ความคิดเห็นที่ 1 นักเรียนหลายๆคนไม่มีที่เรียน ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่ส่วนหนึ่งมาจากดวงไม่ดี!!! ข้อสอบมันลุ้นดวง ทำไงได้ จากคุณ : นักเล่นหมากฮอส เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 14:36:21

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะลองจับพวกที่ออกข้อสอบพวกนี้มาลองทำดู สงสารเด็กๆ สมัยนี้ และอนาคตจังเลยครับ จากคุณ : -ที่นี้คือที่ไหน- เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 14:49:27

ความคิดเห็นที่ 3 น่าจะเปลี่ยนไปเป็นระบบเอนทรานซ์เหมือนเดิม จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:02:36

ความคิดเห็นที่ 4 น่าจะจับเรียนรามฯให้หมด จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:03:18

ความคิดเห็นที่ 5 #1 วิธีการเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีแค่สอบ O-net นี่ครับ ติดตามข่าวดีๆ ทุกคณะมีการรับตรงทั้งนั้น ....... แถมอาจจะเข้าง่ายกว่าการสอบ O-net A-net อีก ส่วนข้อสอบ ...no comment ........ จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:07:18

ความคิดเห็นที่ 7 เห้อเราทำไรไม่ได้หรอก เคยเรียกร้องไปก็เหมือนเดิม อะไรอีกเอา O-net มาตัดเกรด เบื่อมากเพลียกันปัญหานี้ จากคุณ : เจ้าชายนิทราในความฝัน เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:17:40

ความคิดเห็นที่ 8 ...มองอีกมุมนึง ...โลกข้างนอก มีอะไรที่มัน "หนักหนา-สาหัส" มากกว่านั้นเยอะ ที่น้องๆยังไม่รู้ - การทำงาน - การหาคู่, คนรัก, ครอบครัว - เศรษฐกิจ, การบริหารเงิน, หนี้สิน - ความไม่เท่าเทียม, การเอารัดเอาเปรียบ - ระบบเส้นสาย, พวกพ้อง - โรคภัยไข้เจ็บ, การพลัดพราก, ความตาย ฯลฯ ...แน่นอน ว่า ทุกคนย่อมอยากได้โลกในอุดมคติ ที่ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ 100 % ตรงไปตรงมา ...ปัญหา คือ มันไม่เคยมี ...กรณีข้อสอบเจ้าปัญหา ที่ยกมา มันผิดพลาดจริง และควรแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้น ...แต่ยกตัวอย่างมาทีไร ก็เห็นมีแต่เรื่องเดิมๆ ไม่กี่ข้อ ซ้ำไปซ้ำมา ...หลายคนไปไกลถึงขั้น อ้างว่า ที่เค้าสอบเข้าไม่ได้ ก็เพราะ ไม่กี่ข้อนี่แหละเป็นตัวชี้วัด ?? ...โดยลืมไปว่า ถ้าคุณทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน (ความน่าจะเป็นในการมั่ว ก็เท่ากัน) ...ผมกลับห่วง ข้อสอบประเภทนอกตำราเรียน หรือข้อสอบที่ต้องใช้ "สูตรพิเศษ" ที่มีสอนเฉพาะ สถาบันกวดวิชา มากกว่า ...เด็กคนไหน มีเงิน, มีเวลา, มีโอกาส ก็ได้เปรียบ เด็กที่ ไม่มีอะไรเลย ...เรียนตามตำรา เรียนตามที่โรงเรียนสอน แต่ทำข้อสอบประเภทนี้ไม่ได้ หรือทำได้แต่ใช้เวลามากกว่าเด็กกวดวิชา 10 เท่า !! ...เด็ก สอบเข้าไม่ได้ เพียงเพราะเขา จน, ไม่มีเวลา(ต้องช่วยงานที่บ้าน), ไม่มีโอกาส (อยู่ต่างจังหวัดนอกเมือง) ?? ...ยิ่งฟัง เด็กคะแนนสูงๆให้สัมภาษณ์ ว่าต้องเรียนกวดวิชาเท่านั้น ทั้งเลิกเรียน ทั้งเสาร์-อาทิตย์ ...ยิ่งเศร้า ...เด็กเก่งก็ยิ่งติดปีก ส่วนเด็กด้อยโอกาสก็ยิ่งโดนกดจมดิน ...จะมี เด็กคนไหน กลุ่มไหน ...มาทำ แคมเปญต่อต้านระบบกวดวิชา ที่ไม่เท่าเทียมนี้ บ้างมั้ยครับ ? จากคุณ : sungod เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:24:25

ความคิดเห็นที่ 9 ถึงหัวข้อจะไม่ค่อยเกี่ยวกับหว้ากอเท่าไร แต่เห็นหัวข้อแล้ว อดใจไม่คิดไม่ได้ เพลียใจกับปัญหาการศึกษาไทยจริงๆ เมื่อไรคนใหญ่คนโตบ้านเรา จะเลิกเห็นแก่ผลประโยชน์คนหมู่น้อย แล้วหันมาให้สำคัญกับคนหมู่มากซะทีน่า...... จากคุณ : สู่ดินแดนเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:27:27 A:119.46.231.67 X: TicketID:350417

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่อง G-pax ก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกันครับ แต่ละโรงเรียนให้เกรดไม่เท่ากัน บางโรงเรียนเกรด 3.90 ถ้าเทียบความรู้แล้ว ยังสุ้พวกที่เกรด 2.1 บางโรงเรียนไม่ได้เลยครับ คะแนน g-pax 20% ก็ 6000 คะแนน พอลงแอดมิชชันแล้ว คะแนนก็มักจะเชือดกันเพียงพันกว่าคะแนน หรือบางทีก็ไม่ถึงพันคะแนนด้วยซ้ำจากเกรดตรงนี้ครับ แล้วเกรดบางที ก็มาจากการส่งงาน แน่นอน พวกที่รวยๆ ย่อมทำงานได้สวยงามกว่า ถูกใจครูกว่า อย่างโรงเรียนของผม มีจัดนิทรรศการบ่อย สั่งงานประเภทที่ต้องใช้เงินเยอะๆก็บ่อย (พวกโครงงานประดิษฐ์) คนไม่มีเงิน ก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะืทำได้ ก็ไม่ถูกใจครู เกรดก็น้อย พวกรวยๆ ซื้อโน่นซื้อนี่ มาจัดนิทรรศการ อย่างหรู เสื้อผ้า เช่ามาทีหลายพัน ครูให้เกรด4สบายๆ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 15:37:43 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 15:37:12 จากคุณ : เบื่อ (นักเล่นหมากฮอส) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:35:47

ความคิดเห็นที่ 13 โรงเรียนหน้าบ้านผม ...... อาจารย์บอกรับรองผลเกรด 4 กับนักเรียนที่มาเรียนพิเศษกับอาจารย์  ,   บางคนซื้อของอาจารย์จะให้ปรับเกรดหลังสอบ  ,  อาจารย์บางคนปัดเกรดให้เพราะเป็นเด็กในสังกัด   บลาๆ    ปล่อยเกรดกันเข้าไป   จบมาเกรดสวยหรู เอาไปใช้สอบต่อได้    เด็กบางโรงเรียนเรียนแทบตาย  เกรดออกมาแย่กว่าซ่ะอีก  ( แต่ฉลาดกว่าแน่นอน  ) จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:41:11

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับ gpax ครับ สมมติ สองคนมีความเก่งเท่ากัน คนนึงมาจากโรงเรียนให้เกรดง่ายได้ 4.0 เอาไป 6000 อีกคนมาจากโรงเรียนให้เกรดยากได้ 2.0 เอาไป 3000 ทั้งสองคนทำคะแนนสอบอื่นๆเท่ากัน  หากคนนึงได้ 21000 อีกคนจะเหลือ 18000 คณะที่ได้ก็ต่างกันแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 15:47:47 จากคุณ : เจ๊ปอ เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:47:14

ความคิดเห็นที่ 15 สอบมีหลายรอบไม่ใช่หรือคะ รอบนี้พลาด รอบหน้าเเก้ตัวใหม่ เห็นใจคนสอบไม่ได้ เด็กเครียด พ่อเเม่ก็เครียด อย่างว่าที่เรียนดีๆมันมีน้อยกว่าคนสอบ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:48:37

ความคิดเห็นที่ 16 กลับมาสอบ entrance แบบเดิม จะได้รู้รสชาติของการสอบจอหงวนในสมัยนั้น จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:52:25 A:171.7.169.3 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 17 #6 ชิบห_ย แล้วล่ะสิ จากคุณ : เทาทองวอร์ริเออร์ เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 15:56:38

ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อก่อนจำได้ตอนที่คนของกระทรวงมาอธิบายเรื่องวิธีการสอบเอนท์ เขาบอกว่า... ก่อนจะเปลี่ยนระบบอะไรจะแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3-4 ปี เพื่อให้นักเรียนเตรียมตัวได้ทัน ทว่าปัจจุบัน ผีเข้าอะไรก็ไม่รู้ นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แถมไม่มีการแจ้งเตือนก่อน 3 เดือน 6 เดือนก็รีบเปลี่ยนแล้ว แถมค่าสมัครก็แพงขึ้นทุกที ลูกคนยากคนจนต้องจ่ายเงินเพื่อสมัครสอบอย่างไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ บอกว่าจะให้ลดการเรียนพิเศษของเด็กลง เจือกดันเอาเกรดตั้งแต่ม.4มาคิดอีก แบบนี้มันต้องเริ่มติวตั้งแต่ม.3ด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องของครูในโรงเรียนเอง เงินเดือนก็แสนต่ำ คนทำงานเลยเต็มไปด้วยไม่จริงใจกับการสอนเพราะปากท้องตนเองยังมีปัญหาอยู่เลย และต่ำอย่างเดียวไม่พอนะ เสรือกให้คนที่จะเป็นครูได้ต้องผ่านอะไรที่ยุ่งยากอีก เรียนหนักเรียนยาวกว่าคนอื่น ต้องสอบเข้าคณะคุรุเท่านั้นถึงจะสอนได้ แต่พอจบออกมา เงินเดือนยังไม่พอจ่ายค่าเรียนในคณะที่พึ่งจบมาของตนเองเลย แล้วแบบนี้จะเข้าคณะนี้มาเป็นครูทำไมฟะ ? ทีอาจารย์มหาลัย หรือครูสอนพิเศษไม่เห็นต้องจบอย่างนั้นก็สามารถมาสอนได้เลย ไหนจะเรียนมาตรงสายกับเรื่องที่สอนอีก ทำให้สอนเก่งกว่าด้วย พอพูดถึงเรื่องข้อสอบอะไรก็ไร้มาตรฐาน ไม่ยอมอธิบายวิธีการหาคำตอบ ให้คนเรียนหรือครูต้องเดาวิธีการทำเอาเอง ไหนจะเรื่องที่ข้อสอบผิดเป็นว่าเล่น เจอให้คะแนนฟรีมันทุกปี และถ้าไม่มีคนท้วงหรือไปเจอเองก็ไม่ยอมรับผิดเปลี่ยนเองด้วยนะ ข้อสอบที่บอกว่าเปิดความคิดสร้างสรรค์.... 5 อะไร ! มีชอยส์เป็นร้อยคำตอบ แต่คำตอบที่ถูกดันเจือกมีแค่คำตอบเดียว แถมคะแนนก็ยังไม่สมดุล ผิดหนึ่งตัวเลือกแทนที่จะหายหนึ่งคะแนนเหมือนกันทุกข้อ แต่ข้อสอบบางข้อดันหายไป 20 คะแนน และความยากง่ายของตัวข้อสอบเองก็วัดระดับไม่ได้ เพราะมันเน้นแต่ "ดวง" กับแบ่งระดับของ "อัจฉริยะและสามัญชน"ออกจากกันเท่านั้น ทำให้คนทั่วไปไม่ว่าฉลาดหรือโง่ ก็ต้องพึ่งดวงในการทำข้อสอบ จนคะแนนกระจุกอยู่ที่ 50% (นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมค่าเฉลี่ยถึงต่ำ) ส่วนคนที่อัจฉริยะจำข้อสอบได้ทั้งหมดจริง ๆ ก็ลอยลำทำข้อสอบได้เกือบ 90-100% จนเกือบหมด ทว่า 51-89% แทบจะไม่มีเลย (ทั้งที่ข้อสอบต้องเป็นตัวแบ่งระดับความสามารถของผู้เข้าสอบให้กระจายได้อย่างทั่วถึงแท้ ๆ) ไหนจะเรื่องที่ต้องเน้นการเรียนจนถึงขั้นอัจฉริยะเพื่อให้สอบได้เช่นนี้ ทำให้งานอดิเรกหายไป จนคนสอบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโตขึ้นอยากทำอะไร หากรู้ ก็หลงผิด ไม่ก็คิดไปเอง จากการที่ไม่รู้จริง เพราะไม่ได้ศึกษาถึงความสามารถหรือความเข้าใจของตนเองอย่างท่องแท้ (การที่จะรู้ตัวเองว่าต้องการทำอะไร ต้องทำกิจกรรมให้มาก อยู่แต่หน้าโต๊ะเรียนหรือหน้าคอม ไม่มีทางรู้ความชอบตนเองได้หรอก) สุดท้ายพวกที่สอบติด หากไม่ใช่พ่อแม่ยัดเยียดให้เป็น ก็หลงผิดนึกว่าตัวเองชอบ จนสุดท้ายก็เรียนไม่ได้ เรียนไม่ไหว แล้วต้องซิ่วเพื่อหาที่เรียนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายมหาลัยก็รู้ซึ้งถึงความเซ็งเคร็งของระบบนี้ เลยไม่เชื่อใจข้อสอบกลาง ถึงได้เปิดสอบตรงเองกันมากมายแบบในปัจจุบัน ให้ตายสิ ตั้งกรมและกระทรวงมา เพื่อให้พวกพ้องตนเองมีอะไรที่อ้างได้ว่ามีผลงานและใช้เพื่อกินบำเหน็จบำนาญชัด ๆ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 16:30:01 จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:25:23

ความคิดเห็นที่ 19 กลับไปใช้ระบบ สอบEntrance แบบเดิม ครั้งเดียว ดี ยุติธรรมและประหยัดเงินนักเรียนที่สุด คุณจะอยู่ส่วนไหนของประเทศก็เลือก มหาลัยใกล้ไกลได้ สอบครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปสอบรับตรงที่โน่น ทีนี่ ค่าใช้จ่ายบาน ลูกตาสี ตาสา เสียเปรียบอย่างมาก จากคุณ : สันปันน้ำ เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:27:38

ความคิดเห็นที่ 20 #6 ถ้าได้จริง อาจต้องโละกันทั้งสภา... ปัญหาครูปล่อยเกรดอีกอย่างนึง... แต่จะโทษครูอย่างเดียวก็ไม่ได้ เด็กตก ครูโดนสอบ ลูกคนใหญ่คนโตตก ครูโดนสวน แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยตกให้มีปัญหาตามมา สาวต่ออีกนิดก็ผู้ปกครองอบรมมาไม่ดี ตามใจมาแต่เกิด เด็กก็เหลวไหล ไม่สนใจเรียน เอาแต่งหน้าทาปากใส่เจลห่วงหล่อ มองต่อที่สภาพแวดล้อม สังคมรอบข้างเป็นยังไง เด็กแว๊นเกลื่อนเมือง สื่อออกแต่ข่าวปัญญาอ่อนบั่นทอนความรู้ เรื่องงมงาย เรื่องชู้สาว และอีกหลาย ๆ อย่าง... นอกเรื่องไหมนี่เรา --" จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:37:46

ความคิดเห็นที่ 21 สอบแบบเดิมดีที่สุด มีเท่าไหร่ใส่กันครั้งเดียว แล้วก็มารอซองขาว ได้แล้วก็เอามาส่องกับแดดก่อน ลุ้นดีจริงๆ จากคุณ : เขียนบน iPhone (ฟ้าสีหมอก) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:40:15

ความคิดเห็นที่ 22 ดีนะที่ทันสอบแบบยุคเก่า แม้จะไม่ติดก็เถอะ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 16:44:10 จากคุณ : slamer เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:43:11

ความคิดเห็นที่ 23 สงสัยตัวอย่างข้อสอบในคลิปค่ะ เฉลยว่า ปรึกษาครอบครัว ถูกต้องที่สุดแล้วนี่คะ ทำไมนำโจทย์ข้อนี้มาประชดประชัน ไม่ได้หมายวามว่าให้ไปปรึกษาทุกครั้ง  แต่เมื่อนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อแม่หรือคนในครอบครัวแล้ว เขาจะได้ช่วยแนะนำ อธิบายวิธีการหรือการป้องกันตัวต่อไป จากคุณ : i love my boss เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:45:54

