ความคิดเห็นที่ 1 ป. พิบูลย์สงคราม จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:40:59

ความคิดเห็นที่ 2 #1 นี่ไงผมกะแล้วไง ต้องมีคนเอ่ยมา ตอนแรกจะเอาลงคนที่ 10 อยู่แล้ว แต่เดี่ยวกระทู้ผมออกทะเลแล้วโดนลบ ขอร้องหล่ะ อย่าการเมือง จากคุณ : Pantip's Enemy (พันทิพย์ เอนามี่) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:43:10

ความคิดเห็นที่ 3 ป กุ้งเผา จากคุณ : JackOnell เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:47:28

ความคิดเห็นที่ 4 โตโจ ไม่มีหรอเผื่อมีคนชอบแก จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:51:07

ความคิดเห็นที่ 5 ป.ประมุข อ่ะ ไหนๆก็ทะเลและ จากคุณ : เห็นเกาะแล้วครับกัปตัน (พันทิพย์ เอนามี่) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:51:24

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่มี พณฯจอมพล ป. ไม่รู้ตอนนี้ประเทศจะเป็นเช่นไร ลองนึกถึงประเทศไทยที่ไม่มีผัดไท หอยทอด ขนมผักกาด ขายตามฟุตบาท ริมถนนดูซิ ฝรั่งมันคงเอียนน่าดูที่มาเมืองไทยกินแต่ ทมยามคุง พาพายาป๊อกป๊อก จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:53:51

ความคิดเห็นที่ 7 เลือก No 1 โดย ไม่ลังเล ถ้าจำนวนยุทโธปกรณ์เท่าๆกัน และ การตัดสินใจไม่ถูกขวางโดยหัวหน้าบ้าๆบอๆ ผมว่า Rommel น่าจะเหนือกว่าคู่ปรับ Montgomery นะ จากคุณ : ชาวดอยคอยผ้าห่ม เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:00:25

ความคิดเห็นที่ 8 #7 คิดเหมือนผมเลย ตอนเริ่มแคมเปญแอฟริกาเหนือใหม่ๆโดนรอมเมลไล่ซะยับเลย จากคุณ : Pantip's Enemy (พันทิพย์ เอนามี่) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:06:44

ความคิดเห็นที่ 9 ไอเซ็นฮาว กับ รอมเมล ผมให้เสมอกัน จากคุณ : Big Worm. เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:07:10

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าห่วยที่สุดในกลุ่มนี้ ผมยกให้ MacArthur นะ นอกจากขี้โม้สร้างภาพแล้ว  ทางด้านวิสัยทัศน์ ยุทธวิธี ห่วยที่สุดแล้ว จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:09:18

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีพลเรือเอกนิมิต ผู้วางแผนพิชิตกองเรือจักรพรรดินาวีที่ midway หรือครับ  ถึงแม้จะมีดวงผสมก็เถอะ จากคุณ : ปีศาจValkyrie เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:10:53

ความคิดเห็นที่ 12 #11 ผมเน้นกองทัพบกอ่ะครับ แล้วก็ที่คนรู้จักกันเยอะๆ เพราะไม่งั้นมันเกิน ถ้านอกจากในนี้ก็แสดงความคิดเห็นเพิ่มมาได้ครับ จากคุณ : Pantip's Enemy (พันทิพย์ เอนามี่) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:12:47

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเชียร์ท่านนายพล Erich von Manstein ครับ เค้าคือ นักยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดที่กองทัพเยอรมันมีในขณะนั้นเลยครับ ผลงานเด่นๆเท่าที่นึกออก 1.เป็นคนเสนอวิธีบุกฝรั่งเศสผ่านป่าอาร์นเดน ในปี1940 2. ชนะการรบที่เมือง kharkov ครั้งที่สาม จากคุณ : jedsada เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:16:14 A:125.24.234.135 X: TicketID:198675

ความคิดเห็นที่ 14 MacArthur เกือบจุดชนวนสงครามนิวเคลียร์กับโซเวียตละ ดีที่สภาไม่บ้าจี้ตามสั่งปลดซะก่อน ไม่งั้นคงไม่มีพวกผมให้มานั่งเกรียนอยู่หน้าจอคอมทุกวันนี้ จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:16:58

ความคิดเห็นที่ 15 รอมเมลตอนแรกเป็นแค่นายสิบ รบจนเป็นจอมพล จากคุณ : meezaa เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:17:05

ความคิดเห็นที่ 16 General Motor กับ General Electric จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:25:40 A:223.207.140.239 X: TicketID:352260

ความคิดเห็นที่ 17 รอมเมลเท่านั้น จากคุณ : sillfai เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:38:08

ความคิดเห็นที่ 18 Patton ครับ เพราะดูหนังประวัติของเค้าบ่อย บ้าดีเดือดดี มีทุกรสชาติเด็ดขาด ใจร้อน สุขขุมบ้าง ถึงเวลาเลี่ยงก้อต้องเลี่ยง อ่านเกมขาดดี รู้กำลังตัวเอง รู้จักผู้ใต้บังคับบัญชา รบตั้งแต่ อาฟริกา เข้าอิตาลี และ ลุยยุโรป จากคุณ : Rajin เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:42:58

ความคิดเห็นที่ 19 หลายท่านนี่แบ่งคะแนนไม่ลงตัวเลย ขอคัดออก 2 คนคือ Montgomery และ Yamamoto ------------------------------------------------------------------------------------------- นายพล Eisenhower นายทหารผู้เลือกคนเข้ากับงาน นายพล Patton ผู้องอาจ ยุทธวิธีรบบนรถถังสุดยอดแล้ว แต่ชอบนายพล Erwin Rommel มากที่สุด เด็ดขาด เฉียบแหลม ยุติธรรม ว่ากันว่าถ้ารอมเมลได้เป็นผู้นำแทนฮิตเลอร์เยอรมันอาจจะชนะสงครามก็ไ้ด้ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:52:35

