีก 3 วัน ฟื้นคืนชีพมาใหม่ แล้วเสด็จขึ้นสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาเหล่าสานุศิษย์ ? ฯลฯ ...จริง หรือ ลวงโลก ?? ...ส่วน คัมภีร์อัลกุรอาน ยิ่งมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ...ใครสงสัย เชิญเลย ครับ จากคุณ : sungod เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:03:54

ความคิดเห็นที่ 19 การประสูติ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำเอามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า “ ดูก่อนอานนท์! หญิงอื่น ๆ ย่อมนั่งคลอดบ้าง นอนคลอดบ้าง. ส่วนมารดา แห่งโพธิสัตว์ หาเป็นอย่างนั้นไม่, มารดาแห่งโพธิสัตว์ ย่อม ยืนคลอด โพธิสัตว์” ดังนี้. ฯลฯ “ดูก่อนอานนท์! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่ง มารดา ในกาลนั้นเทวดาย่อมเข้ารับก่อนส่วนมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเข้ารับต่อ ภายหลัง” ดังนี้. ฯลฯ “ดูก่อนอานนท์! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่ง มารดายังไม่ทันถึงแผ่นดินเทพบุตรทั้งสี่ ย่อม รับเอามาวางตรงหน้าแห่งมารดา ทูลว่าแม่เจ้าจงพอพระทัยเถิด บุตรอันมีศักดาใหญ่ของแม่เจ้า เกิดแล้ว” ดังนี้. ฯลฯ “ดูก่อนอานนท์! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดา ในกาลนั้นเป็นผู้สะอาดหมดจด ไม่เปื้อนด้วยเมือก ไม่เปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปื้อน ด้วยเลือด ไม่เปื้อนด้วยหนอง ไม่เปื้อนด้วยของไม่สะอาดอย่างใด ๆ เป็นผู้ บริสุทธิ์สะอาดหมดจดมาทีเดียว.เหมือนอย่างว่า แก้วมณีที่วางอยู่บนผ้าเนื้อเกลี้ยง อันมาแต่แคว้นกาสี, แก้วก็ไม่เปื้อนผ้า ผ้าก็ไม่เปื้อนแก้ว, เพราะเหตุใด, เพราะเหตุว่ามันเป็นของสะอาดหมดจดทั้งสองอย่าง; ฉันใดก็ฉันนั้น ที่โพธิสัตว์ ออกมาจากท้องแห่งมารดา เป็นผู้สะอาดหมดจด ไม่เปื้อนด้วยเมือก ไม่เปื้อน ด้วยเสมหะ ไม่เปื้อนด้วยเลือด ไม่เปื้อนด้วยหนอง ไม่เปื้อนด้วยของไม่สะอาด อย่างใด ๆ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดมาทีเดียว” ดังนี้. ฯลฯ “ดูก่อนอานนท์! ในกาลใด โพธิสัตว์ออกมาจากท้องแห่งมารดา ในกาลนั้น ท่อธารแห่งน้ำสองท่อ ปรากฏจากอากาศ เย็นท่อหนึ่งร้อนท่อหนึ่ง, อันเขาใช้ในกิจอันเนื่องด้วยน้ำ แก่โพธิสัตว์ และแก่มารดา”. ดังนี้. ฯลฯ “ดูก่อนอานนท์! โพธิสัตว์ผู้คลอดแล้วเช่นนี้ เหยียบพื้นดิน ด้วยฝ่าเท้าอันสม่ำเสมอ มีพระพักตร์ทางทิศเหนือ ก้าวไป ๗ ก้าว, มีฉัตร สีขาวกั้นอยู่ ณ เบื้องบน, ย่อมเหลียวดูทิศทั้งหลาย และกล่าว อาสภิวาจา ว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย. บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี”. ดังนี้ บาลี อัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๒๕๑/๓๗๒-๓-๔-๕-๖-๗. จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:04:23

ความคิดเห็นที่ 20 ตามความคิดของเรา ไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใช่สิ่งลวงโลก เป็นเพียงสัญลักษณ์บางอย่างที่คนโบราณคิด อ้อ ที่จริง ตามพุทธประวัติ เขาสื่อว่า การย่าง 7 ก้าว หมายถึง พระพุทธศาสนาจะเผยแผ่ไปยัง 7 ทวีปไม่ใช่หรือคะ มันสัญลักษณ์ชัดๆ เรื่องเหล่านี้ อาจเป็นเพียง กุศโลบาย เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อาจเพื่อการเมือง หรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจ เป็นแนวทางปฏิบัติให้ผู้คนในยุคนั้นที่ยังไม่เข้าใจในหลักวิทยาศาสตร์ มีหลักปรัชญาแฝง หรือ เป็นเรื่องของ การใช้สัญลักษณ์ และเราก็คิดว่า ทุก" ศาสนา" ก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน  มีการใช้ประโยชน์จากความเชื่อทางศาสนา มีทั้งด้านสว่างและด้านมืด สิ่งหนึ่งที่ยอมรับ คือ หลายศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้นมานับร้อยนับพันปี เท่าที่มนุษย์จะบันทึก สืบค้นได้ ยุคนั้น ผู้คนคงเต็มไปด้วยความเชื่อมากมายแบบคนโบราณ เราคิดบ่อยๆ ศาสดา อาจเป็นใครสักคนที่ฉลาดมาก ล้ำลึกมาก ผู้คนจึงศรัทธา เกิดเรื่องเล่ามากมาย ความจริงได้ถูฏเสริมแต่งเติมไปตามความเชื่อ สารต่างๆที่ถูกส่งมานับร้อยนับพันปี ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง สำหรับเรา ที่นับถือพุทธ เรื่องพุทธประวัติไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ อ่านเอาสนุกก็ได้ว่ากันตามจริง แต่เราพยายามนึกถึง หัวใจของคำสอนในศาสนาพุทธมากกว่า แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 15:08:22 จากคุณ : พี่น้องที่เคารพ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:04:50

ความคิดเห็นที่ 21 ต้องแยกให้ออกว่าเรื่องแต่ง บิดเบือน เข้าใจผิด กุศโลบาย หรืออุปมาอุปมัย และดูให้ดีว่ามีเจตนาเพื่ออะไร ให้งมงาย หลงเชื่อ ความสนุกสนาน วิเคราะห์ เทิดทูล ฯลฯ ถึงอย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ได้แทงกั๊กด้วยหลัก "กาลามสูตร" อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงแต่อย่างใด (ฮา) จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:06:02

ความคิดเห็นที่ 22 อุราฮาร่าไม่น่าจะมาถามในนี้นะ เพราะเด๊๋ยวก็โดนลบ โดนย้าย จากคุณ : du เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:06:26 A:203.149.4.38 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 23 ปิดเทอมแล้ว เกรียนเต็มห้อง จากคุณ : พ่อแมวอ้วน เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:09:53

ความคิดเห็นที่ 24 เค้าก็เฉลยแล้วนิ ว่า7ก้าว หมายถึงการเผยแผ่ศาสนาไป7แคว้น จากคุณ : kookkai_adonis เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:10:25

ความคิดเห็นที่ 25 พระพุทธเจ้าตอนเกิดไม่ใช่ลูกสามัญชนทั่วไปนะครับ เรื่องเล่าตอนเกิดเลยจะเหนือกว่าลูกของชาวบ้านหน่อย จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:12:12

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณท่าน คห.๑๙ เป็นอย่างยิ่งครับ วันนี้ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเจอ คห.๑๙ แม้ข้อความจะทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่พุทธวัจนะของพระองค์งดงามยิ่งนัก จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:12:31

ความคิดเห็นที่ 27 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:29:25 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:15:42

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเกิดไม่ทัน แต่ผมเชื่อว่าจริง เพราะผมเชื่อเรื่องกรรม และภพชาติ  การบำเพ็ยเพียรของพระองค์หลายภพหลายชาติ จนทำให้พระองค์เป็นแบบนี้ ไม่มีหลักฐานให้พิสูจน์ แต่ผมก็เชื่อ ไม่อยากดราม่าเท่าไร เอาเป็นว่าจริงละกัน มาจากความรู้สึกลึก ๆ จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:17:24

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่จริงหรอก น่าจะเป็น หลักการตลาด ของ ศาสนาพุทธ มากกว่าน้ะ จากคุณ : preeda เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:22:39 A:77.247.181.164 X: TicketID:355318

