ความคิดเห็นที่ 1 เครื่องบินเริ่มเข้ามาในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 6 นี่ครับ แต่ถึงจะมีเครื่องบินตั้งแต่ตอนนั้น ฝรั่งเศสก็คงมีของที่เหนือกว่าของเราอยู่ดีครับ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 16:14:57 จากคุณ : Timin2101 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:14:23

ความคิดเห็นที่ 2 รศ 112 ยังไม่มีเครื่องบิน จากคุณ : AKB-SKE เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:14:42

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนนั้นมี เครื่องบินรบแล้วเหรอครับ จากคุณ : taweesak19 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:14:43

ความคิดเห็นที่ 4 ยังไม่รู้จักวิธียิงดักหน้าหรือเปล่าครับ ???? จากคุณ : LogiEng เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:16:24

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ทราบ  เกิดไม่ทันครับ จากคุณ : การกินเป็นสิ่งจำเป็น เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:29:35

ความคิดเห็นที่ 6 ยิงไม่โดน เรือนำ แต่รู้สึกจะโดนเรือตาม แต่โดนจุดไม่สำคัญ และยังไม่ชำนาญการใช้ ปืนมาใหม่มาก ฝึกทหารประจำปืนยังไม่ชำนาญ บวกกับยังลังเล ยิงเตือนไปตั้ง 3 นัด ความจริงนัด 2, 3 นี่น่าจะยิงหาผลได้แล้ว เรือฝรั่งเศส มากันตอนเย็น แต่ไม่กล้าเข้าร่องน้ำ เพราะกลัวติดสันดอน ไม่รู้ทางว่าง่ายๆ เลยบังคับเอาเรือนำร่อง ตอนนั้นให้นำร่องเข้าแม่น้ำ ทางเรายิงเตือนไป แต่ยังไม่หยุด เลยยิงใส่แต่ช้าไป เรือฝรั่งเศส พ้นมุมยิงไปแล้ว ตอนนั้น มีนายทหารระดับสูงของเรา รีบกลับเข้าพระนคร จะเอาเรือรบที่เหลืออยู่ไปวิ่งชนเรือฝรั่งเศสให้หยุด แต่ในหลวงห้ามไว้ ตอนเรื่อฝรั่งเคลื่อนไปตามลำน้ำ เรือบเราที่อยู่ในแม่น้ำ ก็ช่วยยิง ปืนใหญ่บนฝั่งก็ช่วยยิง แต่มันเป็นปืนใหญ่แบบบรรจุทางปากลำกล้อง เลยยิงไม่เข้า ความจริงก็มีการพยายามจะป้องกันทางอื่นด้วยก่อนที่ เรือฝรั่งเศสจะมา เช่น นำซากเรือเก่าไปจมขวางปากแม่น้ำ แต่ทำได้ช้ามาก เพราะกระแสน้ำไหลแรง เลยเสร็จไม่ทัน มีการสั่งซื้อ ระเบิดแบบใหม่มาจากสิงค์โปร์ด้วย แต่ขนส่งล่าช้ามาก ระเบิดเลยมาไม่ทันใช้ จากคุณ : sayanjo65 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:30:15

ความคิดเห็นที่ 7 ปืนใหญ่ของไทยยิงได้ไม่ไกลครับ ยิงไม่ถึงเรือรบฝรั่งเศส ในขณะที่เรือรบฝรั่งเศสอยู่ไกลเกินระยะปืนใหญ่ของเรา แต่ปืนใหญ่ของเค้ากลับยิงถึงป้อมเรา ก็เท่ากับว่าเราถูกระดมยิงอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละครับ อาวุธเค้าดีกว่าครับ จากคุณ : jom_bk เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:30:26

ความคิดเห็นที่ 8 เพราะผู้นำบ้านเราได้ไปดูไปเห็นยุโรปมา จึงเกิดความทึงและหวาดหวั่นในความไฮโซ  ฝรั่งไม่ได้ขนเรือมายึด แต่ขนของที่เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจน่าหลงไหลมาล่อให้ยอมโดนยึด และเราเองก็คิดไปว่าถ้าเป็นเมืองขึ้นฝรั่งมันจะทำอะไรเราได้ มันจะขนอะไรไปได้ซักกี่น้ำและผู้นำก็ยังคงความเป็นใหญ่ในประเทศเหมือนเดิม ดีกว่าฝรั่งมันเอาขนมไปล่อเมืองขึ้นเราเป็นพวก ไม่ยอมมันเดียวโดนมันรุม จากคุณ : หัวฟูหูกาง (หัวฟูหูกาง) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:42:51

ความคิดเห็นที่ 9 เสริม 6# ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ ร.5 พระองค์เดียว แต่คนทำ มีเยอะแยะ แถมก็เป็นสไตล์ แบบไทยแท้ๆ กรูไม่ทำ มรึงแหละทำ เกี่ยงกันไปกันมา บ้างก็ว่า ฝรั่งเศสไม่ทำเราหรอก บ้างก็ว่า ไม่ใช่วิธีที่เคยทำ ไม่ยอมทำ(หัวเก่า) สุดท้ายเสร็จไม่ทันการณ์ ก็เลยต้องออกมาแบบนี้แหละ สมัยนั้น แม้จะปกครองงโดยกษัตริย์ แต่เจ้าขุนมูลนาย ที่มีกำลังในมือ มีช่องทางทำมาหากินกอบโกยในมือ กว่าจะเงื้อง่าทำอะไรสักอย่าง ก็กลัวตัวเองเสีย กลัวได้ไม่เท่า การบริหารราชการเป็นไปอย่างล่าช้ามากๆ บางทีคุยกันเป็นวันๆ กลับไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่ใช่เพราะ รัชกาลที่ 5 ปรีชาสามารถ ประเทษชาติก็คงไม่รอดพ้นเงื้อมือต่างชาติแน่ๆ จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:54:58

ความคิดเห็นที่ 10 เคยอ่านแบบ #6 ท่านว่า แต่จำได้ว่า สมัยเด็กๆ ผู้ใหญ่ เขาเล่าว่า เรามัวแต่ลังเล ไม่กล้ายิง เลยหมดระยะยิงไปเสียแล้ว (ต้นตระกูลผม อยู่ในคลองห่างจาก ป้อมมาหน่อย) ท่านยังเล่าอีกว่า ปืนใหญ่ในป้อมอ่ะ ไม่ธรรมดา ยิงแล้วก็หมอบลงมา หลบได้ด้วย เรียกว่า เสือซ่อนเล็บ ไรเนี้ยอ่ะนะ ที่จริงเอา SPEC ปืนที่ว่ามาไปเปรียบเทียบกัน ระยะใน google ก็น่าจะรู้ล่ะนะ ว่า ยิงถึง ไม่ถึง .. แต่ผม ไม่เป็นอ่ะ จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 16:54:59

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านคำถามแล้วกำลังจะเข้ามาตอบ พออ่านเนื้อหาว่าทำไมไม่ใช่เครื่องบินแล้ว เอ่อ...ไปไม่เป็น 555+ ---------------- ลองอ่านดูนะครับ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=140457 จากคุณ : tkung13 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 17:01:49

ความคิดเห็นที่ 12 เสริม#9 จำได้ลางๆว่าเจ้าพระยาผู้คุมเรื่องการป้องกันพระนครหลับอยู่ครับ การป้องกันเลยไม่ทำงานเพราะไม่มีคำสั่งจากผบ.คนนี้ ส่งนายทหารไปขอคำสั่งแล้วแต่ติดอยู่หน้าห้องนอน เข้าไปไม่ได้ ต้องรอท่านตื่นก่อนประมาณนั้น (-_-') อนาถแท้................................ เอ่อแล้วเรือรบเราก็มีครับ แต่ผบ.ห้องเครื่องเป็นฝรั่งต่่างชาติ ผบ.ปืนเรือก็ฝรั่งอีกชาติหนึ่ง ปรากฏพอคำสั่งมาแล้ว ไอ้ผบ.ปืนเรือฝรั่งนั้นสู้ แต่ไอ้ผบ.ห้องเครื่องบอกว่าชาติของสัณชาติตนเป็นกลางกับฝรั่งเศส (จำไม่ผิดคนนี้เป็นคนเนอเธอแลนด์น่ะ) เลยขอไม่ปฎิบัติการครั้งนี้ เรือเลยติดเครื่องไม่ได้ครับ...........................เอวัง................. จากนั้นมา ร.5 เลยให้ความสำคัญกับการศึกษาไทย เพื่อฝึกคนไทยให้ทำงานแทนฝรั่ง จะได้ไม่เกิดเรื่องฮาไม่ออกแบบนี้อีก ปล.จริงไม่จริงก็ค้านเลยครับ เขียนจากความจำแล้วก็อยากรู้จริงๆด้วยว่าเกิดอะไรวันนั้น จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 17:06:15