ความคิดเห็นที่ 20 รอมเมลกับแพตตัน จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 23:58:35

ความคิดเห็นที่ 21 ฮาความเห็นที่16 ผมชอบEisenhowerเป็นการส่วนตัว ซึ่งถ้าการบุกยึดหัวหาดวันD-dayไม่สำเร็จเค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้ เดียว โดยไม่โยนความผิดไปให้เชอร์ชิลหรือรูสเวลท์ I like Ike. จากคุณ : Freedom of Speech เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 00:26:33

ความคิดเห็นที่ 22 แอบมีใจให้Erich von Manstein แต่โหวตรอมเมลเท่านั้น จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 00:49:54

ความคิดเห็นที่ 23 อาคาอินุ ละกันโหดดี ตอนนี้ได้ขึ้นเป็นจอมพลละนี่ จากคุณ : เก็นโนสุเกะ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 01:08:35

ความคิดเห็นที่ 24 ...ซูคอฟ   คือสุดยอดนายพลแห่งยุค   เป็นผู้นำความวิบัติไปวางไว้บนหน้าตักของฮิตเลอร์ ป.ล.เคยเห็นผ่านตาจากห้องสมุดว่า คนเยอรมันมองว่า รอมเมลยังเป็นรอง  กุเดเรียนกับรุนส์เต็ดด้วยล่ะ จากคุณ : LegalisM เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 01:28:53

ความคิดเห็นที่ 25 ***     ในตัวเลือกที่ให้มาน่าจะตัด "ไอเซ่นฮาวน์" ออกไปคนหนึ่งเพราะขานี้แกไม่ได้ลงไปบัญชาการในแนวหน้าเท่าไหร่  แถมตอนมะริกันเข้าแอฟริกาเหนือใหม่ๆในช่วงปี ค.ศ.1943(ปฏิบัติการคบเพลิง)กองทัพอเมริกาที่มี "ไอเซ่น ฮาวน์" เป็นหัวหอกยังโดนนายพล "รอมเมล" รับน้องใหม่ซะยับที่ "ช่องเขาแคทเซอรีน"  จนตอนหลังไอเซ่นฮาวน์ต้องเรียกมานายพล "แพทตั้น" มาคุมทัพจนเป็นการแจ้งเกิดของนายพลกระดูกเหล็กในเวลาต่อมา       ซึ่ง "ไอเซนฮาวนด์" นั้นจะว่าไปจุดเด่นของแกไ่ม่ใช่เรื่องวางแผนการรบแต่เป็นการเลือกใช้นายทหารได้อย่างถูกเวลาและถูกหน้าที่มากกว่า  นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการประสานงานระหว่างกองทัพประเทศต่างๆได้ดี  คิดดูง่ายๆถ้าไม่เป็นคนไม่เอาอ่าวจะสามารถประสานงานกองทัพจำนวนเป็นล้านของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายที่ไปรบในยุโรปให้เข้ารูปเข้ารอยได้เยี่ยงไร  อีกทั้งหลังสงครามจบแกยังก้าวหน้าในสายงานการเมืองจนได้เป็นประธานาธิบดีของมะริกัน2ถึงสมัยซ้อนทีเดียวครับ (ค.ศ.1953-1961) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 01:55:56

ความคิดเห็นที่ 26 ***     ความจริงทางฝั่งเยอรมันนาซีนั้นยังมีนายพลสำคัญอีกคนหนึ่งที่คุณจขกท.ไม่ได้ใส่ลงมาในรายชื่อนั่นคือนายพล "ไฮน์ กูเดเรี่ยน" นั่นเองครับ  โดย "กูเดเรี่ยน" นั้นเป็นผู้ริเริ่มพัฒนากองพลยานเกราะแพนเซอร์ของเยอรมันให้เข้มแข็งและทันสมัยกว่าชาติใดๆในโลก(ณ เวลานั้น)อย่างที่เราเห็นๆกัน  รวมทั้งไอ้รถถังรุ่นใหม่ๆช่วงท้ายสงครามที่เป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้อย่าง "ไทเกอร์" "แพนเธอร์" ฯลฯ นั้นก็เป็นผลงานมาจากฝีมือในการบริหารและผลักดันของ "กูเดเรี่ยน" คนนี้นี่แหละครับ       เรียกได้ว่าความสำเร็จของแนวคิดในการรุกรบแบบ "สายฟ้าแลบ" โดยใช้ยานเกราะเป็นหัวหอกนั้น  อาจจะต้องต้องยกความดีความชอบให้นายพล "กูเดเรี่ยน" ผู้นี้ไปเต็มๆเลย  จนฝรั่งถึงกับยกย่องว่าแกคือ "บิดา" ของกองพลยานเกราะเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่2เลยครับ  ทั้งนี้เพราะ "กูเดเรี่ยน" เริ่มพัฒนายานเกราะของเยอรมันขึ้นมาจาก 0 จริงๆ  กล่าวคือเยอรมนีหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่1นั้นถูกจำกัดด้วยสนธิด้วยสนธิสัญญาแวร์ซายส์ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาและสะสมจำนวนอาวุธแลกำลังทหาร   ิ     แต่กระนั้น "กูเดเรี่ยน" ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งที่จะพัฒนายุทธวิธีและแนวคิดใหม่ๆในการรุกรบด้วยยานเกราะเพื่อนำมาใช้กับกองกำลังยานเกราะของเขา  แม้อุปกรณ์ต่างๆจะขาดแคลนแลไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพก็ตาม(ช่วงนั้นเยอรมันต้องแอบไปพัฒนาอาวุธหลายอย่างในรัสเซีย)  กระทั่งในที่สุดหนังสือที่แกเขียนขึ้นชื่อ "อัคตุง-แพนเซอร์" (แปลว่าระวัง!ยานเกราะ) และผลงานในการพัฒนา "กองพลยานเกราะเคลื่อนที่เร็ว" จะไปเข้าตาฮิตเลอร์อย่างจัง  ทำให้ตำแหน่งของ "กูเดเรี่ยน" พร้อมแนวคิดในการรุกรบด้วยยานเกราะของเยอรมันจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกแค่ไม่ถึง3ปีเท่านั้นเอง     และในช่วงสงครามนั้นนายพล "กูเดเรี่ยน" ก็ยังฝากฝีไม้ลายมือไว้ในสมรภูมิสำคัญต่างๆทั้งในฝรั่งเศสและรัสเซีย  เรียกได้ว่าตั้งแต่สงครามเริ่มต้นจนจบลงกองพลยานเกราะแพนเซอร์ของเยอรมันได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้งทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับนายพล "ไฮด์ กูเดเรี่ยน" ผู้เป็นบิดาของกองพลยานเกราะแพนเซอร์แห่งเยอรมันคนนี้นั่นเอง  และแม้กระทั่งเมื่อสงครามจบลงไปแล้วยุทธวิธีทางการทหารของแกก็ยังถูกประเทศต่างๆรับไปใช้แลพัฒนาสานต่อมาจนถึงยุคปัจจุบันครับ   (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:14:41

