ความคิดเห็นที่ 1 อย่าพยายามโยง(แถ)ไปทางโน้นเลยครับ ที่ท่านว่ามา วิญญาณเอย เวียนว่ายตายเกิดเอย เป็นแค่หลักลอย มีจริงรึเปล่ายังไม่รู้เลย จะเรียกเป็นทฤษฏีก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ Higg boson แม้จะยังไม่ถึงกับฟันธงเป๊ะๆว่าเจอ มันก็ดูมีตัวตนกว่ามากแล้ว ก่อนหน้าเราจะเจอมันเราก็มีสิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้เยอะแยะครับ โลกของวิทยาศาสตร์ปฏิเสธการรับรู้ของมนุษย์ไปตั้งนานนมแล้ว จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:43:05

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าจะลากให้เกี่ยวมันก็เกี่ยว ถ้าจะไม่เกี่ยวมันก็ไม่เกี่ยว จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:43:05

ความคิดเห็นที่ 3 อาจเป็นไปได้ ฮิกโบซอนทำตัวเหมือนอุปทาน จากคุณ : Peet Reloaded เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:45:53

ความคิดเห็นที่ 4 คนไทยลากมันไปซะทุกเรื่อง 555 จากคุณ : In Darkness เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:46:16

ความคิดเห็นที่ 5 อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าแถ แต่เรียกว่าแถก จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:56:05

ความคิดเห็นที่ 6 ตามศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าให้คำสอนจริงๆ ไม่มีปาฏิหารย์ใดๆ เป็นเรื่องที่แต่งเติมเสริมแต่งขึ้นมาภายหลังทั้งนั้น แต่คนไทยกลับเชื่อและยึดมั่นในปาฎิหารย์มากกว่าแก่นของศาสนาพุทธ จากคุณ : นายขนมหวาน เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 20:56:57

ความคิดเห็นที่ 7 จะแถไปศาสนาไหนก็ได้ครับ เดี๋ยวนักวิทย์สายอิสลาม ก็จะมาบอกว่า "อนุภาคมันเป็นระบบสมบูรณ์แบบมาก จึงเป็นไปได้ว่าต้องมีผู้สร้าง ผู้นั้นคือพระเจ้า" เหมือนในคลิปก่อน ทุกวันนี้ก็แถกันไปมาอยู่แล้ว มุสลิมก็แถเอาพุทธไปอ้างว่า นบีมูฮัมหมัดคือพระเมตไตรย์ คริสต์ก็แถเอาพุทธไปอ้างว่าพระเยซูคือพระเมตไตรย์ พุทธก็แถเอาคริสต์ มุสลิมไปอ้างว่า พระเจ้า พระอัลเลาะห์เป็นแค่ชั้นพรหม บางสำนักก็บอกไปว่า ศาสดาของศาสนานั้นเป็นแค่โพธิสัตว์ที่มาสร้างบารมี ฯลฯ จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:19:23 A:14.207.185.184 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 8 higgs boson เป็นอณุภาคที่ทำให้วิญญาณ มีแรงดึงดูดกรรม เป็นข้อพิสูจน์ว่ากรรมสามารถเกาะติดวิญญาณ ข้ามภพข้ามชาติได้ ศาสนาพุทธที่แท้สอนว่า สสารเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ แค่ทฤษฎีอะตอม ก็ล้มลางความเชื่อพุทธแล้ว แต่ก็แน่หละ เนปาลเมื่อ 2600 ปีก่อนยังไม่มี LHC แล้วพระพุทธเจ้าจะไปรู้อะไร นอกจากเรื่องที่ท่านแต่งขึ้นมาเอง และคนเนปาลโบราณ ก็เชื่อต่อๆกันมา คนไทยสมัยปัจจุบัญก็เชื่ออยู่อีก 2600 ปีผ่านไป คนไทยไม่พัฒนาเลย จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:22:33 A:58.11.17.176 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 9 พระพุทธเจ้าสอนให้ค้นหาตัวเองครับ ภาพประกอบเอามาจากfacebook จากคุณ : เขียนบน iPhone (กองทหารทาโม) เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:36:54

