ความคิดเห็นที่ 1 ในสมัยก่อนมีโรคหลายโรคที่มนุษย์ต้องพบเจอและก่อให้เกิดความสูญเสียมากมายเกินกว่าเราที่อยู่ในยุคสมัยนี้จะจินตนาการได้ โรคหัด ที่ก่อให้เกิดอาการผื่น ไข้สูง และในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน ก็ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือปอดบวมจนเสียชีวิต โรคหัดเยอรมัน ก่อให้เกิดไข้ ผื่น และความน่ากลัวอยู่ที่หากติดเชื้อในช่วง3เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ก็จะทำให้ทารกที่เกิดออกมามีความพิการเช่นหูหนวกตาบอดสติปัญญาต่ำ โรคคางทูม ก่อให้เกิดไข้สูงและเป็นหนึ่งในเชื้อหลายๆชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายจนหน้าบวม  แต่ความหน้ากลัวของมันคือทำให้เด็กผู้ชายที่เป็นกลายเป็นหมัน เราๆอยู่ในยุคสมัยที่ไม่มีโรคพวกนี้ระบาด อาจจะนึกภาพไม่ออก แต่ลองคิดดูครับ ในประเทศต่างๆทั่วโลกมีสถานดูแลคนหูหนวกตาบอด ... ซึ่งปรากฎว่าสมัยนี้เราพบน้อยลงมากๆ จนสถานบำบัดดูแลผู้พิการเหล่านี้เริ่มลดจำนวนลง เพราะเราป้องกันหัดเยอรมันได้ หัด คอตีบ ไอกรน เหล่านี้คร่าชีวิตเด็กไปเป็นจำนวนมากในสมัยก่อน  ลองคิดภาพว่าเราเรียนหนังสือจนโตมา มีเพื่อนป่วยตายสัก5-10คนบ้างไหม  คำตอบคือแทบจะไม่มี เพราะเรามีวัคซีน จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:50:38

ความคิดเห็นที่ 2 นักวิจัยคนสำคัญคนหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่างานวิจัยของเขาช่วยชีวิตคนไว้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ Dr. Maurice Hilleman เพราะวัคซีนเกินครึ่งหนึ่งที่เราใช้กันในปัจจุบันมีเขาอยู่ในกระบวนการค้นคว้าวิจัย 1962 วัคซีนหัด 1966 วัคซีนคางทูม ... สายพันธ์ที่ทั่วโลกใช้มากที่สุด มาจากคอของ Jeryl Lynn ลูกสาวของ Dr. Maurice Hilleman 1969 วัคซีนหัดเยอรมัน ... ไม่ได้เป็นงานวิจัยโดยตรง แต่เขาก็มีส่วนมาไม่น้อย เดิมทีวัคซีนเหล่านี้ถูกฉีดแยกเข็มกัน ทำให้ต้องฉีด5-6เข็มจึงจะครบทั้ง3โรค เด็กๆที่ได้ฉีดไม่ครบก็มีไม่น้อย ในปี 1971  Hilleman จึงได้สร้างวัคซีนรวมของสามโรคนี้ขึ้นมาคือวัคซีน MMR  เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการได้รับวัคซีนที่ครบถ้วน โรคระบาดอันเกิดจากโรคทั้งสามนี้ก็ค่อยๆลดน้อยลงไป ลงไป จนเวลาผ่านไปเกือบ30ปี จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:51:08

ความคิดเห็นที่ 3 ป า ด จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:52:29