ความคิดเห็นที่ 27 คห 23 ออกยิ่งกว่าทะเล อีก ไป ซะ โลกใหม่ เลย จากคุณ : Mr..Reborn เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:23:53 A:223.206.246.209 X: TicketID:344862

ความคิดเห็นที่ 28 ***     ส่วนนายพลอีกคนของฝ่ายเยอรมันที่น่ายกย่องมากคือ "อีริค ฟอน แมนสไตน์" (คนนี้ผมประทับใจพอๆกับรอมเมลเพราะนอกจากจะมีความสามารถแล้วยังไำม่ใช่พวกโปรนาซี)  เรียกได้ว่าถ้ากองทัพเรือเยอรมันมีจอมพล "โดนิทซ์" เป็นกุนซือเอกทางฝั่งทหารบกก็ต้องมี "แมนสไำตน์" คนนี้นี่แหละครับที่เป็นหนึ่งในบรรดาสุดยอดแห่งเสนาธิการทางทหารระดับหัวกะทิของเยอรมัน  โดยชัยชนะในหลักๆหลายครั้งของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่2ล้วนเป็นผลงานในการวางแผนและบัญชาการศึกของนายพลท่านนี้  ทั้งการรบในสมรภูมิฝรั่งเศสซึ่งแมนสไตน์นำทัพทหารราบแลยานเกราะรุกผ่าน "ป่าอาร์เดน" อันทุรกันดารไปตลบหลังฝรั่งเศสและการรบในสมรภูมิอันกว้างใหญ่ไพศาลที่รัสเซีย       นอกจากนี้ "แมนสไตน์" เองก็ยังมีบุคลิกที่แปลกกว่าใครๆและเป็นนายพลเพียงไม่กี่คนที่กล้าเถียงกับ "ฮิตเลอร์" อย่างไม่สนหน้าอินห์หน้าพรม  ซึ่งจากพฤติกรรมอันแหวกแนวของแกนี่เอง  ทำให้ถูกทางหน่วยเหนือปลดออกจากสายการบังคับบัญชาอยู่หลายครั้งแต่ด้วยความสามารถในการวางกลยุทธ์อย่างหาตัวจับได้ยากยิ่ง  ฮิตเลอร์จึงต้องยกเลิกคำสั่งและเรียกแกกลับเข้ามาประจำการอีกเสมอๆ  โดยหลังตีฝรั่งเศสแตกในปีค.ศ.1940 แมนสไตน์เคยหัวรั้นจนถูกย้ายไปดองที่เยอรมันทีนึง  แต่พอเยอรมันเปิดฉากยุทธการ "บาบารอสซ่า" ฮิตเลอร์ก็เรียก "แมนสไตน์" กลับมาอีกครั้งและโดนปลดออกเรียกกลับแบบเอาเถิดเช่นนี้อยู่หลายครั้งทีเดียว       ซึ่งในระหว่างสงครามนั้นนายพล "แมนสไำตน์" ได้สร้างความเสียหายและปั่นป่วนให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะพวกรัสเซียมากมายทีเดียว  ทำให้พอสงครามจบลง "เฮียหนวดสตาร์ลิน" ถึงกับมีคำสั่งโดยตรงมาเลยว่าต้องจับนายพล "แมนสไตน์" คนนี้มาประหารชีวิตเท่าันั้นจึงจะสาสมกับความผิดที่กระทำต่อกองทัพโซเวียต  แต่ทว่าพวก "อังกฤษ" กับ "มะริกัน" ได้เล็งเห็นถึงความสามารถของนายพลท่านนี้ว่าจะมีประโยชน์ในอนาคต  จึงยึกยักเล่นเล่ห์กระเท่ห์จน "แมนสไตน์" รอดโทษประหารจากศาลอาชญากรสงครามมาได้และโดนขังคุกอยู่ประมาณ3ปีครับ (ตอนหลังแกได้ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้กองทัพ "เยอรมันตะวันตก" ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับคอมมิวนิสต์ภายใต้การสนับสนุนของมะริกันด้วย) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:27:24

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าหากจะพูดถึง นายพลของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วหล่ะก็ ผมนึกถึง รอเมลก่อนเพื่อน (May the newtype be with you) ขอให้นิวไทป์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : Norah เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:47:26