ความคิดเห็นที่ 24 ตอนแรกที่เปลี่ยนจากเอ็นทรานซ์ มาเป็นสารพัดสอบ ก็ให้เหตุผลว่าจะได้ลดการกวดวิชา ซึ่งสร้างปัญหาเหลื่อมล้ำ กลายเป็นว่าระบบสารพัดสอบ กลับเพิ่มดีกรีการแข่งขันกวดวิชามากขึ้นไปอีก คุณภาพของคนสอบได้ ก็มีปัญหา มันถึงได้มีหลายคณะหลาย ม. จัดให้มีสอบตรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดปรากฏการณ์ตระเวณสอบ ทำเด็กเป็นหมาล่าเนื้อ จากคุณ : นายแพรว เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:52:35

ความคิดเห็นที่ 25 #23 ไม่ว่าจะเฉลยอะไรมันก็ไม่ตายตัวไงครับ เป็นเีพียง "ความคิดเห็น" ของคนเฉลยเท่านั้น ตอนแรกยังเฉลยออกมาว่า เตะบอล ด้วยซ้ำ (คนเฉลยข้อสอบคนเก่า) ขนาดคนเฉลยข้อสอบยังเฉลยไม่ตรงกับเลย คนเก่าบอก เฉลย เตะบอล มาอีกคน กลับ เฉลย ว่าปรึกษาผู้ปกครอง จากคุณ : นักเล่นหมากฮอส เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:05:16

ความคิดเห็นที่ 26 ยังมีโจทย์อื่นๆอีกหลายข้อครับ แต่ที่เด็กกลุ่มนี้เลือกข้อนี้มา น่าจะเป็นเพราะ โจทย์ข้อนี้มันมีกระแสออกมาแรงไงครับ (โจทย์ข้อนี้ดังที่สุด) จากคุณ : นักเล่นหมากฮอส เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:06:50

ความคิดเห็นที่ 27 ลองไล่อ่านความเห็นในยูทูปทั้งหมดดูครับ จะได้เห็นหลายๆแง่มุม จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:22:03

ความคิดเห็นที่ 28 ยังจำคำตอบ ข้อสอบเมล็ดถั่ว กันได้ไหมครับ ขวดน้ำ 1 ลิตรใส่เมล็ดถั่วเขียวได้ประมาณกี่เมล็ด? 1.)222000 2.)444000 3.)555000 4.)888000 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/10/X9791016/X9791016.html จากคุณ : slamer เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:23:39

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านดูแล้ว หลายคนอาจจะรู้สึกว่า น้องๆบางคน ค่อนข้างออกแนวก้าวร้าว แต่มองอีกแง่ ผมคิดว่า เค้าคงรู้สึกว่าเหลืออด กับระบบ และความคิด ของคนออกข้อสอบบางคน บางข้อจริงๆ เรื่องระบบ ดีไม่ดี นี่เรื่องนึง แต่เรื่อง คุณภาพของข้อสอบ ที่หลายปีที่ผ่านมามีปัญหา ที่มันไม่ชัดเจน ไม่ได้วัด อะไร เด็กได้มากนัก นอกจากให้เดาใจคนออกข้อสอบ ว่าต้องการจะให้ตอบอะไร แบบนี้ มันวัดอะไรไม่ได้ น่าจะหลีกเลี่ยง เอาใจช่วยน้องๆ ครับ สำหรับผมเอง ถ้าได้ทำงานด้านการศึกษา อันแรกที่อยากเปลียนเลย ก็คือการเปลี่ยนไปใช้ ระบบ Entrance แบบเดิมนั่นแหละ ใครจะมองว่าถอยหลังลงคลองก็ว่ากันไป แต่ผมมองว่า เมื่อเราเห็นแล้วหนทางที่เราวิ่งมา มันผิดเส้นทาง ข้างหน้าเป็นเหว หยุด และถอยกลับ ดีกว่า ยังดื้อดึงดัน เดินหน้ามันต่อไป จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:43:54

ความคิดเห็นที่ 30 คนไทยให้คุณค่าการจบมหาวิทยาลัยมากไปหรือเปล่า เงินเดือนทำไมกระโดดจากสายวิชาชีพขนาดนั้น ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยของไทยเหมือนระบบเอื้ออาทร ของถูกคนเลยแย่งกัน ทั้งๆที่คุณภาพสมราคา ทำไมเงินไม่ขึ้นกับประสบการณ์การใช้ชีวิต หรือฝีมือที่ต้องใช้ทักษะสั่งสม อยากรู้เพิ่มก็เข้ามหาวิทยาลัยเป็น option เสริม จนอยู่ตอนนี้ ไม่เป็นไรแก่แค่ไหนถ้ายังมีไฟก็เรียนได้ คนที่จบมหาวิทยาลัยจะได้เป็นคนที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง จากคุณ : logobo (logobo) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:48:18

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วนตัวผม ผมกลับเห็นด้วย กับวิธีการที่จะ "เปลี่ยน"การคัดเลือกผู้เข้าเรียน ด้วยเพราะกฏเกณฑ์ การให้โอกาสของผู้ที่จะเข้าเรียน ด้วย"คะแนนจากการสอบแข่งขัน"เพียงอย่างเดียว จึงทำให้เกิดค่านิยมในการ "เรียนเยอะ"เพื่อ"รู้เยอะ"เพื่อ"ตอบได้"เพื่อ"ได้คะแนน" แต่ทว่าส่วนใหญ่ ความรู้ที่จำมาแบบเจาะลึกเป็นแท่งๆ ที่ได้มาจากการกวดวิชา เช่น สูตรลัด การทำข้อสอบให้ได้เร็ว มันไม่ได้หลอมรวมหรือบูรณาการให้เกิดความ"พร้อม"เลยซักนิด มันเพิ่มแต่เพียง"คะแนนที่ได้รับ" เพื่อ "โอกาส"เท่านั้น ฉะนนั้นการรับตรง และการออกข้อสอบแบบให้วิเคราะห์ในหลายๆปัจจัย ที่ไม่มีในหนังสือ แต่ยังคงไว้ด้วยจุดประสงค์ของการเรียนรู้ จึงเป็นการดัดหลังผู้ที่"จำมาสอบ" เพื่อลดบทบาทของการ กวดวิชา และ ท่องจำ การเรียนแบบรู้เยอะแต่ใช้ไม่เป็น แต่เราก็ต้องยอมรับยอมว่า ช่วงนี้มันคือการ "ลองผิดลองถูก"อยู่จริงๆ ก็เป็นกรรมของน้องๆรุ่นนี้ไป........ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 17:53:24

ความคิดเห็นที่ 32 #8 ขอเห็นต่างครับ >>...หลายคนไปไกลถึงขั้น อ้างว่า ที่เค้าสอบเข้าไม่ได้ ก็เพราะ ไม่กี่ข้อนี่แหละเป็นตัวชี้วัด ?? >>...โดยลืมไปว่า ถ้าคุณทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน (ความน่าจะเป็นในการมั่ว ก็เท่ากัน) ต่อให้ความน่าจะเป็นเท่ากัน เราทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ แต่ดีแล้วหรือครับที่จะเอาอนาคตสอบได้หรือสอบไม่ได้ ไปฝากไว้กับความน่าจะเป็น แทนที่จะเป็นความสามารถ >>...ผมกลับห่วง ข้อสอบประเภทนอกตำราเรียน หรือข้อสอบที่ต้องใช้ "สูตรพิเศษ" ที่มีสอนเฉพาะ สถาบันกวดวิชา มากกว่า >>...เด็กคนไหน มีเงิน, มีเวลา, มีโอกาส ก็ได้เปรียบ เด็กที่ ไม่มีอะไรเลย ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ก็ควรแก้โดยการยกระดับคนไม่รู้ ให้เท่าๆ กับคนที่รู้ สอนผ่านดาวเทียม ผ่านเวป ผ่านสื่ออะไรไปสิ อาจารย์คนไหนเก่งๆ ไปจ้างมาสอนออกสื่อสิ ไม่ใช่ทำให้เท่ากันโดยออกข้อสอบที่เหมือนกับทำให้คนที่รู้มีโอกาสเท่ากับคนที่ไม่รู้ พูดเรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องจับสลากเข้าม.1 เลย ด้วยความที่ไม่อยากให้เด็กเก่งไปแย่งกันสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง แทนที่จะยกระดับให้โรงเรียนอื่นขึ้นมาทัดเทียม ดันใช้วิธีจับสลาก ให้โรงเรียนเด็กเก่งลดคุณค่าลงไปให้เท่ากับโรงเรียนอื่น จากคุณ : Jerry Woody เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 18:40:32

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่าไม่ใช่นักเรียนกลุ่มหนึง แต่เป็น มหาวิทยาลัยรังสิตเลยล่ะครับ แต่ไอ้ที่คุณอ้างว่า "เพื่อกระตุ้นให้คนออกข้อสอบได้รับทราบถึงข้อผิดพลาดที่ทางกระทรวงควรจะแก้ไข และรับผิดชอบกับเรื่องนี้ " ผมว่าการมา "เหวี่ยงแรงๆ" อย่างนี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นอะไร เราต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าการใช้อารมณ์แก้ปัญหามันไม่มีประสิทธิภาพแค่ไหน ขอยก comment อันนึงที่ผมเห็นในคลิบ แล้วคิดว่าน่าสนใจอันหนึ่งขึ้นมา "เราควรตั้งคำถามว่า "ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย" มีจุดประสงค์เพื่ออะไร? ระบบตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วมันขัดกับจุดประสงค์ดังกล่า­วอย่างไร เพื่อให้ได้ตามจุดประสงค์ดังกล่­าว ข้อสอบและระบบการสอบมันควรออกมา­ในรูปแบบไหน แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรกันดี จะรอดูครับว่า "สารคดี" อันนี้ จะมีคำตอบให้คำถามเหล่านี้หรือไม่" จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 18:50:43

ความคิดเห็นที่ 34 ที่ค่านิยมของประเทศไทยให้คนจบปริญญากันมาก ๆ ก็เพราะประเทศไทยเราวุฒิปริญญาเจือกได้เงินเดือนมากกว่าสายวิชาชีพ ทั้งที่สายวิชาชีพนั่นแหละที่ทำงานเก่งมากกว่าวุฒิปริญญา ตอนนี้ช่างหน้างานขาดแคลนขนาดหนักเลยนะ อย่านับว่าเกษตรกรนอกหน้านาหรือคนต่างด้าวเป็นช่างหน้างานล่ะ ที่ต้องการคือช่างหน้างานที่ก่ออิฐฉาบปูนได้เนี๊ยบต่างหาก ซึ่งกลุ่มนี้หายากมากในประเทศเรา ทว่าที่เกินคือสายปริญญา แถมสายบริหารนี่ออกมากันจัง งานไม่มีแล้วมันจะหาอะไรมาบริหาร ? ถึงหาได้เขาก้ต้องการคนมีประสบการณ์มากกว่าคนที่มีปริญญาอยู่แล้ว ในหลายสายงาน ปริญญาเป็นสิ่งที่จะหามาหลังทำงานก็ได้ ไม่ต้องได้ก่อนแล้วไปทำงาน แต่เด็กไทยในปัจจุบันดันคิดไปว่า ต้องเรียนก่อนถึงจะทำงานได้ นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ! ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะไม่รู้ อยู่แต่หน้าโต๊ะเรียนโดยไม่ได้ไปสัมผัสอาชีพที่อยากเรียนอยากเป็นกันเลย ไฉนจะรู้จริงได้ว่าที่จะต้องไปเจอต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไรกันได้ ? นอกจากนี้สายอาชีพแทบทั้งหมดเรียนมาแล้วได้ทำในสายนั้นเลย แต่พวกปริญญานี่สิ เรียนจบมาสัก1ใน4 ได้ทำงานตรงสายหรือเปล่าก็ไม่รู้ จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 19:09:43

ความคิดเห็นที่ 36 จับสลากให้หมดเลยดีกว่า ยุติธรรมที่สุดแล้ว จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 19:24:58

ความคิดเห็นที่ 37 ผมสอบเอนทรานรุ่นสุดท้ายโชีดีจริง  เล่าให้แฟนฟัง แฟนว่าดีก่วาแกะแพะ เพราะ เท่า ๆ ที่ผ่านมา มีแต่คนบ่น ขนาดแฟน (รุ่นแรก แกะแพะ ยังบ่น) จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 19:38:24

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่พอใจก็ไปสอบตรงกันสิครับ สอบตรงมหาวิทยาลัยออกข้อสอบกันเอง จะยากหรือง่าย ก็ม.นั้นเลือกเอง(เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะยากกว่าปกติมาก) ไม่ต้องมาบ่นเรื่องข้อสอบกลางที่ไม่ถูกใจกัน เรื่องการเฉลย เอาจริงๆเฉลยมีหนึ่งเดียว คือจากผู้ออกข้อสอบครับ ซึ่งเขาไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการเพราะจะผิดกฎการรักษาความลับ(ข้อสอบในคลังข้อสอบ อาจถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้) ยกเว้นจะรู้จักเจ้าตัวเป็นการส่วนตัวแล้วเล่าสู่กันฟังว่าจริงๆแล้วตั้งใจเฉลยอะไร เรื่องเตะบอล จึงเป็นการล้อกันขำๆมากกว่า แต่ก็เห็นด้วยว่าบางคำถามมันคลุมเครือไป แต่ละคำตอบสามารถตอบได้ถ้าอธิบายเหตุผลประกอบเหมาะสม จนพาลนึกไปว่าคนออกลืมตัวไปนึกว่าออกอัตนัยอยู่กระมัง จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 20:22:38

ความคิดเห็นที่ 39 ส่วนตัวอยากให้ไม่คิด GPAX มากที่สุดครับ โรงเรียนต่างกัน มาตรฐานต่างกัน มันนำมาวัดกันทั่วทั้งประเทศไม่ได้ครับ จากคุณ : Marine Liner เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 20:30:33

ความคิดเห็นที่ 40 1. ลูกสาวกำลังจะสอบปีนี้ รู้แต่ว่าต้องเตรียมวางแผนการใช้จ่ายและวางแผนพาพาตระเวนสอบตรง คำนวณไว้แล้วว่าคร่าวๆ ใช้เงินหลายหมื่น และคงต้องลางานหลายครั้ง อย่าบอกว่ามหาวิทยาลัยปิดไม่ใช่จุดหมายของชีวิต แต่ในฐานะพ่อแม่ก็ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะำทำได้ให้ลูก 2. คิดในอีกแง่ถ้าเป็นคนจนจะทำอย่างไร เสียเปรียบมากแค่ไหน ไม่โทษระบบการศึกษาแต่โทษคนที่นำมาใช้โดยไม่ไตร่ตรอง แล้วยังไม่ยอบรับผิด พยายามดื้อด้านใช้ 3. ในความคิดของผมสอบเอ็นทรานซ์แบบเิดิมน่าจะดีกว่า จากคุณ : skburi (skburi) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 20:32:20

ความคิดเห็นที่ 41 entrance แบบเดิมดีแล้ว  โดยเฉพาะที่สอบปีนึงสองหนแล้วเก็บคะแนนไว้ได้   วัด content ได้แบบเนื้อๆ  แถมเด็กไม่ต้องเครียดเกิน entrance เป็นวิธีที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับวิธีชีวิตคนปกติที่สุดแล้วครับ ควรถือว่าเด็กที่มีความรู้และทำข้อสอบได้มากที่สุดควรมีสิทธิ์ก่อนในการเลือกเรียนสิ่งที่ถนัด   เพราะถือว่า fit for study ทีสุด   มันจะใช้ชีวิตเฮงซวยยังไงก็เป็นเรื่องของมัน   คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินหรือมีความสามารถไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมันได้หรอก จะมาอ้างทำไมว่าไม่อยากให้เด็กไปกวดวิชา   ไปกวดวิชาก็เพราะเด็กมันขยันตั้งใจ   อยากหาครูที่สอนเข้าใจ   แล้วมันไม่ดีครงไหน   ส่วนเด็กที่ไม่อยากกวดวิชาถ้าตั้งใจก็เรียนเองได้อยู่แล้ว    ตอนผมอยู่มัธยมพวกเก่งๆหลายคนก็ไม่เห็นต้องไปเรียนพิเศษอะไรมากมาย   มาตั้งกลุ่มติวกันเองแถมช่วยสอนเพื่อนอีกต่างหาก จะพยายามไปวัดสิ่งที่วัดไม่ได้ทำไม เช่น ทัศนคติ แนวคิด วิถีชีวิต หรือที่อ้างกันเรื่องจริยธรรม     อยู่ในวงการศึกษา  ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าคนพวกนี้ยิ่งแก่ยิ่งใจแคบ  คิดเป็นแต่เรื่องเลอะเทอะ ชอบเอาเรื่องจุกจิกที่ตัวเองคิดว่าสำคัญมาเป็นเรื่องหลัก   จนลืมว่าประเด็นสำคัญอื่นๆมันเป็นยังไง   พอคนอื่นๆค้านมากก็ก็ทำหูทวนลม   ฉันจะทำของฉันอย่างนี้แหละ คนแบบนี้ไม่ควรมารับหน้าที่ประเมินใครครับ จากคุณ : Exampli gratia เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 20:53:43