ความคิดเห็นที่ 4 ออทิสติกเป็นโรคที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ผิดปกติในทางการสื่อสารกับสังคมรอบข้าง และแสดงพฤติกรรมบางอย่างซ้ำๆๆๆ มักแสดงอาการช่วงอายุ 2-3 ขวบ ตอนที่เด็กกำลังมีพัฒนาการ ออทิสติกรู้จักกันมากขึ้นในช่วงปี 1950 ในขณะนั้นเชื่อกันว่าเป็นผลมาจากการขาดความอบอุ่นจากแม่ ได้มีการเสนอแนวทางการรักษามากมายจนกระทั่งพบว่าการให้ความใส่ใจก็ไม่ได้ช่วยแต่อย่างใด ออทิสติกก็มีมาเรื่อยๆจนกระทั่งช่วงปี1980-1998 มา เมื่ออังกฤษเริ่มนำวัคซีนMMRมาใช้ การฉีดก็ต้องฉีดในช่วงอายุเดียวกับอายุที่แสดงอาการของออทิสติก ตอนนั้นเองที่พ่อแม่หลายคนเกิดความเชื่อว่าวัคซีนMMRนี่แหละคือสาเหตุของโรคออทิสติก เพราะเกิดอาการของโรคก่อนหรือหลังฉีดไม่นาน ในปี1998 ที่รพ. Royal free hospital ได้มีการแถลงข่าวครั้งสำคัญซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อวงการสาธารณสุขไปอีกนับสิบปี โดยนพ. Andrew Wakefield ได้ทำการแถลงข่าวเกี่ยวกับการศึกษาที่ลงในวารสารการแพทย์Lancet เนื้อหาการศึกษานั้นได้ทำการศึกษาในเด็ก12คนที่มีพัฒนาการผิดปกติ โดยเป็นออทิสติก 9 คน โดยเลือกจากเด็กที่ฉีดวัคซีนแล้วมีอาการทางสมองร่วมกับมีอาการปวดท้องและท้องเสีย โดยการศึกษานั้นสรุปว่า"การศึกษานี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าวัคซีนชนิดนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการทางสมอง" จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:52:39

ความคิดเห็นที่ 5 และในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 ณ รพ. Royal free hospital  นพ. Andrew Wakefield ก็ได้ทำการแถลงผลงานวิจัย โดยบอกว่า การฉีดวัคซีนชนิดรวมหัดหัดเยอรมันคางทูมหรือMMR เมื่อฉีดเข้าแขน ส่วนประกอบของวัคซีนหัดจะเข้าผ่านไปที่ลำไส้ ไปทำให้ลำไส้อักเสบอ่อนแอเป็นแผล จากนั้นจะมีโปรตีนจากในลำไส้ที่แทรกผ่านแผลดังกล่าวไปทำลายสมองจนเป็นออทิสติก และยังกล่าวอีกว่า วัคซีนMMRนี้ควรเปลี่ยนกลับเป็นวัคซีนเดี่ยวตามเดิม เนื่องจากเป็นการผิดจริยธรรมที่จะยอมให้มีเด็กออทิสติกเกิดขึ้นมาอีก โดยเขาคัดค้านการใช้วัคซีนรวมMMRนี้ (ภาพการแถลงข่าววันนั้น จาก www.bmj.com) จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:54:46

ความคิดเห็นที่ 6 หลังจากการแถลงข่าวนี้ออกมา ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นสิครับ สื่อมวลชนก็ตื่นตระหนกกันใหญ่เพราะว่าการค้นพบว่าวัคซีนที่ใช้ฉีดในเด็กทุกคนทำให้เกิดการระบาดของโรค และวาดภาพต่อไปว่ารัฐบาลและบริษัทยามีเอี่ยวแน่ๆ ทั้งนี้ที่เกิดกระแสดังกล่าวขึ้นก็เพราะในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการพบโรคหรือภาวะในระยะยาวจากการใช้ยาหรือสารเพื่อป้องกันโรคเช่น DDT , Thalidomide (ยาแก้แพ้ท้องที่ทำให้เด็กแขนขากุด) , วัคซีนที่ทำให้เป็นเอดส์ (ซึ่งต่อมาถูกพิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยว แต่เกิดจากการมั่วของคนสงสัย) ส่วนวงการแพทย์ก็ตระหนกเหมือนกัน เพราะว่าข่าวมันดัง แพทย์ที่ตระหนกตกใจนั้นไม่เว้นแม้แต่แพทย์อีก10คนที่ทำวิจัยร่วมกัน เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่างานวิจัยที่ทำออกมาสรุปว่า ยังสรุปไม่ได้ว่าออทิสติกเกี่่ยวกับวัคซีน เขียนไว้ในงานวิจัยด้วยซ้ำว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ แต่พอDr. Wakefield แถลง ดันแถลงว่าเกี่ยว เกี่ยวกับชนิดรวมโดยถ้าแยกจะไม่เป็นไร แถลงว่ามีโปรตีนจากในลำไส้ขึ้นไปที่หัว โปรตีนมาจากไหน โปรตีนอะไรไม่ได้บอก ตรวจยังไงไม่บอก ไปหัวได้ไงไม่รู้ สรุปง่ายๆคือ วิจัยออกมาได้ผลสรุปแบบสรุปอะไรไม่ได้ แต่พอแถลงข่าวกลับแถลงแบบฟันธงเด็ดขาดว่าใช่ หลายคนสงสัยว่าไม่มีใครค้านหรือ ... ที่จริงตอนนั้นมีคนที่งงๆเหมือนกันว่าในงานวิจัยของ Dr.Wakefield ไม่ใช่รูปแบบวิจัยที่ใช้พิสูจน์ความสัมพันธ์ของโรค , แถมผลสรุปในงานวิจัยก็เขียนว่าสรุปไม่ได้ แต่ในเมื่อแถลงออกมาแบบนี้ ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวหรือไม่ก็คือการวิจัยศึกษาพิสูจน์คำกล่าวอ้างของ Dr. Wakefield ระหว่างนั้นคนที่เห็นต่างแย้งไปก็ไม่มีน้ำหนักต่อสื่อเพราะมองว่า"ไม่มีหลักฐาน" ส่วนงานวิจัยที่บอกว่าไม่มีผลก็เป็นของผู้ผลิตวัคซีนเอง (ส่วนใหญ่ของวัคซีนในโลก ทำโดยเอกชน) จึงถูกมองว่า "บริษัทยา" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานี้ถูกเรียกว่า "วิทยาศาสตร์จากการแถลงข่าว" เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ ข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานใดๆทางวิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำหนักมากกว่าผ่านทางการแถลงข่าวและดิสเครดิตข้อมูลจริง จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:55:12