ความคิดเห็นที่ 30 ***     ส่วนของฝ่ายญี่ปุ่นนั้นมีนายพลอีกคนหนึ่งที่อาจจะโด่งดังพอๆกับนายพล "ยามาโมโต้" เลยทีเดียวนั่นคือนายพล "โทโมโยกิ ยามาชิตะ" ผู้นำกองทัพญี่ปุ่นในการรุกคืบเข้าสู่ "คาบสมุทรมาลายา"(มาเลเซีย) ของอังกฤษในช่วงปลายปีค.ศ.1941ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ญี่ปุ่นโจมตี "เพิร์ลฮาร์เบอร์" และเปิดฉากสงครามแบบสายฟ้าแลบไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้       โดยนายพล "ยามาชิตะ" สามารถนำกองทหารญี่ปุ่นจำนวนไม่ถึง 40,000 คน (ถ้าจำเป็นเรียกกำลังสนับสนุนเพิ่มได้อีกประมาณ20,000คน)  ไล่ตีกองทัพอังกฤษและพันธมิตรนับแสนนายจากบริเวณคาบสมุทรมาลายานับตั้งแต่ชายแดนประเทศไทยให้ไปจนมุมกันอยู่ที่ "เกาะสิงคโปร์" ทางตอนใต้ของแหลมมลายู  ซึ่ง "สิงคโปร์" เองเป็นป้อมปราการและฐานทัพเรือที่สำคัญที่สุดของอังกฤษ ณ ตะวันออกไกลในตอนนั้น       กระทั่งในที่สุดกองทัพของญี่ปุ่นเพียงไม่กี่หมื่นนายซึ่งกำลังอ่อนล้าจากการรุกอันหนักหน่วงมาตลอด2เดือนเต็ม  จะสามารถทำให้กองทัพอังกฤษและพันธมิตรนับแสนนายในเกาะสิงคโปร์ต้องยกธงขาวยอมจำนน  ซึ่งการยอมจำนนครั้งนี้นับเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสมรภูมิตะวันออกไกลตลอดช่วงสงครามและเป็นการทำลายความเข้มแข็งของจักรวรรดิอังกฤษในภูิมิภาคนี้ไปตลอดกาลแม้สงครามจะจบลงไปแล้วก็ตาม       และจากชัยชนะนี้เองจึงทำให้นายพล "ยามาชิตะ" ได้รับสมญานามว่า "พยัคฆ์ร้ายแห่งมาลายา" (Tiger of Malaya) นั่นเองครับ  ทว่าเรื่องน่าเศร้าก็คือทหารนับแสนนายที่ยอมแพ้นั้นส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปรวมกับทหารมะริกันที่พ่ายแพ้มาจากสมรภูมิฟิลิปปินส์  และถูกส่งไปทำงานในค่้ายเชลยศึกอันโหดร้า่ยทารุณรวมถึงการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะในบ้านเราด้วย  จึงทำให้หลังสงครามจบลงนายพล "ยามาชิตะ" จึงถูกศาลอาชญากรสงครามพิพากษาให้ต้องโทษประหารชีวิตอันเนื่องมาจากการกระทำอันโหดร้ายของทหารใต้บังคับบัญชาของเขาต่อเชลยศึกสัมพันธมิตรในช่วงสงครามนั่นเอง   ป.ล. ตอนที่นายพล "ยามาชิตะ" ยอมจำนนต่อกองทัพสัมพันธมิตรนั้น "ดาบคาตานะ" คู่กายของเขาได้ถูกนายพล "แม็คอาร์เธอร์" ผู้โด่งดังยึดเอาไป  ก่อนที่ภายหลัง "แมคอาร์เธอร์" จะส่งดาบเล่มนี้ไปยังพิพิธภัณท์ทหารที่ "โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยน์" ของอเมริกา  ซึ่งเป็นที่จัดแสดงดาบเล่มดังกล่าวอยู่จนถึงปัจจุบันครับ (ตามรูป) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:48:45

ความคิดเห็นที่ 31 ***เกี่ยวกับนายพล "รอมเมล" และคู่ปรับคนสำคัญของเขา "มอนโกมอรี่"***   ความจริงถ้าดูจากความสามารถในเรื่องการบัญชากองทัพแลวางแผนการศึกแล้ว  ผมคิดว่า "นายพล เออร์วิน รอมเมล" และ "นายพล เบอร์นาร์ด มอนโกมอรี่" นั้นมีฝีมือทัดเทียมคู่คี่กันครับ (แต่ผมชอบจิ้งจอกทะเลทราย "รอมเมล" มากกว่า)  โดย "มอนโกมอรี่" นั้นได้เปรียบ "รอมเมล" ตรงที่ว่าช่วงหลังๆฝ่ายอังกฤษมีมะริกันเป็นแบ๊ค  บวกกับ "ฮิตเลอร์" ได้ขยายแนวรบของกองทัพเยอรมัน ณ ทวีปยุโรปเข้าไปติดหล่มใน "โซเวียต"  จึงไม่สามารถส่งกำลังแลยุทธปัจจัยมาสนับสนุน "รอมเมล" ในสมรภูมิแอฟริกาเหนือได้อย่างพอเพียง     เพราะห้วงเวลานั้นกองทัพเยอรมันรุกไปได้ไกลมากกว่าที่คาดไว้  จึงทำให้สายส่งกำลังบำรุงยาวเหยียดตามไปด้วย  และในเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนยุทธปัจจัยขึ้นมาจึงทำให้เยอรมันไม่สามารถรบได้อย่างเต็มมือเหมือนตอนเข้าสู่แอฟริกาเหนือใหม่ๆ (ความจริงเยอรมันอาจจะชนะได้ถ้า "ฮิตเลอร์" เลือกทำศึกซักสมรภูมิหนึ่งให้เรียบร้อยก่อนระหว่าง "แอฟริกาเหนือ" หรือ "รัสเซีย")  ทว่าขนาดกองทัพน้อย "แอฟริกาคอร์ป" ของ "รอมเมล" ที่ว่าขาดแคลนยุทธปัจจัยสนับสนุนต่างๆมากมาย  ก็ยังสามารถตีโต้แลรุกคืบเข้าหาฝ่ายสัมพันธมิตรได้หลายต่อหลายครั้ง     โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่นายพล "มอนโกมอรี่" ของอังกฤษจะย้ายมาคุมทัพมาที่แอฟริกาเหนือนั้น  ตอนแรกๆพวกอังกฤษเองกำลังจะเขี่ยกองทัพมะกะโรนี "อิตาลี" จนตกทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนอยู่รอมร่อแล้วหลังจากบดขยี้ "กองทัพที่10" ของพวกมะกะโรนีจนละลายไปทั้งกอง  แต่พอพวกเยอรมันเข้ามาก็สามารถตีโต้อังกฤษจนถอยกรูดแลยึดพื้นที่ต่างๆในแอฟริกาเหนือตั้งแต่ตะวันตกจนเกือบถึงอเล็กซานเดรียได้กระทั่งมาสะดุดเอาที่สมรภูมิ "เอล อลาเมน" อันโด่งดังในที่สุดครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:50:46