ความคิดเห็นที่ 10 รูปขันธ์ หรือกองร่างกาย เกิดจากเหตุหรือสิ่งที่มาเป็นปัจจัยกันของธาตุทั้ง ๔ อันมี ธาตุดิน อันคือปฐวีธาตุ, ธาตุนํ้า อันคืออาโปธาตุ, ธาตุลม อันคือวาโยธาตุ, และธาตุไฟ อันคือเตโชธาตุ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่ามหาภูตรูป ไม่เห็นมี quarks, leptons, gluons, bosons อะไรซักตัว Cern นี่ห่วยแตกแท้ ใช้งบประมาณมหาศาลยังค้นพบความจริงที่คนเนปาลค้นพบสองพันกว่าปีก่อนไม่ได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ โว้ย ไม่ใช่ quarks, leptons, gluons, bosons จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:37:27 A:58.11.17.176 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 11 จะลากมาให้เกี่ยวทำไมครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:41:38

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้า นายไปสมัยพระพุทธเจ้า แล้วไปบอกว่าว่า ไฟเกิดจาก คารบอน+ ออกซีเจน ใครเขาจะเชื่อ นอกจากว่านายบ้า เท่านั้นเอง   ท่านจึงบอกว่า เราประกอบด้วย ดิน (ผิวหนัง)ลม(ลมหายใจ) น้ำ (เลือด น้ำลาย)ไฟ(ความร้อน) ให้คนสมัยนั้นเข้าใจง่าย บางคนไม่เข้าใจเปรียบเทียบเลย จากคุณ : thanapatpp เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 22:19:24

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ สรุปว่าคือ เอาไว้หลอกคนสมัยนั้น เท่านั้นสินะ... จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 22:34:27

ความคิดเห็นที่ 14 คล้ายๆ นิวทรีออน หรือเปล่า ไม่มีเครื่องวัด แทบจะไม่เรียกว่ามวล  แต่ตรวจจับได้ตอนเกิดปฏิกิริยา กับแสงและน้ำ เท่านั้น จากคุณ : grampus01 เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 23:02:20

ความคิดเห็นที่ 15 ดิน=ของแข็ง__นำ้=ของเหลว__ลม=ก๊าซ__ไฟ=พลังงาน__ชีวิตก็มีเท่านี้__ยังmake_sense_กว่ามีใครมาสร้าง จากคุณ : ข้าวผัดหมูกรอบ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 23:03:45

ความคิดเห็นที่ 16 ดิน น้ำ ลม ไฟ เปรียบกับ ของแข็ง ของเหลว อากาศ และพลังงาน ผมว่า มันก็ถูกแล้วนะ จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 23:07:54

ความคิดเห็นที่ 17 คือ Higg boson เนี้ย มันเป็นตัวก่อให้เกิดธาตุขึ้นมาได้เลยหล่ะ การมีอยู่ของมัน ทำให้ ควาร์ก ต่างๆ วิ่งเข้าหามัน เกิดการรวมตัวเป็นนิวตรอน ถ้าไม่มีมัน ก็จะไม่เกิดนิวตรอน ไม่เกิดธาตุ ไม่เกิดสสาร ไม่เกิดจักรวาลที่เรามองเห็นเนี้ย หล่ะ ถ้าทฤษฎีถูก มันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เลยครับ เพราะ ถ้าเราเข้าใจมัน เราอาจจะย้ายสสารต่างๆ ได้ เพราะ Higg boson ก็เหมือนตัวพาหะ อย่างนึงที่ก่อให้เกิด สสาร และมีพลังงานครับ น่าแปลกอีกอย่าง Higg boson เป็นตัวหน่วงและกำหนดถึงความเร็วของสสารด้วย ว่าห้ามให้สารนั้นเร็วมากกว่าแสง น่ะครับ ผมพอเข้าใจแค่นี้ ลองไปอ่านศึกษาดูครับ ถ้าไม่มีมัน ธาตุุก็ไม่เสถียร มันจะหายไปไหนอาจไปอยู่อีกมิตินึงก็ได้ (น่าสนใจมากๆ) ถ้าเป็นมิติที่สามารถควบคุมระยะทาง กว้าง ยาว ลึก และ เวลาได้ อันนี้ เราก็สามารถย้อนเวลา หรือ วาร์ปได้ด้วยนะครับ เท่มากๆๆ แต่ยังอยู่ในจินตนการนะครับตอนนี้แค่เราเริ่มขยับเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น ^^ จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 23:13:48