ความคิดเห็นที่ 13 หลายเรื่องในประวัติศาสตร์เป็นเรื่องง่ายๆที่เปิดเผยแล้วน่าจะเข้าใจ  อย่างขี้ นี้บอกว่าขี้ไม่ได้ ต้องเล่าว่าไปห้องน้ำ ไปสุขา  มีเรื่องเสียท่า พลาดท่ามากมาย แต่ เราก็เล่ากันแบบ" เสียท่าแล้วยังทำเป็นเท่ร์" จากคุณ : หัวฟูหูกาง (หัวฟูหูกาง) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 17:11:28

ความคิดเห็นที่ 14 จากข้อมูลนี้ ทำให้เห็นความจำเป็นที่เราควรจัดซื้ออาวุธทันสมัยเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 17:56:13

ความคิดเห็นที่ 15 แหม....ฟังบางคนเล่าซะเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ หรือไม่ก็เกิดทัน สรุป อ่านมาทั้งนั้น ฟังเค้า ปล. คือผมแซวเฉยๆ นะ อิอิ ผมชอบนะพวกประวัติศาสตร์ไทยพวกนี้ จากคุณ : Mr.Kito เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 18:36:06

ความคิดเห็นที่ 16 ปืนใหญ่ที่ป้อมพระจุลในตอน รศ.112 นั้นทันสมัยมากครับ แต่ยังติดตั้งเสร็จไม่ครบหมดเท่านั้น (ล่าช้ากว่ากำหนด) และทหารประจำการก็ยังไม่ได้รับการฝึกที่ดีพอหน่ะครับ ทำให้ไม่สามารถจมเรือรบฝรั่งเศสที่บุกเข้ามาได้ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า ต่อให้จมเรือโคเม็ตนั่นได้ที่ปากน้ำ (ซึ่งฝรั่งเศสกะส่งมาหาเรื่องเต็มๆ จะโดนยิงจมหรือไม่จม ก็เอาเป็นเหตุได้อยู่ดี) เรื่องมันก็ไม่จบครับ เนื่องจากฝรั่งเศสก็ส่งกองเรือมาบุกไทย หรือถึงบุกไม่เข้าก็ปิดปากอ่าวไทยซะ เราก็ไม่มีกองเรือรบมากพอจะออกไปขับไล่อยู่แล้ว วิกฤตการณ์ รศ.112 ก็เกิดขึ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะจมเรือรบฝรั่งเศสได้หรือไม่ก็ตาม ในทางกลับกัน จมมันไม่ได้ ผลกลับเห็นว่าเป็นประโยชน์มากกว่าครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 18:37:56

ความคิดเห็นที่ 17 ปืนป้อมพระจุลยิงถึงแล้วโดนนะครับ แต่ไม่มากขนาดจะจม เรือฝรั่งเศสทั้งสองลำมีรอยโดนปืนใหญ่หลายครั้ง เรือนำล่องก็จม แล้วจะเพิ่มอีกนิดตอนที่ฝรั่งเศสเอาเรือมาจอด ไทยมีเรือพระที่นั่งจักรีที่มีอานุภาพเหนือกว่าเรือฝรั่งเศสรวมกันอีก แต่เพราะเหตุผลเพียงแค่มันใหม่มากจนใช้ไม่เป็น กระสุนถูกนำขึ้นเรือครั้งแรกหลังมีการยิงกันที่ปากแม่น้ำซะอีก ส่วนนี่รายละเอียด ร.ศ.112 การรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา 13 กรกฎาคม ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) เนื่องมาจากในยุคนั้นเป็นสมัยที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกบางประเทศมีนโยบายใน การแสวงหาอาณานิคม และได้แผ่อำนาจเข้ามาล่าเมืองขึ้นในแหลมอิโดจีนจนเดิดกระทบกระทั่งกับประเทศ ไทย โดยให้ประเทศไทยยอมปฏิบัติตามความต้องการของตน ฝรั่งเศส ได้ส่งเรือรบ 2 ลำ บุกรุกเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา กองทัพเรือได้ส่งเรือรบจำนวนหนึ่งมาคอยป้องกันการล่วงล้ำจากฝ่ายศัตรูร่วม ป้อมปืนที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทหารเรือไทยและป้อมปืนได้พยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากยังเป็นกองทัพเรือที่สร้างขึ้นใหม่ องค์บุคคลและอาวุธยุทโธปกรณ์ยังไม่พร้อม เรือรบฝรั่งเศสจึงตีฝ่าผ่านเข้าไปถึงกรุงเทพฯ นครหลวงของไทยได้ 1. สั่งให้ป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมฝีเสื้อสมุทร ซึ่งได้ติดตั้งปืนอาร์มสตรอง ขนาด 6 นิ้ว อันทันสมัยเตรียมพร้อม เพื่อจะหยุดยั้งการบุกรุกของเรือรบฝรั่งเศสอันอาจเกิดขึ้นได้ 2. สั่งให้เรือรบ 9 ลำ เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านเหนือของป้อมพระจุลจอมเกล้าเล็กน้อย เรือที่วางกำลัง ป้องกันเหล่านี้ ส่วนมากเป็นเรือล้าสมัย หรือเป็น เรือกลไฟ ประจำในแม่น้ำมีเรือที่ทันสมัยเพียง 2 ลำ เท่านั้น คือ เรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ 3. ได้วางเครื่องกีดขวางที่ปากน้ำเจ้าพระยา เช่น ตาข่าย สนามทุ่นระเบิด และสนามยิง ตอร์ปิโด 1 เป็นต้น ครั้น ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ คือ เรือสลุปแองคองสตังค์ และเรือปืนโคแมต ได้รุกล้ำสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามายัง กรุงเทพ ฯ โดยมี เรือ เจ. เบ. เซย์ (Jean Baptist Say) เรือสินค้าเป็นเรือนำร่อง หมู่ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ได้ยิงด้วยนัดดินเปล่าเพื่อเป็นการเตือนเรือรบฝรั่งเศส ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ในที่สุดต่างฝ่ายก็ระดมยิงโต้ตอบกันเรือรบไทยที่จอดอยู่เหนือ ป้อมพระจุลจอมเกล้าต่างก็ระดมยิงไปยังเรือรบฝรั่งเศส การรบได้ดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษก็ยุติลง เพราะความมืด เป็นอุปสรรค เรือแองคองสตังต์ และเรือโคแมต สามารถตีฝ่าแนวป้องกันที่ปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ และเทียบท่าอยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสส่วนเรือนำร่อง ถูกยิงเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง การเปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองฝ่าย ก. ฝ่ายฝรั่งเศส 1. เรือสลุปแองคองสตังค์ ระวางขับน้ำ 825 ตัน ความเร็ว 13 นอต ปืนใหญ่14 ซม. 3 กระบอก ปืนใหญ่ 10 ซม. 1 กระบอก ปืนกล 37 มม. 5 กระบอก มีนายนาวาโท โบรี (Bory) เป็น ผู้บังคับการเรือ และผู้บังคับหมู่เรือ 2. เรือปืนโคแมต ระวางขับน้ำ 495 ตัน ปืนใหญ่ 14 ซม. 2 กระบอก ปืนใหญ่ 10 ซม. 2 กระบอก ปืนกล 37 มม. 2 กระบอก มีนายเรือเอก หลุยส์ ดาร์ติช ดู ฟูร์เนต์ (Louis Dartige du Fournet) เป็นผู้บังคับการเรือ ข. ฝ่ายไทย มีนายพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้อำนวยการ ป้องกันปากน้ำ เจ้าพระยา 1. เรือปืน มกุฎราชกุมาร ระวางขับน้ำ 609 ตัน ความเร็ว 11 นอต อาวุธประจำเรือ ใน พ.ศ.2436 ยังไม่ทราบชัด ฝ่ายฝรั่งเศส บันทึกว่า มีปืนใหญ่ บรรจุ ปากกระบอก 15 ซม. 1 กระบอก ปืนใหญ่ บรรจุปากกระบอก 12 ซม. 5กระบอก ปืนกล 3 กระบอก มี นายนาวาโท กูลด์แบร์ก (Commander V. Guldberg) เป็นผู้บังคับการเรือ มิสเตอร์ สมาร์ท (Mr. W. Smart) เป็นต้นกลเรือ 2. เรือปืน มูรธาวสิตสวัสดิ์ ระวางขับน้ำ 250 ตัน ปืนใหญ่ อาร์มสตรองบรรจุ ปากกระบอก 70 ปอนด์ 1 กระบอก ปืนใหญ่บรรจุ ปากกระบอก 10 ซม. 4 กระบอก ปืนกล 1 กระบอก มี นายเรือเอก คริสต์มาส (Lieutenant W.Christmas) เป็นผู้บังคับการเรือ มิสเตอร์ แคนดุตตี (Mr. G. Candutti) เป็นต้นเรือ 3. เรือหาญหักศัตรู เรือป้อม ระวางขับน้ำ 120 ตัน ความเร็ว 7 นอต ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 15 ซม. 1 กระบอก ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 12 ซม. 1 กระบอก มีนายเรือเอกสมีเกโล (Lieutenant S. Smiegelow) เป็นผู้บังคับการเรือ 4. เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือราชการ ระวางขับน้ำ 260 ตัน ปืนใหญ่บรรจุ ปากกระบอก 10 ซม. 6 กระบอก มีนายทหารไทย เป็นผู้บังคับการเรือ 5. เรือทูลกระหม่อมเรือฝึก (เรือใบ) ระวางขับน้ำ 475 ตัน ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 10 ซม. 6 กระบอก มีนายทหารไทย เป็นผู้บังคับการเรือ 6. ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนใหญ่อาร์มสตรอง บรรจุท้าย 15 ซม. 7 กระบอก มี นายร้อยเอก ฟอนโฮลค์ (Captain C. von Holck) เป็นผู้บังคับการ 7. ป้อมฝีเสื้อสมุทร ปืนใหญ่อาร์มสตรอง บรรจุท้าย 15 ซม. 3 กระบอก มี นายร้อยเอก เกิตส์เช (Captain T.A. Gottsche) เป็นผู้บังคับการ 8. เรือวางทุ่นระเบิด มี นายร้อยเอก เวสเตนโฮลซ์ (Captain Westenholz) เป็นผู้อำนวยการ ความเสียหายภายหลังการรบ ฝ่ายฝรั่งเศส เรือเซย์ถูกยิง 2 นัด มีรูทะลุน้ำเข้าเรือ จึงต้องแล่นไปเกยตื้น ไม่ปรากฏว่ามีคนบาดเจ็บล้มตาย เรือแองคองสตังต์ ตัวเรือและส่วนบน ของเรือ มีรอยกระสุนปืนเล็กมากมาย และมีรอยกระสุน ปืนใหญ่หลายแห่ง เรือบดหัก ทหารตาย 1 คน บาดเจ็บ 2 คน เรือโคแมตตัวเรือ และส่วนบนของเรือมีรอย กระสุนปืนเล็กมากมาย และมีรอยกระสุนปืนใหญ่ 2 นัด กระจกบนสะพานเดินเรือแตกเรือเล็กเสียหาย 2 ลำ ทหารตาย 2 คน บาดเจ็บ 1 คน รวมทหาร ฝรั่งเศสตาย 3 คน บาดเจ็บ 3 คน ฝ่ายไทย เรือมกุฎราชกุมารถูกกระสุนปืนใหญ่ 1 นัด ที่หัวเรือ เครื่องกว้านสมอชำรุดใช้การไม่ได้ และถูกกระสุนปืนเล็ก เป็นจำนวนมาก เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ถูกกระสุนปืนใหญ่ 2 นัด ที่ข้างเรือกราบซ้าย ตรงห้องเครื่องจักร 1 นัด ที่ส่วนบนเรือ 1 นัด ถูกกระสุนปืนเล็กเป็นจำนวนมาก เรือหาญหักศัตรูถูกยิง ที่ท้ายเรือมีช่องโหว่ เรือนฤเบนทร์บุตรีไม่ปรากฏว่าถูกยิงที่ใดบ้าง เรือทูลกระหม่อมถูกกระสุนปืนใหญ่ 1 นัด ที่หัวเรือ ส่วนป้อมพระจุลจอมเกล้าไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ป้อมผีเสื้อสมุทร บริเวณหลุมปืน ถูกยิงแต่ ไม่เสียหายมาก ทหารที่ตายและบาดเจ็บตามบัญชีราชการที่พิจารณาให้บำเหน็จความชอบ ดังนี้ เรือมกุฎราชกุมาร ตาย 3 คน คือ มะถิเยาะ (อาสาจาม) นายมะนิ (อาสาจาม) นายหวน (ปากน้ำ) บาดเจ็บ 15 คน เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ บาดเจ็บ 6 คน เรือหาญหักศัตรู ตาย 1 คน คือ โต๊ะหวัง (โต๊ะ) บาดเจ็บ 2 คน เรือนฤเบนทร์บุตรี ตาย 2 คน คือ นายมาน (อาสาจาม) นายผิว (แผนที่) บาดเจ็บ 6 คน เรือทูลกระหม่อม ตาย 2 คน คือ นายทอง (ปากน้ำ) นายหรุ่น (โต๊ะ) บาดเจ็บ 5 คน ป้อมผีเสื้อสมุทร บาดเจ็บ 6 คน ป้อมพระจุลจอมเกล้าไม่มีคนตาย และบาดเจ็บ รวมทหารไทยตาย 8 คน และบาดเจ็บ 40 คน ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว ไทยกับฝรั่งเศสก็ได้ยุติการสู้รบกันเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องเขตแดน ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และเป็นเหตุให้ไทยเราต้องเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสเป็นเนื้อที่จำนวนมากมาย โดยที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำรงไว้ซึ่งเอกราช และอธิปไตยของไทยต่อไปจาก เหตุการณ์การสู้รบครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณา เห็นว่าการว่าจ้างชาวต่างประเทศ เป็นผู้บังคับการเรือ และป้อมนั้นไม่เป็นหลักประกันพอที่จะรักษาประเทศได้ สมควรที่จะต้องบำรุงกำลังทหารเรือ ไว้ป้องกันภัยด้านทะเล และต้องใช้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศทั้งหมด และการที่จะให้คนไทย ทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศ ได้นั้นต้องมีการศึกษาฝึกหัดเป็นอย่างดี จึงจะใช้การได้จึงทรงส่ง พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ออกไปศึกษา วิชาการ ทั้งใน ด้านการปกครอง การทหารบก ทหารเรือ และอื่น ๆ ในทวีปยุโรป http://www.paknam.com/thai/paknam-incident.html#ixzz1Sx3t3o2f จากคุณ : บัตรผ่านแล้วมีไรป่าว เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 18:46:45 A:124.121.7.150 X: TicketID:324593