ความคิดเห็นที่ 32 ***     ซึ่งมูลเหตุของการรบทัพจับศึกในแอฟริกาเหนือช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่2นั้นมาจากที่ในปีค.ศ.1940  ท่านดูเช่ "มุโสลินี" ผู้นำอิตาลีได้นำพาประเทศมะกะโรนีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรสำคัญ(และตัวถ่วงสำคัญ)ของฝ่ายอักษะอย่างเต็มตัว  โดยในแอฟริกาเหนือนั้น "ลิเบีย" ซึ่งเป็นอาณานิคมของอิตาลีและ "อียิปต์" ซึ่งเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษดันมีดินแดนติดกันพอดี  จึงทำให้กองทัพอิตาลีและอังกฤษเริ่มต้นทำสงครามกันอย่างเต็มรูปแบบนั่นเองครับ       ทว่าเมื่อ "กองทัพส่วนที่10" ของอิตาลีเริ่มบุกสู่เขตแดนอียิปต์จึงรู้ซึ้งไปถึงทรวงว่า  แม้ในยุโรปกองทัพบกอังกฤษจะโดนเยอรมันล้อมกรอบอยู่ที่บ้านเกิดและไม่สามารถทำอะไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าไรนัก  ทว่าในแอฟริกาเหนือทหารอังกฤษที่นี่ยังคงมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมและได้รับการฝึกที่ดีรวมถึงมียุทธปัจจัยสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง  เรียกได้ว่าความเพลี่ยงพล้ำของอังกฤษในยุโรปแทบไม่ได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของกองทัพในแอฟริกาเหนือเท่าใดเลย (นอกจากนี้อังกฤษยังส่งกำลังพลมาหนุนจากทางอินเดียได้)     กระทั่งกองทัพอังกฤษและพันธมิตร(มะริกันยังไม่มา)ได้เริ่มเปิดฉาก "ปฏิบัติการเข็มทิศ" (Operation Compass) พร้อมตีโต้กองทัพอิตาลีจนล่าถอยไม่เป็นท่า  ก่อนที่อังกฤษจะเริ่มไล่ยึดบรรดาเมืองท่าและพื้นที่สำคัญใน "ลิเบีย" ของอิตาลีไปเรื่อยๆ  จนในที่สุด "กองทัพที่10" ซึ่งเป็นกำลังรบหลักของพวกมะกะโรนีในแอฟริกาเหนือ  จะถูกกองทัพอังกฤษละลายทิ้งทั้งกองจนทหารนับแสนถูกจับเป็นเชลย ยุทโธปกรณ์ต่างๆถูกทำลายหรือยึดครอง  ทำให้สถานภาพของอิตาลีในแอฟริกาเหนือกำลังย่ำแย่ถึงขีัดสุดบรรดาทหารในกองทัพก็กำลังเสียขวัญแลไม่มีกำลังใจในการรบ  ส่วนพวกอังกฤษก็กำลังรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆแลพร้อมจะถีบพวกเขาลงทะเลอยู่รอมร่อ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:55:56

