 |
สิ่งที่สำคัญในการให้ความรู้คือ
1. การได้รู้ว่า สิ่งนั้นๆมันมีความหมาย และประโยชน์อย่างไร ทั้งผู้สอนและผู้เรียน 2. ตัวผู้เรียน สนใจในสิ่งนั้นๆมากแค่ไหน และมีความรู้พื้นฐานมากแค่ไหนในการต่อยอด 3. ความถี่, สม่ำเสมอ ในการรับความรู้ หรือฝึกฝน
ถ้ามีองค์ประกอบครบทั้ง 3 นี้ การเรียนก็จะประสบความสำเร็จ ไม่ต้องห่วงเรื่องวุฒิ หรือปริญญาอะไรทั้งสิ้น แต่ในความคิดของผม ทั้งโรงเรียนกวดวิชา และการเรียนแบบปกติ มันไม่ตอบโจทย์ทั้ง 3 ข้อนี้เลยครับ เพราะว่า
ถ้าในการเรียนปกติ 1. ให้รู้ว่าต้องเรียน ต้องรู้ เรียนไปตามนี้ เพราะผู้ใหญ่ชงเรื่องมาแล้ว ออกแบบหลักสูตรมาแล้ว ก้มหน้าก้มตา เรียนไป อย่าเวิ่นเว้อ กลายเป็นว่า หมดสิทธิ์ที่จะรู้ถึงความหมาย ประโยชน์ ในสิ่งที่กำลังเรียนอยู่ ทำให้เกิดความไม่ใส่ใจในการเรียน 2. เรียนเสร็จ สอบ สอบเสร็จเรียนวิชาใหม่ สนใจวิชาใหม่ ลืมวิชาเก่า เพราะสอบผ่านไปแล้ว 3. ไม่เคยได้ศึกษาหรือรู้จัก อาชีพการทำงานที่หลากหลาย ทำให้ไมู่รู้สึกว่า อยากเรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร 4. มีปิดเทอมทำไม แล้วจะเรียนได้สม่ำเสมอ หรือถี่ ได้อย่างไร
สิ่งที่การเรียนปกติ ให้ได้ ก็คือ 1. สภาพแวดล้อม สังคม - ทุกคนต้องการวุฒิเืพื่อให้สังคมยอมรับว่าเรามีความรู้ , สภาพแวดล้อมเพื่อนๆเราเรียนกันหมด น้องๆ ม.อื่นๆ พี่ๆม.อื่นๆ ก็เรียนเข้าเรียนกันหมด เป็นกลุ่มใหญ่ เราจึงกลืนกินไปกับสภาพแวดล้อมการเรียนแบบนี้ได้ง่าย (ต้องเรียนเหมือนเค้า ไม่งั้นเป็นแกะดำ นั่นเอง) 2. พื้นฐาน ที่การเรียนปกติ เตรียมไว้ให้เรา - ไม่ว่าจะเป็นบวกลบคูณหาร ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นพื้นฐาน โอเค มันไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีประโยชน์อะไรหรอก เพราะครูไม่มีความสามารถจะชี้แจงให้ัฟังหรอกว่ามีประโยชน์ยังไง หรือสามารถบอกได้ แต่คงไม่มีเวลาจะชี้แจงทั้งหมด
แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องรู้ เพราะพื้นฐานในการเรียนปกติตามหลักสูตร จะเป็นความรู้ที่จะให้เราไปต่อยอดกับความรู้ทางวิชาชีพ ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่ จึงออกแบบมาให้เด็ก รับพื้นฐานพวกนี้ไว้กว้างๆๆ หลากหลาย คือเตรียมให้เด็กไว้ต่อยอดไ้ด้เยอะๆ ก็เรียนต้องเรียนหลายวิชา หลากหลายน่าดู
ทำไมทำแบบนี้ละ ? เพราะเด็กคือเด็ก เด็กยังไม่มันใจว่า "กูจะเกิดมาเพื่อสิ่งไหน ?" (ช่างยนต์,วิศวกรนิวเคลียร์, Audit บัญชี ฯลฯ)
ถ้าเด็กรู้ และ "มั่นใจจริงๆว่ากูเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น" ก็สามารถมุ่งมั่นไปเฉพาะเรื่องนั้นๆได้....