ความคิดเห็นที่ 7 ระยะ 1998-2004 เป็น8ปีที่สังคมมีความสับสนสูง พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกตนเองฉีดวัคซีนMMR สื่อก็ตามเสนอข่าวเป็นระยะ มุ่งไปที่คนดังในสังคม เช่นไปสัมภาษณ์นายกอังกฤษว่าให้ลูกชายฉีดไหม (ภรรยานายกตอบว่าฉีด ส่วนนายกไม่ได้ตอบ ข่าวที่ลงหลักๆระบุว่านายกไม่ตอบ) ช่วงปี2000 ก็มีรายการ60minutes ทำสกู๊ปเรื่องนี้อีก ในขณะที่งานวิจัยจำนวนมากทั้งจากฝั่งยุโรปหรืออเมริกาต่างออกมาและระบุว่าการฉีดวัคซีนไม่ได้มีผลเกี่ยวข้องกับออทิสติก แต่ต่างเป็นข่าวที่ไม่ติดตลาดหรือได้รับความสนใจจากสื่อ ผลที่ตามมาคือการระบาดของโรคหัดในอังกฤษและประเทศทางยุโรป ทำให้เด็กเจ็บป่วยต้องเข้ารพ.จำนวนมากและบางส่วนตายไปจากโรคนี้ จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:56:20

ความคิดเห็นที่ 8 จนปี2004 Brian Deer นักข่าวอังกฤษได้ค้นหาความจริงและได้พบสิ่งที่น่าตกใจ เขาพบว่าขณะที่ในงานวิจัยระบุว่าได้เงินสนับสนุนการวิจัยจากรัฐบาลและองค์กรการกุศล ตัวDr. Wakefield เองได้รับค่าจ้างเป็นเงินราว5หมื่นปอนด์ (2-3ล้านบาทในขณะนั้น)จากทนายคนนึงชื่อ Richard Barr โดยทนาย Richard นายนี้มีลูกความเป็นพ่อแม่เด็ก 5 รายที่เตรียมฟ้องบริษัทยาที่ผลิตวัคซีน MMR และเด็ก 5 รายนี้คือ 5 ใน 9 ของเด็กออทิสติกที่อยู่ในงานวิจัย ซึ่งหลังจากมีการแถลงข่าวเมื่อปี1998 พ่อแม่กลุ่มนี้ก็ได้อ้างงานวิจัยของ Wakefieldในการฟ้องร้องทันที การพบว่านักวิจัยรับเงินจากทนายที่กำลังจะฟ้องบริษัทยาแล้ววิจัยงานวิจัยที่ไม่มีหลักฐานยืนยันให้ร้ายบริษัทยาถือเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ ข่าวนี้ลงตีพิมพ์ช่วงปลายเดือนกพ.ปี2004 หลังจากนั้นผู้วิจัยร่วมอีก10รายก็ได้ถอนชื่อจากงานวิจัยนี้  ส่วนวารสารLancet ได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องของ"ขั้นตอน"วิจัยและพบว่านอกจากเรื่องปิดบังการเงินแล้ว Wakefieldยังโกหกเรื่องการได้รับอนุญาตให้วิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:58:48