ความคิดเห็นที่ 18 http://en.wikipedia.org/wiki/BL_6_inch_gun_Mk_V Maximum range 8,000 yards (7,300 m) .. ยิงถึงชัวร์ และน่าจะยิง ดักหน้า ไล่หลังได้เยอะด้วย . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 19:16:57

ความคิดเห็นที่ 19 เป่า นิ่ง กับ เป่า เคลื่ยนที่ อันไหน จะยิงยากกว่ากันละ ยิงปืนใหญ่สมัยนั่นอีก ระยะยิงมันสั่น จากคุณ : เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 19:34:28 A:49.49.206.198 X: TicketID:344862

ความคิดเห็นที่ 20 เอ่อ    ผมว่ามันก็ดีแล้วละครับที่เราจมเรือมันไม่ได้     เพราะถ้าเกิดเราจมเรือรบมันทั้ง2ลำได้นี่คราวนี้คงกลายเป็๋นเรื่องใหญ่ล่ะ      กองเรือรบของฝรั่งเศสที่เขมรและเวียดนามคงยกขบวนเคลื่อนมาเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ๆ    คราวนี้ล่ะหายนะครั้งใหญ่    เราอาจจะไม่เสียแค่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเท่านั้น    แต่จะเสียฝั่งขวา (ภาคอีสาน) ไปด้วย ตามความเป็นจริงแล้วกรณีพิพาทนี้ไม่ควรจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้    เพราะทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งไปถึงเรือรบให้หยุดเดินเรือไปต่อแล้ว     แต่ที่เรือรบไม่หยุดก็เพราะปาวี       ที่ดันซ่อนคำสั่งไว้    ไม่ให้่ไปถึงเรือรบ ซึ่งในตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรฝรั่งเศสก็อยากได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาก     เพื่อจะได้ใช้แม่น้ำโขงเป็นทางไปสู่จีนทางใต้        อย่างไรฝรั่งเศสก็ต้องเอาฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปให้ได้        แต่ฝรั่งเศสดันพลาดที่ไม่ศึกษาภูมิศาสตร์ของแม่น้ำโขงให้ดีซะก่อน      เพราะแม่น้ำโขงเต็มไปด้วยเกาะแก่งที่ขวางการเดินเรือมากมาย     ไม่เหมาะแก่การเดินเรือเข้าจีน       ฝรั่งเศสจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรในการเดินเรือไปจีนจากการได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเลย      แถมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงประชากรก็เบาบาง        ทรัพยากรดีๆก็ไม่มี    หลักๆมีแต่ป่า    ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีไม้สักที่ฝรั่งต้องการ   มีแต่ไม้อย่างอื่น    โบราณสถานแบบเขมรก็ไม่ค่อยมี      ตกลงว่าฝรั่งเศสได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย     แต่จะคืนให้สยามก็ใช้ที่    เสียหน้าหมด    ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ยึดครองเอาไว้ต่อไปแล้วกัน    ฝรั่งเศสก็จำใจปกครองลาวแบบแก้บนไปวันๆเท่านั้นแหละ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 20:08:06 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:05:45