ความคิดเห็นที่ 33 ***   แต่แล้วก็เหมือนฟ้าช่วยเมื่อกองทัพอังกฤษตัดสินใจที่จะหยุดการรุกอย่างหนักหน่วงไว้เพื่อสับเปลี่ยนกำลังและเพิ่มเติมยุทธปัจจัยต่างๆ (อีกสาเหตุหนึ่งคือเชอร์ชิลด์สั่งโยกย้ายทหารบางส่วนไปสนับสนุนการรบที่กรีซและอัลบาเนีย)  แลในช่วงเวลานี้เองที่ความใจดีของพวกเขากำลังจะได้รับการตอบแทนอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ  เมื่อ "ฮิตเลอร์" แลเหล่าเสนาธิการของเยอรมันได้เล็งเห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างมากมายของพันธมิตรรายนี้  จึงตัดสินใจอย่างเร่งด่วนเปิดฉาก "ปฏิบัติการดอกทานตะวัน" (Operation Sunflower) ในเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 โดยทันที   ก่อนที่พวกเยอรมันจะจัดส่งกำลังทหารแลยานเกราะแพนเซอร์ชั้นเลิศมาสนับสนุนชาวอิตาลีในแอฟริกาเหนือในนามของกองทัพ "Afrika Korps" แลมีนายพล "เออร์วิน รอมเมล" ซึ่งขณะนั้นชื่อของเขายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างนำทัพมาด้วยตนเอง  นี่จึงนับเป็นการเปิดฉากสงครามอย่างเต็มรูปแบบของกองทัพ "นาซีเยอรมัน" และกองทัพสัมพันธมิตรที่มีอังกฤษเป็นหัวหอกในแอฟริกาเหนืออย่างเต็มตัว  บัดนี้การรบในสมรภูมิทะเลทรายอันร้อนระอุของกองทัพอันเกรียงไกรทั้งสองฝ่ายกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว     โดยช่วงแรกๆนั้นกองทัพ "Afrika Korps" ของเยอรมันได้ทำการสนธิกำลังพลส่วนใหญ่มาจากทหารเยอรมันในพื้นที่แถบคาบสมุทรบอลข่าน  ซึ่งทหารแทบทั้งหมดล้วนไม่เคยมีประสบการณ์หรือได้รับการฝึกให้รบทัพจับศึกในสมรภูมิทะเลทรายมาก่อนเลย  ต่างกับทหารชาวอังกฤษที่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว  แต่ด้วยความมีประสิทธิภาพและระเบียบวินัยที่ดีเยี่ยมของทหารเยอรมันจึงทำให้พวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากัีบการรบในเขตร้อนระอุของทะเลทรายได้อย่างรวดเร็ว   และในการรบแห่งทะเลทรายอันทุรกันดารนี่เองที่กองทัพเยอรมันจะค้นพบว่าเจ้าปืนต่อสู้อากาศยานแบบ "Flak 88" ของพวกเขานั้นจะส่งผลดียิ่งต่อยานเกราะของฝ่ายอังกฤษ  เมื่อกระสุนขนาด "88 มิล" ของมันสามารถสร้างความเสียหายต่อบรรดายานเกราะของอังกฤษที่วิ่งดาหน้ากันเข้ามาจากระยะสุดขอบฟ้า  บวกกับความแม่นยำของเจ้าปืน "Flak 88" ที่ตามปรกติแล้วใช้ต่อต้านอากาศยาน  จึงทำให้ต่อมากองทัพเยอรมันได้ทำการปรับเปลี่ยนดัดแปลงเจ้า "Flak 88" มาใช้ในการต่อต้านยานเกราะจวบจนกระทั่งจบสงครามนั่นเองครับ ป.ล. อันที่จริง "Flak 88" เคยถูกนำมาใช้ต่อต้านยานเกราะในสมรภูมิฝรั่งเศสตอนช่วงปี ค.ศ.1940 แล้วแต่ไมไ่ด้มีการพัฒนาต่ออย่างจริงจัง   (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 02:59:31

ความคิดเห็นที่ 34 ***     โดยในสมรภูมิแอฟริกาเหนือนั้นถือกันว่าเป็นการรบของสุภาพบุรุษชายชาติทหารอย่างแท้จริงครับ  เพราะภูมิประเทศแถบนี้ล้วนเต็มไปด้วยทะเลทรายแลผืนดินอันแห้งแล้งแตกระแหงยาวไกลสุดลูกหูลูกตา  จึงทำให้แทบจะไม่มีที่ซุ่มซ่อนตัวสำหรับกองทหารของแต่ละฝ่ายเท่าไหร่  ดังนั้นบรรดาแม่ทัพนายกองจึงต้องวางแผนและจัดวางกำลังมาอย่างดี  เพราะการรบส่วนใหญ่จะเป็นแบบประจัญหน้าและยิงใส่กันด้วยปืนใหญ่ตั้งแต่ระยะไกล  ก่อนจะตามติดด้วยการโรมรันของทหารราบและยานเกราะชนิดต่างๆ       นอกจากนี้ด้วยความที่ "รอมเมล" เองไม่ใช่นายพลที่โปรลัทธินาซีเท่าไรนัก  จึงทำให้ทหารจากกองทัพน้อย "Afrika Korps" ของเขาปฏิบัติต่อเชลยศึกชาวอังกฤษอย่างมีมาตรฐาน  และฝ่ายอังกฤษเองก็ปฏิบัติต่อเชลยศึกชาวเยอรมันอย่างดีเช่นกัน  ทำให้ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ไม่มีค่ายกักกันเชลยชาวยิวแบบในยุโรป ไม่มีการเหยียดเชื้อชาติระหว่างทหารของทั้ง2กองทัพ จนนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังกล่าวตรงกันว่าทะเลทรายอันร้อนระอุของแอฟริกาเหนือนั้นเป็นสมรภูมิที่ปราศจากลัทธิและความเชื่อทางการเมือง  จะมีก็แต่การรบกันอย่างตรงไปตรงมาแบบสุภาพบุรุษชายชาติทหารด้วยกันเท่านั้น   ซึ่งทั้ง "รอมเมล" และ "มอนโกมอรี่" เองก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวางแผนการรบ ณ สมรภูมิอันแห้งแล้งแลร้อนระอุเช่นนี้  จนภายหลังจากการนำทัพเยอรมันในแอฟริกาได้ไม่ถึงปี "รอมเมล" จึงได้รับฉายาว่า "จิ้งจอกทะเลทราย" อันเป็นผลมาจากการที่เขาสามารถนำกองทัพอักษะที่มีกำลังพลน้อยกว่าเอาชนะฝ่ายอังกฤษได้หลายต่อหลายครั้งและยึดเมืองท่า "โทบรู๊ค" ซึ่งอังกฤษวางกำลังป้องกันอย่างแน่นหนาจนเชื่อว่าไม่มีใครสามารถตีแตกได้     ก่อนที่ "รอมเมล" จะนำทัพอักษะรุกไล่ไปจนเกือบถึง "อเล็กซานเดรีย" กระทั่งมาหยุดเอาที่สมรภูมิ "เอล อลาเมน" ในช่วงกลางปีค.ศ.1942  และช่วงเวลานั้นเองที่เกิดโรคหวาดกลัว "รอมเมล" ขึ้นในหมู่ทหารกองทัพพันธมิตร  เพราะช่วงที่ "รอมเมล" กำลังท็อปฟอร์มนั้นเวลาทหารอังกฤษรู้ว่าจะต้องเจอกับทัพ "Arika Korps" ที่รอมเมลบัญชาการอยู่  หลายคนมักจะเกิดอาการหวาดกลัวจนแทบเสียสติเพราะคิดว่าไม่สามารถเอาชนะกองทัพของจิ้งจอกทะเลทรายได้     ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างปัญหาให้กับ "กองทัพที่8" ซึ่งเป็นกำลังหลักของอังกฤษในแอฟริกาเหนืออยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายอังกฤษได้ทำการส่งนายพลคนใหม่มาคุม "กองทัพที่8" แทนนายพล "วิลเลี่ยม ก๊อท" ที่เสียชีวิตเพราะเครื่องบินโดยสารถูกกองทัพอากาศเยอรมัน(ลุฟวัฟเฟ่ท์)ยิงตกไปก่อนหน้านั้น (การตายของ "ก๊อท" ยิ่งทำให้ขวัญกำลังใจของอังกฤษที่แย่อยู่แล้วดิ่งลงเหวไปอีก)  โดยนายพลคนนี้เป็นชาวอังกฤษสายเลือดแท้ชื่อว่า "เบอร์นาร์ด มอนโกมอรี่"  ซึ่งจะกลายมาเป็นคู่ปรับคนสำคัญของจิ้งจอกทะเลทราย "รอมเมล" ในเวลาต่อมาครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 03:06:50