ความคิดเห็นที่ 9 งานวิจัยของเขาจึงถูกถอดออกจากวารสาร Lancet โรงพยาบาล Royal free hospital ไล่ออก แพทยสภาอังกฤษ ยึดใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตัว Wakefield ย้ายไปทำงานที่อเมริกา ยังเคลื่อนไหวเรื่องอันตรายจากวัคซีนอยู่ สังคมอังกฤษและยุโรปฟื้นตัวจากการระบาดของโรคเหล่านี้ ส่วนทางฝั่งอเมริกาและแคนาดา ยังคงมีการระบาดเป็นพักๆอยู่ เพราะหลังจากกรณีนี้ถูกงานวิจัยอื่นๆตีตกไปแล้ว ก็มีการยกประเด็นว่าสาร Thimerosal ที่ผสมกันเชื้อในวัคซีนเป็นสาเหตุของออทิสติกแทน (ต่อมางานวิจัยก็ออกมาเพียบว่าไม่เกี่ยว) จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 15:59:46

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องนี้เป็นตัวอย่างทฤษฎีสมคบคิดทางการแพทย์ที่สำคัญ กรณีนี้ผู้เชื่อว่าวัคซีนมีอันตราย มองว่ารัฐบาลโกหกเพื่อปิดบังความผิด และมองว่าบริษัทยาโกหกปิดบังเพื่อรักษาผลประโยชน์ โดยไม่มองความจริงว่าวัคซีนเป็นยาที่ทำเงินให้บริษัทยาน้อยกว่ายาอื่นๆ และกรณีนี้ผู้เชื่อว่าวัคซีนอันตรายเชื่อ Dr.Wakefield : ที่แอบรับเงินจากคนที่ได้ประโยชน์ หากเขาวิจัยว่าMMRมีอันตราย พ่อแม่เด็กออทิสติก : ที่กำลังฟ้องบริษัทยา นักการเมือง : ที่หาเสียงบนประเด็นนี้ เป็นกรณีที่คนเชื่อคำกล่าวของคนที่ได้รับผลประโยชน์แอบแฝงและไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และปฏิเสธหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 16:00:03

ความคิดเห็นที่ 11 แด่ Dr. Maurice Hilleman ชายที่ช่วยรักษาชีวิตคนไว้มากที่สุดผ่านทางงานวิจัยวัคซีนครับ (จบ) จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 16:02:54

ความคิดเห็นที่ 12 กำ จริงดิ แหม ทำไปได้ จากคุณ : HotSmile เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 16:38:58

ความคิดเห็นที่ 13 เขียด คิดถึงคุณหมอแมว หายไปนาน จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 17:07:29

ความคิดเห็นที่ 14 โหวต เก็บเข้าคลังกันด้วยน้อ จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 20:07:52

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณครับ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 21:51:24 A:110.49.232.52 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณนะคะ ให้กิฟว์ไม่ได้นะ จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 21:57:55

ความคิดเห็นที่ 17 หลักกการคิดของงานวิจัยคือพบเด็กเป็นออสติสติกเพิ่มขึ้น ย้อนไปหาว่าอะไรที่เกี่ยวข้อง วัคซีน เป็นปัจจัยหรือไม่ เก็บตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างตัวอย่างสองกลุ่ม ไม่พบคว่มแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตีพิมพ์ผลงานวิจัย เคนสนใจเปิดแถลงข่าว เกิดการสื่อสารผิดพลาด คนตื่นตระหนก ไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน การระบาดของโรคเพิ่มขึ้น จากคุณ : บัตรผ่านมือใหม่ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 22:27:36 A:171.6.224.120 X: TicketID:361093