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกวันนี้  ไทยเราทำปืนแบบนี้เองได้หรือยังครับ จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:10:54

ความคิดเห็นที่ 22 เจอกระบวนยุทธชลมารคของไทย ฝรั่งเศสก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนั่นละ เพราะอัจฉริยภาพภูมิปัญญาบรรพชนไทย เน้นความเพรียว ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ของตัวเรือ เป้าเล็กเมื่อหันหน้าเข้าเผชิญ ปืนใหญ่ระดมยิงมาก็ไม่อาจต้องตัวเรือ รูปแบบกระบวนฝีพายปีกนกที่เพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว เร่งความเร็วเข้าประชิดกาบเรือซ้าย ขวาเผด็จศึกด้วยการยุทธระยะประชิด ปืนใหญ่ก็ไร้พิษสง ฝีมือเพลงดาบเราไม่เป็นรองใครอยู่ แล้วซ้ำยังมีคาถาอาคม เสื้อยันตร์ ยิงฟันแทงไม่เข้า เป็นที่เลื่องลือครั่นคร้ามเมื่อครั้งแต่ราชทูตโกษาปานไปเจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ฝรั่งเศสในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่เกินชั่วเคี้ยวหมากแหลก แม้นชั้นเรือธง กำลังลูกเรือนับร้อย จักยอมจำนนชูธงขาวเป็นแม่นแท้เหลา หากนึกภาพไม่ออก ให้หาภาพยนตร์ตำนานฯภาค3  มาชมฉากยุทธนาวีแล้วจะทราบโดยทั่วกัน จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:14:05

ความคิดเห็นที่ 23 ทหารไทย :  มันมาแล้ว เอาไงดีครับท่าน Captain C. von Holck : ยิงเตือนก่อน ทหารไทย : yes sir  ยิงเตือน พร้อม ....fire .. ทหารไทย : ยิงไปแล้ว มันยังไม่หยุดอ่ะ เอาไงดีครับท่าน Captain C. von Holck : ยิงเตือนอีกครั้ง ทหารไทย : yes sir  ยิงเตือน พร้อม ....fire .. ทหารไทย : ยิงไปแล้ว มันยังไม่หยุดอ่ะครับท่าน เอาไงดีครับท่าน - -" Captain C. von Holck : อืมม.... ยิงเตือนอีกครั้ง ทหารไทย : yes sir  ยิงเตือน พร้อม ....fire .. ทหารไทย : มันจะเลยระยะยิงแล้วนะ ผมว่า เอาไงดีครับกัปปีตัน Captain C. von Holck : อืมม.... ยิงเตือนอีกครั้ง Captain C. von Holck : เอ้ย ยิงไปเรือเลย เร็วๆๆ โว๊ย เดี๋ยวไม่ทัน ทหารไทย : yes sir....ยิงไปทีเรือ ... fire .. ทหารไทย : เวง แล้วมันจะยิงถึงไมเนี่ย - -" . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:31:48

ความคิดเห็นที่ 24 ^ *22 จริงดิ ! จากคุณ : จอมยุทธตะเกียบคู่ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 20:40:01

ความคิดเห็นที่ 25 อยากรู้จากทางด้านฝรั่งเศสมั่งอ่ะ มีบันทึกไว้ไหม คงต้องเอามาเทียบกันนะผมว่า ถึงจะพอเห็นภาพที่แท้จริง จากคุณ : อาขยาน เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:39:10

ความคิดเห็นที่ 26 คห.22 ถ้าเป็นสมัยอยุธยาน่ะอาจจะมีลุ้นขึ้นเรือได้ แต่ตอน ร.ศ. 112 มันปืนแกตลิ่งแล้วนะ พายไปอย่างนั้นตายยกลำชัวร์ จากคุณ : บัตรผ่านแล้วมีไรป่าว เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 21:58:03 A:115.87.37.132 X: TicketID:324593

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาฮาหลาย ๆ ความเห็น บางความเห็นนี่ไม่รู้ข้อมูลเอามาจากไหน ที่บอกว่า ผู้ควบคุมแผนป้องกันพระนครหลับอยู่ หรือ จะเป็นคนคุมห้องเครื่องเรือไม่ยอมทำตามคำสั่ง ผบ.เรือ โอ๊ย จะตลกไปถึงไหนครับ เรื่องการสร้างป้อมที่ล่าช้า มันมาจากหลายปัจจัย งบประมาณแผ่นดินไม่เพียงพอ เพราะต้องนำไปพัฒนาประเทศในหลาย ๆ ด้าน ไหนจะเรื่องของ โรคภัยที่ชุกชุมเหลือเกินในบริเวณที่สร้างป้อมฯ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แถวนั้นมีแต่มาลาเรียทั้งนั้นนะครับ ทางราชการสยามต้องจ้างกรรมกรจีนมาสร้างป้อมแทน จนสุดท้าย ร.๕ ทรงออกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เข้าสมทบจึงสร้างป้อมได้เสร็จ แต่ก็ยังมีปัญหาเพราะทหารประจำป้อมยังใหม่หมด ตอนฝึกซ้อมใหญ่ ยิงโดนทุ่นลอยน้ำนะครับ ผบ.เรือฝรั่งเศสประจำเวียดนามก็มาดูอยู่ แกก็รู้ครับว่า อานุภาพปืนของสยามไม่ธรรมดา ประการต่อมา สยามก็ไม่ได้ประมาท นอกจากมีซากเรือไว้ขวางแล้ว ร.๕ ยังทรงให้จัดซื้อ "ทุ่นระเบิดเรือ" มาไว้สำหรับจมเรือโดยเฉพาะด้วย ติดตั้งเสร็จแล้ว แต่พอถึงเวลาใช้งานจริง จุดแล้ว แต่มันด้านครับ นอกจากนี้ ก็ยังมีการติดตั้งปืนอาร์มสตรองแบบเดียวกับป้อมพระจุลฯ ด้วยเช่นกัน โดยติดไว้ที่ ป้อมผีเสื้อสมุทร ในบริเวณติดปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พระปะแดงในปัจจุบัน แต่ติดยังไม่แล้วเสร็จ  ทหารที่ป้อมผีเสื้อสมุทรก็พร้อมจะยิงแล้ว แต่ฝรั่งเศสโชคดีว่า มาถึงมืดพอดี ทหารในป้อมเลยกลัวว่าจะยิงพวกเดียวกัน จึงปล่อยผ่านไป จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:22:39

ความคิดเห็นที่ 28 คิกคิก ตายยกลำแม่นแท้เหลา จากคุณ : หน้าน่วม เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:30:51

ความคิดเห็นที่ 29 คงจะบอกได้คำเดียวหละคับว่า"ก็มันมืด" จากคุณ : buta_king เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:32:04

ความคิดเห็นที่ 30 # คุณ zodiac28 กองเรือฝรั่งเศสที่ไซ่ง่อน ก็ยกมาจะแทบหมดอยู่แล้วครับ ฝรั่งเศสเองก็กลัวเหมือนกัน แต่อาศัยความเก๋าครับ จึงทำการสำเร็จ และผมคิดว่า ฝรั่งเศสคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาอีกแน่ เพราะเห็นพิษสงปืนเสือหมอบแล้ว เรื่องปาวีอะ ผมเห็นว่า ฝรั่งเศสทำเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงชัด ๆ เพราะหลุมศพของ ปาวี ที่ฝรั่งเศสนี่ได้รับเกียรติอย่างสูงครับ จะบอกว่ารัฐบาลไม่รู้ไม่เห็นชอบด้วย ผมว่าเป็นการแถแบบน้ำขุ่น ๆ เพราะ ผบ.กองเรือฝรั่งเศสที่ไซ่ง่อน มีอำนาจบังคับกองเรือทั้งหมด แต่ดันมาทำติงต๊องเชื่อแค่อุปทูตอย่าง ปาวี นี่นะ ขำแล้วครับ อีกอย่าง ผบ.กองเรือฝรั่งเศส ก็เข้ามาสำรวจร่องน้ำนานแล้วด้วย ดังเอกสารที่นิตยสารศิลปวัฒนธรรมเอามาเผยแพร่ในยุคหลัง ๆ  แสดงว่า ทางรัฐบาลฝรั่งเศสเอาแน่ ๆ เรื่องนี้ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองหนัก ๆ ครับ สยามเพิ่งพัฒนาประเทศหลังจากกรณีวิกฤตการณ์วังหน้าเอง เสียเวลาไปตั้งหลายปี ถ้าไม่มีวิกฤตวังหน้า ผมว่าสยามจะสามารถสู้กับฝรั่งเศสได้สนุกกว่านี้ครับ =========================== อ้อ นึกออกและ ที่บางท่านบอกว่า เรื่อง ผบ.เรือบางคนบอกว่าตัวเองเป็นชาติเป็นกลางไม่ยอมรบ นั่นมันเรือของประเทศอื่น ๆ ที่มาลอยลำอยู่หน้าสถานทูตตัวเองในบางกอกครับ ตอนนั้นประเทศยุโรปอื่น ๆ มั่นใจว่า ฝรั่งเศสยึดสยามแน่ เลยส่งเรือรบมาป้องกันผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น อังกฤษ ปรัสเซีย ฮอลแลนด์ พูดง่าย ๆ คือ ฝรั่งเศสจะทำอะไรก็แล้วแต่ ห้ามมายุ่งกับสถานทูตและทรัพย์สินของฉันเป็นพอ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:33:39