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าเอามาโยงกับการเกิดนี่ คนใส่ถุงยางอนามันคงบาปน่าดู คิดดูคนจะมาเกิดดันติดถุงยางซะงั้น ทีนี้ ฝ่ายส่งคนมาเกิดต้องปรับนโยบายกันยกใหญ่ ^^ จากคุณ : เกาะพะลวย กรีนไอส์แลนด์ (green island) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 00:19:07

ความคิดเห็นที่ 19 เหมือนการตั้งคำถามว่า  การค้นพบต้นกล้วยงอกจากดิน พิสูจน์เรื่อง ศาสนา (ในทางวิทย์)ได้หรือเปล่านั่นละครับ มันคนละเรื่องกัน อย่าเอามาโยงกันเลย เราพบต้นกล้วย ก็คือต้นกล้วย มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองต้นกล้วยเราเห็นอะไรบ้าง อาจจะเป็นความงดงามของความบังเอิญ หรือ อาหาร หรือ ตุ๊กตายาง  แล้วแต่สิ่งที่เรามอง.. แต่จะเรียกวิทย์ศาสตร์ไม่ได้มันเป็นเรื่อง ของปัจเจก เข้าถึงเรื่องศาสนาถ้ารอวิทย์ก่อนคงไม่ทันในชีวิตนี้หรอกครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 00:57:47

ความคิดเห็นที่ 20 วันก่อนไปเดินร้านหนังสือ ก็เห็นหนังสือ สตีปจ๊อบถามกับพระพุทธเจ้าตอบอะไรนี่แหละ ผมงงกับคนไทยมากกับการโยงกันมั่วๆ พระพุทธเจ้าเค้าเ้น้นทางด้านจิตใจครับ ไม่ใช่วัตถุ จริงๆพระพุทธเจ้าก็อาจจะทรงรู้เกี่ยวกับพวกนี้ แต่ท่านเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ ในการที่จะทำให้คนหลุดพ้นได้ ผมว่ายังไงก็อย่าโยงมาเจอกันดีกว่า ถึงมันจะมีจริงก็เถอะ จากคุณ : เป็นไปไม่ได้หรือไม่ได้ทำ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 01:08:40

ความคิดเห็นที่ 21 คห.18  ฝ่ายส่งคนมาเกิดเค้าก็มีวิธีเช่น ทำให้ถุงยางแตก จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 02:08:53