ความคิดเห็นที่ 30 ผมไม่รู้ว่าประสูติแล้วเดินได้ 7 ก้าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะมันสุดวิสัยที่จะพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ผมเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง และสามารถพิสูจน์ได้ จากคุณ : WATERMUSIC เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:23:53

ความคิดเห็นที่ 31 คห.19 "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก" รู้ได้ไงว่าสิทธัตถะพูดแบบนั้น ดูแล้วมันไม่ใช่อะ มันไม่ใช่อะกิ๊ฟ นี่ถ้า พุทธ ไปถือกำเนิดแถวเยรูซาเลม สงครามศักดิ์สิทธิ์3ก๊กคงมันส์มิใช่ย่อย จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:28:37

ความคิดเห็นที่ 32 การฟังหรืออ่านเรื่องบางเรื่องในพุทธศานาต้องเข้าใจว่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องเชิงตำนานบางครั้งก็มีที่มาจากการแต่งขึ้นภายหลังเนื่องจากต้องการสู้กับศาสนาพราหมที่มักแต่งตำนานมาลบหลู่หรือเกทับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแยกแยะให้ดี ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธต้องเข้าใจและแยกแยะให้ออกว่าสิ่งใดเป็นเนื้อแท้พระพุทธศาสนา เช่น คำสอนต่างๆที่ให้ทำดีละชั่ว ฝึกฝนพัฒนาตนเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องพวกนี้เชื่อได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ถ้าเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ไม่ใช่เนื้อแท้จะมีจริงหรือไม่อย่างไรอันนี้ไม่ต้องสนใจครับส่วนที่เป้นประเด็นในกระทู้นี้ผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่จะกล่าวว่าเป็นเรื่องลวงโลกก็ออกจะรุนแรงและกระทบจิตใจชาวพุทธนะครับ จากคุณ : gokukub เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:31:44

ความคิดเห็นที่ 33 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:29:42 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:33:19

ความคิดเห็นที่ 34 คนที่ไม่เข้าใจหรือไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาแบบแท้จริงก็จะคิดแบบ จขกท กันทุกคน ทุกเหตุและผลมันมีคำตอบอยู่ในตัวเองครับ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 15:35:16 จากคุณ : kronthon เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:34:24

ความคิดเห็นที่ 35 สงสัยอีกอย่าง เวลาพระพุทธเจ้าตรัสหรือกล่าวอะไรขึ้นมาเนี่ย ใครเป็นคนไปนั่งจดบันทึกคำพูดของพระพุทธเจ้าครับ เขียนกันมาเป็นวรรคเป็นเวรเลย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 15:37:53 จากคุณ : ZHEZA_N1 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:35:14

ความคิดเห็นที่ 36 มันจะจริงได้ไงล่ะครับ อ้อแล้วมันก็เป็นคำ "เปรียบเปรย" ถึงแม้ว่าในหนังสือเรียนจะพยายามเขียนให้เข้าใจผิดก็เถอะ จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:37:49

ความคิดเห็นที่ 37 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:29:57 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:38:45

ความคิดเห็นที่ 38 * 31 อ่านครบรึเปล่าครับ  ??? "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำเอามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า" คำพูดนี้ เล่าสืบมาจาก พระอานนท์ ซึ่งไปฟังพระพุทธเจ้าเล่า มาอีกทอดหนึ่ง แล้วตอนสังคายนาครั้งแรก ก็เอามาเล่าอีกทอดหนึ่ง แล้วก็เล่าสืบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่วิจารณญาณบุคคลครับ สำหรับผม จะเดิน 7 ก้าวจริงหรือไม่จริง ไม่ใช้ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญของพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:40:25

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเชื่อว่าสิทธิทัตถะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่พบความจริงในการดับทุกข์ในใจ แต่เมื่อท่านดับขันธ์ไปเหล่าสาวกกลับแต่งเรื่องราว เดิน7ก้าว นรก สวรรค์ เทวดา อภิธรรมมากมายให้ดูอัศจรรย์ น่านับถือและดึงดูดคนที่เคยมีความเชื่อแบบพราหมณ์ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 15:43:18 จากคุณ : kenjiwinness เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:41:19

ความคิดเห็นที่ 40 *35 เท่าที่ศึกษามา พระพุทธเจ้าเป็นคนเล่าให้พระอานนท์ฟังเองบ้าง เล่าให้คณะสงฆ์ฟังบ้าง พระอานนท์ซักถามบ้าง แล้วก็อาศัยความจำเอา ไม่ได้มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จนเมื่อถึงยุคหนึ่ง ปัญญาของกุลบุตรด้อยลง(จำได้น้อยลง หรือง่ายๆคือ โง่ขึ้นนั่นแหละ) จึงได้มีการสังคายนาขึ้น เพื่อบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:43:51

ความคิดเห็นที่ 41 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:30:15 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:47:40

ความคิดเห็นที่ 42 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:30:25 แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 15:52:41 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:50:53

ความคิดเห็นที่ 43 สัญลักษณ์ จากคุณ : หัวหอมบานฉ่ำ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 15:50:55

ความคิดเห็นที่ 44 สงสัยหลายๆคนจะเกิดมาจากหลอดทดลอง ถึงได้อยากจะทดลองทุกอย่างบนโลกนี้ ทั้งๆที่ความสามารถไม่ถึง ปัญญาก็ไม่ได้ฉลาดพอที่จะทำ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมันไม่สามารถพิสูจน์ได้หมดหรอก คนเราเกิดมายังหน้าตาไม่เหมือนกัน ถามว่าทำไม ต้นกำเนิดมนุษย์มาจากไหน ยังตอบชัดเจนก็ยังไม่ได้ ทั้งๆที่ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าถึงขนาดนี้ พวกที่บูชาวิทยาศาสตร์จนคลั่งขนาดหมิ่นทุกอย่างนั้นก็ต้องตรองให้ดี ว่า ถึงจะรอบรู้แค่ไหนก็ไม่สามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ คนเรามีขีดจำกัด ขนาด เด็กบางคนเกิดมาไม่กี่ปี อัจฉริยะถึงขนาดคิดเลข อ่านออกเขียนได้ ทำไมเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากบุคคลนั้นๆ อัจฉริยะบ้างเล่า จากคุณ : dfh เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:02:38

ความคิดเห็นที่ 45 มนุษย์ตัวเล็กจ้อย ช่างเลิศเลอ และรู้ไปซะทุกเรื่องเสียจริง มนุษย์เราสำคัญขนาดเทพเจ้าต้องมาดูแลเลยเหรอ ถ้าผมเป็นเทพฯ ผมไม่สนใจมนุษย์ที่มีพฤติกรรมแย่ ลบหลู่ตนเองแบบนี้หรอก แต่เทพฯจริงๆท่านคงจะมีเมตตาอยู่บ้าง ส่วนพระพุทธเจ้าท่านก็ให้พระธรรม คำสั่งสอน วิธีปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ไปแล้ว ถ้าเราเชื่อเราก็ปฏิบัติตาม ก็เท่านั้น เราไม่ได้สำคัญขนาดที่ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกจะต้องมาใส่ใจ มาปรากฎตัวให้เห็น จากคุณ : เขียนบน iPhone (Soft_Soft) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:04:12

ความคิดเห็นที่ 46 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:30:46 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:09:18

ความคิดเห็นที่ 47 รู้สึกว่า คนที่ศรัทธา เค้าสนใจ ในคำสอน มากกว่าเรื่องเล่า ปาฏิหารย์ ในตำราครับ เนื่องจากเอาไปใช้ได้จริง ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้จริง คำสอน ที่ในตำราอธิบายไว้ ไม่ได้บัญญัติขึ้นมาใหม่ แต่พูดถึงสิ่งที่ มีอยู่แล้วในโลก ตำราของพุทธ ได้ทำให้ผู้มีปัญญา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ต่างสนใจ หลักปรัชญาที่อยู่ในตำรา เพราะอธิบายเรื่อง การทำงานของ จิตมนุษย์ ไว้สุดละเอียด เช่น ประเภทของกิเลส และการหลงยึดติด (รูปรสกลิ่นเสียง สัมผัส ฯลฯ) ข้อดีของการรู้ทันกิเลส จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:10:15