ความคิดเห็นที่ 18 ต้องขอขอบคุณ หมอแมว ที่นำความจริง มาตีแผ่ ขอขยายความสำหรับ thimerosal thimerosal เป็นสารป้องกันการเสื่อมสลาย (preservative) ของวัคซีน ถ้าไม่มีสารนี้ จะทำให้วัคซีนบางชนิดหมดอายุเร็ว ทำให้ต้นทุนการผลิตและการเก็บรักษาแพงขึ้นมาก ดังนั้นสารนี้เป็นสารที่มีประโยชน์ ในสารนี้มีปรอท (mercury) เป็นส่วนผสม แต่ปริมาณน้อยมาก ๆ ภาวะปรอทเป็นพิษจะมีผลต่อสมอง และเมื่อจับแพะชนแกะ กับโรคออทิสติก ก็กลายเป็นว่า thimerosal ที่มีปรอทเป็นส่วนผสม เป็นสาเหตุของโรคนี้ มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นออกมายืนย้นว่า สาร thimerosal รวมทั้ง MMR vaccine ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคออทิสติก แต่ข่าวนี้กลับสู้กระแสสื่อที่พยายามโจมตีปรอทและ thimerosal ทั้งนี้เป็นเพราะในช่วง 10-20 ปีมีกลุ่มคนที่รณรงค์การใช้ปรอทในคน กลุ่มนี้แม้ว่าจะหวังดี แต่ก็มีผู้หวังผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ผู้หวังผลประโยชน์นี้คือ พวกการแพทย์ทางเลือก ในกลุ่มคีเลชั่น (chelation) ซึ่งอาศัยความเข้าใจผิด ๆ ของประชาชนเกี่ยวกับ thimerosal กับโรคออทิสติก พวกเขาอ้างว่ามีปรอทไปสะสมทำให้เป็นโรคออทิสติก จึงเสนอการรักษาด้วยคีเลชั่น พ่อแม่ของเด็กที่เป็นโรคออทิสติก ก็เหมือนคนสิ้นหวัง ใครเสนออะไรมาก็ทำตามไปหมด จึงต้องเสียทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากกับการแพทย์กลุ่มนี้ มิหนำซ้ำ ยังเป็นการทรมานเด็ก เพราะต้องให้เด็กโรคนี้มานอนนิ่ง ๆ ให้น้ำเกลือนานอย่าง 1-2 ชั่วโมง ทำเช่นนี้ 10-30 ครั้ง/course ที่เลวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ยาที่การแพทย์ทางเลือกใช้ในการคีเลชั่น คือ Calcium disodium EDTA ซึ่งยาตัวนี้เป็นยาที่ในการรักษาพิษตะกั่ว ไม่สามารถนำมาใช้ในการคีเลชั่นของสารปรอทได้ ผมขอเรียกการกระทำของการแพทย์กลุ่มนี้ว่า เลวมา.. หน้าด้า.. เพราะหากินกับความทุกข์ร้อนของผู้อื่น หาผลประโยชน์จากความสิ้นหวังของพ่อแม่ผู้ทนทุกข์ ให้ยาที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในราคาแสนแพง และยังมีผลข้างเคียงอีกด้วย ผมได้แต่หวังว่า มีผู้อ่านบทความของจขกท ในกระทู้นี้ แล้วนำไปสื่อสารต่อให้กับพ่อแม่ของเด็กโรคออทิสติก ถ้าพ่อแม่เหล่านั้นยังไม่เชื่อ ก็ขอให้พวกเขาลองคุยกับแพทย์ที่รักษาโรคนี้อย่างละเอียด แต่ผมขอเตือนว่า อย่าไปหลงเชื่อการแพทย์ทางเลือก หรือ ศูนย์แพทย์ครบวงจร สารพัดชื่อ โดยไม่ไตร่ตรองก่อน   แก้ไขเพิ่มเติม thimerosal มีอีกชื่อว่า thiomersal เผื่อท่านสมาชิกจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเอง แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 22:29:31 จากคุณ : toxicobkk เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 22:30:21

ความคิดเห็นที่ 19 ผมอ่านกระทู้นี้แล้วนึกถึงกระทู้กัญชาเลยทีเดียว จากคุณ : หนูน้อยเหล็กดัดฟัน เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 22:49:19

ความคิดเห็นที่ 20 หายไปนานเลยนะครับ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 22:58:06

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 23:33:43

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณค่ะ หมอแมว ^^ ตอนคลิกเข้ามานึกว่าจะเจอการ์ตูน 4 ช่องซะอีก   http://en.wikipedia.org/wiki/Maurice_Hilleman Maurice Ralph Hilleman (August 30, 1919 – April 11, 2005) was an American microbiologist who specialized in vaccinology and developed over three dozen vaccines, more than any other scientist. He is credited with saving more lives than any other scientist of the 20th century.  Robert Gallo described him as "the most successful vaccinologist in history". จากคุณ : แฟนคลับตูน 4 ช่อง (gift is a present) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 02:24:05