ความคิดเห็นที่ 22 # 16 ผิดโว้ย ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ มันเป็นแค่สถานะ ไม่ใช่อณุภาค พลังงานพื้นฐาน กลับมีอีกหลายอย่าง weak force strong force gravity elctromagnetic เสือขไม่แยกออกมา พระพุทธเจ้าผิดไม่ได้หรือไงวะ ผิดแล้วสาวกมันใจจะขาดตายหรือไง แค่ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าผิด เพราะเพราะพุทธเจ้าก็เป็นคน ความรู้ของพระพุทธเจ้า ก็มาจากความรู้ของคนสมัยก่อนพระพุทธเจ้า บวกของคนร่วมสมัย บวกที่คิดเองเพิ่มเข้าไป มันก็มีอยู่แค่นั้น ผ่านไปอีก 2600 ปี ความรู้มันต้องมากขึ้นเป็นธรรมดา ศรัทธาในคนเนปาลคนเดียว แต่ไม่เชื่อมั่นในความก้าวน่าของมนุษยชาติ ไม่ยอมรับหลักฐาสนใหม่ ต้องแถให้เข้ากับความเชื่อคนเนปาลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน มันโง่ไหม? คนบ้าๆพวกนี้เรีกว่างมงาย น่าดูถูก น่ารังเกียจ เป็นตัวถ่วงความเจริญ ความสงบสุขเรียบร้อยของสังคม สมควรกลับไปอยู่อินเดีย-เนปาล ยุคเหล็ก ดูว่ามันจะมีเน็ดเล่นมาออกความเห็นโง่ๆ ยกยกปอปั้นศาสดาของมันจนเกินจริงไหม จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 07:22:13 A:58.11.17.176 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ แม้จะแรง แต่ก็พูดได้ตรง และโดนใจ จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 07:55:22

ความคิดเห็นที่ 24 #15,#16 แล้วพลาสม่า, super fluid/super atom, สถานะควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์, กับสถานะแปลกๆอื่นๆล่ะไปไหน??? 55+ หรือจะบอกว่าดิน น้ำ ลม ไฟ คือแรงธรรมชาติทั้ง 4 ไปเลยล่ะ!? (ถึงกับเลือดซิบๆนะเนี่ย) ผมล่ะขำกับความพยายามแถของหลายๆคนจัง จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 07:57:32

ความคิดเห็นที่ 25 เกิด แก่ เจ็บ ตาย .. ยังไม่มีอะไรหรือสิ่งไหน ที่หลุดพ้นวัฐจักรนี้ไปได้ แม้แต่ นิวตรีโน หรือ Higgs Boson ที่เพิ่งค้นพบก็ตาม จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 08:03:18

ความคิดเห็นที่ 26 ถามเรื่อง higgs boson แถไป เกิด แก่ เจ็ยตาย neutrion, higgs boson อาจมีเกิด มีดับ แต่มันไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บแน่ๆ มั่วจริงๆ พอมันสลายไป มันก็หลุดพ้นวัฐจักร มันไม่กลับมาเกิดใหม่ชดใช้กรรมเป็น อีเล็กตรอน หมุนรอบนิวเคลียสไปอีก กัปกันต์แล้วตายลงไปเกิดเป็นนิวตริโนหรอก จะเกิดจะดับ มันก็คนละตัวกัน วัตตสงสารบ้าบออะไร ไม่มีจริง วิญญาณไม่มีจริง ชาติหน้าไม่มีจริง ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ ไม่มีตัวกูของกู มีแต่พระพุทธเจ้าของกู แน่สุด เก่งสุดทั้งในอดีต ปัจจุบัญและอนาคต ใครอย่าหวังมาเก่งกว่า กูจะแถให้เข้าเรื่องจนได้ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 08:24:33 A:58.11.17.176 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 27 #22 ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ เป็นสถานะ นั่นถูกแล้ว ด้วยความรู้ของคนโบราณ หากพระพุทธเจ้าพูดอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่จะวิเคราะห์ได้จากสิ่งที่จับต้องได้ หรือความรู้ในสมัยนั้น อย่าง  weak force, strong force, gravity, elctromagnetic หรืออื่นๆ โดยปราศจากคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล นั่นต่างหาก ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เปรียบได้กับนักวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อน สิ่งที่ค้นพบ อาจจะผิดพลาดไปบ้าง ด้วยข้อจำกัดของความรู้และเครื่องมือในยุคนั้น แต่ถ้ากระบวนการคิดนั้นไม่ผิดไปจากหลักวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นก็ได้รับการยอมรับเป็นวิทยาศาสตร์ การจับแพะชนแกะ เพื่อเหมาเอาว่า คนนั้นผิด คนนี้ผิด พระพุทธเจ้าผิด นั่นต่างหาก ที่ไม่ถูกต้อง เรื่องธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ พระพุทธเจ้าท่านสอนเพื่อใช้ในการทำวิปัสนา ให้พิจารณาสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเรา ธาตุดิน ของแข็ง ได้แก่ หนัง เนื้อ กระดูก ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจ หรือว่าลมที่พัดไปมาในร่างกาย ธาตุน้ำได้แก่ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ปัสสาวะ น้ำลาย ธาตุไฟ ได้แก่ ความอบอุ่นในร่างกาย ถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็รู้เพราะท่านพิจารณาจากศพ สิ่งที่กล่าวมาล้วนมองเห็น จับต้องและสัมผัสได้ทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 09:04:23 จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 08:41:49