ปัญหาก็คือ "ไอ้เด็กที่มันมั่นใจจริงๆว่ามัน Born to be น่ะ มีกี่คน ?" คือแบบ........ผู้ใหญ่เค้าให้ก้มหน้าก้มตาเรียนตามหลักสูตรก็เรียนไป........ไม่ได้ค้นหาตัวเองหรอก
ยกตัวอย่างว่า มะปราง เด็ก ม1 แบบว่าไฟในตาลุกตลอด อยู่บ้านนี่วาดรูปทุกวัน มีคอมก็ทำแต่ Animation เรื่องอื่นๆไม่เก่งเลย แต่เรื่องนี้มะปรางเก่งมากๆ แบบนี้ มะปรางเข้าข่าย "เกิดมาเพื่อสิ่งนี้" ถ้าในอุดมคติ มะปรางสามารถเลือกเรียนวิชาอะไรก็ได้ ที่จะปรับปรุงฝีมือของมะปราง ให้เก่งขึ้น ดีขึ้น เพราะมะปรางรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร "จะเกิดมาเพื่อเป็นอะไร"
แต่ในความเป็นจริง เด็กไทย ไม่มีโอกาสค้นพบตัวเองว่า ชีวิตของเค้าจะเดินไปในทางไหน
ก็เลยต้องรับ "หลักสูตรของผู้ใหญ่ที่วางไว้ให้" นั่นแหละ ต้องเรียนนั่น เรียนนี่ เยอะๆ เป็นพื้นฐานเอาไว้ ให้กว้างและครอบคลุมเอาไว้
ยกตัวอย่างอีกอัน ถ้าสมมุติว่า โรงเรียน ม ปลาย โรงเรียนนึงใน จ.มุกดาหาร บอกว่า เปิดสอน ม 4 5 6 รับเฉพาะผู้ที่จะมาเรียนและจบไปเป็น Audit บัญชีเท่านั้น
โรงเรียนนี้ก็จะจัดการเรียนการสอนได้ง่ายขึ้น ก็เริ่มปูพื้นฐานเรื่องงาน Audit บัญชีเลย ตัดวิชา ชีวะ ออกไป ฟิสิกส์ก็เรียนน้อยลง เน้น สถิติ กฏหมาย ภาษาอังกฤษ แล้วก็พื้นฐานบัญชี ไปจนจบ ม 6 จากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัย สาขาพาณิชยศาสตร์ บัญชี ก็ไปเรียนบัญชีอีกเข้มข้น 4 ปี แล้วก็เรียนจบ
ถ้าเราคิดตาม เราจะเห็นว่า เด็กที่จบมาในแผนการเรียนแบบนี้ จะเป็นเด็กที่เก่งบัญชีมากๆ เพราะมีพื้นฐานมาตั้งแต่ ม ปลายแล้ว (คล้ายๆกับเตรียมวิศว ในระดับ ปวช ของ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ แล้วพอมาต่อ ป ตรี ก็แข็งขึ้นมากจนน่าตกใจ)
แสดงว่าก็ดีอะสิ ? ทำไมรัฐไม่จัดการเรียนการสอนแบบนี้ละ ? ก็ต้องถามกลับไปว่า แล้วเด็กคนไหนมันอยากจะเป็น Audit บัญชีบ้าง มันมีกี่คน มันมั่นใจไหมว่าชีวิตมันจะเป็นสิ่งนี้ "แล้วถ้าเรียนตามแผนนี้จริงๆ มันจะทำอย่างอื่นแทบไม่เป็นเลยนะ เพราะวันๆทำแต่บัญชี" เพราะเราสร้างหลักสูตรบัญชีเข้มข้นไว้ให้แล้ว แต่ความรู้อื่นๆเราไม่ให้เลย เพื่อเผื่อทางให้ความรู้ทางบัญชีเยอะกว่า ก็จะได้ผลว่า "ทำอย่างอื่น(แทบ)ไม่เป็น"
จริงมั้ย?
ก็เลยวนกลับมาที่ความเป็นจริงว่า ผู้ใหญ่เลยเตรียมหลักสูตร เนื้อหาวิชา ให้กว้างๆๆๆไว้ เด็กจะได้เอาพื้นฐานไปต่อยอดในทางวิชาชีพ เพราะผู้ใหญ่ ยังหาทางที่จะทำให้เด็กเข้าใจตัวเองไม่ได้ ผู้ใหญ่หาทางที่จะรู้ถึง "จิตใจลึกๆของเด็กว่าอยากเป็นอะไร" ไม่ได้ ผู้ใหญ่จึงต้องออกแบบไว้กว้างๆ ให้เด็กทำอะไรได้หลากหลายไว้ก่อน
สำหรับผม ผมสงสารเด็กที่ยังหาตัวเองไม่เจอมากกว่าว่า "จะเกิดมาเป็นอะไร" ยิ่งรู้ช้า บอกได้เลยว่ายิ่งแย่ และอันตราย คือความมุ่งมั่น มันไม่มีเลย บางคนยิ่งร้าย "เอาเงินเป็นตัวตั้ง" ว่าเรียนจบไปอยากทำงานได้เงินเยอะๆ
ส่วนกวดวิชา ที่ยังไม่ได้ดีก็คือ "กวดวิชาโดนตีกรอบมาจากการเรียนตามหลักสูตรอีกที" กวดวิชา คือ ทำให้เด็กปรับปรุงตัวแล้วไปสู้กับระบบการเรียนตามหลักสูตรได้เข้มแข็ง
ไม่ใช่ - "ไปเรียนเพื่อมีความรู้แ้ล้วนำไปประกอบอาชีพ"
เราจึงสังเกตได้จากความรู้ที่มาจากกวดวิชา ก็เหมือนกับ การเรียนเสริม การทบทวนแบบฝึกหัด การทำให้ตัวเราถูกผลักดันไปยังสภาพแวดล้อมที่ต้องทบทวนบทเรียน
โรงเรียนที่ผมออกแบบไว้ มันจึงเป็น โรงเรียนทางเลือก ไม่ใช่ตามหลักสูตร แต่ก็ไม่อิสระเหมือนกวดวิชา อยู่ระหว่างกลางซึ่งกันและกัน และเป็นโรงเรียนที่มีข้อเสีย ใครลองออกแบบมามังสิครับ อยากเห็นของ จขกท หรือคนอื่นๆบ้าง
จากคุณ |
:
sillygang
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ค. 55 13:57:48
|
|
|
|
 |