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ แล้วเดินได้ 7 ก้าว อาจเป็นเรื่องแต่งขึ้นหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วตั้งหลายๆปี เป็นการแต่งให้น่าเลื่อมใส จึงน่าจะป็นสิ่งไม่จริง ไม่งั้นพระองค์คงไม่แพ้ต่อความตายซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่จริงแท้แน่นอนคือพระธรรมของพระองค์ หรือคุณว่าไม่จริง จากคุณ : E BA เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:11:01 A:203.209.83.61 X: TicketID:288794

ความคิดเห็นที่ 49 มันเป็นสัญญลักษณ์  เคยดู Davinci Code ปะเนี่ย จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:12:38

ความคิดเห็นที่ 50 มันเป็นนิทานซะมากกว่าครับ แต่ไม่หมายถึงพุทธประวัติเป็นนิทานทั้งหมดนะ ปกติเรื่องแบบนี้จะมีเค้าโครงเิดิมอยู่ที่เหลือก็แต่งเติมกันไป จากคุณ : สไปเดอร์แมน เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:13:11 A:110.168.80.180 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 51 ตามที่อ่านมาหลายความเห็นมีหลายท่านเข้าใจผิดระหว่างพระเจ้า กับ พระพุทธเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฯลฯ ซึ่งปราศจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าพระเจ้าเป็นใคร เกิดมาอย่างไร แต่ตามความเชื่อของศาสนาดังกล่าวเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างและบันดาลทุกอย่างให้มีความเป็นไปต่างๆ แต่พระพุทธเจ้าไม่เหมือนพระเจ้าเพราะพระพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นมนุษย์ก่อนตรัสรู้ชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนแน่นอน ท่านสอนว่าท่านไม่ได้สร้างหรือบันดาลอะไร เพราะบรรดาสรรพสิ่งในโลกมีและเป็นไปตามเหตุปัจจัย (กฎธรรมชาติ) ไม่ว่าจะมีพระองค์หรือไม่ สิ่งต่างๆ ก็ยังเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พระองค์เป็นเพียงผู้ตรัสรู้ คือ ล่วงรู้กฎของเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วนำเรื่องที่รู้มาสอนเผยแพร่ต่อประชาชน พระองค์ไม่สอนให้ใครมาสวดอ้อนวอนเพื่อให้พระองค์บันดาลสิ่งใดให้ แต่พระองค์สอนให้มนุษย์ศึกษาว่าผลทีปรากฏออกมาเกิดจากเหตุอันใด และหากมนุษย์ต้องการผลอันนั้นก็ต้องเข้าไปสร้างเหตุปัจจัยเพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ เป็นคำสอนที่ใช้ปัญญาล้วนๆ จากคุณ : gokukub เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:13:16

ความคิดเห็นที่ 52 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:31:10 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:15:53

ความคิดเห็นที่ 53 ศาสนา จริงๆ แล้ว ก็ "นิทาน" เรื่องหนึ่ง อาจมีเค้าความจริงอยู่บ้างแต่น้อยมาก อิทธิฤทธิ์ ปฏิหารย์ ต่างๆ เป็นเรื่องเสริมเติมแต่งขึ้นมาเพื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ศาสนาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น กุศโลบาย อย่างหนึ่งของผู้ปกครองในแว่นแคว้นต่างๆ ในสมัยโบราณ แต่ก็ถูกตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะนับถือศาสนาที่มีความนิยมในท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ หรือเป็นศาสนาประจำชาติ มีเป็นส่วนน้อยมาก  ที่เลือกนับถือศาสนาจากความศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนของศาสนานั้นโดยได้มีการศึกษาด้วยตัวเองก่อนหน้า ถ้าประเทศไทยไม่ได้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มุมมองของคนไทยต่อ ศาสนาพุทธก็จะเปลี่ยนไป การเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น ก็น่าจะเป็นผลดี ในแง่ของการยึดเหนี่ยวจิตใจ "ความดี" ไม่ต้องให้ศาสนาไหนสอนหรอก มันอยู่ในสามัญสำนึกของคนอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 16:19:00 จากคุณ : Mr.Tayy เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:16:04

ความคิดเห็นที่ 54 ตอนบวชเคยได้ยิน ท่านเจ้าอาวาสของวัดเทศน์ว่า เจ้าชายสิทธัตถะก็เกิดเหมือนทารกธรรมดาทั่วไปไม่ได้เดินได้ 7 ก้าวตั้งแต่เกิด แต่พอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วถึงเดิน 7 ก้าว จากคุณ : เบียร์ (papaluza) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:21:57

ความคิดเห็นที่ 55 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:31:37 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:22:16

ความคิดเห็นที่ 56 ขอเดาว่า คนวัย20 อาจจะสนใจอ่าน แค่เฉพาะ เรื่องเล่า ปาฏิหารย์ในตำรา แต่คนวัย40 จะสนใจอ่าน หลักปรัชญา ที่อยู่ในตำรามากกว่า ปล.แต่คนต่างศาสนา คงเข้าใจผิด คงนึกว่าตำรา ของศาสนานี้ มีแต่เรื่องเล่าให้หลงเชื่อ แต่เปล่าเลย ศาสนาของ โลกตะวันออก เค้าเน้นหลักปรัชญา ต่างหาก ศาสนาพุทธ จึงมีความเป็น ตำราPsychology (จิตวิทยา) จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:24:56

ความคิดเห็นที่ 57 กบในกะลาก็คิดแบบนี้แหละ ต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ อะไรพิสูจน์ไม่ได้หรือไม่รู้วิธีพิสูจน์ถือเป็นเรื่องเหลวไหลลวงโลก กบในกะลารุ่นก่อนก็บอกว่าหูทิพย์ ตาทิพย์ที่คนโบาณพูดถึงเป็นเรื่องเหลวไหล โทรศัพท์คุยกันข้ามโลกดูโทรทัศน์ข้ามโลกผ่านดาวเทียมก็คือหูทิพย์ตาทิพย์อย่างหนึ่ง การที่คนเราเกิดมาแล้วเดินได้พูดได้ก็มีทางที่จะเป็นไปได้ในอนาคต ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงคงไม่คิดแคบถึงกับตัดสินลงไปแค่เรื่องจริงหรือลวงโลก จากคุณ : เบื่อเหลือทน เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:25:40

ความคิดเห็นที่ 58 ลองไปศึกษาดีๆนะครับไม่ใช่แค่อ่านมาจากตำราเรียนที่เรียนในโรงเรียนหรือเค้ายกตัวอย่างบางประโยคมา แล้วไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้ามี อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หลายๆอย่างเป็นการเปรียบเทียบเหมือนเล่านิทาน เป็นบทกลอน หรือยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจสำหรับคนในสมัยนั้น หรือถูกดัดแปลงเสริมแต่งมา รู้สึกเด็กๆหลายคนยังเข้าใจศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆ ผิดเยอะมากๆจนเอามาปะปนกับวิทยาศาสตร์และเรื่องอื่นๆจนมั่ว ว่างๆก็ลองไปศึกษา พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม ว่าคืออะไรมีอะไรมั่ง อรรถกถาคืออะไร อ่านทวนหลายๆรอบหลายๆบทให้หมด ก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นบาง ถ้าไม่เข้าใจให้ไปถามพระหรือผู้ที่มีความรู้เรื่องพระไตรปิฏกจริงๆซึ่งมีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนหาไม่ได้เลย จากคุณ : bamboogie เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:25:53

ความคิดเห็นที่ 59 ช่วงนี้กระทู้ในลักษณะลบหลู่ศาสนาเยอะนะครับ  ชาวพุทธถูกสอนให้วางเฉย หรือให้อภัยเป็น  แต่อย่าเผลอไปลบหลู่บางศาสนานะครับ  เขาจะเอาคุณถึงตาย จากคุณ : แว่นใสใจดี เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:26:19

ความคิดเห็นที่ 60 ผมเชื่อโดยสนิทใจ ว่า ไม่จริง จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:26:22

