ความคิดเห็นที่ 1 เห็นบางคนตอนเด็ก ยากจนอดมื้อกินมื้อ มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง ก็ยังฉลาด เรียนเก่ง สอบติดคณะดีๆได้เลย อย่าไปหวังมากเลยครับ กินตามปกติ กินทุกอย่างให้ครบ ไม่เลือกกินแต่ที่ชอบ แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ เด็กจะฉลาดหรือโง่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารอย่างเดียว อาหารแค่ทำให้ร่างกายเค้าพร้อมกว่าคนอื่นเท่านั้น ความฉลาดเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด บวกกับการเรียนรู้ ขวนขวายแสวงหาเพิ่มเติมมากกว่า เหมือนไปถามนางงามว่ากินอะไรถึงสวย ต่อให้กินเหมือนนางงามแป๊ะ คุณก็ไม่มีทางสวยขึ้นมาได้หรอกครับ (ความจริงเค้าก็กินเหมือนกับคนทั่วไปแหละ เพียงแต่เค้าเกิดมาสวยเท่านั้นเอง) ถ้ามีอะไรกินแล้วทำให้ฉลาดได้จริง โลกนี้คงไม่มีคนโง่แล้วละครับ อ้อ คนเรียนหนังสือเก่ง กับคนฉลาดอาจไม่ใช่คนเดียวกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 16:45:15 จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 16:43:42

ความคิดเห็นที่ 2 เท่าที่อ่านดู ก็ได้ครบแล้วนะคะ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (เด็กไม่ควรขาด ไม่ควรกินแต่โปรตีนจากพืช เพราะจะทำให้ขาดวิตามิน K หรือโฟเลต อะไรนี่แหละ) โอเมก้า-3 จากอาหารฝรั่ง พวกวอลนัท ปลาแซมมอน ปลาทูน่า (ทำไมมีแต่ในอาหารฝรั่งนะ หรือคนที่อื่นไม่วิจัยเลยไม่เจอ เปิดดิคดูเห็นมีแปลว่า มันฮ่อ ด้วยล่ะ) นมสัตว์ เช่น นมวัว (เห็นบอกว่าให้กินชีสแล้ว) กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปิดหนังสือสุขศึกษาดู ก็จะมีตารางว่าวิตามินอะไร อยู่ในอาหารชนิดไหน ไม่จำเป็นต้องหาอะไรแพง ๆ ก็ได้ค่ะ ยกเว้นอยากกิน อาหารทะเลจะช่วยเสริมไอโอดีนและสังกะสี แต่ว่าเดี๊ยนแนะนำว่าให้กินเป็นครั้งคราวดีกว่า เพราะแพง เอ๊ย! ไม่ใช่ เพราะอาหารทะเลหลายชนิดสะสมโลหะหนักปนเปื้อนค่ะ เด็กยังตัวเล็ก ๆ ไม่อยากให้รับพิษมากจนเกินไป ใช้เกลือเสริมไอโอดีนไปก่อนก็ได้ ระมัดระวังการรับสารตะกั่ว เช่น จากกระดาษหนังสือพิมพ์ การเผาแบตเตอรีรถยนต์ใช้แล้ว ฯลฯ (เสิร์ชหาอ่านเองนะคะ) เหมือนกระทรวงสาธารณสุขจะออกมารณรงค์เหมือนกัน ว่าให้เด็กงดดื่มน้ำอัดลมและอาหารที่มีส่วนผสมของโกโก้ เช่น ช็อคโกแลต เพราะจะทำให้เด็กได้รับน้ำตาลมากเกินไป ติดหวาน คาเฟอีนในโกโก้ทำให้มีสมาธิสั้น (ข้อมูลผิดพลาดก็ขออภัยนะคะ) ไม่ให้ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากเกินไป จะทำให้มีสมาธิสั้นและความอดทนต่ำค่ะ หากพบว่าสมาธิสั้นให้พาไปพบกุมารแพทย์ (มั้ง) น่าจะช่วยบำบัดได้ ส่งเสริมการอ่าน เห็นไต้หวันอ้างว่า การอ่านวรรณกรรมจีนแบบออกเสียงมีสรรพคุณเยอะแยะมากมาย (ราวกับน้ำป้าเช็ง) คือดูข่าวน่ะค่ะ พ่อแม่ชาวไต้หวันไม่อยากให้ลูกลืมรากเหง้า เขาก็มีเปิดคอร์สกัน ก็ไปเรียนร่วมกันผู้ปกครองกับเด็ก (เดี๊ยนยังนึกในใจว่า ถ้ามีลูกหลายคน พ่อแม่คงต้องไปนั่งทนฟังหลายรอบเลย) ที่จริงการอ่านออกเสียงน่าจะช่วยในแง่ของการจำเสียง จำคำ และการผันคำมากกว่า พอเด็กเริ่มอ่านในใจเป็นก็ปล่อยให้อ่านในสิ่งที่ชอบได้แล้วล่ะ ร่วมเล่านิทานกับลูกน่ะแหละค่ะ พาเดินทางท่องเที่ยว ไปพบปะผู้คนเยอะ ๆ จะช่วยให้เด็กช่างสังเกตจดจำ พัฒนามนุษยสัมพันธ์และเข้าใจโลก มีอีคิวที่ดี กล้าแสดงออก สุดท้ายนี้ ก็ตามคุณ #1 กล่าวไว้แหละค่ะ กรรมพันธุ์ (การผสมพันธุ์กันเลือดชิดเกินไป ก็ทำให้มีปัญหาได้) อารมณ์คุณแม่ตอนท้อง คุณพ่อคุณแม่ตอนนี้ก็ทำใจให้สบายเถอะค่ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อนาคตข้างหน้าไม่มีใครรู้ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 17:34:50 จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 17:29:54