ความคิดเห็นที่ 23 บริษัทยาช่างน่ากลัว ขนาดผมคลุกคลีอยู่วงการปศุสัตว์ ยังคิดว่า ยา วัคซีน ฮอร์โมน บางอย่าง มันไม่่น่าจะได้ผลตามระบุไว้เลย เอาฮอร์โมนมาขาย อ้างโฆษณาเป็นวัคซีนเป็นยา ก็มี วัคซีนบางตัวสามารถรวมกันได้ (เมื่อก่อนเคยขายแบบรวม) แต่มันดันยกเลิกการผลิตตัวเดิม อ้างเหตุผลแบบที่หมอแมวยกเคสมาให้ดู คือมีผลข้างเคียงแบบอธิบายสาเหตุไม่ได้ (แถมคิดว่าเราโง่อีก) ไปๆมาๆ มันก็ขายวัคซีนแยกชนิด กรรมตกอยู่ที่เรา จ่ายแพงกว่าเดิมอีก เปลืองเข็ม 2 เท่า เสียเวลาด้วย แต่มันได้เงินเยอะขึ้น โลกเดี๋ยวนี้มันไว้ใจยากขึ้นทุกวันจริงๆ จากคุณ : MoonGlade เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 09:23:49

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณหมอแมวค่ะ ช่วงนี้ทฤษฎีสมคบคิดกำลังดังเลย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:46:54

ความคิดเห็นที่ 25 อยากสร้างทฤษฎีอะไร เสียเงินไปออกสรยุด ก็ได้แล้ว ทั้งเรื่องก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า ปะปา ทุกอย่างมีเหตุผลหมด ปชช.คิดไปเองทั้งนั้น จากคุณ : 007 เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 14:28:45 A:27.130.18.59 X: TicketID:360677

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เกี่ยวกะวัคซีนนะคะ แต่สงสัยว่า ตอนแม่ตั้งครรภ์ แล้วเป็นหัดเยอรมัน มีผลทำให้ลูกเป็นออทิสติครึเปล่า เพราะมีน้องเป็น ตอนแม่ตั้งครรภ์ เค้าเป็นหัดเยอรมัน แล้วไม่ทำแท้ง จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 14:58:08

ความคิดเห็นที่ 27 บริษัทยักษ์ใหญ่ รัฐบาล คนเมือง คนมีการศึกษา นายทุน มักจะเป็นแพะแบบไม่รู้สาเหตุเสมอๆจากพวกคลั่งโรแมนติกเพื่อมวลชน เพราะพวกนี้มีจำนวนมากและโดนจูงจมูกได้ง่าย ก้าวร้าวและสมองน้อยด้วย จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 15:20:41

ความคิดเห็นที่ 28 ตกลง คคห 23 อ่านกระทู้เดียวกันกับเราใช่ไหม หรือเค้าอ่านแค่หัวกระทู้ จากคุณ : 3N เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:15:28

ความคิดเห็นที่ 29 ปริมาณน้อยมาก ๆ ของปรอท แต่ยังไง ๆ คนเป็นพ่อแม่อย่างเราเองก็ไม่อยากให้ลูกได้รับค่ะ ในเมื่อมีทางเลือกที่บางบริษัทยาไม่ใช้ก็ยินดีจะจ่ายเพิ่มหรือเลี่ยงไปใช้บริษัทอื่น ส่วนตัวจะถามไปบริษัทไหนไม่ใช้ ถึงจะซื้อมาให้ลูกฉีด สำหรับตอนลูกเล็ก ๆ นะคะ ตอนโตก็ไม่ได้ซีเรียสมากแล้ว แต่คิดว่าเด็กเล็ก ๆ ผลกระทบจะเยอะกว่า ไม่ว่าจะเป็นทฤษฏีถูกหรือผิด เราก็ระวังไว้ก่อน เพราะลูกเราเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครรับประกันอยู่แล้ว จากคุณ : pinkyjung เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:12:18

ความคิดเห็นที่ 30 อย่าไปหลงเชื่อการแพทย์ทางเลือก หรือ ศูนย์แพทย์ครบวงจร สารพัดชื่อ โดยไม่ไตร่ตรองก่อน จากคุณ : toxicobkk จำได้เรื่องกระทู้โหวตสัปดาห์ที่แล้วเรื่อง ฮวงจุ้ยฝรั่ง ผมเอาคำในหัวข้อกระทู้ไปเสิจเว็บไทย ไปเจอในเว็บของศูนย์การแพทย์ บัล(...เซ็นเซอร์.....) พูดเรื่องการเจ็บป่วยจากพลังปฐพี  (-_-') ......................... อุตสาห์หลงเชื่อพวกแพทย์ทางเลือกตั้งนาน เวรเอ๋ย.............................. แต่ในความเห็นผม พวกจัดกระดูกกับฝังเข็มนี้น่าจะเชื่อถือได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกเจ้าเท่านั้นเอง จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:13:42