ความคิดเห็นที่ 42 การที่ ม.รัฐและมีการรับตรงกันเกือบทั่วประเทศ มันสะท้อนถึงระบบคัดเลือกส่วนกลางว่าไม่มีประสิทธิภาพเลยครับ จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 21:12:07

ความคิดเห็นที่ 43 ผมเพิ่งสอบปีนี้มาครับ ปีนี้วิชาหลักแทบไม่มีข้อผิดเลย อยากจะบอกว่าพวกที่มาบ่นๆน่ะมันไม่อ่านหนังสือแล้วพาลด่าข้อสอบไม่ดี ไอ้ข้อที่มันงี่เง่าก็แค่สุขศึกษา ศิลปะ ไม่กี่ข้อเอง ส่วนวิชาหลัก ขอบอกว่าโคตรง่ายครับ แต่คนค่อนประเทศไม่สนใจเรียนเอง บางข้อถามแค่ว่าแกว่งบอลได้3รอบใช้เวลา6วินาที ความถี่กี่Hz แต่ก็มีคนทำไม่ได้ จากคุณ : คนไปสอบมา เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 21:25:04 A:101.109.138.198 X: TicketID:353167

ความคิดเห็นที่ 45 เค้าประท้วงกันทุกปีนะ ไอ้องค์กรที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรเลย ดูยังงัยมันก็ไม่มีมาตรฐานเลยจริงๆ หรือต้องให้ปิดถนนประท้วงนะ ถึงจะรับฟังกัน? จากคุณ : A Boy From The Moon เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 21:43:10

ความคิดเห็นที่ 46 อยากคุยกับน้องๆในคลิ๊ปมากๆเลย อยากให้เข้าใจหลายๆอย่างว่าโลกมันมีอะไรอีกเยอะ แต่ก็เข้าใจอารมณ์นะครับ ส่วนตัวไม่เข้าใจว่าจะทำให้ซับซ้อนทำไม ยิ่งยุ่งยิ่งงง ยิ่งงงยิ่งเพิ่มภาระให้เด็ก ผมอยู่ในยุคเอนทรานซ์ 2 ครั้งครับชอบระบบนี้มากที่สุดแล้วไม่สับสนวุ่นวาย ง่ายๆวัดกันไปเนื้อ มี 2 ครั้งเพื่อการวางแผนที่ดีและให้โอกาสคน(พอสมควร) ผมว่าคนที่พยายามปรับของกระทรวงนี้กำลังมึนครับ ปรับจนมึนว่าที่ปรับตั้งแต่แรงหน่ะ "เพื่ออะไร" จากคุณ : bbee_blue เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 21:47:52

ความคิดเห็นที่ 47 ผม ไม่จบปริญญาตรี  แต่ตอนนี้รับราชการ  ถึงจะเริ่มช้ากว่าคนอื่น แต่ก็ได้เริ่มแล้ว ตอนสอบบรรจุแข่งกับคนจบ ป.ตรี   มีแทบทุกสาขา  ทุกมหาวิทยาลัย Onet เอนทรานซ์ (ผมอยู่ในยุคเอนทรานซ์รุ่นท้ายๆ) ไม่ใช่ทุกอย่าง  ถ้ายังคิดว่ามันคือทุกอย่าง  มหาวิทยาลัยเปิด น่าจะไม่มีคนเรียน ผมผ่านมาทั้งชีวิตกรรมกร  มาเฟียเงินกู้  เซลล์ขายของ  คนขับรถ  ทหารเกณฑ์   ถ้าไม่เลือกงาน  งานสุจริตมีเยอะ  ความก้าวหน้า เราขวนขวายหาเอาเองได้ ถ้าแค่นี้ หาหนทางไม่ได้  คิดท้อแท้  เลือกงาน  เลือกทางเดิน   ถ้างั้น ก็อย่าได้ไปคิดเรียนต่อนะครับ   จะอายคนความรู้น้อย  ที่เขารู้จักใช้ชีวิต เพราะคนที่เขาอยากก้าวหน้า เขาขวนขวายหาความก้าวหน้าด้วยตัวเอง  ไม่ใช่ร้องแรกแหกกระเชิง ให้มาอุ้ม ไม่ได้อวดว่าเก่ง  แต่อยากให้รู้จักรับผิดชอบตัวเองบ้าง   เพราะบางที  เอาเรื่องแบบนี้มาอ้าง  มันก็แค่ข้อแก้ตัว ของคนเห็นแก่ตัวเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ ปล. ผมไม่ได้แอนตี้การเรียนในระดับอุดมศึกษานะ  มองในมุมแคบๆ แบบผม   ถ้าเรียนแล้วไม่รู้จักใช้ชีวิต  ไม่รู้จักเรียนรู้ใช้ชีวิต  คิดแต่เรื่องตัวเอง หลังจบมาแล้วนั่นแหละ ผมว่า เรียนมามันก็ไร้ประโยชน์  เพราะชีวิตจริงๆ  นอกมหาวิทยาลัย มันโหดร้ายกว่าสอบวัดผลครับ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 22:45:07

ความคิดเห็นที่ 48 ก็พอจะเข้าใจอารมณ์ของคนที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปนะครับ แต่บางทีความสำเร็จในชีวิตก็ไม่ได้มาจากการสอบ Admission หรือ Entrance เพื่อเข้ามหาลัยดังๆได้อย่างเดียว มหาลัยเปิดรับตรงเยอะแยะไปครับ ส่วนตัวผมชอบการสอบตรงที่สุดเพราะ ผมว่ามันดีเพราะมันจะสอบตามมาตราฐานของมหาลัยไปเลย อยากเข้าคณะไหนก็เลือกกันไปตามใจชอบ มีปัญญาก็สอบติด ไม่มีปัญญาก็ไปสอบที่อื่นต่อไป สมัครได้หลายมหาลัยด้วย แต่พูดถึงทุกวันนี้สังคมไทยก็ยังมองปริญญาเป็นหลักอยู่ดี มีค่านิยมผิดๆ มีบัณฑิตล้นตลาดจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร พอได้งานไม่ตรงสายก็ไม่สู้งาน คาดหวังกับบริษัทใหญ่ๆ เงินเดือนสูงๆ ทั้งๆที่เป็นแค่เด็กจบใหม่ที่ไม่มีจุดเด่นเป็นของตนเอง ชีวิตมีอะไรให้ปวดกบาลมากกว่าสอบพวกนี้อีกหลายเท่าครับ จากคุณ : jubchay เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 23:13:05

ความคิดเห็นที่ 49 เถียงกันที่ีปลายเหตุ จะเอ็นสะท้าน แอดมิชชั่น Onet-Anet Gat-Pat หรือรูปแบบอื่นมันก็มี ปัญหาอยู่ดี ต้นเหตุมันอยู่ที่รูปแบบการเรียนการสอนที่มันเส็งเคร็งเรื้อรังตั้แต่ป.1ยันม.6ต่างหาก สักแต่ยัดเนื้อหาให้เยอะๆเข้าไว้ เรียนแม-ร่งเข้าไปเหอะวันละ8ชม. แถมห้องพิเศษอยู่สอนยันทุ่ม-สองทุ่ม มีเรียนพิเศษ กวดวิชาหลังเลิกเรียน เสาร์-อาทิตย์ การบ้านรายงานก็ขยันสั่งเข้าไป เอาไปรวบรวมทำรีพอร์ตอัพยศวิชาการผู้สอน จะเอาไปปลดล็อคไอเทมเรืองแสงหรืออย่างไร แต่ย้อนมาดูตัวเด็กสิได้อะไร วุฒิม.6กับความรู้ที่แทบเอาไปใช้ในชีวิตยังไม่ได้ โอกาสใน หน้าที่การงานมั่นคงก็น้อยไม่เปิดรับให้ได้แสดงความสามารถ สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเข้าระบบ มหาลัยเพื่อเอาปริญญามาชุบตัว ตอนนี้ป.ตรีไม่พอแล้วต้องไปชุบเคลือบอีกขั้นขั้นต่ำป.โทขึ้นไป ส่วนใครรู้ทันมีฐานะก็ส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆก็รอดตัวไป เราสูญเสียโอกาสทางทรัพยากรบุคคล เวลา งบประมาณมากี่สิบปี ไม่แปลกที่เราโดนจัดอันดับ การพัฒนาคุณภาพประชาชนรั้งอันดับ100+ ร่วมกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ เขมร ลาว พม่า ในขฯะที่สิงคโปร์ มาเลย์ ติดอันดับแนวหน้า สู้หน้าชาวโลกอย่างไม่อายใคร จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 23:13:39

ความคิดเห็นที่ 50 นักข่าว 3  พูดว่า ..เรียนที่ไหน ไม่สำคัญ ขอให้จบมา เป็นคนดี.. แต่ รู้ป่าว ว่า บริษัท เค้าไม่ได้รับ คนดี...แต่เค้ารับ คนเก่ง คนชอบพูดว่า ..เรียนที่ไหน ไม่สำคัญ  ขอให้จบมา เป็นคนดี..  แต่ รู้หรือไม่ ว่า บริษัท เค้าไม่ได้รับ คนดี...แต่เค้ารับ คนเก่ง  เก่งที่จะหาเงินเข้าบริษัท. .... ทำผลกำไร ให้ บริษัท...เค้าจะเลือก คนเก่ง มากกว่า คนดี.. แล้วอีก อย่าง เค้าดูด้วยว่า จบ ที่ไหน..อย่าง บริษัท ปูนขนาดใหญ่  ถ้า จบที่ ม.แห่งนี้  แล้ว ไปสมัคร เขาจะมีคนมาสัมภาษณ์ แต่ถ้า เป็น มหาวิทยาลัย อื่น   หรือ  รฎ .. เขียนใบสมัครเสร็จ กลับบ้านได้...   แล้วใบสมัคร ก็ จะกองอยู่ ตรงนั้น  ตลอดไป... ,, ....  แล้ว ทีนี้ ละ.. จะเป็น คนดี    หรือ คนเก่ง... เก่ง    โกง     รวย           .. หรือ ดี   ซื่อสัตย์    แต่ยากจน ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, แก้ไขเพิ่ม เติม... ประเทศ ไทย ..ปัจจุบัน เป็นเด๊่ยวนี้ เป็นแบบนี้ จริงๆ.. .. อย่าง ถ้า คุณเรียนไม่จบ มหาวิทยาลัย.. แล้วได้ สร้าง ธุรกิจ.. พอเริ่มเป็น รูปเป็นร่าง.. มี แชร์ไม่ตลาดเพิ่ม มากกขึ้น.. ธุรกิจ ที่ใหญ่ กว่า ก็ จะเริ่ม กำจัก คุณ ละ... โดยการ ให้ ทำสินค้า ถูกกว่า มา ตัด ราคา หรือส่ง คนมาก่อกวน.. .. .... ถ้า บ.นั้น มี เส้นสาย ก็ จะ ให้ สรรพากร มาไล่บี้ ภาษี คุณ.. sme ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะไว้ วางแผนภาษี....... ..... หรือ อย่างดู คนรวย สิ.. ติดคุก ไหม... ไม่ติด.. ต่อให้ศาลตัดสิน ว่าผิด ก็ หนีไป ต่างประเทศ.. ศษล หรือ ตร. ก็ จับไม่ได้ ละ... . นี่ๆไง ครับ ตัวอย่าง ของคนส่วนน้อยที่ทำผิด แต่ กฏหมายลงโทษ ไม่ได้.. มันก็เลย เป็น ตัวอย่าง ที่เห็น ชัดเจน ที่สุด... ปิ่น จักพาก.. หนีไปอังกฤษ.. ราเกซ.. เอกยุทธ บางคนก็หนี จนหมด อายุ ความ เหรรียญ มันมีสองด้าน ก็ จริง แต่จะทำให้ ทั้ง สองด้าน เป็นด้านที่ ดีงามทั้งสอง ด้าน .. สังคมไทย ทำได้ มั้ยย..... ...... คำตอยคือ มันทำไม่ได้... ถ้า ทุกคนไม่ช่วยกัน... กำจัด วัฒนธรรมแบบนี้ ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, . ขอ.. แสดงความยินดี กับ ผู้ สอบติด มหาวิทยาลัย ของรัฐ  ทุกคน.... ส่วนเรา ไม่เกียว.. พรุ่งนี้  ไป รร       ตามปกติ http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U12062364/U12062364.html จากคุณ : นาย หุ้น n-park (prince-npark) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 23:24:36

ความคิดเห็นที่ 51 ตัวอย่าง  ว่า จะเรียนมหาวิทยาลัย  หรือจะประสบความสำเร็จ ในชีวิต.. ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, คนชอบพูดว่า ..เรียนที่ไหน ไม่สำคัญ  ขอให้จบมา เป็นคนดี..  แต่ รู้หรือไม่ ว่า บริษัท เค้าไม่ได้รับ คนดี...แต่เค้ารับ คนเก่ง  เก่งที่จะหาเงินเข้าบริษัท. .... ทำผลกำไร ให้ บริษัท...เค้าจะเลือก คนเก่ง มากกว่า คนดี.. แล้วอีก อย่าง เค้าดูด้วยว่า จบ ที่ไหน..อย่าง บริษัท ปูนขนาดใหญ่  ถ้า จบที่ ม.แห่งนี้  แล้ว ไปสมัคร เขาจะมีคนมาสัมภาษณ์ แต่ถ้า เป็น มหาวิทยาลัย อื่น   หรือ  รฎ .. เขียนใบสมัครเสร็จ กลับบ้านได้...   แล้วใบสมัคร ก็ จะกองอยู่ ตรงนั้น  ตลอดไป... ,, ....  แล้ว ทีนี้ ละ.. จะเป็น คนดี    หรือ คนเก่ง... เก่ง    โกง     รวย           .. หรือ ดี   ซื่อสัตย์    แต่ยากจน ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, แก้ไขเพิ่ม เติม... ประเทศ ไทย ..ปัจจุบัน เป็นเด๊่ยวนี้ เป็นแบบนี้ จริงๆ.. .. อย่าง ถ้า คุณเรียนไม่จบ มหาวิทยาลัย.. แล้วได้ สร้าง ธุรกิจ.. พอเริ่มเป็น รูปเป็นร่าง.. มี แชร์ไม่ตลาดเพิ่ม มากกขึ้น.. ธุรกิจ ที่ใหญ่ กว่า ก็ จะเริ่ม กำจัก คุณ ละ... โดยการ ให้ ทำสินค้า ถูกกว่า มา ตัด ราคา หรือส่ง คนมาก่อกวน.. .. .... ถ้า บ.นั้น มี เส้นสาย ก็ จะ ให้ สรรพากร มาไล่บี้ ภาษี คุณ.. sme ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะไว้ วางแผนภาษี....... ..... หรือ อย่างดู คนรวย สิ.. ติดคุก ไหม... ไม่ติด.. ต่อให้ศาลตัดสิน ว่าผิด ก็ หนีไป ต่างประเทศ.. ศษล หรือ ตร. ก็ จับไม่ได้ ละ... . นี่ๆไง ครับ ตัวอย่าง ของคนส่วนน้อยที่ทำผิด แต่ กฏหมายลงโทษ ไม่ได้.. มันก็เลย เป็น ตัวอย่าง ที่เห็น ชัดเจน ที่สุด... ปิ่น จักพาก.. หนีไปอังกฤษ.. ราเกซ.. เอกยุทธ บางคนก็หนี จนหมด อายุ ความ เหรรียญ มันมีสองด้าน ก็ จริง แต่จะทำให้ ทั้ง สองด้าน เป็นด้านที่ ดีงามทั้งสอง ด้าน .. สังคมไทย ทำได้ มั้ยย..... ...... คำตอบคือ มันทำไม่ได้... ถ้า ทุกคนไม่ช่วยกัน... กำจัด วัฒนธรรมแบบนี้ จากคุณ : นาย หุ้น n-park (prince-npark) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 00:29:14