ความคิดเห็นที่ 28 27 งมงายจริงๆ คุณกำลังจะแถว่าพระพุทธเจ้ารู้หมด แต่ไม่สอนเพราะคิดว่าไม่เหมาะกับสมัย? คุณเชื่อจริงๆหรือว่าพระพุทธเจ้ารู้จัก weak force strog force คุณมีหลักฐานอะไร? ถ้าเข้าใจแต่ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นได้ แสดงว่ามีความสามารถจำกัดมาก ถ้าอธิบายไม่ได้ ไม่ต้องอธิบาย ทำไมต้องพูดเรื่องไม่จริง สิ่งที่พระพุุทธเจ้าพูด มีเรื่องอะไรอื่นที่ไม่จริง แต่พูดเพราะเหมาะกับคนสมัยนั้น เรื่องกรรม เรื่องบาปบุญ เรื่องนิพพาน นี่โกหกหมดเลยใช่ไหม เพราะคิดว่าเข้ากับคนสมัยนั้นก็พอหรือ? คุณบอกว่าสมัยนั้นไม่มีหลักฐาน แล้วมันมีหลักฐานเรื่องกรรม บ้าบออะไร ? มันแค่เป็นเรื่องที่ถูกจริต ไอ้ movement สมณะ สมัยนั้นซึ่งก็มีฤาษีมากมายหลายลัทธิ ไม่ใช่มีแค่พระพุทธเจ้าคนเดียว ทั้งพระมหาวีระศาสนาเชน ซึ่งก็มีคำสอนส่วนคลายศาสนาพุทธมากๆ เป็นหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าท่าน:-)ก็ไม่ได้คิดเองคนเดียว แต่คิดต่อยอดยากความรู้ที่สะสมมาของคนสมัยนั้น เรามีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าผิด แต่ไม่ยอมรับนี่แหละคือปัญหาของการยึดมั่น งมงายในศาสนา ตอนที่พบว่า กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ไม่สามารถอธิบายบางเหตุการได้ คือนิวตันผิด ไม่เห็นมีใครมาแถให้ เขาก็บอกว่านิวตันผิด แต่ก็เป็นความรู้พื้นฐานให้คนรุ่นต่อๆมา กว่าจะมี general relativity อธิบายได้ลึกลงต่อไป ศาสนามันเป็นอันตรายก็เพราะอย่างนี้ มันผิดไม่ได้ คนเนปาลหัวขนุนมันต้องเก่งคนเดียวตลอดไป Peter higgs เก่งกว่าบางเรื่อง ศาสนานี้มันจะดิ้นตายกันหมดไหม? ไอ้พวกใจแคบ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 09:04:41 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 29 คุณแน่ใจว่าพระพุทธเจ้าค้นพบธาตุดิน น้ำ ลมไห ด้วยการพิจารณาศพเองหรือ? คุณมีหลักฐานอะไรว่าพระพุทธเจ้าคิดเอง ทฤษฎีที่ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นธาตุพื้นฐาน มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้า แพร่หลายทั่วโลก กรีกก็เหมือนกัน จีนก็คล้ายๆกัน อีหยิบก็มี ที่สำคัญพวกฮินดูก็ใช่ แล้วคนเนปาลสมัยนั้นก็ไปก็อบมาจากความเชื่อฮินดู มันก็เท่านั้น นอกจากแถความรู้สมัยใหม่ให้เข้ากับความเชื่อของคน ยังขโมยเครดิตคนรุ่นก่อนด้วย มันเป็นเอามาก คนเนปาลมันผิดไม่ได้เลยหรือ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 09:24:25 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 30 เชื่อเรื่องอีโก้มั้ยครับ ที่ภาษาไทยเรียก อัตตา อ่ะครับ มันมีจริงๆนะ เชื่อสิ มันมีจริงๆ จากคุณ : plugnaja เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 10:45:06