ความคิดเห็นที่ 31 ก็ให้มันปิดอ่าวไปซิฟะ จะปิดเป็นเดือนเป็นปี ป่าไม้เราก็สมบรูณ์ ข้าวปลาก็มีอุดมสมบรูณ์ ไม่อดตาย ยุคนั้นปิดอ่าว ชาวบ้านเดือดร้อนอะไรครับ "กลัวอะไร" ให้มันทนไม่ไหวขึ้นฝั่งมาก็เจอรบกองโจรแน่ จากคุณ : ขอมีส่วรร่วม เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:33:48 A:171.7.212.14 X: TicketID:336069

ความคิดเห็นที่ 32 ทำไมเค้าไม่ใช้ดาวเทียมตรวจ​ตำแหน่งเรือรบฝรั่งเศสหละ เกรียนกว่า - -! จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:38:54

ความคิดเห็นที่ 33 เท่าที่อ่านมา สรุปคร่าวๆก็คือ ฝ่ายเรา ไม่ชำนาญการใช้อาวุธปืนใหญ่ครับ ส่วนกองเรือฝรั่งเศสที่เหลือนั้น ก็เป็นการวิเคราะห์ของคนรุ่นหลังที่วิเคราะห์ว่า ถ้าไทยจมเรือรบ 2 ลำนั้นได้จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็คือ ไม่โดนปิดปากอ่าว ก็ โดนบุกมาอีกระลอก จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 22:47:15

ความคิดเห็นที่ 34 เรือปืนโคแมต /จะเห็น Phalanx 2 ชุด ด่านหน้า .... ยืนยัน ตายยกลำ ชัวร์ :) . จากคุณ : tzu149 เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 23:25:13

ความคิดเห็นที่ 35 ผิดตั้งแต่เลือกแบบปืนประจำการแว้ว มันซับซ้อนยุ่งยากและช้าเกินไป จากคุณ : ถั่งโถมโหมแรงใจ เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 23:56:40

ความคิดเห็นที่ 36 คือ ที่ว่ามันซับซ้อนและช้าไป นั้น มันทันสมัยที่สุดที่เรามีเงินซื้อในยุคนั้นแล้วครับ จะเอาหรูกว่านี้ก็มี แต่เงินมีไหม ขนาด ปลย. ในสมัยนั้นเรา ยังเอาแบบมากจากยุโรป แล้วไปจ้างญี่ปุ่นผลิตเลยครับ ได้ของดีแบบฝรั่ง แต่ในราคากันเอง ลักลอบขนมาไม่ให้ใครรู้ด้วย จากคุณ : sayanjo65 เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 00:57:46

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านบางความเห็นแล้ว ถ้าบรรพบุรุษมาอ่านคงน้ำตาตก โดยปกติ เขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้าไม่เลือก คงเอาปืนบรรจุทางปากลำกล้องแบบโบราณไปตั้งไว้ที่ป้อมพระจุลฯ น่าจะง่ายกว่า ถ้าไปอ่านรายงานการประชุมเสนาบดีฯ สมัย ร.๕ จะเห็นได้ชัดครับว่า ทุกฝ่ายกระตือรือล้น ที่จะป้องกันพระนคร และพระราชอาณาเขตเต็มที่ ร.๕ ทรงให้เสนาบดีแต่ละท่านเสนอแนวทางป้องกันพระราชอาณาเขตได้เต็มที่ บางท่านคงคิดแค่ว่า เรื่องจะจบแค่ที่ปากน้ำ แหลมฟ้าผ่าเท่านั้น ซึ่งเป็นการคิดที่ต้องบอกว่า เพราะรู้ข้อมูลเท่านี้ก็คิดเท่านี้ เพราะสมัยโน้นไม่ได้มีดาวเทียมทหาร ที่จะบอกพิกัดได้ว่าฝรั่งเศสมันจะยกพลขึ้นตรงไหนบ้าง ทำให้ในที่ประชุมมีการเสนอแผนการตั้งรับต่าง ๆ มากมาย เช่น ให้สร้างป้อมปืนแบบป้อมพระจุลฯ เพิ่มที่เมืองสมุทรสาคร และ ฉะเชิงเทรา และปรับปรุงป้อมในพระนครอีกเป็นจำนวนมาก แต่ ร.๕ ทรงเห็นว่ามันจะไม่ทันเวลา ก็เลยสร้างให้จัดการทีหลังครับ จะว่าไป ป้อมปืนต่าง ๆ นั้น สร้างมาตั้งแต่ ร.๑ และ ร.๒ แล้ว ยิ่งพอมา ร.๓ ทรงให้ต่อเรือรบอีกเป็นจำนวนมาก คนไทยต่อเองนี่แหละ เรือแบบยุโรปก็มี นั่นก็แสดงว่า บรรพบุรุษสยาม ท่าน "มองการณ์ไกล" กว่าเด็กรุ่นหลัง ที่เป็นนักเลงคีย์บอร์ดเยอะครับ ถ้าจะผิด ก็บอกได้อย่างเดิมว่า ผิดเพราะไม่มีเงินครับ แล้วก็ เรื่องของวิกฤตวังหน้า อีกเรื่องหนึ่งครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 06:56:23

ความคิดเห็นที่ 38 มันเป็นเพราะระบบการบริหาร การปกครองที่ล้าหลังมากกกกกกกกกก ไม่เฉพาะไทยดอกคับ พม่า มาเล เวียดนามก็เป็น ถ้ามองภาพรวมแล้ว...การทำสงครามกองโจรสู้ฝรั่งสมัยนั้น มันง่ายกว่า เวียดนามสู้เมกาซะอีก เพียงแต่ว่า........... ๑ ความภักดีของประชาชนสมัยนั้น ต่อระบบการปกครอง ไม่มากพอ ๒ ชนชั้นปกครองสมัยนั้น ไม่อาจละทิ้งความสุขสบายได้ ๓ แนวคิดชนชั้นปกครองสมัยนั้น ไม่คิดจะสู้(การมีเรือรบมาจอดด้านในสมัยนั้น มัน ส่งผลต่อภาพรวมสงครามซักเท่าไรเชียว ต่อให้ยิงสิ่งก่อสร้างพังก็เถอะ จะกล้าลงจากเรื่อหรือป่าววว) """""""""เมื่อมองมาถึงปจุบัน ก็ต้องโมทนาสาธุ ที่ เขมร ลาว ได้เป็นอิสระ ไม่ต้องอยู่ในระบอบปกครองแย่ๆของ ไทย""""""" ลองไปถามคน ลาว คนเขมรซิครับ อยากอยู่รวมกับไทยหรือป่าววว จากคุณ : กหกด เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:31:34 A:125.27.93.15 X: TicketID:097560

ความคิดเห็นที่ 39 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:45:07

ความคิดเห็นที่ 40 37# คือว่า คุณพี่ครับ ผมสงสัยตรงจุดนี้อ่ะครับ ถ้าไปอ่านรายงานการประชุมเสนาบดีฯ สมัย ร.๕ จะเห็นได้ชัดครับว่า ทุกฝ่ายกระตือรือล้น ที่จะป้องกันพระนคร และพระราชอาณาเขตเต็มที่ ผมเคยอ่านมาจากศิลปวัฒนธรรม แล้วผมสงสัยว่า ทำไมรัชกาลที่ 5 ต้องทรงไปสั่งงานด้วยพระองค์เอง และงานก็เป็นไปอย่างล่าช้ามากๆ เหมือนทรงไม่มีใครช่วยดูแลงานนี้แทนเลย พวกเสนาบดีทั้งหลายไปไหนกันหมดอ่ะครับ ผมว่างานแบบนี้ไม่น่าจะต้องถึงมือพระเองค์เองเลยนะครับ เลยสงสัยว่า กระตือรือล้นกันจริงหรือไม่ ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:46:42