ความคิดเห็นที่ 31 จัดกระดูกคืออะไร แต่ฝังเข็มองค์กรอนามัยโลกรับรอง50กว่าเคส น่าจะเชื่อถือได้ แต่นอกเหนือจากนี้ผมยังไม่ปักใจเชื่อ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:34:49

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตเอาไปตั้งที่ห้องชานเรือนนะคะ ขอบคุณค่ะ http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N12159367/N12159367.html จากคุณ : อ้อมแม่น้องวิน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:44:57

ความคิดเห็นที่ 33 จัดกระดูกคืออะไร แต่ฝังเข็มองค์กรอนามัยโลกรับรอง50กว่าเคส น่าจะเชื่อถือได้ แต่นอกเหนือจากนี้ผมยังไม่ปักใจเชื่อ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน Chiropractic (ไคโรแพรกติก) ครับ ที่ผมเชื่อบางเจ้าคือผมลองด้วยตัวผมเองแล้วหาย แต่ปัญหาในวงการนี้คือ มันไม่มีสถาบันรับรองอย่างเป็นทางการ หมอคนไหนเก่ง ไม่เก่ง ของจริง-มั่ว มันต้องเสี่ยงกันเอง ไม่เหมือนฝังเข็ม มีในโรงพยาบาลแผนปัจจุบันเลย แพทย์ที่ทำการรักษาได้รับใบรับรองจากรัฐบาลจีน ค่อนข้างไว้ใจ ไปหากี่รายๆ ด้วยอาการเดียวกันก็จะฝังเข็มจุดคล้ายๆกัน ไม่เหมือนฮวงจุ้ย หมอฮวงจุ้ย 100 คน 100 ความเห็นแม้จะเป็นบ้านเดียวกัน ถ้าท่าน ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน หรือท่านอื่นๆมีข้อมูลเรื่องจัดกระดูก ก็เสริมได้เลยครับ ผมสนใจเรื่องนี้อยู่ จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 23:05:02

ความคิดเห็นที่ 34 โรคหัดเยอรมัน ถ้าเเม่ท้องเเล้วเป็นโรคนี้ระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมามีสิทธิ์ หูหนวก หรือตาบอด หรือโรคหัวใจ หรือปัญญาอ่อนได้ค่ะ ขั้นหนักก็เเท้งได้ด้วย โรคหัดนอกจากที่หมอเเมวบอกไว้ความคิดเห็นที่ ๑ ปอดบวมหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เเล้ว ยังอาจมีติดเชื้อในหู หรือเกียวกับทางเดินหายใจ หนึ่งในพันของเด็กตายด้วยโรคนี้ค่ะ ดิฉันไม่มีความรู้ด้านนี้ เเต่นี่คือข้อมูลในเเผ่นพับที่ได้รับเเจกมาเกียวกับการรับวัคซีนของลูก ลูกดิฉันจะได้รับวัคซีนรวมตัวนี้ เมื่ออายุ ๑๔เดือนค่ะ โรคหัดเยอรมันร้ายเเรงขนาดไหน พระขนิษฐาพระองค์เล็กของพระราชินีเบเอทริกซ์ เเห่งประเทศเนเธอเเลนด์ได้รับผลนี้ค่ะ จากการที่พระมารดาได้รับเชื้อโรคหัดเยอรมันขณะทรงพระครรภ์ ทำให้พระองค์ประสูติมาจักษุมองไม่ค่อยเห็น หรือจะเรียกว่าบอดก็ได้ จะไปไหนต้องมีคนจูง ขออภัยเรื่องราชาศัพท์นะคะ จากคุณ : Pixiepasta เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 04:56:58

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ และขอชื่นชมคุณหมอ Hilleman อีกคนครับ กระทู้นี้ เป็นอีกตัวอย่างที่ บางครั้งในบางกรณี คนเราเองก็สร้างความเสียหายมากกว่าเชื้อโรคเสียอีก จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 07:54:30

ความคิดเห็นที่ 36 พ่อแม่มักจะเริ่มสังเกตอาการออทิสติกตอนเด็กอายุประมาณ2-3ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับวัคซีนMMR พอดี เลยยิ่งปักใจเชื่อกันไปใหญ่ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ เรามีเพื่อนเป็นหมอเขาเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนไข้เป็นออทิสติก พ่อแม่ก็ปักใจว่าเป็นเพราะวัคซีน พอมีลูกคนที่สองเลยไม่ให้ฉีด ปรากฎว่าก็เป็นอีก แต่คราวนี้เห็นอาการก่อนจะสองขวบด้วยซ้ำ เพราะจากการที่มีลูกคนแรกเป็นแล้ว เลยคุ้นเคยและสังเกตอาการเก่งขึ้น พอคิดย้อนหลังไปก็จำได้ว่าเห็นอาการอย่างนี้ในลูกคนแรกนั่นแหละ แต่ตอนนั้นไม่รู้ จากคุณ : earth after rain เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 10:25:53