ความคิดเห็นที่ 31 เก่งงงง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ~แสวงรัก~ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 10:59:48

ความคิดเห็นที่ 32 อย่าไปโยงกันครับมันน่าอายออกที่จะทำให้คนเค้าคิดว่าชาวพุทธชอบโขมยเครดิตชาวบ้าน จากคุณ : BeeTheGreat เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:05:48

ความคิดเห็นที่ 33 มาขำ tiktaalik เคยอ่านพระไตรปิฎกจบซักรอบแล้วยัง แล้วจะมาถกเรื่องศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร ในวันเพ็ญเดือน 6 สาเหตุที่ตรัสรู้คือพิจารณาอะไร ไม่ใช่ซากศพละกัน จับโน่นนี้มามั่ว แล้วมาหาว่าพระพุทธเจ้าสอนผิด จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:23:51 A:115.87.2.57 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 34 ค้นพบของพระพุทธเจ้ากับวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องของปรมาณูหรืออะตอมไว้ ว่ามีขนาดเล็กแค่ไหน ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็จัดได้ว่าเล็กมากที่สุด ซึ่งพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า 1 ธัญญามาตร (ขนาดเล็กของเมล็ดข้าว)ประกอบด้วย 7 อูกา (ศรีษะของตัวเล็น) 1 อูกา ประกอบด้วย 7 สิกขา (รอยขีดเล็กๆ) 1 สิกขาประกอบด้วย 37 รถเรณู (ละอองเกษรดอกไม้) 1 รถเรณู ประกอบด้วย 36 ตัชชารี (ละอองรังสีในแสงแดด) 1 ตัชชารี ประกอบด้วย 36 อนู (อนุภาคขนาดเล็ก) 1 อณู ประกอบด้วย 36 ปรมาณู 1 ปรมาณู แบ่งแยกไม่ได้อีก เพราะหากแยกต่อไปจะหมดสภาพของสารนั้น จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:34:32 A:115.87.2.57 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 35 ผมว่าพอกันทั้งสองข้างนั่นแหละ ฝ่ายศาสนาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจรายละเอียดของฝ่ายวิทย์ ส่วนฝ่ายวิทย์ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจรายละเอียดของฝ่ายศาสนา มันก็เลยกลายเป็นว่า "ฉันถูก .. แกผิด " อยู่ร่ำไป แทนที่จะเอาส่วนดีของแต่ละศาสตร์มาประยุกต์ ให้เกิดประโยชน์แบบ Win :Win กลับกลายมาเป็นปฏิปักษ์ที่อยู่กันคนละขั้วกันซะแหล่ว จากคุณ : ไปๆมาๆ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:41:27 A:115.87.86.164 X: TicketID:344019