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องข้อสอบผมไม่ติดใจอะไรมากนักนะ ก็อย่างที่ว่าๆกันมา ผมขอแบบไม่เอาเกรดโรงเรียนสอบเอาล้วนๆแบบเดิมดีกว่า แต่เรื่องที่ผมซีเรียสคือ บักห้าไหนรัฐบาลไหนมันยกเลิกการซ้ำชั้นวะ นั่นล่ะจุดเริ่มต้นของหายนะทางการศึกษาของจริง จากคุณ : ("w") เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 00:34:24 A:171.4.25.199 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 53 ผมขึ้นปี3 ละ รุ่นผมข้อสอบโอเน็ตก็เ-ี้ยเหมือนกัน แต่ที่ไม่ค่อยมีคนมาโพสถามเป็นเพราะว่า ไอ้โจทย์ที่เค้าเอามาสอบ อ่านชื่อยังไม่ออกเลยต่างหาก 5555 มาถามว่า เพลงxxxxx ใครเป็นคนแต่ง  ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ ดีนะที่ติดไว้ก่อนอยู่แล้วอะ จากคุณ : มิวกำลังจะครองโลก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 01:10:06

ความคิดเห็นที่ 54 หุบปาก แล้วเอาแท๊บเล็ตไปใช้ จากคุณ : ลูกชายคนที่7ของลูกชายคนที่7 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 01:18:28

ความคิดเห็นที่ 55 #43 ไม่ทราบว่าได้สอบ PAT2 หรือเปล่าครับ เพราะข้อสอบบางข้อ โอลิมปิกยังไม่มีสอนเลยครับ จากคุณ : linkinzeal เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 01:37:35

ความคิดเห็นที่ 56 ข้อสอบบางข้อ ก็เป็นการวัด การคุมอารมณ์ จริงๆ มันถูกทุกข้อ ไม่ก็ผิดทุกข้อ แต่เค้าบอกไม่ได้ จากคุณ : KhunGong เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 01:44:13

ความคิดเห็นที่ 57 นานๆ จะรู้สึกดีที่เกิดเร็ว จากคุณ : Roby เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 02:14:28

ความคิดเห็นที่ 58 เพิ่งผ่านจุดนั้นมาสดๆร้อนๆ จากคุณ : เพนกวินจักรพรรดิ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 02:35:48

ความคิดเห็นที่ 59 ...การสอบเข้ามหาลัยไม่ใช่ทุกอย่าง แต่อยากบอกว่าสำหรับเด็กแล้วมันคือทั้งชีวิตเลยนะ 12 ปีที่เรียนในโรงเรียน ติวพิเศษแทบตาย โดนพ่อแม่ด่ามาตลอด ก็เพื่อการการสอบเข้ามหาลัยเพียงแค่ครั้งเดียวเนี่ยแหละ หากพลาดแล้วจะทำยังไง ? โลกของพวกเขาก็ถล่มน่ะสิ และโลกของพวกเขาก็มีแค่นั้นจริง ๆ เพราะไม่มีใครเลยที่ชักนำเขาให้รู้ว่าโลกที่อยู่นอกเหนือจากนี้ก็ยังมี ทว่าถึงจะรู้ แต่มันก็ไม่ใช่จะยอมรับได้ง่าย ๆ 12 ปีที่พยายามมาสูญสลายไปจะให้ทำยังไง ? หากเทียบกับผู้ใหญ่อย่างเราท่าน ก็เหมือนกับทำงานในบริษัทที่มั่นคงและพยายามเพื่อบริษัทมาตลอด 12 ปี แต่จู่ ๆ ก็โดนไล่ออกกลางคันเพราะเจ้านาย "จับฉลาก" ได้ชื่อคุณจนทำงานเดิมที่หวังไว้ไม่ได้ ต้องไปสมัครใหม่ยังบริษัทอื่นเท่านั้น ยอมเช่นนั้นได้เหรอ ? ไม่คิดจะทวงสิทธิ์อันยุติธรรมให้กับตัวเองแล้วก้มหน้าก้มตารับกรรมอันนั้นไปอย่างนั้นเหรอ ? การสอบมหาลัยไม่ใช่ทุกอย่าง มีไว้เพื่อปลอบใจใรสิ่งที่เกิดไปแล้วเพื่อให้สู้ต่อไปเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ยังไม่ไปถึงจุดนั้น และกำลังจะซ้ำในความผิดพลาดเดิมที่ตนเองไม่ได้ก่อ อย่าใช้มันเพื่ออ้างในการงอมืองอเท้าแล้วไม่ให้คนกลุ่มนั้นทวงสิทธิ์ของเขาอย่างเด็ดขาด จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 02:42:43

ความคิดเห็นที่ 60 เรื่องการสอบเข้ามหาลัยไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตน่ะจริงอย่างที่สุดครับ แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำหรับกระทู้นี้ ผมบอกอย่างนี้ไม่ใช่หลงทางว่าเราไปทุ่มคิดกับด้านนี้มากเกินไป ผมเป็นคนนึงที่ยืนยันมาตลอดว่าการศึกษาบ้านเรามาผิดทาง เรามีมหาวิทยาลัยมากเกินไป มีสายอาชีพน้อยเกินไป สังคมไปยึดติดกับมหาลัยมากเกินไป เงินเดือนสายอาชีพน้อยเกินไป แต่นั่นเป็นสิ่งที่สังคมและรัฐต้องช่วยกันแก้ไข ส่วนในเรื่องการสอบเข้ามหาลัยนั้นผมเห็นด้วยกับส่วนมากในที่นี้สุดๆ เพิ่งได้เห็นคะแนนแอดนักเรียนสายวิทย์ เห็นแล้วกลุ้ม คะแนนคณิต O-NET ได้ 11 เต็มร้อย ที่สอบได้เข้ามาเพราะคะแนนสุขศึกษา พละ ศิลปะ การงาน ภาษาไทยและสังคม รวมแล้ว 500 คะแนน คะแนน O-NET วิทยาศาสตร์ (สามวิชาหลัก) เต็ม 100 คณิต 100 อังกฤษ 100 พอเข้ามาเรียนมหาลัย เจอ calculus Physic Chem Bio Eng  เข้าไปก็หงายเงิบ เกรดสามกว่ามาจากม.ปลาย มาเจอมหาลัยเข้าไปรูดลงมาเหลือหนึ่งกว่าๆ นี่ไม่นับพวกที่ drop หนีไปอีกไม่รู้เท่าไหร่นะ ถามผู้มีอำนาจที่เปลี่ยนแปลงน่ะว่ามันได้ผลสัมฤทธิ์สมกับที่คุยมั้ย ลดการเรียนพิเศษได้มั้ย นักเรียนเอาใจใส่ในห้องเรียนมากขึ้นมั้ย แล้วเอามาชั่งน้ำหนักกับข้อเสียที่เกิดขึ้น มาดูว่าสมควรจะเปลี่ยนแปลงกลับไปใช้ระบบ entrance เหมือนเดิมจะดีกว่าหรือไม่ (เอ็น 2 รอบ) เห็นด้วยกับหมอ เจมากๆ เรื่องถอยหลังน่ะ เพราะผมโดนมาแยะเหมือนกัน ผมแปลกใจมากว่าการไปข้างหน้าบ้างครั้งมันคือการไปสู่หายนะ ไปสู่เหว การถอยหลังกลับคือทางรอด แต่ทำไมถึงชอบว่าถอยหลังลงคลอง ไม่เอาๆ เราผ่านมาแล้วไม่ถอยหลังกลับไปใช้หรอก จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 07:32:04

ความคิดเห็นที่ 61 ลองปรึกษาหาวิธีทำ ให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงจริงจังไหม ปกติเด็กมักจะออกมาบ่นว่ามันไม่มีดี หลังจากสอบไปแล้ว แต่เพราะมันสอบจบไปแล้วเรื่องมันเลยเงียบหายไป เพราะคนส่วนใหญ่ ก็จะได้มหาวิทยาลัยเรียนไปแล้ว ไม่มีเวลามาตามเรื่องต่อ แต่ถ้าพยายามจุดประเด็นก่อนสอบ หาทางทำอะไรให้มันเป็นกระแสแรงๆ จนเป็นที่สนใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนการสอบได้ก็น่าสนใจอยู่ ลองวางแผนดูว่าจะทำอะไร ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง โดยอาศัยแรงผลักดันจากนักเรียน ม.ปลาย และแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง แต่ไม่แนะนำให้ทำอะไรที่ผิดกฏหมาย อย่างพวกปิดถนนหรือเผาเมืองนะ :P จากคุณ : เดือนนี้ไม่มีวันหยุด เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 08:04:45

ความคิดเห็นที่ 62 #8 ตรงข้ามครับ ผมไม่ห่วงเลย ถามว่าเพราะอะไร เพราะตลอดมามันมีข้อยืนยันมากมายว่าเด็กที่ขวนขวายเรียนพิเศษข้างนอก มักจะประสบความสำเร็จในชีวิตมหาวิทยาลัยมากกว่า ลองไปดูสถิติก็ได้ครับว่าในกลุ่มเด็ก ม. เอกชน ที่มีคนที่เรียนพิเศษและไม่เรียนพอๆ กัน ใครมีโอกาสจบมหาวิทยาลัยมากกว่า ในเมื่อเค้าสามารถเรียนได้ดีกว่า แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปพยายามสร้างระบบที่บีบให้คนเหล่านี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดครับ เด็กเหล่านี้ผิดที่ "บ้านรวย" แล้ว "ขวนขวาย" หรือครับ ประเทศนี้นี่ใ:-)ก็เป็นคนผิดงั้นหรือครับ ความไม่ยุติธรรมในสังคมมันมีจริง แต่ไม่ใช่มาแก้ด้วยการตัดโอกาสเด็กที่มี Potential ครับ ไม่ต่างอะไรเลยกับการที่คุณบอกว่าเด็กบางคนอ่านหนังสือเยอะเกินไปเอาเปรียบคนอื่นไม่รู้จักใช้ชีิวิต ผมเชื่อว่าคนที่ฝึกซ้อมและทุ่มเทให้กับการเข้ามหาวิทยาลัย ก็สมควรได้เข้ามหาวิทยาลัยครับ มันจะผิดมากถ้าจะไปเอาเด็กใช้ชีวิตเก่งประเภทเจ้าสัว ป. 4 ที่คิดว่าไม่เรียนก็รวยได้ แล้วไม่ได้อยากเข้ามหาวิทยาลัยแต่ต้น มาบังคับให้เอ็นติด คนเรียนเก่งก็ต้องให้เค้าเรียน ไม่ว่าเค้าจะเรียนเก่งเพราะรวย เรียนเก่งเพราะกวดวิชา หรือเรียนเก่งเพราะอะไรก็ตาม ส่วนคนทำงานเก่งก็ควรได้โอกาสในการทำงาน ถ้าคุณจะพยายามแจกโอกาสทางการเรียนให้ทุกคนเท่าเทียมกันเพียงเพราะคุณแก้ไขปัญหาเรื่องความเท่าเทียมในวิชาชีพไม่ได้ ประเทศไทยจะพังทั้งระบบการศึกษา และระบบวิชาชีพครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 10:14:30 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 10:13:59 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 08:13:51 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 08:07:48

ความคิดเห็นที่ 63 เอนท์สองรอบดีสุดแล้ว ---- ส่วนเรื่องกวดวิชามันห้ามไม่ได้หรอก เพราะโรงเรียนสอนให้มีความรู้ กวดวิชาสอนไปสอบ (ต่อให้โรงเรียนชั้นดีครูก็ไม่สอนแบบติวเตอร์หรอก เพราะรับผิดชอบคนละอย่าง มันคือคนละอาชีพกัน) ในเมื่อจุดหมายของเด็กม.ปลายคือการสอบ เด็กมันก็ต้องอยากเรียนพิเศษอยู่แล้ว บ้านผมไม่ได้รวยอะไรเรียนพิเศษแบบเสียเงินแค่ครั้งสองครั้งเอง นอกนั้นก็ไปเข้าแคมป์ติวฟรีที่สินค้าโน่นนี่จัด มันก็ช่วยได้นะ มหา'ลัยมีเก้าอี้เยอะแยะ เป็นแสนๆ รามรับไม่จำกัด จะมาบอกว่าไม่มีที่เรียนมันไม่จริงอ่ะ ถ้าคุณอยากจะเรียนมหา'ลัยจริงๆมันต้องมีที่เรียนแน่นอน ผมว่าคนที่ไม่มีที่เรียนตอนอยุ่มหาลัย มีสองพวกคือ พวกไม่ขวนขวายไม่อยากเรียนด้วยนิสัยหรืออะไรก็แล้วแต่ กับพวกขาดโอกาสโดยสิ้นเชิง เช่น พิการมากๆ หรือบ้านมีภาระมากๆ   ซึ่งพวกนี้มันไม่ได้แก้ที่เนื้อหาหรือระบบการสอบเลย มันเป็นปัญหาส่วนตัว/สังคม ที่มันอยู่นอกเหนือโรงเรียนหรือกระทรวงศึกษาที่จะต้องไปรับผิดชอบด้วยซ้ำ ต้องให้กระทรวงพัฒนามนุษย์ไปดูแล จะตรงจุดกว่าไหม กระทรวงศึกษาควรเอาเวลาไปใส่ใจกับมาตรฐานการศึกษาจะดีกว่านะ เบื้องต้นเลยเอามานะมานีกลับมาให้เด็กประถมเรียนดีกว่าไหม เพราะของใหม่มันทำให้เด็กไทยอ่านภาษาไทยไม่ออกแล้ว แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 09:12:53 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:10:49

ความคิดเห็นที่ 64 สายการแพทย์ ปริญญาไม่สำคัญเลยครับ เพราะเขาดูที่ใบว. (แต่ยังไงก็ต้องสอบเพื่อเข้าคณะแพทย์เหมือนกัน) ข้อสอบที่จะดูความสามารถในการวิเคราะห์ ไม่ควรออกเป็นปรนัย ถ้าไม่มีปัญญาออกเป็นอัตนัย จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คำถามคำตอบควรจะตรงไปตรงมา จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:20:08

ความคิดเห็นที่ 65 ^ ^ ^ จับฉลากยิ่งไปกันใหญ่สิเจ๊   ใต้โต๊ะกันระเบิดเถิดเทิง จ่ายมากคณะเริศ จ่ายน้อยคณะด้อย   ไม่มีปัญญาจ่ายไปหาที่เรียนตามยถากรรม ยุติธรรมคงไม่มีจ๊ะ จากคุณ : HaroldSizzler เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:33:24

ความคิดเห็นที่ 66 ผิดพลาด  ผิดพลาดสุดโต่งแล้ว change  change  change  change จากคุณ : tamara เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:42:42

ความคิดเห็นที่ 67 สำหรับผมๆคิดว่ามันไม่มีหรอกครับ ความยุติธรรมและความเท่าเทียมในชีวิตจริง แต่ระบบเอ็นทร้านซ์ มีจุดอ่อนน้อยสุดแต่อาจใช้ระบบสอบตรง ควบคู่ใปด้วยก็ได้ ผมมองว่าเอาระบบเอ็นทร้านซ์มาประยุกต์ และหาทางลดจุดอ่อนของเอ็นฯ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เด็กจบสายอาชีพสมัยนี้ก็ต่อ ป.ตรีได้ และ ก้าวหน้าไม่น้อยกว่าสามัญนะครับ เพราะคนกลุ่มนี้รู้ทั้งทฤษฎีและปฎิบัติ แถมทำงานลุยและบู๊กว่านะ เรียกว่า พวกสายอาชีพที่จบ ป.ตรี มันได้ทั้งบู๊ - บุ๋น เด็กกลุ่มนี้ไม่ตกงานแน่ แต่มันกับกลายไปว่า ค่านิยม พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกเรียนสายอาชีพ จากคุณ : Dr.jakz7 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 10:04:59

ความคิดเห็นที่ 68 ของเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยรุ่นข้อสอบโอเน็ต ผ้าปูโต๊ะ กับหนูนิดเป็นคนสวย อะไรนั่นแหละ  ลืมไปแล้ว คือยังไงดีละ เราก็เรียนกวดวิชานะ หลายที่เหมือนกัน เช่น อุ๊แลนด์ หมอเผ่า แต่ส่วนใหญ่ โดดอ่ะค่ะ 5555 ขี้เกียจ อยากอ่านเองมากกกว่า (ถ้าง่วงก็หลับได้เลย) คือตอนนั้น คะแนนวิชาพวก สุขะ ศิลปะ ที่คนส่วนใหญ่ เค้าบ่นๆกัน เราได้น้อยมากๆๆ แบบถ้าเต็ม 100 รู้สึกว่าเราได้ 30 มั้ง ตกมีนประเทศด้วย แต่วิชาอื่น มันโอเคนะ (สำหรับเรา)   ทำให้เราติดอันดับ 1 ที่เลือกไว้ได้ ก็เลยรู้สึกว่า อืมที่บางคนมาบ่นๆว่า  ข้อนี้อาจารย์เคยสอนด้วยหรอ  ข้อนั้นออกอะไรมา บ้ารึเปล่า  มันเป็นส่วนน้อยมากๆที่เค้าออกข้อสอบมา ไอ้ข้อที่ง่ายๆก็เยอะอยู่นะ รู้สึกไม่มีผลกับคะแนนของเราเท่าไหร่ (หรอ) ฮ่าฮ่าฮ่า คือจริงๆ เราคิดว่าอยู่ที่ตัวเด็กด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าขวนขวาย พัฒนาตนเอง ขยัน เค้าเปลี่ยนระบบไปแบบไหน  ยังไงก็ประสอบความสำเร็จอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเค้าจะกลับไปเป็นแบบ เอ็นทรานซ์ เหมือนเดิม พวกที่ขยัน ฉลาด ก็ฟินๆ อยู่แล้วแหละ  แต่พวกที่ขี้เกียจ แล้วไม่สมหวังก็คงบอกอีกว่า  อยากให้กลับไปสอบ gat pat หลายๆครั้งเหมือนเดิม สรุป ส่วนใหญ่เลยนะ อยู่ที่ตัวเด็ก จากคุณ : engineer_costan เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 10:13:27