ความคิดเห็นที่ 3 ลืมบอก เคยมีคนกล่าวถึงการให้เด็กฟังเพลงคลาสสิคอยู่พักนึง (ประมาณผลงานของท่านโมซาร์ท) แต่ตอนหลังเห็นมีคนบอกว่ามันไม่ได้ผลจริง แต่เพลงคลาสสิคน่าจะช่วยเรื่องสมาธิหรือกล่อมอารมณ์ได้ ฝึกให้เด็กนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ ของเล่นส่งเสริมพัฒนาการมีหลายชนิด ต้องลองเสิร์ชดูค่ะ ว่าแต่ละชนิดส่งเสริมด้านไหน การใช้มือ การคิด ตรรกะ เหมือนเคยได้ยินว่าคณิตศาสตร์สอนให้คนคิดเป็นระบบ น่าจะลองพาไปเรียนพิเศษพวกสมาร์ท เบรน หรืออะไรดูนิด ๆ หน่อย ๆ นะคะ อาจช่วยเรื่องคิดเลขเร็วหรือคิดในใจขึ้นมาได้อีกนิดหน่อย เล่นดนตรี (เรียนโน้ตสากล) เล่นกีฬา (ที่เล่นเป็นทีม) ก็น่าจะดี หมากรุกและหมากรับ เอ๊ย! หมากล้อม เห็นเขาว่ามันเป็น brain jocking ค่ะ ทำให้ synapse ในสมองจับตัวกันแน่นขึ้น ขอโทษที่เพ้อเจ้อนะคะ พอดีนึกออกก็ไล่ ๆ พิมพ์ไว้ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์หรือคุณเจ้าของกระทู้อาจทราบอยู่แล้ว จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 19:30:45

ความคิดเห็นที่ 4 ให้นอนเยอะๆค่ะ ตั้งแต่เด็กๆเลยยิ่งดี โดยเฉพาะตอนกลางคืน จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 19:31:07