ความคิดเห็นที่ 36 อื่นๆ - เรื่องโลกกลม พระพุทธเจ้ารู้ว่าโลกนี้กลมมา 2500 กว่าปีแล้ว ท่านตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า "โลกนี้กลมเหมือนผลมะขามป้อม" ก็คือโลกมีลักษณะกลมๆแต่ไม่ถึงกับกลมเหมือนลูกปิงปอง ในสมัยโบราณมนุษย์ยังคิดว่าออกมหาสมุทรไปเรื่อยๆจะตกขอบมหาสมุทร - อวกาศ พราหมณ์ : " โลกตั้งอยู่บนสิ่งใด?" พระพุทธเจ้า : "บนแผ่นน้ำ" พราหมณ์ : " แผ่นน้ำตั้งอยู่บนสิ่งใด?" พระพุทธเจ้า : " บนลม" พราหมณ์ : " และลมตั้งอยู่บนสิ่งใด?" พระพุทธเจ้า" บนอวกาศ" พราหมณ์ : "และอวกาศเล่าตั้งอยู่บนสิ่งใด?" พระพุทธเจ้า" มากเกินไปเสียแล้ว พราหมณ์เอ๋ย อวกาศมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดค้ำอวกาศไว้เลย" ถ้ามนุษย์ขึ้นไปอยู่บนอวกาศจะเห็นได้ว้าแผ่นดินมี1ใน4 ส่วนของน้ำ จะเห็นว่าเหมือนแผ่นดินตั้งอยู่บนน้ำ และถ้าอยู่สูงขึ้นไปอีกจะเห็นว่าชั้นบรรยากาศห้อหุ้มโลก ที่เหมือนห่อหุ้มน้ำไว้ อากาศนั้นหนาประมาณ22กิโลเมตร ก็เปรียบเหมือน น้ำตั้งอยู่บนลม และถ้าออกจากชั้นบรรยากาศ ก็จะเป็นอวกาศ ก็เปรียบเสมือนอากาศตั้งอยู่บนอวกาศ และอวกาศไม่ได้ตั้งอยู่บนที่ใดแล้ว และยังไม่มีที่สิ้นสุดด้วย -กำเหนิดมนุษย์ พระพุทธเจ้าจำแนกขั้นตอนการเกิดของมนุษย์ เมื่อเปรียบเทียบกับการเจริญของเชลล์ไข่ที่ผสมอสุจิมนุษย์แล้วมีดังนี้ 1. เมื่อเชลล์ไข่ผสมกับอสุจิ ภายใน 10-12 ชั่วโมง นิวเคลียสของทั้งสองก็จะรวมตัวอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า การปฏิสนธิ (หมายถึง กลละ ในพระสูตร) 2. จากนั้นจะมีการแบ่งเชลล์ 30-37 ชั่วโมง เรียกกว่า ไชโกด แล้วก็จะกลายเป็นกลุ่มเชลล์ เรียกว่า เอ็มบริโอ (หมายถึง อัพพุทะ ในพระสูตร) 3. หลังจากนั้นเจ็ดวัน เอ็มบริโอ ก็จะเคลื่อนที่ฝังในผนังมดลูก (หมายถึง เปสิ ในพระสูตร) 4. หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ เริ่มมี หัวใจ สมอง และไข่สันหลัง (หมายถึง ฆานะ ในพระสูตร) 5. หลังจากนั้น 4 สัปดาห์ เริ่มมีปุ่มแขนขา จนถึงสัปดาห์ที่ 7 (เป็นช่วง ปรากฏ 5 ปุ่ม ในพระสูตร จนปรากฏ ศีรษะ แขนขา ชัดเจน) หลังจากนั้นก็จะพัฒนา อวัยวะ ต่างๆ จนครบสมบูรณ์ ด้วยอาศัยอาหารจากมารดา (ซึ่งตรงตามพระสูตรทุกอย่าง) จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:45:31 A:115.87.2.57 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 37 สสารเกิดจากความว่าง จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 11:50:18

ความคิดเห็นที่ 40 ตั้งแต่อ่านเรื่อง ฮิค มากขึ้นนี่ ทำให้ผมสนใจศาสนามากขึ้นแฮะ คิดว่าสิ่งใดก็เป็นไปได้ทั้งหมด  ถ้ามีมิติอื่นจริง จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 12:31:57