ความคิดเห็นที่ 69 #68 ตัวเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จมันอยู่ที่ตัวเด็กครับ แต่ระบบเราที่คัดคนออกมาแล้วเรียนไม่จบเยอะขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่ควรจะเรียนจบดันถูกคัดออก มันผิดที่เด็ก หรือผิดที่ระบบครับ แยกประเด็นให้ออกนะครับ เด็กไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นคือปัญหาของเด็ก แต่ระบบคัดคนที่ไม่เหมาะสมกับการเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ เป็นความผิดระบบครับ ถ้าเราจะคุยเรื่องนี้ต้องคุยกันในแง่ที่ว่า "ทำไมระบบนี้ถึงมักจะอนุญาตให้เด็กที่มีศํกยภาพไม่พอเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่าระบบเดิม" แล้วคุณจะเข้าใจชัดเจนว่าทำไมอาจารย์หลายท่านถึงมองว่าระบบนี้ล้มเหลว ตัวเด็กล้มเหลวเด็กก็รับผิดชอบไปเอง แต่ระบบล้มเหลวเราจะไปโยนความผิดให้เด็กมันไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 10:20:48

ความคิดเห็นที่ 70 ผมเอามาลงให้ " อธิการค้าน ยกเลิก Admissions จี้ ทปอ. รอบคอบ ดูข้อดีข้อเสีย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าจะยกเลิกการ admissions แล้วเปลี่ยนมาเป็นรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์อย่างเดียว หากคิดจะเปลี่ยนระบบไปมาจะทำให้เด็กและผู้ปกครองสับสนได้ " Credit  หนังสือพิมพ์มติชน + unigang จากคุณ : เจ้าชายนิทราในความฝัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 10:36:45

ความคิดเห็นที่ 71 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 11:40:50

ความคิดเห็นที่ 72 ระบบนี้มันเดือดร้อน  โรงเรียนกวดวิชา  ตัวตั้งตัวตีมาจากเด็กกวดวิชา ทำข้อสอบไม่ได้เพราะไร ? ไปถามพวกอาจารย์กวดวิชา  พวกอาจารย์หน้าชา  เวรเอ้ย ออกข้อสอบไร ไม่ตรงกะที่สอนเลย ออกข้อสอบแนวนี้แล้วจะเอาไรกิน ??     ให้เด็กสนใจสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง สนใจใน IQ ที่ต้องใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง  สอนให้รู้จักโลกความเป็นจริง จากคุณ : ราดหน้าเย็นตาโฟต้มยำ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 11:42:20

ความคิดเห็นที่ 73 วิธีการคัดเด็กของมหาลัยทุกวันนี้ นอกจากรับตรงแล้ว ยังมีภาคพิเศษ ภาคค่ำ เสริมมาในปี 1 ถ้าเด็กภาคค่ำทำคะแนนได้ดี (เก่งแต่ดวงไม่ดี) ก็จะำได้โอนย้ายไปเรียนภาคปกติ ส่วนเด็กปี 1 ภาคปกติ ที่สอบได้เพราะดวงดี แต่เรียนไม่ไหว ก็ต้องออกไปสอบใหม่ วนเวียนเป็นวัฏจักร นี่เป็นผลของนโยบายที่บังคับให้โรงเรียนแบกเด็กไม่เก่งจนจบ ม. ปลายทั้งหมด ทั้งๆที่มีโรงเรียนอาชีวะ คอยรับนักเรียนพวกนี้อยู่แล้ว "เด็กอยากเรียน ต้องได้เรียน" (นโยบายแมงสาบใส่แว่น) โรงเรียนต้องดันให้่จบ ม.ปลาย ให้ได้ ทั้งๆที่บางคน จบ ม.3 ได้ก็บุญแล้ว มันเลยมากองรวมกันอยู่ที่ ปี 1 มหาลัย จะไปต่อก็หัวสมองไปไม่ไหว จะเปลี่ยนไปสายอาชีพก็ช้าเกินไปแล้ว จากคุณ : jaycee เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 11:53:47

ความคิดเห็นที่ 74 ยังดีนะที่ผม เอ็นทรานซ์รุ่นสุดท้ายพอดี   พอมี o-net / a-net / gat / pat  โครตงงมาก ไม่รู้เขาสอบกันยังไง  ผมลองถามน้องผมว่า ระบบสอบพวกนี้ เป็นยังไง เขาบอกว่า ค่อนข้างยาก ถามไม่ตรงประเด็น  พวกข้อสอบที่สอบตามหลักสูตรที่เรียน ก็โอเค ถามตรง ตอบได้  แต่ถ้าเป็นข้อสอบที่ถามนอกหลักสูตร ถามในสิ่งที่ไม่ได้สอน จะเป็นคำถามเชิงวัดความสามารถทางความคิด เชิงจิตวิทยา คถามน่ะ ถามได้ตรง แต่คำตอบกำกวมมาก จนไม่รู้ว่า ตอบข้อไำหนถึงจะถูก เพราะทุกข้อมีสิทธิถูกหมด  และคำถามบางข้อ ก็ไม่รู้ว่าใช้หลักอะไรในการตั้งคำถาม ใช้แนวคิดอะไรในการตอบ  อย่างคำถามที่ว่า เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ ต้องทำอย่างไร จากที่ผมดูคำตอบ มันก็มีคำตอบที่คิดว่าถูก ถึง 2 ข้อ แต่ข้อไหนล่ะ ที่ถูกต้องที่สุด  ที่เด็กบ่นกันเรื่องของสอบ ก็น่าจะเป็นเรื่อง ความกำกวมของข้อสอบ ที่ไม่มีจุดยืนที่ตายตัว  เด็กๆ อยากได้ข้อสอบที่ถามตรง ตอบตรง ถูกต้องที่สุด  100 %  เมื่อมองคำถามข้อนี้แบบลึกๆ ลงไปจริงๆ ก็ทำให้เข้าใจว่า ที่เขาถามคำถามแบบนั้น ก็คงจะต้องการถาม เพื่อท้าทายสติปัญญา ท้าทายความคิด การวิเคราะห์ปัญหารอบด้าน  แต่คำถามเช่นนี้ ก็ไม่ควรมีคำตอบที่ตายตัว เพราะในความคิดแต่ละคน ก็มีคำตอบที่แตกต่างกัน ตามประสบการณ์ และลักษณะพฤติกรรม  ควรจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ มากกว่าที่จะเป็นคะแนน  วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจาก ผู้สอบ  ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้สอบก็มีส่วนสำคัญ คือ การที่ผู้สอบเน้นการสอบเชิงวิชาการมากเกินไป จนไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญกับข้อสอบเชิงวิเคราะห์เช่นนี้  จากการที่ดูคลิป ก็ทำให้ผมคิดไปว่า เดี๋ยวนี้ เด็ก ม.ปลาย ใช้ทักษะด้านการคิด หรือ การวิเคราะห์ ไม่เต็มที่ หรือไม่เป็น แล้ว เมื่อเจอกับข้อสอบ การวัดแนวคิดเชิงลึก ก็ทำได้ไม่เต็มที่  การสอบเข้า มหาลัย ยังคงต้องปรับเปลี่ยนอีกมาก และ ก็อยากแนะนำ เด็ก ม.ปลาย ในอนาคตข้างหน้า ว่า การสอบเข้ามหาลัย ไม่ใช่จุดชี้วัดอนาคต แต่เป็นเพียงบททดสอบที่ต้องเผชิญ เท่านั้น    และอนาคตของคุณ ตัวคุณเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่ที่ตัวชื่อเสียงของมหาลัย   และก็อย่าไปโทษที่ระบบการศึกษา โทษกระทรวงศึกษาฯ   ระดับความรู้ ระดับการเรียนที่ดี มันอยู่ที่ตัวคุณเอง ว่าคุณจะเลือกแบบไหน  จากคุณ : spindoctor เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 11:54:46

ความคิดเห็นที่ 75 อยากให้ติดตามปัญหาพวกโรงเรียนปล่อยเกรดด้วยครับ เดี๋ยวนี้โรงเรียนต่างๆ กลัวเด็กจะสอบเข้ามหาลัยได้น้อย โรงเรียนจะเสียชื่อเสียง เลยต้องเพิ่มเกรดเข้าไปให้สูงๆ เพื่อให้ได้เปรียบไว้ก่อน คุณภาพของเด็กก็แย่ลงทุกที ทุกที พวกข้อสอบที่มาจากกวดวิชานี่อีก น้องผมเพิ่งสอบไป น้องเค้าเรียนเคมีกับ อาจารย์ อ. บอกว่าข้อสอบออกมาตรงเป๊ะๆเลย เหมือนกับนัดกันมา เป็นซะแบบี้เด็กเลยยิ่งต้องดิ้นรน ขวนขวายเข้ามาเรียนพิเศษกันในเมืองอีก พ่อ แม่ ตามชนบทก็ต้องส่งลูกมาดิ้นรนอยู่หอในเมือง เด็กยังไม่พร้อมจะเจอโลกตามลำพังก็เกิดปัญหาอีก จากคุณ : เป็นบัตรผ่านตั้งนาน (เป็นบัตรผ่านตั้งนาน) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 12:55:33

ความคิดเห็นที่ 76 สมัยเอนทรานซ์ ผมเกือบซวยกับไอคะแนน gpa ( หรืออะไรนี่แหละ ที่วัดจากค่าเฉลี่ยลำดับในโรงเรียน) ผลเลือกคณะออกมาคะแนนดิบผมได้ที่ 1 ของคณะ ( ดูจากใบประกาศใหญ่ๆ จำไม่ได้แล้วว่าของอะไร ) แต่พอไปรวมคะแนนนั่นแล้ว ผมได้มากกว่าลำดับสุดท้าย 4 คะแนน  เกือบเอนท์ไม่ติด จากคุณ : NON-MEM เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:04:56

ความคิดเห็นที่ 77 ตกลงว่า.... เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศให้ปรึกษาครอบครัวเหรอเนี่ย คนออกข้อสอบ มะแล่งคงปรึกษา "เมีย" (แต่เด็กนักเรียนตอบเตะบอล มันผิดได้ยังไง อีกทางออกที่เด็กเลือกกลายเป็นทางออกที่ผิด) ถ้ามองกลับกันพวกที่ออกข้อสอบมีลูกแล้วมาปรึกษาว่ามีอารมณ์ทางเพศ บอกว่า "พ่อ ๆ ผมมีอารมณ์อยากร่วมเพศ" พวกท่านเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไง จากคุณ : longde เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:07:18

ความคิดเห็นที่ 78 มันมีปัญหาทุกปี ไม่รู้ว่าพวกที่ดูแลเรื่องนี้ อายเด็กนักเรียนบ้างไหม?? จากคุณ : Love to live เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:11:15

ความคิดเห็นที่ 79 >>...หลายคนไปไกลถึงขั้น อ้างว่า ที่เค้าสอบเข้าไม่ได้ ก็เพราะ ไม่กี่ข้อนี่แหละเป็นตัวชี้วัด ?? >>...โดยลืมไปว่า ถ้าคุณทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน (ความน่าจะเป็นในการมั่ว ก็เท่ากัน) ------------------------------------------------------------------------------------------------- จับฉลากง่ายกว่าไหมครับ มีค่าเท่ากัน คนออกข้อสอบเฮงซวย ยังไม่รู้ตัวอีก ถามแบบอัตนัย  แล้วให้ตอบแบบ ปรนัย มัน พินาศ ครับ ถามจริงๆ คนออกข้อสอบตอนเด็กๆ มัน ไม่มีอารมณ์ทางเพศ หรือ มันปรึกษาครอบครัว ทุกครั้ง   ทอแหล จริงๆ ไอ้อาจารย์คนออกข้อสอบเนี่ย มันไม่เคยไปดูว่ามันสร้างปัญหา อะไรไว้ อัตรา การ ถูกรีไทร์ เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ จากปัญหาที่พวกมันทำไว้ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:38:02 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:35:07 จากคุณ : empaza เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:32:45

ความคิดเห็นที่ 80 แอดมิดชั่นปีแรก เป็นอะไรที่ซวยสุดๆ --* จากคุณ : หนูรี่VSหมามด เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:33:18

ความคิดเห็นที่ 81 เราโชคดีทัน entrance 2 รอบ รอบแรกวิชาไหนคะแนนดีก็เก็บไว้วิชาไหนคะแนนไม่ดีเอาไว้แก้ตัวรอบ 2 เพื่อนๆเราพอ entrance ติดแล้วไม่ค่อยมีใครซิวกันเท่าไหร่ อ่อ รู้สึกรุ่นเราจะใช้คะแนน GPA 20% มั่งจำไม่ค่อยได้แล้ว ถือว่าเป็นคะแนนให้เด็กขยันเรียนในห้อง ปล. เราว่าวิธีนี้แหล่ะดีเด็กไม่เครียดมาก แต่ตอนนี้รู้สึกว่าพอเปลี่ยนผู้บริหารแต่ล่ะทีทุกคนพยามสร้างผลงานโดยเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าของเก่าดีหรือไม่ สงสัยกลัวจะไม่มีผลงาน กรรมก็ตกอยู่ที่เด็ก จากคุณ : pinksoft เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:35:04

ความคิดเห็นที่ 82 ตัวเองสอบเอนท์ แต่ได้เจอทั้งเ็ด็กระบบเอนท์และระบบใหม่ จะบอกว่าเด็กที่มาจากระบบใหม่ มีแนวโน้มของคุณภาพลดลงเรื่อยๆ ทำให้แต่ละที่ต้องสอบตรงเพื่อจะคัดเด็กเอง แถมเด็กที่ได้ก็มีอีคิวแย่ลงเืรื่อยๆ จิตสำนึกความรับผิดชอบ วัตถุนิยมอะไรต่างๆ เด็กๆ ที่ผ่านแอดมิดชั่นกลาง ถ้าเทียบแล้วไม่เก่งเท่าเด็กที่มาจากรับตรง  รู้สึกว่าคนไทยถูกยัดเยียดระบบนี้ให้โดยที่ไม่ถามว่าจะเอาหรือเปล่า  เรียกร้องประชาธิปไตยกันดีนัก แต่ไอ้เผด็จการแบบนี้ ไม่เห็นโวยวายอะไรกันเลย ของเก่ากับใหม่มีดีเสียยังไง มันมัดมือชก ผลที่ได้เด็กแย่กว่าเดิมมากๆๆ ยกตัวอย่างง่ายสุด นะคะ เขียนเป็น นะค่ะ รู้เลยว่าอายุประมาณเท่าไหร่ แต่ทำไมไม่มีใครสามารถออกมาเรียกร้องอะไรได้ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ก็ยังใช้ระบบเอนทรานซ์อยู่ ประเทศก็พัฒนาดี ไม่เข้าใจว่าไทยพายามจะประดิษฐ์วิธีการสอบเข้าเพื่อทำแป๊ะอะไร ที่หลายคนบอกว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ถ้าคุณได้มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นสถาบันการศึกษาจริงๆ ก็จะเข้าใจว่าทำไมคนถึงพยายามจะเข้า มันหล่อหลอมอะไรบางอย่างได้ แม้จะไม่ใช่ทุกคนและใช้ไม่ได้กับทุกที่ที่เรียกตัวเองว่ามหาวิทยาลัยก็ตาม ปล. ระบบใหม่เป็นระบบที่ "กำจัด" ลูกคนไม่มีเงินที่จะวิ่งรอกสอบตามที่ต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด มันสร้างการเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแบบเนียนๆ อีกด้วย บอกตรงๆ ว่าการสอบเอนทรานซ์ศักดิ์สิทธิ์มากๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าคนรวยคนจนโอกาสเท่ากันจริงๆ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:09:55 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:58:34 จากคุณ : หนูมาลี เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:56:00