ความคิดเห็นที่ 61 องค์พระศาสดาคิมอันเป็นที่รักยิ่งทรงประสูติในค่ายทหารลับบนยอดเขาแพกตูอันศักดิ์สิทธิ์ในเกาหลีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 ณ ห้วงเวลาการประสูตินั้นเกิดเหตุอัศจรรย์ปรากฏ ฝูงอากาศยานทัพธรรมพันธมิตรโซเวียต บินแปรขบวนสวนสนามแสดงความเคารพ และป่าว ประกาศโดยการปรากฏขึ้นของรุ้งกินน้ำสองสายเหนือยอดเขาและดาวดวงใหม่ในสรวงสวรรค์ ท่ามกลางห่าตำบลกระสุนปืนใหญ่ของกองทัพมารร้ายญี่ปุ่นที่ยิงถล่มฐานที่มั่นอันเป็นที่ประสูติของพระองค์ แต่ด้วยพระบุญญาบารมี ทำให้มารร้ายแพ้พ่ายและล่าถอยไปในที่สุด นัยว่าพระองค์ทรงจุติจากสรวงสวรรค์ลงมาเพื่อเป็นมิ่งขวัญ ศุนย์รวมจิตใจ เพื่อการกอบกู้ เอกราช ศักดิ์ศรีของลูกหลานชาวโชซอน ดังปฐมบรมวงศ์บรรพกษัตริย์ในตำนานพระเจ้าจูมง มหาราชทรงปราบปรามเทียนเฉาก่อตั้งราชอาณาจักรโคโครยออันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งอดีต ศาสดาของลัทธิจูเซ ซึ่งมีผู้นับถือมากเป็นอันดับ7ของโลก จำนวนผู้นับถือศาสนาและลัทธิต่างๆ [1]    ศาสนาคริสต์: 2.1 พันล้านคน – 2.2 พันล้านคน    ศาสนาพุทธ: 500 ล้านคน – 1.9 พันล้านคน [2]    ศาสนาอิสลาม: 1.5 พันล้านคน – 1.6 พันล้านคน [3]    ไม่นับถือศาสนา/เชื่อในวิทยาศาสตร์แบบตายแล้วสูญ/อศาสนา: 1.1 พันล้านคน    ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู: 1.0 พันล้านคน – 1.1 พันล้านคน    ศาสนาซิกข์: 23 ล้านคน    ลัทธิจูเช (นับถือคิมอิลซุง) : 19 ล้านคน    นับถือผี: 15 ล้านคน    ศาสนายูดาห์: 14 ล้านคน    ศาสนาบาไฮ: 7 ล้านคน    ศาสนาโซโรอัสเตอร์: 2.6 ล้านคน    ลัทธิเพแกนใหม่: 1 ล้านคน    ขบวนการราสตาฟาเรียน: 6 แสนคน จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:28:54

ความคิดเห็นที่ 62 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:31:58 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:32:03

ความคิดเห็นที่ 63 เป็นคำกล่าวอ้างเชิงสัญญลักษณ์มั้งเจ้าคะ คงไม่ได้หมายถึง การยกขาก้าวเดินได้จริงๆ เหมือนๆกับรอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ว่า พระพุทธศาสนาได้ก้าวย่างมาปักหลักมั่นคงบนดินแดนแห่งนี้แล้ว หาใช่รอยเท้ามนุษย์จริงๆไม่ จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:32:05

ความคิดเห็นที่ 64 ผมไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ 7 ก้าว แต่ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ จากคุณ : kruto เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:37:09

ความคิดเห็นที่ 65 หากเกิดเหตุการณ์ในคลิปนี้รับประกันได้ว่า ระดับความศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิจูเชจะขึ้นมาเป็น อันดับ1ของโลก เขี่ย คริสต์ อิสลาม พุทธ ตกขอบกลายเป็นศาสนานอกรีตไปเลย และคงโดนปู้ยี้ปู้ยำไม่ต่างจากลัทธิชาบูเทพ อิยิปต์ กรีกโรมัน ที่โดนจับทำการ์ดเกม ให้ไอ้โล้น เซนต์แมลงสาบรุมตบเกรียน ทั้งๆที่เมื่อก่อนระดับความศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิโบราณ ดังกล่าวเคยทำให้ศาสดาหลักของโลกปัจจุบันองค์หนึ่งโดนจับตรึงกางเขนมาแล้ว จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:38:15

ความคิดเห็นที่ 66 ผมนับถือคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ผมไม่เชื่อเรื่องนิพพานว่ามีอยู่จริง   เรื่องพระพุทธเจ้าเดินได้ 7 ก้าว  ผมก็ไม่เชื่อ  แต่ที่นับถือศาสนาพุทธทุกวันนี้เพราะผมนับถือคำสอน  ไม่ใช่นับถือเพราะเชื่ออภินิหารอะไร    คำสอนนั่นแหล่ะคือพระพุทะเจ้า จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:55:15

ความคิดเห็นที่ 67 เชื่อก็บ้าแล้ว จากคุณ : เขียนบน iPad (PPP200sx) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:57:48

ความคิดเห็นที่ 68 เคยเห็นวัวคลอดลูกมาแล้วไม่เกิน 1 ชมมันเดินได้เป็นสิบก้าวเลยน่ะ แถมสักพักก็วิ่งตามแม่ขอกินนมแล้ว วัวที่เจอเป็นวัวสีแดงๆ ที่ชาวบ้านเลี้ยงทั่วๆ ไปน่ะ วัวอื่นผมไม่รู้ จากคุณ : Tears เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:00:23

ความคิดเห็นที่ 69 ไปว่าเขาลวงโลกมันก็ไม่แฟร์กับเทคโนโลยีการเรียนการสอนของสมัยก่อนเลยนะ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:06:27 A:1.4.239.159 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 70 กรรมเป็นอันทำ สิ่งที่เราทำแล้วเป็นกรรมและย่อมได้รับวิบาก จากคุณ : rdo เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:10:02

ความคิดเห็นที่ 71 ตายไปก็เชื่อเองแหละครับ จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:18:22

ความคิดเห็นที่ 72 บางคนก็ลึกเกิน ก็โดนสอนให้เข้าใจแบบนั้นจริงๆนี่หว่า เด็กมันตีความไม่ลึกขนาดนั้นหรอกนะ แต่ตัวผมเองตอนเรียนก็คิดแค่ว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่า คนสอนคนเขียนประวัติก็ฟังมามั่งนึกไปเองมั่ง แต่มันไม่สำคัญเท่าหลักคำสอนหรอก จขกท. อย่าไปโฟกัสให้มาก เรื่องอื่นน่าสนใจกว่าเยอะ อย่าไปสนใจแต่เรื่องปัญญาอ่อน จากคุณ : ผู้เสพการดิ้น\(=*= )/ (ทำไมถึงไม่ผ่าน) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:20:09

ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อร้อยปีก่อนเสมียนคนหนึ่งในซูริคบอกว่า E=mc2 ฉันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อ ช่างซ่อมจานโทรทัศน์ที่ Bell บอกว่าเขาได้รับคลื่นไมโครเวฟจากทุกทิศ ฉันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อ ตาแก่อีกคนบอกว่าสสารประกอบด้วยอนุภาคซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นได้ ฉันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อ ตอนฉันเด็กๆ ครูบอกว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากสารเคมีมาผสมกันมั่วๆ ฉันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อ ครูบอกว่าโลกกลม ฉันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่ออีก แต่พอมีคนบอกว่าเด็กที่คลอดในท่ายืน ถลาไปได้เจ็ดก้าว ฉันกลับไม่เชื่อ จากคุณ : polpris เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:31:17