ความคิดเห็นที่ 41 ปืนใหญ่อาร์มสตรอง ไทยเราเรียก ปืนเสือหมอบ จากคุณ : TierraMan เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 12:59:21

ความคิดเห็นที่ 42 งงครับ สงครามกองโจรอะไร ต้องเข้าใจยุทธการสมัยนั้น ก่อน การใช้เรือแบบนี้ เราจะเห็นได้คือการเป็นเรือไฟ (ปืนใหญ่) โจมตี หรือที่เราเห็นในหนังเรียกว่า battle ship คือจะใช้ปืนใหญ่ระดมโจมตีชายฝั่งหรือสถานที่สำคัญ ในสมัยนั้น บ้านเราสถานที่สำคัญต่อการปกครองคือพระบรมมหาราชวังไงครับ หากยิงไปที่พระบรมมหาราชวังหรืออะไรก็แล้วแต่ อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินก็แทบจะไม่เหลือ คราวนี้ เขาอาจจะขนแรงงานเวียดนาม หรือแรงงานจากประเทศอื่นๆ มาบุก ผมไม่คิดว่า การต่อสู้แบบกองโจรอะไรของคุณจะเป็นไปได้หรอกครับ ดูตัวอย่างเช่น พม่า เมื่อเสียเอกราช ประชาชนของเขาพยายามลุกขึ้นต่อสู้เหมือนกัน แต่มันสู้ไม่ได้ มันไม่ได้มีมนุษยธรรมอะไรครับ ตอนอังกฤษไปยึดออสเตรเลียในสมัยนั้น เขาถือว่าคนอบอริจินิส เป็น "สัตว์" ครับ ฉะนั้น เขาก็ไม่ได้มีความปราณีอะไรหรอก ฆ่าได้ก็ฆ่าเลย ผมคิดว่า ถ้าเขาบุกเราได้ เขาก็คงไม่ไว้หน้าเหมือนกัน นอกเสียจากเราจะทำตัวกลมกลืนยอมรับเขาเสีย ซึ่ง ก็เป็นนิสัยแบบหนึ่งของคนไทยนะ ปล. ผมไม่แปลกใจหรอกที่ใครจะไปถามว่าลาวเขมร อยากอยู่รวมกับไทยหรือเปล่า กลับกัน ผมอยากถามว่า แล้วคนไทย อยากให้ลาว เขมร เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยแบบนี้เหรอ จะว่ากันตามจริงแล้ว คนไทยบางจำพวก คงไม่ได้มีความรักผูกพันกับแผ่นดินไทยครับ พอทรยศได้ก็ทำ พวกนี้ ไม่น่าจะใช้ชื่อไทยเลยด้วยซ้ำ น่าจะปล่อยให้ไปอยู่กับพวกที่เขาชอบ ๆ จะดีที่สุด จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 14:25:48

ความคิดเห็นที่ 43 คือผมเคยอ่านในศิลปวัฒนธรรม(คงจำไม่ผิด) ได้เขียนเรื่องนี้แหละ สรุปน่ะ...การบริหารราชการสมัยนั้นมันเลวร้ายมาก เส้นสายทั้งนั้น ฝรั่งประเทศสแกน เป็นคนดูแลการยิง ได้สู้เต็มที่ แต่ลูกน้อง(คนไทย) ที่เข้ามาเพราะเส้น ไม่ฝึก ไม่มีวินัย แถมขโมยของไปขาย ตอนเกิดเหตุการ ฝรั่งมันวิ่งวุ่นอยู่คนเดียว นี่ผมยังไม่พูดถึงการปล่อยให้ประเทศให้ล้าหลัง ไม่พัฒนาน่ะ """""""""""ผมจึงว่ามันเป็นเพราะการบริหารที่เลวร้าย""""""""" เมื่อเรือ ไปจอดหน้าบ้านแล้ว.... สมัยพระนาราย ยังมีเมืองหลวงสำรองน่ะ.... กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย..... สัญลักษณ์การบริหารมันเป็นเรื่องหลอกตา กรณี นโปเลียนยึดมอสโคว ก็เป็นตัวอย่างให้สำเหนียก ก่อน รศ ๑๑๒ แล้ว """"""""""""ก็เพราะ คนชั้นนำไม่อยากสู้ มันเหนื่อย"""""""""""""" สงครามกองโจรนั้น(ถ้าเกิดขึ้น) มันมีตัวอย่างในสมัยพระนเรศวรแล้ววววว และมันง่ายกว่าสมัย โฮจิมินทำกับ อเมริกา เพราะ สมัยนั้น ไม่มีเครื่องบิน และระบบอิเลกโทรนิค เพียงแต่ ระบบการปกครองที่เอารัดเอาเปรียบ ทำให้ ประชาชน ไม่ภักดีต่อระบบ จะเห็นได้ว่า ไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าปีนัง ล้านนา จะไปอยู่กับอังกฤษ ปัตตานี ก็กระด้างกระเดื่องตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ต่อให้ฝรั่งเศส เอาแรงงานที่อื่นมารบ ก็ต้องใช้เงิน (ก็เหมือนอเมริกานั่นแหละ) สู้นานๆ มันไม่คุ้ม ฝรั่งเศสมันต้องเลิก ถอยไปเอง (เหมือนอเมริกาอีกนั่นแหละ) """"""""""""ชาวบ้านไม่เอาด้วยกับระบบการปกครอง"""""""""""" การจะโทษชาวบ้านว่าไม่รักชาติก็ต้องดูว่า ระบบการปกครองรักประชาชนหรือไม่ด้วย """"""""""ย้ำ คนลาว เขมร รู้สึกไม่ดีกับการปกครองของสยามต่อพวกเขา""""" อดีต มันสอน ให้ทำสิ่งที่ดี ต่อประชาชน ...ปัตตานี อิสาน เหนือ ในปจบัน เพราะมีทีท่าว่ามัน่จะร้อนฉ่าขึ้นมาอีกแล้ว """""""""""เรื่องจิตวิทยานี่มันก็เทคโน ทหารเหมือนกันน่ะ"""""" จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 17:51:25 A:125.27.93.15 X: TicketID:097560

ความคิดเห็นที่ 44 ขอให้ดูประเทศเครือจักรภพเป็นตัวอย่าง เขายังรู้สึกดีๆกับอังกฤษ ทั้งที่เขาเป็นเมืองขึ้นแท้ๆ ส่วนพวกที่เคยอยู่ในการปกครองสยามกลับด่าเราเช็ดเม็ด...เพราะอะไร """""""""เราไม่เคยคิดเอาชนะใจประชาชนเลยนี่ครับ."""""""" จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 17:56:34 A:125.27.93.15 X: TicketID:097560

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ จริงดิ จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 00:20:58