ความคิดเห็นที่ 35 เพลงที่ทหารเยอรมันจากกองทัพ "Afrika Korps" แต่งให้กับนายพล "เออร์วิน รอมเมล" (จิ้งจอกทะเลทราย)ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ครับ "OUR ROMMEL" (แปลเป็นอังกฤษ) We are the German Africa corps The Fuehrers bold troop We storm like the devil out Salten the Tommy the soup We are not afraid of heat and desert sand We defy the thirst and the sun fire Marching by the beat of our drum Forward! Forward! |: Forward with our Rommel!| The British are afraid us like the plague They sit on glowing coals -> could be: hot coals We raechen German east and raechen southwest That once it us (was) cowardly stolen Churchill and Roosevelt also rage were inflamed We throw the enemies in each country It strikes general march the drum Forward, forward |: Forward with our Rommel!| With us in the fight and in victories unites March of Italy crowds Until once the sun of the peace shines to us And again towards Germany we drive But if the hostile ball found me Thus let me rest in the desert sand And agitate again the drum Forward, forward |: Forward with our Rommel!| (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 03:08:16

ความคิดเห็นที่ 36 คลิป "Erwin Rommel and his Afrika Korps" ป.ล. ในช่วงท้ายๆคลิป (นาทีที่ 3.20) จะเห็นว่าอากาศที่นั่นมันร้อนจนทหารสามารถ "ทอดไข่ดาว" บนแผ่นเหล็กที่ติดตั้งอยู่นอกตัวรถถังได้เลย ^_^ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 55 03:17:46 จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 03:12:11

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีนายพลชาวจีนมั่งเหรอครับ       นายพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็แสดงฝีมือในสงครามไม่น้อยนะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 03:51:13

ความคิดเห็นที่ 38 ร้อนจะตาย 5  พวกเยอรมันยังแต่งตัวเนี๊ยบกริ๊บเลยครับ  ใส่เสื้อกี่ชั้นเนี้ย  เหงื่อไม่ออกสักหยด จากคุณ : tamrong เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 07:41:34

ความคิดเห็นที่ 39 ชอบ PATTON กะ ZHUKOV ครับ จากคุณ : bradpitt.สุดหล่อแมน เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 07:47:26

ความคิดเห็นที่ 40 ท่าน นายพลเรือ นิมิท ของผมไปไหนเนี้ยยยย... จากคุณ : sam7 (sambayman) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 07:55:26

ความคิดเห็นที่ 41 ฉายาจิ้งจอกทะเลทราย ของนายพลรอมเมล เหมาะสมแล้วกับการเป็นผู้นำทัพในสมรภูมิแอฟริกา จากคุณ : สวมชุดทีมเยือน (เชียงคำ) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 08:10:07

ความคิดเห็นที่ 42 Generaloberst Heinz Wilhelm Guderian ผมชอบเป็นการส่วนตัว หุหุ http://www.achtungpanzer.com/gen2.htm จากคุณ : คนไร้สมอง เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 09:02:58

ความคิดเห็นที่ 43 ผมชอบ นายพล (จำชื่อไม่ได้ ฉอ่ะๆ) ผู้บัญชาการกองทัพเรือเยอรมัน อ่ะครับ ถ้ากองพลรถถังของรอมเมล เป็นเทพทางบก กองเรือเยอรมันนี่ก็โคตรเทพทางน้ำเลย ทั้งที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาสมัยสงครามดลกครั้งที่ 1 ที่ห้ามต่อเรือรบหนักเกิน 20,000 ตัน แต่เยอรมันกลับสร้างเรือประจันบานฉบับกระเป๋า ที่ต่อกรกับเรือที่ใหญ่กว่าได้ ไหนยังจะมีกองเรืออู ที่สร้างความหนักใจแก่กองเรือสินค้า เรือส่งกำลังบำรุงทั้งหลาย และพอเปิดสงครามแล้วสนธิสัญญาดังกล่าวไม่มีความหมาย ทีนี้ล่ะเรือระดับบิ๊กๆ ทยอยออกมา เล่นเอาราชนาวีอังกฤษเกือบปราชัยเลย ดีที่กองเรือเยอรมันโดนฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงซะก่อน ถ้าฮิตเลอร์ ไม่บ้าอำนาจเกินไป และยอมแบ่งงบมาลงทัพเรือในช่วงปลายสงครามมากขึ้น เยอรมันอาจจะพอต่อสู้ยืดเยื้อไปได้อีกนะครับ จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 10:22:47