ความคิดเห็นที่ 74 โดยส่วนตัวกระผมไม่ปฏิเสธปรากฏการณ์ที่อาจอยู่เหนือสามัญความนึกคิดหรืออาจเหนือเหตุผล ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญอย่าง พระพุทธเจ้า และ พระเยซูเจ้า  แต่ก็ไม่ได้มุ่งเชื่อตายตัวตามรายละเอียดคัมภีร์ใดๆ  ยังคงมาหาอ่านข้อมูลเหตุผลที่น่าเชื่อถือใหม่ๆบ้าง เสนอแนะเหตุผลเองบ้าง ในห้องนี้เป็นหลัก และในเรื่องประสูติแล้วเดิน 7 ก้าวนี้ เห็นว่ายังไม่มีเหตุผลที่สมบูรณ์ควรเชื่อได้จริงครับ เช่น หลังจากที่เดิน 7 ก้าวและพูดแล้ว ความจริงเป็นอย่างไรต่อไป  1. ล้มแผละลงกลายเป็นทารกตามปกติทั่วไปที่ยังเดินไม่ได้พูดไม่ได้(ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น)   หรือ 2. กลายเป็นมนุษย์มหาอัจฉริยะที่สามารถเดินได้พูดได้ทันทีนับแต่นั้น(ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น) แต่ถึงอย่างไรเหตุการณ์วันประสูติอาจมีปรากฏการณ์เหนือสามัญความนึกคิดก็ได้ เพียงแต่รายละเอียดข้อเท็จจริงต่างๆเท่าที่สืบทอดกันมาเห็นว่ายังไม่น่าเชื่อถือพอ และที่กระทู้อย่างนี้มักออกแนว HOT นั้นเห็นว่าไม่ใช่เรื่องลบหลู่ศาสดาใดๆอย่างเสียหาย(อาจมีกระทบกระเทือนสิ่งเคารพยึดถือกันบ้าง)  แต่หลักๆแล้วมองว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนช่วยกันวิเคราะห์หาความจริง แทนที่จะมุ่งให้เป็นความเชื่อของสูงแบบเดิม จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:31:55

ความคิดเห็นที่ 75 ต้องเข้าใจนะว่า คนเปรียบเสมือนบัวสี่เหล่า การสอนจึงมีทั้งแก่นธรรม ลงไปจนถึงรูปแบบของความเชื่อ ซึ่งการแต่งเรื่องสอดแทรกปริศนาธรรมไว้ก็จัดเป็นวิธีหนึ่ง 7ก้าว หมายถึง เผยแผ่ไป 7แคว้นทวีป จากคุณ : ละติจู๊ด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:34:16

ความคิดเห็นที่ 76 เอาโพลมาตั้ง ในห้องวิทย์ แบบนี้ จึงไม่สามารถ ชี้นำความจริง อะไรได้เลย ความจริงเป็นยังไงก็ไม่รู้ ระหว่าง 1.ตำรามีการเขียนแต่งเกิน 2.เป็นอย่างที่#19 บอก คือเป็นการอุ้มชู แสดงปาฏิหารย์ ของเทวดา จากคุณ : ตู้ฝูเว่ย เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:42:05

ความคิดเห็นที่ 77 อยู่ที่จะเชื่อ เปลือก หรือ แก่น จากคุณ : radenat เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:42:19

ความคิดเห็นที่ 78 สิ่งไหนที่เราไม่เชื่อสิ่งนั้นควรพิสูจน์อันนี้ถูกต้องแล้วครับ แต่ท่านผู้เจริญทั้งหลายที่ไม่เชื่อเคยคิดจะพิสูจน์กันบ้างไหมครับ ถามว่าเราสามารถพิสูจน์ได้แน่หรือ ???? องค์สมเด็จเคยตรัสสอนไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกินวิสัยที่มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้จะพึงทำได้ และพระองค์ก็ทรงสอนแนวทางการปฏิบัติไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น ใครที่ต้องการจะพิสูจน์พระองค์รับคำท้าหมด แต่ต้องพิสูจน์ตามแนวทางนี้เท่านั้น วิธีการพิสูจน์มีหลายสำนักที่สอนกันอยู่ ลองสืบเสาะหาไปพิสูจน์กันดู ขออนุญาตเอาคำกล่าวบางตอนมาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านให้ทรรศนะเรื่องการพิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ในพุทธศาสนาไว้ ...เรื่องนรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ การจะพิสูจน์สิ่งที่องค์สมเด็จตรัสไว้นั้น ถ้าพิสูจน์กันด้วยการอ่านตำรา และคิดตามอามณ์ ท่านเห็นว่ายังไม่ตรงกับเป้าหมายในการค้นคว้าด้วยหลักสูตรพระพทุทธศาสนา จะค้นคว้ากันในด้านวัตถุนั้นยังไม่ตรงตามความเป็นจริง ทั้งนี้เพราะความรู้ทีพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สอนในด้านอารมณ์ ไม่ใช่วัตถุ ถ้าท่านจะค้นหาความจริง ท่านจะต้องค้นคว้าด้านอารมณ์ การใช้อารมณ์ค้นคว้านั้น อย่างเลวที่สุดท่านจะต้องปฏิบัติให้ได้ตามนี้ ๑.เลิกสนใจกับความดีความชั่วของผู้อื่น สนใจแต่อารมณ์ของตนเองให้ทรงอย่ในความดีโดยเฉพาะไม่สนใจกับอารมณ์ชั่วร้าย ๒.ทรงศีลให้บริสุททธิ์ตลอดกาล ๓.ระงับนิวรณ์ ๕ ประการเสีย ๔.เมื่อระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้แล้ว พยายามทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วนตลอดเวลาที่มีลมปราณ อารมณ์ทั้งหมดนี้ให้ทรงให้ได้ตลอดกาลไม่ใช่เฉพาะเวลา ต่อจากนั้นให้จับนิมตกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๓ อย่างคือ ๑.เตโชกสิณ ๒.โอทาตกสิณ ๓.อาโลกกสิณ ทรงนิมิตให้ได้จนเป็นฌานและใช้นิมิตเป็นสื่อในการดูพิสูจน์สิ่งที่ท่านสงสัย จะทราบเองว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงหรือโกหก ดีกว่ามานั่นตีสำนวนตามตำรา ใคร่ครวญพิจารณาจนตายก็จะไม่พบอะไร....   ขอให้ทำจริงท่านจะเจอของจริง แต่ถ้าท่านตีความจากตำรา ท่านไปถามพระ ปธ.๙ ที่แตกฉานในตำราดูนะครับว่าเคยเห็นนรก สวรรค์กันบ้างไหม ปริยัติกะปฏิบัตินั้นต่างกันนะครับ พระพุทธศาสนาไม่เคยกลัวการพิสูจน์แต่อย่างใดครับ แนวทางมีมาแล้ว ๒๕๕๕ ปี ไม่เคยเกรงกลัวคนจริงที่กล้าพิสูจน์ และจะทรงอยู่ได้จนครบ ๕,๐๐๐ ปี ถ้าท่านยังไม่ตายคงได้เห็นกัน จากคุณ : ผมเอง (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:46:46

ความคิดเห็นที่ 79 งดดราม่า ขออภัย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 18:26:42 จากคุณ : ละติจู๊ด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:52:53

ความคิดเห็นที่ 80 ผมก็เลือกเชื่อในครับสอนครับ...เลื่อกแต่สิ่งที่ดีๆ ของทุกศาสนามาใช้ ^^ ทุกศาสนาหลักๆคือ สอนให้เป็นคนดี.. มีความรัก มีเมตตา ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน ไม่เบียดเบียนคนอื่น....   ส่วนเรื่อง ปาฏิหาริย์ ต่างๆ (ทุกศาสนา) ที่มาคู่ คับคำสอน ผมจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ .... ในสมัยก่อนนั้น ผมคิดว่า คนเราชอบที่จะฟังและเชื่อเรื่อง ปาฏิหาริย์ ยิ่ง ปาฏิหาริย์มาก คนยิ่งเชื่อมาก เข้ามาฝักใฝ่มาก เคารพมาก เขาเลยเล่นเล่ากันจนเกินมนุษย์ เ่ช่น เกิดแล้วเดินได้เลย บุญญาธิการเยอะ คนนั้น คนนี้ เห็นนิมิตร ใช้โทรจิตคุยกัน คุยกับพระเจ้า ตายแล้ว อีกวันนึงฟื้นมาใหม่ ปล้ำสู้กับพระเจ้า ฯลฯ ไปยัน คนสมัยก่อน บินได้ ไม่ต้องพึ่งเครื่องบิน..... ^0^ ปล. เพิ่งคลอดออกมา ตัวแดงๆ จะพลิกตัวยังยาก คลานไม่ต้องพูดถึง เดินเลยนี่เป็นไปได้อย่างไร จากคุณ : TonTon1977 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:55:55

ความคิดเห็นที่ 81 เรื่องของเรื่องคือสาวกรุ่นต่อๆมาแต่งเติมเรื่องกันเรื่อยๆ อวยกันจนเว่อร์ จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:58:39