ความคิดเห็นที่ 46 เหตุการณ์ปี ร.ศ.๑๑๒   หาอ่านอย่างละเอียดได้ที่นี่ครับ http://www1.mod.go.th/heritage/nation/event112/event112.htm เหตุการณ์สู้รบที่ปากน้ำนั้น  หลายฝ่ายก็รายงานไม่ค่อยตรงกัน  มีรายงานหนึ่งที่น่าสนใจ ---------------------------------------- จากบันทึกของมิสเตอร์ วาริงตันสไมร์            ในตอนบ่ายวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ได้ไปที่ปากน้ำโดยเรือใบเพื่อดูสถานการณ์ทางทหาร ได้ขึ้นไปบนเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ มิได้จัดการเตรียมพร้อมอย่างใด ต่างพูดถึงการรบโดยคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารประจำเรือไม่เคยเห็นการยิงปืนใหญ่เลยเว้นแต่ผู้บังคับการเรือคนเดียว ทหารประจำเรือเป็นคนเกณฑ์ใหม่มาจากท้องนา กระสุนดินปืนก็ไม่เคยรู้จัก ทหารประจำเรือลำอื่น ๆ และประจำป้อมก็คงมีสภาพอย่างเดียวกัน อาวุธประจำเรือมูรธา ฯ มีปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก ขนาด ๗๐ ปอนด์ หนึ่งกระบอก ติดอยู่ทางหัวเรือ ปืนทองเหลือง สำหรับยิงสลุตสี่กระบอก และปืนกลฮอทชกีส ห้าลำกล้อง หนึ่งกระบอก ติดอยู่ที่ดาดฟ้าชั้นบนตอนหัวเรือ ได้มีคำสั่งมาว่าให้ทางเรือเตรียมกำลังไอน้ำให้พร้อม เพราะได้ข่าวมาว่าเรือรบฝรั่งเศสจะเข้ามาปรากฏตัว ทุกคนต่างนึกว่าเป็นเรื่องตลกไม่จริง            จากนั้นได้ไปที่ป้อมผีเสื้อสมุทร ได้พบกับผู้บังคับการป้อม ซึ่งไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่สันดอน และทหารไม่เคยยิงปืนใหญ่เลย หลังจากนั้นได้ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ ฯ ตอนบ่ายคิดว่าการป้องกันที่ปากน้ำจะไม่แข็งแรงพอดังที่พระเจ้าแผ่นดินทรงมั่นพระทัย ฯลฯ            เมื่อเดินทางกลับจากปากน้ำแล้ว ปรากฏว่าเรือมูรธาและเรือมกุฏราชกุมาร ได้เข้าประจำที่ภายในแนวกีดขวาง จอดอยู่ลำละช่องทางผ่าน..... มีเรือปืนแบบเก่าอีกสองลำ และเรือฝึกอีกหนึ่งลำจอดอยู่ในบริเวณนั้น แต่ละลำมีปืนทองเหลืองสำหรับยิงสลุตลำละ หกกระบอก ฯลฯ            ประมาณเวลา ๑๗.๐๐ น. หนังสือของ ม.ปาวี ที่เรือกลไฟไทยนำมาส่งให้ก็ได้ส่งไปให้เรือแองคองสตังค์ กัปตันเรือเซย์ได้ขึ้นไปบนเรือแองคองสตังค์ ทำหน้าที่นำร่อง.....            กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก และฝนทำท่าจะตก ทำให้มืดค่ำเร็วกว่าธรรมดา เรือเซย์ออกนำหน้า มีเรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมตตามมา เวลา ๑๘.๓๐ น. พลเรือจัตวา ริชลิเออ สั่งให้ป้อมยิงโดยไม่บรรจุกระสุนสองนัดเป็นการเตือน แล้วต่อมายิงอีก หกหรือแปดนัด กระสุนตกข้ามหัวเรือฝรั่งเศส เรือฝรั่งเศสจึงเตรียมเรือเข้ารบ เรือฝรั่งเศสยิงตอบ เมื่อเวลา ๑๘.๔๕ น. นัดแรก ๆ ตกต่ำลงบนเลน นัดต่อไปตกสูงข้ามป้อมลงไปในป่า..... กระสุนนัดที่ ๖ และนัดที่ ๑๑ ของไทยถูกที่หมาย นัดที่ ๑๙ ตกที่ดาดฟ้าทะลุหัวเรือกราบขวาของเรือแองคองสตังค์ .....            เมื่อเรือแล่นเข้ามาใกล้แนวกีดขวาง เรือแองคองสตังค์ ออกนำหน้า แล่นเป็นวงกว้าง ๆ ไปทางทิศเหนือ..... ต่อมาได้แล่นเฉียดเข้าไปใกล้เรือทุ่นไฟ ซึ่ง ณ จุดนี้ ป้อมทำการยิงไม่ได้            เรือมูรธา ฯ ได้ยิงด้วยปืนใหญ่บรรจุปากลำกล้อง ขนาด ๗๐ ปอนด์ ๑ นัด แล้วถอนสมอ โดยที่ไม่มีเวลากลับลำ จึงต้องเดินถอยหลังเต็มตัว เมื่อได้ยิงนัดที่สองออกไปรางปืนก็แตกทำให้หันปืนไม่ได้            เรือมกุฏ และเรือมูรธา ฯ ต่างมีผู้บังคับการเรือ และต้นกลเรือเป็นชาวยุโรป โดยที่ทหารประจำเรือไม่มีความชำนาญพอ นายทหารดังกล่าวจึงต้องทำการเล็งปืนเอง แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนสะพานเดินเรือ เพื่อทำการนำเรืออีก ในขณะที่เรือมูรธา ฯ และเรือแองคองสตังค์ แล่นเข้าหากัน เรือแองคองสตังค์ ได้สั่งหางเสือขวาหมด เพื่อมิให้เรือชนฝั่งแม่น้ำ เรือมูรธา ฯ ก็ได้สั่งเดินหน้าเต็มตัวและสั่งหางเสือขวาหมดเพื่อหลบการถูกชน เรือทั้งสองเบียดกันจนกระทั่งเสาธงท้ายของเรือมูรธา ฯ หัก เรือโบตซึ่งได้หย่อนลงไว้เพื่อมิให้กีดขวางทางปืนขนาด ๗๐ ปอนด์ ก็ต้องดึงเข้ามาในเรือ ทหารในเรือมูรธา ฯ ได้ยินเสียงสั่งการยิงจากเรือแองคองสตังค์ ได้ชัดเจน เนื่องจากมีดาดฟ้าชั้นบนกำบังไว้ จึงรอดจากการถูกยิงด้วยปืนเล็ก เรือมูรธา ฯ ถูกยิงด้วยกระสุนปืนเล็กที่ตัวเรือ ๒๑๖ นัด ถูกยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ดินเมลิไนท์ ระเบิดเข้าไปภายในเรือ เมื่อตอนที่ผ่านท้ายเรือแองคองสตังค์ ทำให้เกิดรูข้างเรือทางกราบซ้ายโตหลายฟุต และต่ำกว่าแนวน้ำ ประมาณ สามนิ้ว เรือมูรธา ฯ ได้เดินหน้าแล้วทอดสมอ จัดการเลื่อนปืนใหญ่ไปไว้ทางกราบขวา รวมทั้งเอาน้ำหนักอื่น ๆ มารวมอยู่ด้วย เพื่อถ่วงให้รูทางกราบซ้ายพ้นน้ำจะได้ซ่อมแซมได้สะดวก            พลประจำเรือมกุฏ ฯ ก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน ผู้บังคับการเรือกัปตันกลเรือต้องช่วยปฏิบัติงานอีกด้วย เรือมกุฏ ฯ ถูกยิงมากพอสมควร แต่ยังสามารถแล่นตามเรือฝรั่งเศส เข้ามาจนถึงบางคอแหลม เพื่อฟังคำสั่งต่อมาเรือมูรธา ฯ ได้แล่นขึ้นมาสมทบ            ป้อมผีเสื้อสมุทรมองอะไรไม่ใคร่เห็น เพราะเมื่อเรือฝรั่งเศสแล่นขึ้นมาถึงสมุทรปราการ ก็เป็นเวลาค่ำมืดได้มีการยิงกันเพียง ๕ นาที ต่อจากนั้นเรือฝรั่งเศสก็แล่นเข้ากรุงเทพ ฯ            ในระหว่างยิงต่อสู้กันเรือเซย์ ถูกกระสุนปืนของเรือมูรธา ฯ หนึ่งนัดที่ใต้แนวน้ำ จึงได้แล่นไปเกยฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ.....            มีคนในเรือมูรธา ฯ สามคน ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก เป็นพลประจำปืนกล ได้ใช้อาวุธของเขาอย่างเต็มความสามารถ.....            ความเสียหายของทั้งสองฝ่าย..... ฝ่ายฝรั่งเศสมีทหารตาย ๓ คน บาดเจ็บ ๓ คน ฝ่ายไทยมีทหารตาย ๑๕ คน บาดเจ็บ ๒๐ คน ทั้งหมดถูกยิงจากปืนกลบนหอรบของเสา และจากปืนเล็กยาวในขณะที่เรือเข้ามาใกล้กัน            พลเรือจัตวา ริชลิเออ ผู้มีหน้าที่อำนวยการป้องกันไม่ใคร่มีโอกาสได้ทำอะไรมาก เขาเคยเสนอให้จมเรือขวางช่องทางเดินเรือเพิ่มขึ้นอีก แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะเสนาบดี ถึงแม้จะเข้าอำนวยการรบด้วยตนเอง แต่ทหารในบังคับบัญชาทั้งหมดเป็นคนเข้าเวรใหม่ และไม่ได้รับการฝึกเพียงพอ การร้องขอให้จัดเตรียมทุ่นระเบิด และสิ่งอื่น ๆ ก็ประสบแต่ความโอ้เอ้ล่าช้า            ป้อมที่ปากน้ำเพิ่งสร้างเสร็จ นายทหารชาวยุโรปที่ป้อมอีกสามคน พูดภาษาได้คนเดียว อีกสองคนยืมตัวมาจากกรมแผนที่ ซึ่งเพิ่งเดินทางเข้ามาเมืองไทย และสมัครใจจะมาปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างทำการรบครั้งนี้ นายทหารดังกล่าวนี้ได้สั่งการต่าง ๆ ที่คนไทยยากจะเข้าใจ นอกจากนี้ก็ปืนใหญ่สนามหมู่หนึ่งร่วมทำการยิงด้วย แต่กระสุนตกน้ำหมดไม่ถูกเป้าหมายเลย            ทหารที่มีส่วนเข้ารบนั้นมิได้รับการฝึกเพียงพอ..... ผู้บังคับการป้อมผีเสื้อสมุทรถูกไล่ให้ออกไปจากป้อมในเย็นวันที่มีการสู้รบกันนั้นเอง ทหารประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า ก็แสดงความขัดขืนไม่พอใจ นอกจากนี้ทางกรุงเทพ ฯ ก็ไม่ได้แจ้งเหตุการณ์ให้ทราบว่าจะทำอย่างไรกัน การบังคับบัญชาจึงหย่อนรวนเร ไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม ต่างเกรงจะถูกโจมตีด้านหลังโดยปล่อยให้ต่อสู้โดดเดี่ยว ความวุ่นวายดังกล่าวเกือบถึงขั้นจลาจล.....            ฯลฯ            พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระสติสุขุมคัมภีรภาพ ไม่ยอมฟังเสียงหมู่อำมาตย์ จึงได้สั่งให้งดการสู้รบ และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีการตกลงให้ทั้งสองฝ่ายยุติการรบ จากคุณ : นายเดชา เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 00:35:20