ความคิดเห็นที่ 5 ลูกตาปลาทูนึ่งทอด เค็มๆมันส์ๆอร่อยดี เคี้ยวกรุบๆ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 21:12:31

ความคิดเห็นที่ 6 ลองไปหาหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กมาอ่านครับพอช่วยได้ การฝึกสมาธิการรับรู้ การมองเห็น การใช้นิ้วมือ ประสาทสัมผัส การเรียนรู้ ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดีจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี และดีกว่าการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์แล้วไม่ได้ใช้ จนทำให้เกิดโรคอ้วนในเด็กเป็นปัญหาตามมาภายหลังอีก แนะนำว่าควรหามาลองอ่านทั้งพ่อและแม่ควรอ่านทั้งคู่จะได้อะไรดีๆเยอะมาก จากคุณ : Mr.Sagittarius เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 21:23:54

ความคิดเห็นที่ 7 สมองแบ่งเป็นซอฟท์แวร์ กับ ฮาร์ดแวร์ นะคะ hardware คือสิ่งที่ได้รับตามพันธุกรรม ตามการเกิด บางคนเกิดมาฉลาดก็ฉลาดเลย หัวดี ไขว่รู้ ช่างคิด ช่างค้นหาซึ่งเป็นบุคลิก นิสัยที่เป็นมาตั้งแต่เกิด อีกส่วนหนึ่งคือ software สิ่งที่พ่อแม่ install ให้ตอนหลัง คือ อาหารดี วิธีการสอน การฝึกให้มีสมาธิผ่านการเล่นดนตรี นั่งสมาธิ เล่นกีฬา พาไปเที่ยว ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ ดิฉันมีลูก 2 คน คนแรกทำงานหนัก บำรุงตามสมควร ผลคือเขาเติบโตมาอย่างตามกำหนดเวลา ถึงเวลาเดินๆ เวลายืนๆ คนที่สอง กินโอเมก้ามาตั้งแต่ตอนท้อง บำรุงอาหารสมอง ปลา ไข่มาก ผลคือ เขาหันศีระษะตามเสียงได้ตั้งแต่ยังไม่ครบ 7 วัน ยืนเร็ว วิ่งเร็ว เดินเร็ว อ่านหนังสือเร็ว ตอนนี้เขา 4 ขวบแล้ว อ่านหนังสือภาษอังกฤษจบเป็นเล่ม ดิฉันให้เขากิน โอเมก้าสำหรับเด็กทุกวัน เขาอายุน้อยที่สุดในชั้น แต่เรียนบวกลบเลข สะกดคำกับเพื่อนได้อย่างสบาย motor skill ดีมาก ทั้งหมดนี้เล่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ลองมา ในการเลี้ยงลูกคะ ส่วนคนโต ตอนนี้ก็ให้กินโอเมก้าเหมือนกัน ตอนเด็กเขาค่อนข้างช้าแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก คนโตตอนนี้กำลังสอบ math olympiad คะ ตอนนี้ป.5 ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวในการใช้โอเมก้า 3 และวิตามิน ในการเลี้ยงลูก โปรดใช้วิจารณญาณคะ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 55 08:41:43 จากคุณ : Prairie Dawn เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 08:40:12

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบแค่ในแง่อาหารเท่านั้น เคยอ่านหนังสือของคุณหมอเด็กท่านนึงนะคะ อาหารสำหรับเด็กทารกที่ดีกับสมองที่สุดคือ นมแม่ อาจจะเพราะว่าในนมแม่มีสารอะไรหลากหลาย รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้นเมื่อกายแข็งแรงไม่ป่วย สมองพัฒนาดีกว่าเด็กป่วยบ่อย ส่วนถ้าโตขึ้นมาหน่อย ก็ให้ครบ 5 หมู่เท่านั้นก็เพียงพอ จากคุณ : ออ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 17:44:50 A:58.8.110.212 X: TicketID:350249