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องอื่นผมไม่สนใจ แต่ผมเคยเป็นคางทูมตอน ป5 แล้วยังงี้ผมจะเป็นหมันมั้ยเนี่ย >_< จากคุณ : มีหลายใจแต่ไร้แฟน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 13:34:39

ความคิดเห็นที่ 38 ผมก็ให้ลูกฉีดวัคซีนนี้ครับ ไม่กลัวเรื่องออทิสติก ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกัน ผมเองก็เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน ขอบคุณหมอแมวที่เอามาเผยแพร่ครับ สาเหตุของออทิสติกยังหากันไม่เจอ มีแต่ทฤษฎี จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 13:36:40

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณครับ อ่านแล้วนึกถึง ทิงเจอร์ไทเมอโรซอลใส่แผล ก็เคยมีประเด็นเรื่องสารปรอท ไม่แน่ใจว่าบทสรุปเป็นอย่างไรแต่ในเมื่อเรามีตัวอื่นอย่างโพวิดีนใช้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า จากคุณ : apotheker เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 16:08:26

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : I LoVE IcY เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 16:40:52

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณครับ แต่ตลกดีที่มีคนเชื่อด้วยนะ คนฉีดเป็นพันล้าน จะมาโทษว่าเกิดจาก MMR นี่ดูประหลาดยังไงไม่รู้ จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 18:12:15

ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อเช้าเพิ่งดูรายการวงเวียนชีวิต อ้างว่าตอนเด็กเกิดมาแข็งแรง พอสองสามขวบเป็นหวัด ไปหาหมอ โรงบาลฉีดยาแก้หวัดให้ ทำให้เป็นโปลิโอ คือเค้าไม่ได้พูดว่าเป็นโปลิโอหรอกนะ แต่บอกว่าแขนขาลีบ พิการหลังจากนั้นเป็นต้นมา และเราดูในรายการที่เค้าถ่ายมา มันอาการของคนที่ป่วยเป็นโปลิโอชัดๆ ในรายงานบอกว่าปัจจุบันอายุสามสิบกว่า เป็นเบาหวานตัดนิ้วไปสามนิ้วแล้ว เอาทุกอย่างไปรวมโทษไว้กับยาแก้หวัดที่หมอฉีดให้ที่โรงบาล ลงท้ายรายการหลังจากเอาผู้ป่วยโปลิโอมาคลานไปมาบนพื้นโชว์ในทีวี ว่าสนใจบริจาคที่... จบ นักข่าวไทย... สังคมไทย... จากคุณ : Artibest เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 12:02:07

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณครับ กระทู้แบบนี้มีมาอกีแล้ว =.= จากคุณ : Crindross เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 07:00:35

ความคิดเห็นที่ 44 Dr.Wakefield ใจร้ายมากเลยอ่ะ เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ทำร้ายคนอื่นไปทั่วเลย อ่านวิธีคีเลชั่นก็ยิ่งสงสารเด็ก ให้เด็กพิเศษนอนนาน ๆ เป็นชม.เนี่ยนะ ทรมานไปไหนเนี่ย จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 12:19:57

ความคิดเห็นที่ 45 #44 คนแบบนี้มีอยู่ในโลกอยู่แล้วล่ะ แต่ที่น่ากลัวคือ"มวลชน" ที่สามารถไปเชื่อเขาได้โดยเพิกเฉยต่อการเข้าถึงสู่ข้อเท็จจริง จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 18:21:58

ความคิดเห็นที่ 46 คล้ายกับ ความเห็นที่ 17 นะครับ (ผมอ่าน บทความของ ท่าน จขกท ไม่จบ เพราะยาวเกินไป ) ปัจจุบับ ในที่สุดแล้วเขาพบว่า การฉีด วัคซีน MMR (คางทูม หัด หัดเยอรมัน) ไม่ได้สัมพันธ์การ เป็น AUTISTIC ซึ่งท่าน จขกท เป็นหมอ ก็คงทราบอยู่แล้ว จากคุณ : HANDFOOTMOUTH เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 55 11:47:04