ความคิดเห็นที่ 44 แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 55 11:15:14 จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 11:14:37

ความคิดเห็นที่ 45 นายพล Yamamoto Isoroku เพราะว่า แกรู้ว่าลุยกับอเมริกาเมือไร ญี่ปุ่นจะแพ้ แต่แกก็ลุย  ผู้วางแผนโจมตี อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ (Perl Habour) ของอเมริกา  และ มีการส่งขอความไป เตือนอเมริกาแล้วแต่ การสือสารสมัยนั้นทำให้ ช้าไป 2 วัน หลังการโจมตี วาระสุดท้าย เขาเสียชีวิตระหว่างไปให้กำลังใจทหารที่หมู่เกาะโซโลมอน เมื่อเครื่องบินที่ พลเรือเอก อิโซรกคุ ยามาโมโต้ โดยสารมาซึ่งทางสหรัฐได้คิดแผนลอบสังหารไว้แล้วโดยใช้เครื่องบินขับไล่ P-38 ดักสังหาร วันที่ 18 เมษายน 1943 อเมริกา บอกเลย ถ้ามีคนนี้อยู่ อเมริกา ชนะญี่ปุ่นยากมาก สาเหตุ หนัึ่ง คนนี้เคยไปเรียนจบที่  Harvard University และ ช่วงหนึ่งไป ศึกษา ที่  U.S. Naval War College. ต่ออีก (พูดง่ายๆ รู้ทันอเมริกา เกือบหมด) จากคุณ : thanapatpp เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 16:22:44

ความคิดเห็นที่ 46 ผมโหวตให้กระทู้นี้เพราะเนื้อหาของคุณ เจไดฯ เลยครับ เขียนได้น่าอ่านน่าติดตามมาก จากคุณ : ชาวดอยคอยผ้าห่ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 18:42:34

ความคิดเห็นที่ 47 #43 http://en.wikipedia.org/wiki/Karl_D%C3%B6nitz  ครับ ปล.ท่านเจไดหนุ่มมาทีเดียวความรู้แน่นเอี้ยดเลย จากคุณ : Pantip's Enemy (พันทิพย์ เอนามี่) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 18:50:10

ความคิดเห็นที่ 48 47# อ่า ขอบคุณครับ ใช่แล้วนายพลเดอนิซซ์ จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 18:58:20

ความคิดเห็นที่ 49 คนที่เก่งที่สุดของผมคือคนที่อยู่แถวหน้าครับ แม้รู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่ก็ยังไปเพื่อสิ่งที่เชื่อ "มาตุภูมิ" จากคุณ : น้ำเค็ม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:35:46

ความคิดเห็นที่ 50 อ่า อยางนี้สิครับกระทู้คุณภาพๆ ^^ ปล. แต่ผมว่านายพล 5 ดาว แมกอาเธอร์ไม่กากนะ อย่างน้อยถ้าพี่แกไม่ยกพลขึ้นบกที่ชิออนป่านนี้เกาหลีอาจเหลือแค่เกาหลีเหนือแล้วก็ได้ จากคุณ : เฮ้อ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 21:05:52 A:58.8.168.40 X: TicketID:306636

ความคิดเห็นที่ 51 ผู้พัน แซนเดอส์ ยึดได้เกือบทั่วโลกแล้ว KFC  ข้าพเจ้าจำผิดป่าวนะไม่รู้สิ ห้าๆๆ แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 55 23:33:22 จากคุณ : Maxilla เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 23:31:28

ความคิดเห็นที่ 52 สุดยอดไปเลยท่านเจไดหนุ่ม  อ่านสนุกจริงๆ จากคุณ : sillfai เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 06:31:57

ความคิดเห็นที่ 53 นายพลรอมเมลเท่านั้น เคยอ่านหนังสือประวัติในต่วยตูนบ่อยมากๆ สุดยอดจริงๆ จากคุณ : เป็นบัตรผ่านตั้งนาน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:28:52

ความคิดเห็นที่ 54 ผมดันไปนึกถึงหน้านายสิบชาวออสเตรีย ที่เข้าไปคุมกองทัพนาซีแทน จากคุณ : นายกานต์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:30:52

ความคิดเห็นที่ 55 แต่ในตัวเลือกที่มีอยู่  ถ้าเป็นในระดับ Stategy การวางแผนรบเชิงยุทธศาสตร์ผมยังให้ Credit ไอเซนฮาวด์มากกว่าใครทั้งหมด   ถ้าไม่ฉลาดและเก่งจริงพวกเสนาธิการของทัพเยอรมัน  คงไม่ส่งแนวที่ห้าปลอมเป็นชุดทหาร GI ในศึก Battle of the Bulge ที่นอกจากป่วนแนวหลังข้าศึกแล้วยังมีภารกิจลอบสังหารไอเซนฮาวด์ด้วย    นอกจากนั้นเคยอ่านประวัติท่าน  ต้นตระกูลเป็นชาวเยอรมันที่อพยพมาอเมริกาเหมือนกับท่านนายพลเรือเชสเตอร์ นิมิตด้วย ส่วนรอมเมลนี่ผมชอบมาก  เก่งจริง   หลังจากโดนท่านผู้นำสั่งฆ่าแล้ว  แกยังได้รับการยกย่องจากรัฐสภาอังกฤษด้วย แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 07:38:55 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 21:27:15 จากคุณ : ปีศาจValkyrie เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 21:24:39

ความคิดเห็นที่ 56 เปลี่ยนจากยามาโมโต้เป็นฮิเดกิ โตโจดีกว่ามั้ง จากคุณ : อะไรก็ได้ ง่ายๆ... เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 04:03:03