ความคิดเห็นที่ 47 # คุณ deletenumlock ขอโทษด้วยนะครับที่ตอบช้า ขอตอบเลยนะครับ ถ้าดูตามเอกสารจะพบว่า ป้อมพระจุลฯ เริ่มก่อสร้างปี พ.ศ. ๒๔๒๗ แต่มีกำหนดเปิดใช้งานจริง เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ จะใช้เวลาก่อสร้างราว ๆ ๙ ปี ถ้าถามว่าทำไมสร้างช้า คำตอบมีดังนี้ครับ ๑. งบประมาณแผ่นดินมีไม่พอ อย่างที่ได้บอกไป ยกตัวอย่างรายงานเสนาบดีสภา ของกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ ที่ทรงกราบบังคมทูลความตอนหนึ่งว่า สถานการณ์เงินของสยามในตอนนั้น  "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" อยู่ ๒. จะด้วยความบังเอิญหรือไม่ ไม่แน่ใจ เพราะก่อนหน้าจะมีเหตุการณ์ส่งเรือมาทำสงครามกับสยามนั้น ฝรั่งเศสได้ก่อสงครามทางบกมาก่อนหน้านั้นแล้ว และมีการปะทะกันอยู่หลายระลอก ในรายงานประชุมเสนาบดีสภา ก็มีการพูดถึงการเตรียมการตั้งรับฝรั่งเศสในหลาย ๆ ทุกภูมิภาค ตั้งแต่เตรียมสร้างป้อมปืนใหม่ ๆ ,ปรับปรุงป้อมปืนเก่า, เกณฑ์ทหารเพิ่ม, ซื้ออาวุธเพิ่มทั้งปืนเล็ก ปืนใหญ่ กระสุนปืน ตอปิโด, การสร้างโรงงานผลิตอาวุธเป็นของตนเอง ฯลฯ โดยเฉพาะการเกณฑ์ทหารเพิ่ม มีการประมาณการณ์ว่า จะต้องเกณฑ์ทหารมากถึง ๖ หมื่นคนโดยประมาณนะครับ เพื่อให้พอกับการตั้งรับฝรั่งเศส ทั้งสงครามทางบกและสงครามทางเรือ ซึ่งเมื่อคำนวณงบประมาณที่ต้องใช้แล้วไม่น้อยเลย ๓. เสนาบดีหลาย ๆ ท่าน เห็นว่าการมีกองทหารนั้นดีกว่าการสร้างป้อม เพราะกองทหารที่เป็นคนเคลื่อนไหวได้ ก็เหมือนมีป้อมเคลื่อนที่ เพราะฉะนั้นเสนาบดีส่วนใหญ่ อยากจะให้มีกองทหารมาก ๆ จะดีกว่า เพราะใช้ได้ทั้งบนบกและริมตลิ่ง เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมดก็เป็นดังนี้ครับ ถ้าถามว่าเสนาบดีไปไหน ก็ไม่ได้ไปไหนครับ ช่วยกันตัดสินใจอยู่ ร.๕ เอง ก็ทรงเสนอแนวทางป้องกันพระนคร และทรงเป็นผู้พิจารณาทุก ๆ ความเห็นทั้งของพระองค์เอง และของเสนาบดีทั้งหลาย ก่อนที่จะทรงตัดสินพระทัยในขั้นตอนสุดท้าย และ อนุมัติเรื่องต่าง ๆ ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 06:32:03

ความคิดเห็นที่ 48 # บัตรผ่าน :097560 ๑. เรื่องแนวคิดว่า ชนชั้นปกครองไม่คิดสู้  ผมแนะนำให้ไปหาหนังสือรายงานประชุมเสนาบดีสภา สมัย ร. ๕ วันที่  ๒๕ และ ๒๙ เมษายน , ๑๒ และ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ (ร.ศ. ๑๑๒) ถ้าจะเอาแบบสรุป ก็แนะนำหนังสือ "กรณีพิพาท ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และการรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา สมัย ร.ศ. ๑๑๒ " ของ พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ และ นาวาเอก สวัสดิ์ จันทนี ขอให้อ่านหนังสือเหล่านี้ประกอบนะครับ คาดว่าข้อมูลที่คุณได้มาคงจะมาจาก "ความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ " ๒. ที่ถามว่า คนเขมร , ลาว อยากอยู่กับสยามไหม ตอบได้เลยครับ อยู่ที่ว่าผู้ปกครองของเขมร และ ลาว ตอนนั้น ภักดีกับใคร เจ้าอนุวงศ์ที่ว่ากบฎกับสยาม แต่ก่อนหน้านั้นสมัย ร.๑ และ ร.๒ ก็ยัง happy กับสยาม หรือจะเป็นกรณี เจ้าพระยาอภัยภูเบศ(ต้นตระกูลอภัยวงศ์) ก็อพยพประชากรทั้งหมดในปกครอง เข้ามาขึ้นอยู่ในสยาม หลังจากพัตบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ไม่นับรวมกรณีของ เจ้าพ่อพญาแล อีกต่างหาก ฯลฯ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงตอบคำถามได้ดีว่า คนลาว และ คนเขมร อยากจะมาอยู่กับสยามไหมนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 06:51:40

ความคิดเห็นที่ 49 #  บัตรผ่าน :097560 ต่อ ๓. เรื่องลูกน้องคนไทยเส้นเข้ามา จึงทำให้รบไม่ได้เรื่อง คงจะเส้นจริง ๆ ล่ะครับ เพราะมีการเริ่มฝึกจริง ๆ (ยิงปืนครั้งแรก ) ก็ก่อนเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ เล็กน้อยเอง เพราะหลุมติดตั้งปืนแล้วเสร็จทั้งหมดราว ๆ ๒๘ พฤษภาคม  ในขณะที่ฝรั่งเศสมาบุกเอา ๑๓ กรกฎาคม แปลว่า ทหารประจำป้อมซึ่งใหม่หมด มีเวลาเตรียมซ้อมยิงประมาณ ๑ เดือนกว่า ๆ ถ้าไปอ่านในรายงานของอังกฤษ อังกฤษเองก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะทางอังกฤษบอกว่า ฝรั่งเศสน่าจะถล่มสยามได้เละเทะกว่านี้ แต่ผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่อังกฤษคาดไว้ กลับกัน สยามที่ด้อยกว่าทั้งอาวุธและกำลังคน กลับตอบโต้ฝรั่งเศสได้ดีมาก เด็กเส้นมันก็เลยยิงห่วยครับ ๔.จะย้ายเมืองหลวงสำรอง ต้องใช้งบประมาณเท่าไรล่ะครับ ? ไม่ได้เล่น CM หรือ Fifa manager นะครับ หรือเล่นเกมอื่น ๆ จะได้ใส่สูตรแก้เงินได้นะ ชีวิตจริงมันคนละเรื่องครับ ๕. เครือจักรภพ ถ้าอังกฤษปกครองดี แล้ว อินเดีย ปากีสถาน จะขอแยกตัวเองมาทำเพื่ออะไรล่ะครับ ? จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 07:02:23

ความคิดเห็นที่ 50 เราว่าช่วงร.4-6 เป็นช่วงที่ไทยพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากๆนะคะ  และกษัตริย์ไทยก็ทรงพระปรีชามากๆ ด้วยค่ะ เราว่าคุณบัตรผ่านไรนี่ นับถือต่างชาติมากกว่าไทยนะคะ   ซึ่งช่วงนั้นก็โชคดีมากๆ ที่ยังไม่มีคนคิดแบบคุณ  ถึงมีก็ยังน้อย  แปลกคนนะคะ จากคุณ : surreallove เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 09:16:29

ความคิดเห็นที่ 51 คุณผ้าพับไว้ ได้กรุณาอธิบายได้ดีมาก และยกตัวอย่างประกอบได้ดี มีเหตุผลรองรับ ผมคิดว่า ข้อมูลหักล้างได้ทั้งหมดครับ จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 14:46:44