ความคิดเห็นที่ 82 อ่านมาเห็นว่า ตำนานปฎิหารย์ เป็นส่วนหนึ่งที่เรียกคนเข้ามานับถือศาสนา ส่วนน้อยจริงๆที่จะยึดเพียงแก่นคำสอน ลำพังการศึกษาเพียงหลักคำสอนแบบถ่องแท้ ก็เพียงพอจะนำมายัดเป็นหลักการดำรงชีวิตได้แล้ว ผมว่าถ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดา แล้วคิดหลักธรรมทั้งหมดออกมาด้วยสมองธรรมดาๆเนี่ย ผมจะคิดว่ามันสุดยอดกว่าเป็นเทพเหาะเหินเดินอากาศอีกนะ จากคุณ : ผู้เสพการดิ้น\(=*= )/ (ทำไมถึงไม่ผ่าน) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 17:59:39

ความคิดเห็นที่ 83 ทุกศาสนาล้วนลวงโลก จากคุณ : nut (SilentWing) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:00:28

ความคิดเห็นที่ 84 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:32:32 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:07:55

ความคิดเห็นที่ 85 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:32:45 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:11:17

ความคิดเห็นที่ 86 ^ เป็นไรมากปะครับพี่ ผมว่าเมื่อวานนี้เรายังคุยกันไม่จบเลยไม่ใช่เหรอ จากคุณ : Limelight เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:14:29

ความคิดเห็นที่ 87 เชื่อแล้วดี ก็เชื่อไปเถอะ คนที่เชื่อแล้วดี ก็ปล่อยให้เขาเชื่อไปเถอะ สิ่งที่ทำให้คนทำความดี จะจริงหรือไม่จริง ก็เป็นสิ่งที่ดี จะลบหลู่ไปทำไม จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:16:26

ความคิดเห็นที่ 88 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 10:33:03 จากคุณ : MCPKMTMW (MCPKMTMW) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:16:49

ความคิดเห็นที่ 89 ศาสนา มันไม่ใช่แค่เชื่อ-ไม่เชื่อ มันเป็นรากฐานทางทั้งทางสังคม รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของประเทศ จากคุณ : ครูเสด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:26:01 A:124.120.16.195 X: TicketID:354101

ความคิดเห็นที่ 90 login มือถือ ชื่อ MCPKMTMW ขอบอกว่า โพสต์มากเหมือนคนพูดมากเรื่อยเปื่อย แต่ผมจับประเด็นของคุณไม่รู้เรื่อง จากคุณ : ครูเสด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:29:15 A:58.11.132.123 X: TicketID:354101

ความคิดเห็นที่ 91 เค้าไม่ค่อยมีคนคุยด้วยน่ะครับ เมื่อวานผมก็อุตส่าห์จะคุยเป็นเพื่อนเค้า ก็ลบกระทู้ทิ้งไปซะดื้อๆเลย อิอิ ^^ จากคุณ : Limelight เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:36:55

ความคิดเห็นที่ 92 ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญมากขึ้นเท่าไหร่ จิตใจคนยิ่งตกต่ำลงเท่านั้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้คนอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น แต่สักวันหนึ่งผมว่า ศิลธรรม หรือเรื่องบาปบุญทั้งหลายรวมถึงกฏแห่งกรรมคงหมดลงไปจากมนุษย์ เพราะทุกอย่างถูกพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ ถ้าวันหนึ่งคนไม่มีศาสนา กฏหมายที่ถูกร่างมาพร้อมกับเรื่องความดีความชั่วคงหมดไป ต่อไปจำทดลองอะไรโดยต้องฆ่ามนุษย์ก็คงทำได้หมด บางครั้งอะไรที่มันมากเกินไปไม่ต้องไปรู้มัน หรือปล่อยมันไว้เฉยๆก็คงดีเหมือนกัน ใจจริงอยากตั้งกระทู้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยนี คือจุดจบของศีลธรรม มานานแล้ว เพราะ ยิ่งเข้าหาวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าไหร่ ความมีศีลธรรมมันก็ลดลง เพราะคิดได้แค่ว่าทุกสิ่งก็คือสิ่งมีชีวิต ธรรมชาติทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่รอด จากคุณ : airbsutu เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:46:51

ความคิดเห็นที่ 93 เอางี้ถามคนที่นับถือพุทธหน่อย นรก สวรรค์ มีจริงปะ ถ้ามีจริง ก็คงไม่มีใครรอดสินะ แล้วก็ถ้ามี จริงเนี่ย แปลว่าการกระทำอะไรต่างๆบนโลกนี้ เค้ารับรู้หมดเลยสินะ อันนี้แหละครับ ถ้าวันนึงวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริง ผมว่าคนคงฆ่ากันมากขึ้น รวมถึงทำชั่วมากขึ้นด้วย เพราะทำชั่วไปก็ไม่ตกนรกแล้วนิ จริงม่ะ จากคุณ : airbsutu เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:49:25

ความคิดเห็นที่ 94 นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้นะ แต่ทำความดีแล้วผมสบายใจ มีความสุข  ทำชั่ว ด่าคนอื่น ตีรันฟันแทง ข่มเหงคนอื่น ผมทำแล้วไม่สบายใจ เป็นทุกข์ครับ ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมก็มีทุนต่อไป ถ้าไม่มีจริงผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมไม่ต้องการอยากรู้ว่าผลของการทำในชาตินี้จะไปโผล่ชาติหน้าไหม แค่ผมทำในชาตินี้แล้วมันโผล่ให้เห็นในชาตินี้ นรกสวรรค์มันก็มาอยู่ต่อหน้าผมแล้วครับ สำหรับผม ความสุข สบายใจ อิ่มใจก็คือสวรรค์ ทุกข์ใจ เศร้าหมอง โกรธ มันก็คือนรกดี ๆ นี่แหละครับ ไม่ต้องไปคาดเดาเอาจากชาติหน้าหรอกครับ แค่ชาตินี้ก็พอแล้วครับ จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:56:02

ความคิดเห็นที่ 95 ใครเป็นลวง พระพุทธเจ้าหรือ จากคุณ : I love Alpha เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:01:31

ความคิดเห็นที่ 96 พิสูจน์เรื่องวิญญาณให้ได้ก่อนเหอะ .. วิทยาศาสตร์ ... หึหึ จากคุณ : ผมเชียร์ลิเวอร์พูล เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:02:15

ความคิดเห็นที่ 97 ตอบให้เป็นวิทย์ โดยเอาชื่อเสียงของปู่เป็นเดิมพัน สถานที่เกิดเหตุเป็นสระบัวอาจจะเป็นไปได้ว่ามีการคลอดในน้ำแล้วเนื่องจากความแรงของการคลอดทำให้เด็กพุ่งห่างไประยะเจ็ดก้าว เวลาสองพันกว่าปีทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเดินได้เจ็ดก้าว   ปล.มั่วนะอย่าเชื่อ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:02:25

ความคิดเห็นที่ 98 ต่อให้ไม่มีศาสนา เราก็ยังเป็นคนมีเมตตา รู้สึกสงสารคนอื่นได้ แต่ก่อนที่เราจะรู้จักการเอื้อเฟื้อคนอื่น เราต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีก่อน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่รู้จะเอาอะไรกิน จะไปช่วยเหลือคนอื่นเขาคงไม่ได้ ถ้าวันๆ เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาว่างให้นั่งฝัน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนคิดถึงคนอื่น จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:07:48

ความคิดเห็นที่ 99 เกิดเป็นคนควรทำตัวให้สมกับที่เป็นคนก็ใช้ได้อยู่ อย่าทำตัวเหมือนสิ่งมีชีวิตไร้ค่า ที่เกิดมาแค่ผลาญทรัพยากรธรรมชาติไปวันๆ จากคุณ : Firecat เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:09:08

ความคิดเห็นที่ 100 "ใจจริงอยากตั้งกระทู้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยนี คือจุดจบของศีลธรรม มานานแล้ว เพราะ ยิ่งเข้าหาวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าไหร่ ความมีศีลธรรมมันก็ลดลง เพราะคิดได้แค่ว่าทุกสิ่งก็คือสิ่งมีชีวิต ธรรมชาติทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่รอด"    ถูกต้องที่สุดครับ     เพราะฉนั้นศาสนาก็บอกให้คนรักษาศีลไงครับ   งงอะไรหรือเปล่า จากคุณ : rcs1 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:10:00