ความคิดเห็นที่ 83 ดันคับดัน จากคุณ : preedaake เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:01:33

ความคิดเห็นที่ 84 ผมผ่านการเอ็นฯ มา 3 ครั้ง  2 แบบ ไม่ติดด้วย (โง่ 555) ครั้งแรก (วุฒิสอบเทียบ) สอบได้คะแนน เอาไปเลือก 4 คณะ คณะไหนติดก็ติดไปเลย แบบนี้ชอบ อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบัน เพียว ๆ รุ่นพี่ผม ม.4 ม.5 ไม่เอาอะไรเลย ม.6 เกิดคิดได้มั้ง ตั้งใจเรียนขยัน เอ็น ฯติด อีก 2 ครั้ง เป็นรุ่นหนูทดลอง  เอาคะแนนเรียน 4-5-6   ไปรวมด้วย อะไรก็ไม่รู้ แต่ปีที่เป็นหนูทดลอง คะแนนแต่ละคณะ กลับตาลปัตร คนกล้า คะแนนน้อย ติดคณะดัง คณะกลาง ๆ คะแนนพึ่งสูง 555 สับสน พูดถึงปัจจุบัน พูดได้คำเดียว งง ไม่รู้เรื่อง  ยิ่งเห็นข้อสอบ ตลก ๆ มา 2 ปี สงสารเด็ก เอาแบบเดิมมาเลยครับ สอบแต่ละวิชา เอาคะแนนวิชาที่ต้องใช้ รวมกันไปเลือก คณะ ติดก็ติด ง่ายดี จากคุณ : พ่อมดกระป๋อง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:05:53

ความคิดเห็นที่ 85 ต่างประเทศ เด็กที่เรียนเก่ง บ้าเรียน เค้าให้เรียนจนสูง จบเป็น ดร. แล้วมีสายงานทางวิชาการรองรับ ไปทำพวกงานเชิงวิจัยเชิงทฤษฎี ส่วนเด็กที่ใช้ชีิวิตข้างนอกเก่ง ก็ไปเรียนวิชาชีพ เปิดธุรกิจ หรือสมัครงานไปตามเรื่อง ไม่มีประเทศไหนหรอกครับที่พยายามยัดเยียด "วิชาการ" ให้เด็ก "ใช้ชีวิตเก่ง" ปัญหาของเมืองไทยคือพวกคนที่ไม่เรียนมหาวิทยาลัยมันไม่มีโอกาสทางวิชาชีพ แทนที่เราจะสร้างวิชาชีพเปลี่ยนระบบให้มัน fit และมีโอกาสให้แก่ทั้งคนที่เก่งวิชาการ และเก่งปฏิบัติ เรากลับพยายามยัดเยียนวิชาการลงไปให้แก่เด็กปฏิบัติ เพราะมันไม่ fit กัน ยิ่งนานไปมันยิ่งพังครับ เด็กที่ความรู้รอบตัวสูงเข้ามาเรียนก็เรียนไม่ได้ ส่วนเด็กที่เรียนเป็นอย่างเดียวแทนที่จะได้เรียนก็ต้องมาเจอระบบที่ออกแบบมาผิดเพี้ยน ทำให้ทำอะไรกับชีิวิตไม่ได้ซักอย่าง สิ่งที่ทำเป็นอย่างเดียวก็โดนแย่งไปเพราะระบบที่ผิดเพี้ยน ถามหน่อยพวกเด็กที่คุณบอกกันเหลือเกินว่าความรู้รอบตัวสูง ทำงานเก่ง ควรได้รับโอกาสให้มาเรียนมหาวิทยาลัย จับเด็กพวกนี้ให้มาวิจัยฟิสิกส์ทฤษฎี คณิตศาสตร์ขั้นสูง มันจะเหมาะสมหรือเปล่าครับ งานพวกนี้มันเหมาะเด็กที่บ้าเรียนจริงๆ ที่หลายคนไม่ชอบนั่นแหละ ผมเคยอ่านเรื่องของ Paul Erdos ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ออกจะเป็นออทิสติกนิดๆ แล้วทุ่มเทชีวิตให้คณิตศาสตร์อย่างเดียว ไม่ใช้ชีวิตอย่างอื่นเลยจนถึงขั้นต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลตลอด 24 ชั่วโมงเพราะไม่ทำความสะอาดตัวเอง เค้าสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมมากมายจากทฤษฎีที่ทางคณิตศาสตร์ที่เค้าสร้าง เพราะเค้ามีที่อยู่ในวงการวิชาการ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมระบบของประเทศไทยถึงพยายามทำให้เด็กพวก คนแบบนี้ ไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง ทั้งๆ ที่คนแบบนี้สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมได้ไม่ใช่น้อย ทำไมต้องพยายามบอกให้เด็กที่รู้รอบตัวเข้ามามหาวิทยาลัยแล้วตัดโอกาสเด็กแบบนี้ออกไป ถ้าปัญหาของประเทศไทยคือไม่มีโอกาสมอบแก่คนนอกวงการวิชาการ คุณก็ต้องสร้างโอกาสพัฒนาระบบวิชาชีพให้มอบโอกาสให้คนนอกวงการวิชาการได้ ไม่ใช่คุณแก้ปัญหาโดยการบีบให้วงการวิชาการรับคนที่ทำงานเก่งหรือเด็กที่ใช้ชีิวิตเก่งแต่ไม่เก่งวิชาการ ระบบวิชาชีพมันพังไปแล้ว จะมาทำให้ระบบวิชาการพังไปอีกหรือไงครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:23:30

ความคิดเห็นที่ 87 รุ่นเราเป็นรุ่นแรกที่ใช้เกรดม.ปลายมาคำนวนเข้ามหาวิทยาลัย เราเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนต่ำสุดของเอกเลย (ได้คณะแนนขั้นต่ำของปีนั้น) ในขณะที่เพื่อนๆที่เข้ามา เกรดสามเกรดสี่ทุกคน (เราเกรดรวมสองต้นๆเอง) แต่เรากลับเรียนเอกนี้ได้สบายมากๆ แทบไม่ต้องอ่านหนังสือไปสอบเลย ใช้แค่ความรู้ที่เคยเรียน ม.ปลาย เนี่ยแหละไปสอบ จำได้ว่าปีหนึ่งเรียนง่ายมาก ถามอาจารย์ว่าทำไม อาจารย์บอกว่า ต้องเรียนรอเพื่อนๆด้วย ค่อยอุดช่องโหว่ แล้วเดินไปพร้อมกัน เช เราก็เข้าใจ พอปีสองก็ยังรู้สึกว่าอาจารย์ยังค่อยๆสอนอยู่ พอปีสามเริ่มมีวิชาเฉพาะทาง แต่ก็ยังเอาตัวรอดได้ เพราะพื้นฐานเคยเรียนมาหมดแล้ว แต่เพื่อนๆกลับไม่เคยเรียน อาจารย์เลยต้องสอนใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน เราก็เข้าเรียนฟังทบทวนเรื่อยๆ ตอนจบปีสามเนี่ยแหละ ทำให้เริ่มคิดได้ เพราะมีนัดกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า (ส่วนมากก็เรียน ม.เอกชน เพราะเกรดไม่ดี เอนท์เข้าคณะที่ต้องการไม่ได้ ก็เล่นเลือกกันอันดับเดียว ไม่ติดไม่เอา) รู้สึกว่าตัวเอกด้อยมาก เพื่อนคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้ ทำไมเราไม่เคยเรียน ทั้งๆที่เรียนวิชาเดียวกัน เลยกลับไปหาต้นฉบับหนังสือที่อาจารย์เอามาให้เรียนในห้อง พบว่า หนังสือเล่มนั้นมีสามชุด ชุดละ สิบบท (เพื่อนเรียนหนึ่งเล่มในเทอมเดียว แต่เราแบ่งเรียน ที่ละสามบทมาตั้งแต่ปีหนึ่ง) และที่เราเรียนอยู่คือเล่มสอง แต่เพื่อนเรียนจบไปตั้งแต่ปีสองแล้ว และกำลังเรียนที่มันเฉพาะทางยิ่งขึ้น (เนื้อหาในเล่มหนึ่งกับเล่มสองตอนต้นจะซ้ำกับเนื้อหาตอนม.ปลาย) เลยคิดว่าเราจะช้าแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ จะซิ่วก็ปีสามแล้ว (กำลังจะขึ้นปีสี่) เลยกลับมาหาความรู้ด้วยตัวเอง ปีสี่เราว่างมาก เพราะเราเก็บวิชาเลือก วิชาบังคับเลือกครบแล้ว เหลือแต่วิชาบังคับสองตัว ต่อเทอม เราเลยลงวิชาเลือกเพิ่มอีกสองตัว (ลงเรียนเกินที่เขากำหนด) เพื่อไม่ให้เวลาเรียนโล่งเกินไป มหาวิทยาลัยเราจ่ายค่าเทอมแบบเหมาจ่าย เลยขอลงให้คุ้มที่จ่ายไปหน่อย แต่เวลาลงทะเบียนมหาวิทยาลัยเราต้องลงผ่านเนต สมัยปีหนึ่งถึงปีสามเราจะรอลงตอนเที่ยงคืน เพราะต้องแย่งกับคนอื่น แต่ตอนนี้เราไม่รีบ เรารอจนก่อนเขาปิด อันไหนว่างก็ลงอันนั้น หลังจากปิดลงทะเบียน เอกเราโดนอาจารย์เรียกประชุม อาจารย์พูดเรื่องความมีน้ำใจ ใครที่ลงเรียนวิชาเลือกครบแล้วควรแบ่งให้เพื่อนๆได้ลงบ้าง อย่าไปกั๊กที่เพื่อน แล้วหันมาทางเรา เรางงเลย อุส่าห์รอจนวันสุดท้าย ถ้าเพื่อนเขาอยากเรียนจริงๆจะปล่อยเวลาไปสองอาทิตย์ทำไม อีกอย่างเราลงทะเบียนตอนที่เขาเริ่มเรียนไปแล้วด้วยซ้ำ เราเลยไปถอนออกมาหนึ่งตัว (เพราะอีกตัวอยากเรียนมาก ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง สิทธิของเรา แต่เรียนไปแล้วก็แอบผิดหวัง) จนวันสุดท้ายของการเรียน มีสอบหน้าห้อง ทุกคนต้องออกไปบรรยายในสิ่งที่อาจารย์ให้หัวข้อไป ในเวลา 15 นาที เราจับฉลากได้คนสุดท้าย แต่ก่อนหน้าที่เราจะเดินออกไป อาจารย์ฝรั่งลุกขึ้นมาด่า บอกว่าเขาผิดหวังมาก เรียนมาตั้งสี่ปีมีปัญญานำเสนอได้แค่นี้เหรอ? เราก็เอาแล้วสิ แต่พอเราออกไปพูด (ใช้วิธีเหมือนตอนออกไปรายงานหน้าห้องตอน ม.ปลาย) ก็ผ่านมาได้ และได้ A มาในวิชานี้ บางทีก็เลยคิดว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน ปกติเวลาเรียนมหาวิทยาลัยมันต้องได้ความรู้มากกว่าม.ปลายสิ แล้วทำไมเราถึงต้องกลับมานั่งอ่านหนังสือที่เรียน ตอน ม.ปลายไปสอบล่ะ วันที่รับปริญญา เราเจออาจารย์ที่ปรึกษา (คนที่บอกว่าจะค่อยๆอุดช่องโหว่เพื่อนๆอะแหละ) เรามาถามว่าเราเป็นยังไงบ้าง บลาบลา เราเลยปรึกษาเรื่องนี้ อาจารย์บอกเลยว่า ที่เรารู้สึกแบบนี้ เพราะเราโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนดีๆ พื้นฐานเราแน่นแล้ว แต่เพราะโรงเรียนเรากดเกรด เกรดเราเลยน้อย ทั้งๆที่คะแนนสอบเราได้เยอะ ในขณะที่เพื่อนๆเรา เกรดเฉลี่ย 3.5 ขึ้นทุกคน แต่คะแนนเอนท์ไม่สูง เลยได้เข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นพื้นฐานความรู้เพื่อน กับเราเลยต่างกัน (เราไม่ได้จะชมตัวเอง แต่เพื่อนที่เข้ามาพร้อมเราได้เกรด 4.00 วิชาภาษาอังกฤษ เราได้เกรด 1 แม่แทบปิดซอยเลี้ยง แต่มันไม่รู้ว่า V.to be คืออะไร) และเป็นหน้าที่ของอาจารย์ ที่ต้องปรับพื้นฐานของเพื่อนๆให้เท่ากัน ไม่อย่างนั้นพอเรียนสูงไปจะเรียนไม่รอด (ป.ตรียังสูงไม่พอเหรอคะ...) และจำนวนคนซิ่วจะเยอะกว่านี้ (รุ่นเราเข้ามา 40 คน เรียนไปเรียนมาเหลือ 30 คน ตอนจบ จบ 29 คน) ไม่รู้ว่าปัญหาทั้งหมดมันเกิดความผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหน เพราะเราว่าอย่างน้อยโรงเรียนเราก็ไม่มีปัญหาแหละ เด็กทุกคนจบมาถึงเกรดจะไม่สวย แต่ก็มีความรู้ไม่อายใคร แต่อะไรทำให้มหาลัยต้องลดคุณภาพการสอนขนาดนี้ แล้วถ้าเรียนแบบนี้จบไปจะเอาความรู้ที่ไหนไปทำงาน (ขนาดมหาลัยรัฐที่ต้องเอนท์แข่งกันมานะเนี่ย) จากคุณ : victoire_mod เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:18:51

ความคิดเห็นที่ 88 ผมนี่แหละครับ รุ่นสุดท้ายของเอนทรานต์ระบบเก่า เข้ามหาลัยได้ก็ปี 41 ระบบเก่าน่าจะ สิ้นสุดปีนี้แหละครับ ผ่านมา 14 ปี ผมยังไม่เคยเข้าใจเลยว่าระบบใหม่มันเป็นยังไง เพราะดูแล้วมันสับสนวุ่นวายเอามากๆ จริงๆแล้วระบบเก่า ก็กดดันแย่พอกัน เด็กเอนไม่ติด มีข่าวฆ่าัตัวตาย ให้เห็นกันทุกปี มีการเรียกร้องให้เปลียนระบบใหม่ เหมือนกันช่วงนั้น ผมว่าทั้งสองระบบมันมีทั้งข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การแก้ปัญหาไม่ใช่ต้องไประบบเก่าครับ แต่ต้องหาระบบใหม่อีกรอบที่มันดีกว่านี้ จากคุณ : เป็นไปไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:36:04

ความคิดเห็นที่ 89 หลายๆความคิดเห็น พิมพ์มาประมาณว่า "การเข้ามหาวิทยาลัย ไม่จำเป็นต้อง admission อย่างเดียว" จริงครับ ที่มันมีระบบรับตรง ระบบโควตา อีกสารพัด แต่การแอดมิชชั่นก็เป็นอีกทางเลือก ที่รับ "นักเรียนเกือบทั่วประเทศ" เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (เพราะรอบแอดมิชชั่นคนสมัครเยอะที่สุด) พวกรับตรงมันรับคนเก่งจริงๆ เพราะรับน้อยมาก แล้วพวกที่ "เกือบเก่ง" ก็ต้องมาลงรอบแอดมิชชั่นอยู่ดี ทำไมไม่ทำให้มันชัดเจนไปเลยเหมือนรอบรับตรงล่ะครับ ผมไม่ค่อยจะเห็นระบบรับตรง หรือโควตาพวกนี้มันมีปัญหาให้เป็นประเด็นเหมือนแอดมิชชั่นเลย คนทำไม่ได้ก็ยอมรับว่าทำไม่ได้ เพราะข้อสอบมันก็วัดความสามารถจริงๆ แต่พวกแอดมิชชั่น พออ่านคำถามแล้ว จะให้ยอมรับว่าทำไม่ได้ ก็คงไม่ถูกต้อง เพราะสรรหาเอาแต่คำถามที่ ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ มาออกเป็นข้อสอบ "ยังมีระบบรับตรง ระบบโควตาสารพัด ไม่ชอบก็ไม่ต้องมาแอดมิชชั่น" ประโยคนี้ไม่ควรเอามาเป็นข้ออ้างครับ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากอยู่ถึงรอบแอดอยู่แล้ว แต่เพราะระบบรับตรงมันคัดคนเก่งจริง คนที่เกือบเก่งจนถึงโคตรอ่อน ก็เลยต้องมารวมกันอยุ่ที่แอดมิชชั่น ไม่ว่ายังไงข้อสอบก็ควรจะแบ่งระดับความเก่ง ของคนที่ลงแอดมิชชั่น ไม่ใช่ถามคำถามแบบลุ้นดวง ให้คนเกือบเก่ง กับคนโคตรอ่อน มีความน่าจะเป็นในการกามั่วแล้วถูกเท่าๆกัน จากคุณ : . (นักเล่นหมากฮอส) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:43:52

