ตอบให้ก็ได้ค่ะ
ก่อนตอบ ขอเกริ่นก่อนนะ
สมัยก่อน.. เรามีความคลั่งไคล้ในวิทยาศาสตร์มากๆ เราแทบจะบูชานักวิทยาศาสตร์เป็นพระเจ้าเลยแหละ ><
เวลาอ่านประวัติ อ่านการคิดค้นทฤษฎีต่างๆ เราคิดว่า มันสุดยอดมากกกกกกก!! ><
เราเรียนหนังสือเก่งมากนะ(เมื่อก่อน --') เรียนแบบไม่ต้องบังคับเลยอ่ะ เรียนด้วยใจรักจริงๆนะ อิอิ ^^
---
แต่ก็.. ด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็นอะไรหลายๆอย่างบนโลกใบนี้ ถ้าเรารอนักวิทยาศาสตร์มาหาคำตอบให้เรา เราก็จะไม่ได้คำตอบสักที เพราะปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ยังตอบคำถามหลายๆคำถามไม่ได้ (ยกตัวอย่างเช่น สมัยก่อนเราชอบสงสัยว่า จักรวาล มีอยู่ทำไม?? ทำไมไม่เป็นความว่างเปล่า??)
แต่ยิ่งโต ความสงสัยมันยิ่งลึก จากคำถามง่ายๆ ยิ่งโต ยิ่งสงสัย คำถามก็ยากขึ้น..
ทุกวันนี้ เราก็ยังชอบวิทยาศาสตร์อยู่นะคะ (แต่ไม่ได้บ้าคลั่งแบบเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนบ้ามากๆๆๆๆอ่ะ ><)
พวกคำถามเรื่อง พีระมิด ผี มนุษย์ต่างดาว นานา ฯลฯ
คำถามเหล่านี้.. จะมีคนอยู่ 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 คือ.. คนที่.. ชอบถาม แต่ไม่ชอบหาคำตอบ.. ชอบให้คนอื่นหาคำตอบมาให้ตัวเอง(ไม่ยอมหาคำตอบเอง)
พอไม่หาคำตอบเอง คนเหล่านี้จะเลือก credit คนที่เขาหาคำตอบมาให้..
เช่น.. ถ้าคนที่หาคำตอบมาให้ มีคำนำหน้าว่า Dr. หรือ นักวิทยาศาสตร์ เขาก็จะเชื่อคนนั้น
แต่ถ้าคนที่หาคำตอบมาให้ เป็นชาวบ้านธรรมดา มีคำนำหน้าเป็น นาย นาง นางสาว เขาก็จะไม่เชื่อ
คือ คนประเภทที่ 1 เนี่ย เป็นคนประเภทที่.. ไม่ยอมหาคำตอบเอง ชอบรอคำตอบจากคนอื่น แล้วเลือก credit ของคำตอบ ถ้าคำตอบมาจาก Dr. ก็ถือว่า มี credit มากกว่าคำตอบชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีคำนำหน้า
แล้วมันจะมีคนอีกประเภท คือ ประเภทที่ 2
พวกนี้ เป็นคนที่ อยู่เฉยๆ ไม่ได้คิดหาคำตอบหรอก แต่เจือกเจอเอง เห็นเอง กับตา สัมผัสเอง (เช่น คนที่เขาเคยเห็น UFO แบบใกล้ๆ แต่เห็นแค่แวบเดียว ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ)
คนประเภทนี้ ส่วนมากจะไม่ได้ตั้งใจหาคำตอบหรอก แต่ดันไปเห็นเอง เจอเอง ก็เลย "เชื่อ" ที่เชื่อเพราะเห็นมาเองกับตา
แล้วก็.. คนประเภทที่ 3
คนประเภทที่ 3 เป็นคนที่ หาคำตอบด้วยตัวเอง
การที่คุณจะเห็น UFO มนุษย์ต่างดาว หรือ ผี คุณต้องศึกษาเอง เห็นเอง เรียนรู้เอง