ความคิดเห็นที่ 101 ดราม่าจนได้... ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขอแย้งนิดนึง ขอไม่เจาะจงใครละกันนะครับ ไม่อยากดราม่า แค่อยากแสดงความคิดเห็นบ้าง ที่คุณบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ทั้งหลายแหล่น่ะครับ เขาพิสูจน์กันไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพิสูจน์ไม่ได้... เอาง่ายๆ ถ้าเราอยากลองพิสูจน์ว่าโลกกลมมั้ย ก็ลองนั่งเรือไปเรื่อยๆ สิครับ ว่ามันตกขอบโลกมั้ย นั่งเครื่องบินดูก็ได้ ไม่ต่างกัน... อันอื่นๆ ก็เหมือนกัน อยากทดลองก็ทำได้เลย เขาพิสูจน์ไปแล้ว คุณอยากพิสูจน์อีกรอบก็ได้ ถ้าคุณมีเวลาว่างและมีทุนทรัพย์พอ แต่เรื่องที่ว่าเด็กพึ่งคลอด แล้วเดินเจ็ดก้าวนั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้ในทางสรีระวิทยา ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้มั้ย ถ้าตอบแบบเผื่อมากๆ หน่อยก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้ แต่เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผมว่าน้อยกว่าหนึ่งในเจ็ดพันล้านอีก... เรื่องเชื่อแล้วดี เชื่่อแล้วไม่ลำบากใครก็ทำไปเถอะ ผมว่าไม่เหมาะเท่าไหร่นะครับ เหมือนเรื่อง GT200 บางคนก็บอกว่าใช้เป้นขวัญกำลังใจ ฯลฯ สุดท้ายแล้วเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจริงก็ไม่เป็นเรื่องจริงอยู่ดี จริงอยู่ว่าเราอยู่บนโลกที่ทุกอย่างไม่ได้แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ ทุกอย่างมีความเสี่ยงและเป็นไปได้หมดก็จริง แต่ถ้าหากว่าเรามองโลกเป็นสีเทาอย่างเดียว เราก็จะใช้ชีวิตได้อย่างไม่เต็มที่นะครับ เหมือนถ้าถามว่าผมจะตายวันนี้มั้ย ผมก็ตอบได้เลยว่ามีความเป็นไปได้ แต่ความเป็นไปได้มันน้อยกว่าความเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมมานั่งกังวลว่าจะตายเพราะอุกาบาตกะ Nyancat  บุกโลกวันนี้ ผมก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี วิทยาศาสตร์ช่วยเติมสีให้โลกของเราชัดขึ้นขนาดนี้ ทำไมคุณยังอยากมองโลกเป็นสีเทาอยู่อีกละครับ? อีกอย่างนึง ทำไมเราไม่ถกเถียงกันให้อยู่ในประเด็น ไม่ดราม่าไม่ได้น้อ.... เขาถามว่าเชื่อมั้ย ง่ายๆ แค่นี้เอง ตอบเชื่อหรือไม่เชื่อ พร้อมอธิบาย.. จบ.... ต้องไปลากเอาเรื่องอื่น เรื่องตัวตนของคนโพสต์ เรื่องศาสนาอื่นมาทำไมกัน... ถ้าโพสต์นี้ไปทำให้ใครขุ่นข้องใจ ผมขออภัย ณ ที่นี้เลยละกันครับ แต่อยากให้ห้องหว้ากอถกเถียงกันอย่างมีเหตุผลมากกว่านี้ จากคุณ : hegeisthai เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:11:27

ความคิดเห็นที่ 102 ลองไปตั้งห้องศาสนาดูครับ จะได้คำตอบอีกอย่างนึง จากคุณ : กระท่อมปลายฟ้า เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:11:44

ความคิดเห็นที่ 103 ถึงคนที่พูดบอกว่า นรก สวรรค์ มีจริงหรือเปล่า? ถ้ามีจริงนรก สวรรค์ศาสนาไหนจริงกว่ากัน แบ่งเขตกันอย่างไร? "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" ครับ ถ้าคุณนับถือพุทธ คุณก็ต้องศรัทธาว่านรกสวรรค์ในศาสนาพุทธนั้นจริงแท้ ส่วนของศาสนาอื่น ๆ ไม่จริง (คิดได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่จำเป็นต้องประกาศ) ถ้าคุณคิดว่าสวรรค์ของศาสนาคริสต์ อิสลาม นั้นมีจริงด้วยแล้วเอามาผสมปนเปข้ามกัน แสดงว่าข้อเชื่อของคุณนั้นสั่นคลอน คุณไม่เชื่อมั่นในศาสนาพุทธ คุณไม่เหมาะสมกับศาสนาพุทธ ศาสนาอื่น ๆ ก็ต้องคิดในลักษณะเดียวกัน ให้เกียรติกัน ส่วนคนไม่นับถือศาสนา คุณจะไปเปลี่ยนแกนหลักความศรัทธาของคนอื่นนั้นไม่ได้ คนชอบกินสปากเก็ตตี้ โรตีเคบับ หรือซูชิ แต่คุณมาบอกว่าทำไมต้องกินอาหารพวกนั้น กินข้าวผัดปูก็อิ่มเหมือนกัน?? หรือสกัดโปรตีนเกลือแร่วิตามินเพียว ๆ เอาใส่ปากก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เค้าจะกินอะไร ถ้ากินในจานตนเอง ไม่ได้กินข้ามจาน แล้วคุณไป "เจือก" อะไรกะเค้าล่ะครับ จากคุณ : ครูเสด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:17:24 A:58.11.132.123 X: TicketID:354101

ความคิดเห็นที่ 104 รอเจ้า MCPKMTMW (MCPKMTMW มันตั้งศาสนาใหม่เมื่อไหร่ ผมจะไปนับถือมันทันทีมันสอนอะไรก็จะเชื่อ  แบบศาสดาลิ้ม แต่ว่าถ้ามันไปกร่างแบบนี้ในวัดดังๆ ที่มีคนเยอะๆ โดนตรีน กระทืบตายแน่ อ้อ อย่าเก่งกับศาสนาพุทธอย่างเดียว ศาสนาอื่นๆ ด่าโจมตีมั่ง  อยากฟังว่ะไอ้เกรียน ลบไปเหอะกระทู้กากๆ แบบนี้ไร้สาระ แน่จริงตั้งกระทู้วิจาร์ยศาสนาอื่นๆ บ้างซิ โดยเฉพาะ อิสลาม วิจาร์ยแสบๆไปเลย หรือ กลัว เหมือนหมา แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 19:26:29 จากคุณ : Roses are Forever เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:19:14

ความคิดเห็นที่ 105 คห. 100 เพราะฉนั้นศาสนาก็บอกให้คนรักษาศีลไงครับ   งงอะไรหรือเปล่า ก็อ่านดูให้หมดครับ ผมพูดในความหมายที่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อในศาสนาแล้วไงล่ะครับ ไม่มีนรก สวรรค์ แล้วศีลจะทำอะไรได้ครับ ในเมื่อข้อห้ามต่างๆ ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันไม่มีผลกระทบมาถึงเราเพราะศีลธรรม กับศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม มันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน แต่เมื่อยิ่งรู้มากพิสูจน์มาก จนถึงวันนึงถ้าคุณพิสูจน์ได้ว่ากฏแห่งกรรมมันไม่มีจริงมันเป็นแค่ความบังเอิญของธรรมชาติ คุณผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์จะเผยแพร่ งานวิจัยของคุณไหมล่ะครับ ถ้าคุณเป็นคนที่มีศีลธรรมในยุคนั้นคุณก็อาจจะไม่เสนอ แต่ถ้าคุณไม่มีความคิดเรื่องศีลธรรม คุณก็เอางานของคุณไปเผยแพร่ ความเชื่อเรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่างแต่ที่ผมเห็นสำคัญมากก็คือศาสนา และ ประเพณี วัฒนธรรม ถ้าวันนึงคุณเกิดมาในประเทศนึงที่เค้าบอกว่า ให้ปล้นคนนะจะได้รวย หรือ นิยมการนอกในสามีหรือภรรยาตนเอง แบบนี้คุณจะทำยังไงล่ะครับ ถ้าเค้าปลูกฝังคุณมาตั้งแต่เกิด มันก็คือการไม่มีศาสนานั่นแหละ ใครจะครอบงำคุณก็ทำได้ทั้งหมด จากคุณ : airbsutu เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:21:34