ความคิดเห็นที่ 90 ผมก็เด็กเอ็น เอาเกรดรุ่นแรกเมือนกัน เอ็นไม่ติด เกรดไม่ต้องพูดถึง อาศัยไปสอบตรงเข้า ม.รัฐ เอาครับ สุดท้ายจบมาเจอเด็ก สายวิชาชีพทำงานเหนือกว่าอีก แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 17:13:08 จากคุณ : .NetMagic เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:04:53

ความคิดเห็นที่ 91 ผ่านเอนท์ มานานมาก นานจนลืมไปละ แต่พี่อยากบอกน้องว่า "ถูกใจมากเลยน้องเอ๊ยยยยย" ข้อสอบโรคจิตที่ออกโดยไอ้พวกกระหายเงิน+ขั้น เล่นมันให้เต็มที่ คือยังไงเขาก็รู้ครับว่าเรารู้สึกยังไง เหลือแค่จะหน้าด้านน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเชี่ยแค่ไหนนะครับ คนที่ทำเนี่ยยังไงเขาก็หลอกตัวเองไม่ได้ครับ ว่าเขากำลังทำลายชาติทางอ้อมอยู่ จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:19:34

ความคิดเห็นที่ 92 ข้อสอบที่มีปัญหา เราว่าน้อยข้อจนแทบไม่มีนัยยะสำคัญเลยนะ วิชาอย่างคณิต วิทย์ ไทย สังคม อิ้ง ก็ไม่มีปัญหา แค่วิชาสุขศึกษาวิชาเดียว มิหนำซ้ำเวลาคิดคะแนน น้ำหนักคะแนนวิชานี้ก็น้อยมากๆจนแทบไม่กระทบ หรือจะเถียงว่ารุ่นent ไม่มีข้อสอบที่มีปัญหา แต่เด็กพวกนี้กลับเอามาเป็นประเด็นได้ทุกที อยากจะถามว่าเด็กพวกนี้กลับบ้านไปได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาหรือไม่ เคยทำข้อสอบเก่าๆหรือไม่ ถ้าเด็กตอบว่าทำ ทำทุกวันจนไม่มีเวลาไปเที่ยว ไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ เราเชื่อว่าเด็กพวกนี้คงจะได้ที่เรียนคณะตามที่อยากได้ ไม่ใช่อะไรก็โทษระบบ จนลืมโทษสิ่งที่สำคัญที่สุดคือโทษตัวเอง จากคุณ : Healing Staff เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:01:08

ความคิดเห็นที่ 93 จะไม่ให้กวดวิชาได้ไง ก็ครูในห้องทั้งหลายสอนไม่รู้เรื่องหนิ หรือบางรายหนักมากถึงขั้นไม่สอนเลยก็มี เนื้อหาม.ปลายไม่ใช่ของง่ายๆ สอนก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่เรียนพิเศษ จะเอาความรู้อะไรไปแข่งล่ะ จากเด็กม.5 ที่เรียนกวดวิชาและขอยืนยันว่าคุณภาพครูประเทศไทย ห่วยแตกมาก จากคุณ : I See Me เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:19:58

ความคิดเห็นที่ 94 แล้วบางความเห็นที่บอกว่าข้อสอบมีปัญหาแต่วิชาสุขศึกษาน่ะ เฮอะ วิชาอื่นก็มีเยอะเหมือนกัน ผมดูข้อสอบมาเยอะแล้ว ทำไมจะไม่รู้ มีคำตอบหลายข้อบ้าง ออกเกินหลักสูตรบ้าง ออกอะไรบ้าๆบอๆบ้าง ขนาดเด็กกวดวิชายังไม่รู้ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กที่ไม่เรียนล่ะ ถ้าไม่เชื่อ คุณไปว่าเด็กไม่อ่านหนังสือ รอให้มันเกิดกับลูกคุณบ้างเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าเป็นยังไง ทำไมคนเค้าเรียกร้องกัน อะไรๆก็โทษแต่เด็ก รถติดก็เพราะเด็กเปิดเทอมอย่างนู้นอย่างนี้... จากคุณ : I See Me เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:25:45

ความคิดเห็นที่ 95 ถ้ามีอารมณ์ทางเพศแล้วปรึกษาครอบครัว ครอบครัวอาจแนะนำให้ไปเตะบอล สรุปถูกทั้งสองข้อ จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:31:27

ความคิดเห็นที่ 96 คนออกข้อสอบ onet ส่งลูกเรียนเมืองนอก ไม่มีอะไรต้องกลัว อยากจะรู้ว่าข้อสอบพวกนี้ วัดอะไรได้ พูดมาตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นจะมีอะไรแก้ไข ปล่อยให้ออกข้อสอบเส็งเคร็งแบบนี้อยู่ได้ จากคุณ : ชาวดอยคอยผ้าห่ม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:37:50

ความคิดเห็นที่ 97 ผมรุ่นหลังเอ็น ที่คิด คะแนนวิทย์แบบมัดสามวิชา ฟิสิกเคมีชีวะ เป็น 1 วิชา สอบสามชม เกือบร้อยข้อ (สงสัยคนวางระบบไม่ได้เรียนสายวิทย์ ) จนปัจจุบันแม้มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นแบบนี้ความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ก็จะลดน้อยลง อันนี้แหละ เกี่ยวกับห้องหวาก้อโดยตรงเลยละ จากคุณ : TheFlow (TheFlow) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:46:29

ความคิดเห็นที่ 98 รุ่นพ่อผมไม่มีระบบกวดวิชา ยังอ่านเองเอ็นท์ติดคณะดีๆชนะคนอื่นได้ กลับไปใช้แบบเดิมแหละดีแล้วผมว่า จากคุณ : ทีที่ (EeTsu) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:54:32

ความคิดเห็นที่ 99 มีความเห็นของคุณ sungod ที่ทิ้งคำถามไว้ว่า ...จะมี เด็กคนไหน กลุ่มไหน ...มาทำ แคมเปญต่อต้านระบบกวดวิชา ที่ไม่เท่าเทียมนี้ บ้างมั้ยครับ ? ผมมีโมเดลนึงที่ได้ลองทำออกมาจริงๆ และตอบปัญหานี้ไว้แล้วอย่างชัดเจน จึงนำมาแชร์ให้เป็นไอเดียว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไงครับ จากคุณ : ekawatchaow เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:22:25

ความคิดเห็นที่ 100 เอาใจช่วยน้อง ๆ ครับ จากคุณ : LogiEng เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:52:02

ความคิดเห็นที่ 101 กะอีแค่สอบเข้าหมาวิทยาลัย ยังหาภาษาไทยใช้ไม่ได้เลยจนเดี๋ยวนี้แปลกไม๊ เมื่อก่อนก็เอ็นสะท้าน ตอนนี้แอ๊ดมิดฉัน แกด แพด อะไรของเค้าก็ไม่รู้ เอาคนปัญญาสูงเกินไปมาทำงานก็เงี๊ย จากคุณ : โป้ง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:01:07 A:125.27.138.223 X: TicketID:155891

ความคิดเห็นที่ 102 ระบบเอนสองรอบแหล่มสุดเลย รอบแรกคนที่ไม่เก่งได้ประเมินตัวเองก่อนรอบสองถ้าเอาจริงค่อยลุยใหม่ ที่เจ๋งคือสมัยนั้นทำไมข้อสอบมันดูไม่ค่อยมีปัญหาก็ไม่รู้ จากคุณ : Pigusto เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:01:16

ความคิดเห็นที่ 103 ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ sungod ในแง่ของโรงเรียนกวดวิชาครับ กวดวิชาไม่ใช่ "สิทธิ" ที่ทุกคน "จำเป็นต้องมี" และ "สูตรพิเศษ" ที่ว่านั้น แท้จริงก็แค่เอาสูตรพื้นฐานที่เรียนในโรงเรียนมาจัดรูปให้สั้นลงเท่านั้นเอง ประเภทไม่มีปัญญาจำสูตรลัดมากมายอย่างผมนี่แหละครับ ใช้สมการพื้นฐาน 1 สมการแทนสูตรลัด 2-3 สูตรมาแล้ว ดังนั้น "โรงเรียนกวดวิชา" ไม่ใช่ "หนทางเดียว" ในการสอบได้คะแนนดีแน่นอนครับ และคุณต้องยอมรับอย่างว่า "สุดท้ายแล้ว ใครเก่งกว่าก็ควรเป็นผู้ชนะการแข่งขัน" นะครับ คุณจะให้ "ไก่รองบ่อน" ชนะ เพียงเพราะว่า "น่าสงสาร" ไม่ได้ครับ ไอ้ระบบเอียงตาชั่งตามอารมณ์คนชั่งนี่แหละครับที่ผมว่าไม่ยุติธรรม คุณไม่มีเงินไปกวดวิชา คุณก็ต้องไปขวนขวายเอาวิธีอื่นครับ จับกลุ่มติวกับเพื่อนบ้าง หาตำรามาอ่านเพิ่มเติม (ซื้อหรือยืม) สมัยผมนี่ยืมชีทพวกไปเรียนกวดวิชามาถ่ายเอกสารยันเลย ยังไงก็ถูกกว่าไปเรียนกวดวิชา ถ้ารัฐจะเข้ามาสนับสนุนเรื่องนี้ ผมว่าควรอยู่ในรูปของหนังสือเรียนราคาถูก คุณภาพดี เข้าถึงได้ง่าย เราจะได้มีเด็กนักเรียนมีคุณภาพหลายๆคน ดีกว่ามานั่งเล่นกลแปรธาตุปรับตัวเลขให้ดูดีแต่ความรู้ในสมองเด็กยังเท่าเดิมตั้งเยอะ ถ้าไม่มีเวลา คุณต้องบริหารมันให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ คุณทุ่มเทน้อยกว่า ซ้อมน้อยกว่า แล้วหวังว่าจะชกชนะนี่มันเป็นไปได้ยากครับ อย่าลืมว่าไอ้พวกไปกวดวิชาเขาไม่ใช่จ่ายเงินปุ๊บฉลาดปั๊บซะเมื่อไหร่ มันก็ไปนั่งหลังขดหลังแข็งเรียนหนังสือที่โรงเรียนกวดวิชาเหมือนกัน คุณจะเรียนแบบนั้นว่า "เอาเปรียบ" ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน เพราะเด็กพวกนี้เขาเอาเวลาไปอ่านหนังสือ เหมือนที่เด็กเตรียมสอบควรทำ ไม่ใช่หรือ? มันเสียหายตรงไหนที่คนมีโอกาสเขาจะคว้าโอกาสนั้นเอาไว้? มันน่าอับอายตรงไหนในเมื่อเขาไม่ได้ "โกง" ใคร? รุ่นพ่อผมไม่มีโรงเรียนกวดวิชา แต่ใช้วิธีมุอ่านหนังสือเอาวันละหลายๆชั่วโมง ถึงได้สอบเอนทรานซ์ติด ไม่ได้เรียนๆเล่นๆแล้วเอนท์ติดคณะในฝันเพียงเพราะสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนกวดวิชาแบบที่บางคนคิดนะครับ เราต้องยอมรับว่าถ้าเราอยากแข่งขันชนะคนอื่น คุณจะทำอะไรๆ "เท่าคนอื่น" ไม่ได้ครับ เรื่องข้อสอบนอกตำราเรียนนี่ผมเองก็เห็นว่าเป็นปัญหา (ในสมัยผม) เหมือนกัน เพราะ "พื้นฐานความรู้" ที่มหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษาเข้าใหม่มีนั้น บางทีก็ไม่ได้รับการสอนเป็นจริงเป็นจังในโรงเรียนมัธยม (ส่วนตัวผมพบว่าตำราหมวดวิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่กระทรวงฯให้ใช้สอนในสมัยนั้น คุณภาพต่ำมาก) ถ้าเราไม่เอาเนื้อหาพวกนี้ใส่ในบทเรียน เราก็ต้องเอามันออกจากข้อสอบเหมือนกันครับ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:02:58

ความคิดเห็นที่ 104 อยากให้เปลี่ยนเป็นระบบเอนทรานซ์มากๆค่ะ เพราะ มันยุติธรรมกับเด็กสุดแล้ว ข้อสอบวัดกันปีต่อปี ไม่ใช่ใช้แบบ gatpat ที่มีเก็บคะแนนไว้ได้หลายปี มาตรฐานข้อสอบแต่ละปีก็ไม่เท่ากัน จะเอามาวัดกันได้ยังไง บางปีเฟ้อ บางปีฝืด gpax แต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานไม่เหมือนกัน แล้วถ้าเด็กคนไหนไม่ได้เรียนกวดวิชา บอกตรงๆว่าสอบติดยากค่ะ เพราะ บางรร.อ.ก็ไม่ได้ใส่ใจซะเท่าไหร่ เห็นว่าเด็กกวดวิชามาแล้วก็ไม่สอนซะงั้น :( ค่าเรียนถ้าจะกวดวิชาครบทุกวิชาก็หมดเป็นหมื่น ถ้ายิ่งเด็กตจว. ก็ต้องมาเสียค่าหออีก แล้วอย่างงี้ลูกตาสี ตาสาที่ไม่มีเงินส่งลูกเรียน จะมีโอกาสได้เข้าคณะดีๆกับเค้ามั๊ยเนี่ย? จากคุณ : robocobjung เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:20:50

ความคิดเห็นที่ 105 ระบบ admission ไม่ใช่ไม่ดี ข้อสอบที่กำกวมต่างหากที่ไม่ดี Test ใดที่ unreliable test นั้นย่อมวัดอะไรไม่ได้ การแปรผลจาก test นั้นก็ย่อมไม่แน่นอน แต่เท่าที่ผมจำได้ admission เค้าออกแบบมาเพื่อให้คนต่างจังหวัด คนหัวไม่ดีมีโอกาสได้เรียนมากขึ้น ไม่แน่อาจเป็นความตั้งใจให้คะแนนขึ้นกับดวง คนไม่เก่งจะได้มีโอกาสเรียนสูงๆ กันบ้างเพื่อ break vicious cycle จน ไม่ฉลาด เจ็บ ในชนบท จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:31:57

ความคิดเห็นที่ 106 #105 ไม่ว่าอะไรไม่ดีก็ตาม สุดท้ายมันก็ออกมาไม่ดีครับ เมื่อเทียบกับระบบ entrance ซึ่งคนก็กลุ่มเดิม แต่ออกมายุติธรรมกับ "คนที่สมควรเรียน" มากกว่า คนโง่สมควรเรียนเหรอครับ ถามจริง มีปัญญาเรียนจบกันเหรอ เรียนจบมีปัญญาเอาความรู้ไปใช้กันเหรอ อย่าลืมว่ามหาลัยดีๆ ส่วนใหญ่ต้องใช้งบประมาณประเทศ ทำมัยเราต้องรีดภาษีจากคนทุกระดับชั้น รวมทั้งคนหาเช้ากินค่ำ เพื่อให้คนโง่ๆ ได้มีโอกาสเรียนสูง มาทำงานให้ประเทศแบบโง่ๆ กันหล่ะครับ จากคุณ : outsider_from_within เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 22:09:35

ความคิดเห็นที่ 107 ระบบการศึกษาไทยมันห่วยมากๆ นับวันยิ่งถอยหลังเข้าคลอง อีกหน่อยจะเป็น( ^o^ )เเม้เเต่เขมร เพราะคนโง่ลง.. นักการเมืองมันไม่ชอบคนฉลาด กลัวปกครองด้วยระบบเอี้ยๆไม่ได้ นักการมเองทำลายทรัพยากรบุคคลของประเทศ  เลว.. จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 22:30:24

ความคิดเห็นที่ 108 สงสารน้องๆ คงเครียดกันมากเลย เราโชคดีที่เป็นรุ่นสุดท้ายที่สอบแบบเก่า ก็ยังสงสัยว่ามันไม่ดีตรงไหน จากคุณ : นนทรีช่อน้อย เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:13:25

ความคิดเห็นที่ 109 #106 ครับ เท่าที่ผมเคยสัมผัสมา...ไม่มีคนโง่อยู่จริงครับ มีแต่คนที่ถนัดในศาสตร์ต่างแขนงกัน ซึ่งควร ''ได้รับการสนับสนุนอย่างดีที่สุด เท่าที่เขาจะมีศักยภาพไปถึงได้'' นั่นคือความหมายของการศึกษาครับ เพื่อนผมคนนึงสมัย ม.2 เรียนวิชาอะไรไม่รอดเลย ลองเป็นตัวหนังสือมาให้อ่านแล้ว...ตกมันทุกตัว แต่มันเล่นวอลเลย์บอลเก่งโคตรๆครับ เป็นตัวโรงเรียน มันเคยสอน ''ศาสตร์แห่งวอลเลย์บอล'' อันล้ำลึกให้ผมด้วย ทุกวันนี้ผมเชื่อว่า ไม้บรรทัดที่วัดออกมาว่าคนนั้นโง่/คนนี้ฉลาด เป็นเพราะมันมีด้านเดียวครับ ยิ่งเอาไม้บรรทัดชนิดนี้มาใช้ในระบบการศึกษามากเท่าไหร่... ยิ่งล่มจม จากคุณ : ekawatchaow เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:41:16