วิธีง่ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันทำง่ายมากๆ ถ้าคุณอยากรู้จริงๆว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงไหม แค่คุณนั่งสมาธิ วันละ 30 นาที ติดต่อกัน 1 อาทิตย์
จัดตารางไว้เลย.. วันละ 30 นาที หลังเลิกเรียนก็ได้ ทำแบบนี้ทุกวันติดกัน 7 วัน
เรากล้าท้าเลย ถ้าคุณไม่เห็นผี หรือวิญญาณ มาเตะตูดเราได้เลย ><
แล้วการนั่งสมาธิ คนที่ไม่เคยศึกษาจะไม่เข้าใจ ไปนั่งหลับตาเฉยๆมันไม่เห็นอะไรหรอกนะ >< มันต้องกำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติรู้ตัวเวลาหายใจ หายใจออก ห้ามวอกแวก (นั่งตามแบบพุทธ หรือแบบโยคะศาสตร์ก็ได้)
---
ส่วนเรื่อง พีระมิด ถ้าอยากรู้ว่า พีระมิดมีพลังงานจริงๆไหม
ง่ายๆ.. ไม่ต้องไปถาม ดร.อาจอง ไม่ต้องไปอ่านตามเวบไซต์ ไม่ต้องไปถามไอสไตน์หรือนิวตั้น
ให้คุณ หาโครงสร้างรูปพีระมิดมา (จะทำจากเส้นลวด หรือไม้ หรือฟาง หรือกระดษ หรือพลาสติก ก็ได้ เอาแค่โครงก็ได้)
แล้วคุณไปนั่งอยู่ใต้พีระมิด แล้วนั่งสมาธิ(แบบถูกวิธีนะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเฉยๆ) แล้วเมื่อนั้น คุณจะรู้ด้วยตัวเองว่า มันมีพลังจริงๆไหม??
หาคำตอบด้วยตัวเอง ด้วยการ "ปฏิบัตฺิ" แล้วไม่ต้องไปเที่ยวถามใครต่อใคร
แต่ก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ.. เพราะ.. ทันทีที่คุณลงมือปฏิบัติ คุณจะกลายเป็นคนส่วนน้อยบนโลกนี้ไปทันที อิอิ ^_^ (เพราะคนส่วนมาก ไม่เคยนั่งสมาธิ และไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่จริง)
เอาแค่เรื่องสมองก็ได้
สมองเรามันมืดๆ ในกะโหลกศีรษะเรามีทึบ ไม่มีแสงผ่านเข้าไป..
เวลาที่เรามองเห็น เทียน 1 เล่ม(ที่จุดไฟสว่างด้วยนะ)
เรามักจะคิดว่า เรามองเห็นแสงเทียน
แต่จริงๆคือ "เราเข้าใจว่าเรามองเห็น" แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้มองเห็น
ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า.. สิ่งที่เล็กกว่า quark คือการสั่นของเส้น string
คุณลองนึกภาพนะ.. ถ้าดวงตาของมนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งเล็กๆและสิ่งใหญ่ๆได้แบบไม่จำกัด เราจะเห็นอะไร ???
ถ้าเรามองเห็นสิ่งเล็กๆได้ เราก็จะมองเห็น เส้น string กำลังสั่นๆๆๆๆ รอบๆตัวเราเป็นการรวมตัวกันของความแตกต่างจากการสั่นของเส้น string กลายเป็น e qurak n รวมๆๆกัน กลายเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล
แล้วถ้าเรามองเห็นสิ่งที่เล็กกว่าเส้นสตริงล่ะ ?? เราจะเห็นอะไร ??
นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งทฤษฎีไว้ว่า มันมีมิติอื่นอยู่ แต่มันอาจเล็กมากๆและขดอยู่จนเรามองไม่เห็น ตรวจจับไม่ได้ (ก็คือ พวกมิติที่ 4 5 6 7 8 9 10 11 นั่นแหละ)
---
แล้วลองนึกภาพ เทียนไขเล่มหนึ่งที่จุดไฟสว่างอยู่นะ
แสงจากเทียนไข มันเป็นอนุภาคแสง มาตกกระทบที่จอเรติน่าของดวงตาเรา
แต่......
แสงนี้ไม่ได้ผ่านเข้าไปในหัวกระโหลกเรานะ มันเป็นแค่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผ่านทางลูกกะตา แล้วไปกระตุ้นเส้นประสาทในกระโหลกศีรษะของเรา แล้วมันก็.. "ทำให้เราเข้าใจว่า เรามองเห็น"
ส่วนอื่นๆเหมือนกัน หู ตา จมูก ลิ้น สัมผัสทางกาย
ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกภาพ เวลาที่เรานอนหลับฝัน พวกเส้นประสาทต่างๆมันก็มีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปวิ่งมา ทำให้เราเข้าใจว่า เรามองเห็น เราได้ยินเสียง เรามีสัมผัส เดินได้ ดมกลิ่น กิน อร่อย
ทั้งๆที่เรานอนอยู่บนเตียงเฉยๆ เรากลับมีสิ่งเหล่านี้ได้ ตาก็ปิดอยู่ไม่มีแสงที่ไหนส่องผ่านมาเสียหน่อย ><
ตอนตื่นเหมือนกัน..
มันต่างกันแค่.. ตอนตื่น พวกเส้นประสาทในสมองมันได้รับการกระตุ้นผ่านปัจจัยภายนอก เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าวิ่งไปวิ่งมาในหัวกระโหลกของเรา แล้วมันก็ทำให้เราเข้าใจว่า เรามองเห็น ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส มีสัมผัส
---
ไอน์สไตน์บอกว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันมีอยู่แล้ว เกิดขึ้นแล้ว และยังมีโลกคู่ขนาน จักรวาลคู่ขนานอยู่อีกเป็นอนันต์ (ถ้าอยากรู้เรื่องนี้เยอะๆ ก็ลองหาอ่านหนังสือ หรือดูสารคดีนะคะ ^_^)
แต่.. หลายๆท่าน.. นักวิทยาศาสตร์หลายๆท่าน มักจะตั้งคำถามเสมอว่า.. เหตุใด สมองของคนเราถึงจำอนาคตไม่ได้ ทำไมเราถึงจำได้แค่อดีต ???
แล้ว.. นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น เขาใช้เกณฑ์ "คนส่วนมาก" เป็นเกณฑ์ในการวัด
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง ที่เขาเกิดอุบัติเหตุ หรือ นั่งสมาธิเป็นประจำๆทุกปี แล้วเขาก็สามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
มันอยู่ในสมองของเรานี่แหละค่ะ.. (ถ้าใครขี้เกียจนั่งสมาธิ ก็สามารถให้นักสะกดจิต ช่วยย้อนอดีตหรือไปอนาคตให้ก็ได้)
มันซ่อนอยู่ในสมองของเรา
แต่สมองของเรา มันเป็นแค่ เนื้อเยื่อ มันไม่ใช่ harddisk นะคะ ที่จะไปมีข้อมูลเป็นหน่วยความจำที่ตายตัว
สมองเรามีที่เก็บข้อมูลแบบอนันต์ อยู่ที่ว่าเราจะจำได้ หรือ จำไม่ได้
เพราะจริงๆแล้ว.. สมองของเรา มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา.. มันมีผู้กำกับอยู่เบื้องหลังการทำงานของสมองเราอยู่อีกทีหนึ่ง
ผู้กำกับนี้ ถูกเรียกสั้นๆว่า Soul
แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 16:39:01
จากคุณ |
:
Gretchen
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มิ.ย. 55 16:30:56
|
|
|
|