ความคิดเห็นที่ 106 ผมเคยอ่านจาก วิทยานิพนธ์ของพระท่านหนึ่ง อธิบายวิวัฒนาการของศาสนาพุทธ คร่าวๆ ก็คือ สมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ศาสนาพุทธเฟื่องฟูมาก เพราะด้วยแก่นแท้จากพระองค์ท่าน ทำให้คนต่างเลื่อมใส และแพร่หลายอย่างรวดเร็ว จนศาสนาพรามณ์และฮินดูเสื่อมถอยลงมาก ครั้งนั้นไม่มีการสวดมนต์ ไม่มีการเคารพพระพุทธรูป เป็นการปฏิบัติตามคำสอนล้วนๆ ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้จริง พ้นทุกข์ได้จริง แต่เมื่อพระองค์ท่านปรินิพพานไป ศาสนาก็เริ่มเสื่อมถอย เพราะสาวกขาดที่พึ่ง จึงทำให้ศาสนาอื่นๆ กลับมาดึงคนกลับไปเยอะ ทำให้เหล่าพระสงฆ์ต้องหาทางทำอะไรเพื่อดึงความศรัทธากลับมา ดังนั้น การสวดมนต์ การบูชาต่างๆ จึงเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นการดึงเอาพิธีของทางพราหมณ์มาใช้นั่นแหละ เพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งสร้างเรื่องสร้างตำนานอภินิหารขึ้นด้วย ดังนั้น ชาวพุทธ ที่แท้จริง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ควรจะพิจารณาเนื้อหาของพุทธให้ดี ว่าตรงไหนเป็นแก่น ตรงไหนเป็นเนื้อ ตรงไหนเป็นเปลือก และตรงไหนเป็นเนื้อร้าย แล้วก็เลือกนำไปใช้ไปนับถือกันเองเถิด สำหรับผม เป็นชาวพุทธที่ไม่ค่อยเข้าวัด แต่ผมก็นับถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์(บางรูป) นะค๊าบบบบ จากคุณ : Redrum เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:45:14

ความคิดเห็นที่ 107 105  ไม่ต้องไปกลัวเรื่องสมมุติที่คุณคิดหรอกครับ     มนุษย์ก็คือธรรมชาติ   ปัจจุบันมนุษย์อยู่บนโลกมากี่ร้อยกี่พันปีแล้ว ถ้ามีสังคมหรือคนที่มีประเพณี วัฒนธรรม  ที่สอนให้ทำชั่วอย่างที่คุณกล่าวมากกว่าสอน ให้ทำดี   ผมว่ามนุษย์เราคงอยู่บนโลกไม่นานถึงปัจจุบันหรอก  อย่าดูถูกเผ่าพันธุ์เดียวกันเลย ขอแค่คนที่นับถือสาสนาและคนที่ไม่นับถือศาสนาอยู่ด้วยกันได้ก็พอ  อย่าไปจุดชนวน จากคุณ : rcs1 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:45:16

ความคิดเห็นที่ 108 ต้องถามว่า เรานับถือพุทธเพราะอะไร นับถือ เพราะตามที่บ้านหรือเปล่า หรือนับถือ เพราะได้ศึกษาทุกศาสนาอย่างละเอียดแล้ว เห็นว่า พุทธโอเคที่สุด แล้วจึงนับถือ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 19:59:44

ความคิดเห็นที่ 109 ชอบความแตกแยกซะจริงคนนี้ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 20:16:04 จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:11:40

ความคิดเห็นที่ 110 จะกินยาขนานเอกรสขมๆ แรกๆมันก็ต้องเอามาปั้นแล้วเคลือบน้ำตาลซักเล็กน้อยสิ คนจะได้ ติดใจ จากคุณ : praphrut608 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:16:56

ความคิดเห็นที่ 111 ไม่ได้อ่าน คห.อื่นนะคะ และไม่ได้โหวตด้วย แค่จะเข้ามาบอก...ส่วนตัวแล้วเราว่า กลิ้งหลุนๆ 7 รอบ น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะตามพุทธประวัติแล้ว พระมารดาของเจ้าชาย ทรงประทับยืนนี่นะ จากคุณ : พาระวี เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:17:42

ความคิดเห็นที่ 112 คุณไม่ต้องเชื่อศาสนาหรอก แต่กฎเกณฑ์ทางสังคมมันหลอมมาจากศาสนาหลายอย่าง ถึงเป็นเรื่องลวงโลก (สำหรับบางคน) แต่กลับเอาเรื่องลวงโลกที่ว่ามาใช้งาน อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์บ้าง ถ้าไม่เชื่อขนาดคลั่งจนก่อปัญหาก็ปล่อย ๆ ไปบ้างเถอะนะ เช่น... ทำไม 1 สัปดาห์ต้องมี 7 วัน? ทำไมเสาร์-อาทิตย์ ต้องเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์? ชื่อวัน (ทั้งไทยและสากล) ชื่อเดือน (สากล) มาจากไหน? แม้แต่ชื่อดาวเคราะห์ที่ฟังดูไพเราะ ๆ ทั้งหลาย อาทิตย์ มาจากชื่อสุริยเทพของฮินดู จันทร์ล่ะ? ส่วน Solar และ Lunar ก็มาจากชื่อสุริยเทพเฮสิออส และจันทราเทวีเซลีนีของกรีก ชัด ๆ จากคุณ : ครูเสด เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:26:06 A:58.11.132.123 X: TicketID:354101

ความคิดเห็นที่ 113 เพราะไม่เข้าใจในความหมายไงครับ ถึงต้องมาถาม ถ้าศึกษาดีๆ และจะเข้าใจว่าเป็นคำเปรียบเปรยเฉยๆ รายละเอียดไปหาอ่านดูครับ แล้วค่อยมาถามใหม่ จากคุณ : Rujiwong เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:34:40

ความคิดเห็นที่ 114 "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา" สิ่งที่สำคัญคือคำสั่งสอนต่างหากล่ะ แต่ถ้าไปยึดติดกับเรื่องอื่นมันก็แล้วแต่ภูมิปัญญา ของแต่ละคนบัวมันมีหลายเหล่าฉันใด ผู้คนย่อมมีหลายจำพวกฉันนั้น สุขสันต์ปีใหม่ไทยครับ จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:00:35

ความคิดเห็นที่ 115 ผมเคารพและนับถือในพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาครับ หากในตำรับตำราบอกว่าท่านเดินได้ตั้งแต่ทรงออกจากพระครรภ์ ผมก็ยินดีจะเชื่อครับ หากมีตำรามาอ้างว่าตำราที่กล่าวกันมานั้นเกิดจากความเข้าใจผิด ความจริงแล้วท่านไม่ได้เดินได้มาตั้งแต่ทรงประสูติ ผมก็เชื่อครับ สรุปว่า ณ วันนี้ผมยอมรับว่าผมเชื่อครับ เชื่อแล้วเป็นไง เสียหายอะไร อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะเชื่อยังไงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พิเคราะห์ตามหลักการวิเคราะห์ความเชื่อ เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) "เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย" ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีสิ่งเสียหายต่อความเชื่อนี้อย่างใด หรือใครพิจารณาแล้วเห็นเป็นโทษจะไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ดังนั้น เรื่องเหล่านี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ควรให้เป็นสิ่งส่วนบุคคล การยกขึ้นมาถกกัน มีแต่จะสร้างความแตกแยกร้าวฉาน ปล่อยให้เชื่อกันต่อไป มีประโยชน์กว่านำมาถกกัน เพราะมันหาคำตอบที่แท้จริงมิได้ เมื่อพิจารณาแล้วไม่เห็นโทษต่อความเชื่อ ใครใคร่เชื่อก็เชื่อ ใคร่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ถ้าเป็นจริง ก็ยังยืนอยู่ได้ ถ้าเป็นเท็จ เดี๋ยวก็หายไป พิจารเอาเถิดผู้มีปัญญาทั้งหลาย จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:05:28

ความคิดเห็นที่ 116 พระไตรปิฏกเพิ่งจะเริ่มบันทึกหลังพระองค์สเด็จพระปรินิพพาน พระพระไตรปิฏกก็ผ่านการสังฆยนาเขียนใหม่มาตั้งกี่ครั้งแล้วคุณ ?? จากคุณ : จอมยุทธตะเกียบคู่ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:14:52

ความคิดเห็นที่ 117 "" จากคุณ : safety first เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:15:03