ความคิดเห็นที่ 110 ผมว่าวีดีโอนี้ผิดประเด็นไปหน่อยนะครับ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าวีดีโอนี้ต้องการจะสื่อ หรือจะเรียกร้องอะไร ต้องการเปลี่ยนระบบการสอบ? ต้องการเปลี่ยนคำถามในข้อสอบ? ต้องการเปลี่ยนระบบการเรียน? หรืออะไร เพราะเท่าที่ดูมาก็เห็นแค่ออกมาด่าข้อสอบเฉยๆ แล้วก็ยกตัวอย่างเป็นไอ้ข้อสอบนี้มาข้อเดียว ก็อยากให้ทำอะไรให้มันชัดเจนน่ะครับ เช่น บอกข้อดีข้อเสียของระบบ gat pat เทียบกับระบบเอนทรานซ์ มาเป็นข้อๆว่าอันไหนดีกว่ายังไง ข้อสอบของเอนทรานซ์เก่าๆดีกว่าข้อสอบของปัจจุบันยังไง หรือว่าบางคนไปศึกษาในต่างประเทศมาแล้ว ก็เอาระบบของประเทศอื่นๆมาเทียบกันกับระบบของประเทศไทยให้เห็นกันไปเลยว่า ของประเทศพัฒนาแล้ว เขามีระบบการเรียนการสอนเป็นอย่างไร แล้วก็เรียกร้องชัดๆไปเลยว่าต้องการอะไร ต้องการเปลี่ยนการสอบกลับเป็นแบบเดิม หรือต้องการเปลี่ยนแค่ข้อสอบก็พอ ข้อสอบบางอันมันไร้สาระ อย่ามีมาอีกนะ ผมสนับสนุนการเรียกร้องแบบนี้นะครับ แต่ว่าพอดีเห็นว่าวีดีโอนี้มันไม่มีจุดประสงค์น่ะครับ มันเหมือนแค่ออกมาด่าข้อสอบอย่างเดียว ซึ่งเรื่องคนด่าข้อสอบนี่ก็เห็นมาตั้งแต่สอบเสร็จแล้ว ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน่ะครับ เพราะว่าปีที่แล้วก็ด่า ปีก่อนนั้นก็ด่า ปีนี้ก็เหมือนเดิม ก็ควรจะต้องเรียกร้องแบบมีวิธีการน่ะครับ เช่น ถ่ายวีดีโอลงyoutube ให้เป็นที่สนใจกับคนทั่วไป สร้างเรื่องให้ดูเป็นว่าเรื่องนี้มีผลกระทบกับทุกๆคนในประเทศ ถ้าเด็กสอบระบบนี้อยู่จะโง่ลง อนาคตของประเทศไทยจะดำมืด หรือส่งเรื่องไปออกรายการคุณสรยุทธ(เห็นปีก่อนๆก็ไปออกมาเหมือนกันนิ ก็ไม่เห็นได้ผล) หรือรวมตัวกันเขียนหนังสือ เป็นงานราชการ ส่งเรื่องขึ้นไปตามลำดับขั้น เป็นขั้นเป็นตอน แล้วอีกอย่าง ผมว่าควรคิดส่วนนี้เพิ่มไปด้วย คือ ถ้าออกมาเรียกร้องแล้ว ปีหน้ายังออกข้อสอบมาแบบเดิม นักเรียนทั่วประเทศจะทำยังไงต่อ? เช่นว่า ปีหน้าก็ได้รับข้อสอบแบบเดิม ก็ช่างมันดิ ฉันสอบผ่านมาแล้ว อนาคตของชาติก็ก้มหน้ารับชะตากรรมกันต่อไป? เออก็ดี ฉันโดนมายังไงก็โดนกันต่อไปแบบนั้นละกัน หรือจะตั้งเพจในfacebook ว่าให้เด็กนักเรียนร่วมกันออกไปเดินขบวนประท้วง ปิดถนนหน้ากระทรวงศึกษา? หรือว่าสอบเสร็จเดือนมีนา เมษา เครียด ออกข้อสอบมาให้แบบนี้ ช่วงสงกราน สีลม ข้าวสารไม่เล่นนงเล่นน้ำมันแล้ว ชวนเพื่อนไปดักรอเอาน้ำสาดคนในกระทรวงศึกษาแก้เครียดดีกว่า อะไรแบบนี้ ปล.อยากไปโพสลงในตัว youtube น่ะครับ แต่ comment ในนั้นให้พื้นที่น้อย เลยขอในนี้แทนละกัน แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 23:57:23 จากคุณ : somngo เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:53:45

ความคิดเห็นที่ 111 #109 จริงครับ ผมก็เชื่อว่าคนที่ขาดทักษะโดยสิ้นเชิงไม่มีอยู่จริง(สายัญเป็นดาวน์ซินโดรมยังเป็นดาราตลกขายดีได้เลย) แต่คนที่มีความถนัดพื้นฐานด้านไหนก็ควรได้รับการต่อยอดให้เชี่ยวชาญในด้านนั้นมากยิ่งๆขึ้นไป เพื่อจะได้ไปยืนตรงจุด(ยกตัวอย่างสายัญอีกรอบคือไปทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่พอมายืนอยุ่ในจุดดาราตลก แล้วไปได้สวย) แต่การสอบสมัยนี้ ยกตัวอย่างสายวิทย์ซึ่งควรจะให้เด็กที่เก่งวิทย์ได้เข้าไปเรียนเพื่อต่อยอดให้กลายเป็นนักวิทย์ชั้นดี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเด็กที่วิชาวิทย์ไม่เก่งแต่สังคมภาษาได้คะแนนดีก็ได้เข้าไปเรียนสายวิทย์ได้ แล้วก็กลายเป็นว่าเรียนไม่ได้เรื่องต้องไทล์ออกมาหรือจบออกมาแบบวิชาวิทย์แทบจะตกแต่ผ่านมาได้เพราะวิชาเลือกสังคมหรือภาษาที่ตัวเองถนัด พอเข้าสู่การทำงานก็ไม่ได้ไปทำงานสายวิทย์ แต่เลือกไปสายบริหารหรือธุรกิจ อย่างนี้มันเสียโอกาสเด็กที่ถนัดวิทย์อย่างเดียวแต่วิชาอื่นไม่เก่งเท่าไรต้องอดเรียนวิทย์ และในระดับมหาภาคทำให้ประเทศเราขาดแคลนนักวิทย์ไงล่ะครับ ถ้าเป็นเอนท์สมัยก่อนจะเข้าสายวิทย์ก็ใช้คะแนนวิทย์อย่างเดียว สังคมภาษาไม่น้อยระดับอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ไม่ตกโลก ก็พอแล้ว ซึ่งมันทำให้คนเก่งวิทย์ได้เรียนวิทย์ คนเก่งสังคมได้เรียนสังคม คนเก่งภาษาได้เรียนภาษา คนเก่งศิลป์ได้เรียนศิลป์ คนเก่งกีฬาได้เรียนกีฬา อย่างที่ควรจะเป็น การให้โอกาสคนมันก็ดี แต่ถ้ามันต้องแลกมาด้วยการเสียโอกาสของคนที่ควรจะได้จริงๆหรือเสียโอกาสของประเทศไป มันจะคุ้มกันหรือครับ คนที่สอบเข้ามหา'ลัยไม่ได้ ก็มี ม.เปิดให้เรียน มีเอกชนให้เรียน ซึ่งมหา'ลัยทางเลือกเหล่านี้ก็สร้างคนเก่งๆได้ไม่แพ้กัน อย่างรามสร้างคนเก่งๆแบบหัวกะทิของประเทศมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ค่าเทอมก็ไม่แพง คนที่ทำงานหาค่าเทอมมาเรียนรามมีเยอะแยะไป ถ้าไม่จนขนาดหยุดทำงานวันเดียวอดข้าวไปสามคน เรียนได้อยู่แล้ว แล้วทำไมรัฐถึงต้องทำทีเหมือนว่าประเทศเราไม่มีการศึกษาทางเลือกอยู่ล่ะครับ ทำไมต้องให้เด็กเข้าม.ปิดของรัฐเท่านั้น โดยส่วนตัวเท่าที่เห็นคนที่ล้มเหลวในการเรียนหรือทำงานคือคนที่ไม่มีวินัยในตนเอง(เกียจคร้าน ติดอบายมุข)หรือขาดโอกาสทางสังคมอย่างมากจริงๆ ปัจจัยเรื่องสถาบันการศึกษาที่จบ อาจจะส่งผลบ้างถ้าจะไปเป็นมนุษย์ออฟฟิตบริษัทดีๆ แต่งานดีๆงานที่ต่อยอดให้กับตัวเองได้ มันอยู่ที่บริษัทเหล่านั้นเท่านั้นหรอครับ ไม่ใช่ใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 00:33:43 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 00:28:01 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 00:22:57 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:17:24

ความคิดเห็นที่ 112 ผมว่าคลิปนั้นเสียงแตกนะครับ ประเด็นยังไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะมีหลายประเด็นผสมกัน แต่ก็ต้องรับฟังทั้งหมด เรื่องระบบการสอบที่ไม่ดี กับเรื่องการที่นักเรียนไม่รู้ว่าจะเรียนไปเป็นอะไร มันคนละเรื่องกัน ...เป็นสองปัญหาที่ใหญ่ทั้งคู่ และต้องแก้ทั้งคู่ครับ เรื่องระบบการสอบดีๆ คงต้องถามว่าดีแปลว่าอะไร... ถ้าให้ผมนิยาม การสอบที่ดีน่าจะแปลว่า สอบแล้วแยกแยะได้ว่านักเรียนคนนี้เหมาะจะไปเรียนเป็นวิชาชีพนี้ๆๆๆจริงๆ ถ้าเลือกไปแล้วรับประกันว่าเรียนได้ และไปทำอาชีพนั้นได้ การควานหาระบบการสอบดีๆอาจไม่ง่ายเท่าไหร่ ผมว่าเรายังอยู่ห่างจากจุดนั้นพอสมควร ในขั้นต้นคงขอให้ข้อสอบมี ''มาตรฐาน'' ซะก่อน ไม่ใช่คิดขึ้นมาแล้วลองไปเรื่อยๆ ซึ่งทุกคนก็ถามหาเรื่องนี้กันเป็นอันดับแรก แต่มันยังไม่จบครับ ก่อนจะมีตัวเลือก(สายอาชีพต่างๆ)มาให้ว่าใครจะเป็นอะไรได้บ้าง... นักเรียนต้องรู้จักตัวเองให้ได้ ว่าชอบ ถนัด และสนใจอะไร ปัจจุบันเราใช้เวลา ม.ปลายไม่ค่อยคุ้มในการตอบโจทย์นี้ เพราะมีวิชาเรียน ''เผื่อ'' มากมาย ที่เรียนไปเผื่อว่าเราจะเป็นนักกฏหมาย เผื่อว่าเราจะเป็นนักฟิสิกส์ เผื่อว่าเราจะเป็นหมอ เผื่อว่าเราจะเป็น....  โดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคลเท่าไหร่ แล้วจะต้องเรียนยังไง ถึงจะรู้จักตัวเอง ผมคิดแบบนี้ครับ เราจะรู้จักตัวเองเมื่อเราได้ลองทำอะไรหลายๆอย่างก็จริง แต่ไม่ใช่การเรียน ''เผื่อ'' แบบที่เป็นอยู่ เพราะมันไม่ทำให้เราได้สัมผัสชีวิตหมอ วิศวะ นักคณิตศาสตร์ หรืออะไรก็ตามที่ฝันไว้จริงๆ  เรามีช่องแคบๆอยู่สองสามช่องเท่านั้น ที่เปิดไว้สำหรับความแตกต่างกว้างๆระหว่างบุคคล ที่ชื่อว่า ''วิทย์-คณิต''  ''ศิลป์-ภาษา''  และ ''ศิลป์-คำนวณ'' และแต่ละช่องก็ไม่ได้ตอบคำถามเราเลยว่าจบแล้วจะต้องไปเป็นอะไร ผมลองออกแบบดูเล่นๆ เป็นไอเดียเฉยๆครับ ถ้าเรามีวิชา ม.ปลายที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ เพิ่มมาสักวิชานึง โดยแบ่งย่อยๆข้างในเป็นศาสตร์หลายๆแขนง เช่นมีวิชา ''แพทย์...ชิมลาง'' วิชา ''ลองเป็นนักคณิตศาสตร์ดูซิ''  หรือวิชา ''แววความเป็นครู'' (ก่อนจะไปวัดแววความเป็นครู)  ถ้าจะลงทุนสักหน่อย วิชานี้สามารถจ้างใครก็ได้ที่ทำอาชีพนั้นจริงๆมาเป็นครู มาคุยให้ฟังว่าคนทำอาชีพนี้ต้องเป็นยังไง มีอุดมการณ์ ความถนัด ความสนใจเรื่องไหนมาก่อน ถ่ายทอดให้นักเรียนที่เต็มใจจะมานั่งฟัง เราอาจเรียกมันว่า ''แนะแนว 2'' ก็ได้ (แนะแนวที่เป็นอยู่ในโรงเรียนผมคือวิชาที่คอยบอกว่า สอบที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง)  นักเรียนหนึ่งคนควรได้เรียนแนะแนว 2 ตลอดม.ปลาย (หรือตั้งแต่ม.ต้นได้ยิ่งดี)  เป็นวิชาที่ไม่มีการวัดผล  ไม่เกี่ยงระดับชั้น  ถ้าลองไปชิมลางดูแล้วไม่ชอบ ไม่ใช่ สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ (เหมือนชมรมมากกว่าจะเป็นวิชาเรียน)  หรือถ้าเคยออกไปแล้วอยากลองดูใหม่ก็สามารถกลับเข้ามาได้ ถ้าเรามีพื้นที่อิสระแบบนี้ (ซึ่งคงต้องออกแบบให้มันเป็นไปได้มากกว่านี้หน่อย) ... เวลา 3 ปีหรือ 6 ปีนั้นน่าจะเหลือเฟือ ในการทำให้นักเรียนเข้าใจตัวเองพอที่จะเลือกได้ว่าอยากเป็นอะไรในที่สุดครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 00:31:45 จากคุณ : ekawatchaow เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:23:46

ความคิดเห็นที่ 113  ขออภัยนะ   คลิปนี้จะดีกว่านี้มาก หากผู้ทำ ไม่ได้เป็น ม.รังสิต มันดูเหมือนจะโปรโมทมหาลัยไปในตัวนะ อยากเห็นความคิดเด็กจริงๆ โดยที่ มหาลัย ใดๆ ก็ตาม ไม่เกี่ยวข้อง จากคุณ : Panatee เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:25:07

ความคิดเห็นที่ 114 เราเป็นแอดมิชชั่นปีแรก และไม่เคยเชื่อมั่นในแอดมิชชั่นเลย  ต้องถีบตัวเองให้ขยันเีรียนเตรียมตัวตั้งแต่ม.4 เพื่อจะเอาแต่แบบติดสอบตรงให้ทีเดียวอยู่เพราะที่บ้านไม่ได้รวย จะให้สอบหว่านพืชไปเรื่อยก็คงไม่เอาด้วย อยากให้น้องๆคิดได้ ตั้งใจเต็มที่ตั้งแต่วันแรกเพราะระบบนี้มันคัดคงได้ไม่จริงหรอก รร.มีการปล่อยเกรด แต่ละวิชามีการปล่อยเกรดได้ไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีมาตรฐานเอาซะเลย จากคุณ : -*canelian*- เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:26:05

ความคิดเห็นที่ 115 บางแว้บเรารู้สึกเหมือน กระทรวงพยายามทำไงก็ได้ให้หนีจากกวดวิชาได้ แต่ความจริงคือ ยิ่งทำ ยิ่งกลายเป็นกวดวิชาบูมกว่าเดิม อ.ปิงเคยพูดว่า ตกลงข้อสอบจะออกหนีเด็กทำไม อยากให้เด็กทำไม่ได้ คนออกจะได้ภูมิใจเหรอ? ด้วยความที่อ.ปิงเป็นอาจารย์กวดวิชาเหมือนกันเลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นประโยคที่น่าคิดมากค่ะ จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:52:18