ความคิดเห็นที่ 42 คำถามที่ว่าท่านรู้เองหรือไม่ อยากบอกว่า ท่านเรียนแบบเจนจบ 16 สาขาวิชาและเรียนเพียงแป๊บเดียวด้วย วิชาคำนวณแบบแคลคูลัส หรือเรขาคณิต สมัยนั้นอินเดียสอนกันมานานนมแล้ว วิชาของอารยันนี่มีมานานแล้วนะ เรื่องที่เราคิดนี่เขาคิดมาเป็นพันๆ ปีแล้วนะ ไม่ใช่พึ่งมาคิดยุคฟื้นฟู ศิลปะวิทยาการ เพียงแต่ไม่ได้ตั้งมาเป็นสมาคมเหมือนในยุโรปอังกฤษที่แลกเปลี่ยนหรือเผยแพร่ผลงานกัน เพียงแต่รู้ว่าสำนักนั้นมีชื่อด้านนี้ ด้านนั้น ท่านต้องศึกษาศาสตร์ทุกศาตร์ เพื่อทำการวิจัยทดลอกง ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ส่วนการค้นพบ Higg boson มีการกล่าวถึงด้วยนะ แต่ไม่ใช่ชื่อนี้ ไปหาไรกินก่อน จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:15:10 A:171.97.137.14 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 43 เพิ่มเติม -มนุษย์ต่างดาว พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์ ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขา สิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่งมีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่งมีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ แสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ พระพุทธเจ้ารู้ว่ายังมีสิ่งชีวิตที่อื่นอีกนอกจากโลกของเรา จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:18:32 A:171.97.137.14 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 44 ป่อยเคยอ่านพระไตรปิฎกจบเองหรือเปล่าถึงเอามาแถ หรือป่อยไปจำขี้ปากลัทธิประหลาดที่บิดเบือนวิทยาศาสตร์ให้เข้ากับศาสนาตามหน้า web บ้าๆบอๆมา แล้วก็คิดว่าตนเองฉลาดมากแล้ว พระไตรปิฎกมีถึง 84000 พระธรรมขันธ์ เต็มไปด้วยเรื่องราวมากบาย ที่ไม่ได้สอดคล้องกันเสมอไป ใครจะหยิบตรงไหนมาบิดให้เข้ากับอะไร มันไม่ยากเลย มันก็เหมือน the prophecies ของ นอสสตราดามุส แค่กลอนเก้าร้อยกว่าบท จะบิดให้เข้ากับเหตุการอะไรก็ได้ สิ่งที่หนูป่อยกล่าวมา ก็ไม่ได้เป็นการแปลตรงตัว ผ่านการบิดเบือนมาอีกรอบแล้ว ถ้าไม่มีความรู้วิทยาศาสตร์ปัจจุบัญ มันจะไม่บิดออกมาในรูปแบบนี้เลย แถมอีกนิด เรื่องโลกตั้งอยู่บนสิ่งใดถ้าพระพุทธเจ้าเคยพูดจริง มันก็ผิดนี่หว่า มันไม่ได้บอกตรงไหนว่าโลกกลม มันมาบิดเอาตรงคำอธิบายที่ว่า โลกตั้งอยู่บนลมคือชั้นบรรยากาศ ก็ถ้าคนเนปาลเก่งมากทำไมไม่อธิบายให้ละเอียดแต่แรก ต้องมาให้ตีความทีหลังย้อนไปทำไม ไอ้พวกคนถ่อยที่มาอ้างว่าให้อ่านพระไตรปิฎกให้จบก่อนถึงแย้งได้ เคยไปอ่านคำภีร์ศาสนาอื่นบ้างหรือเปล่า คิดแต่ว่าของตัวเองจริงจนไม่ลืมหูลืมตา บางคนอยู่ในครอบครัวที่โง่งมงาย ในสังคมที่โง่งมงาย ความรู้แค่หางอึ่งก็นึกว่ารู้มาก เสนอหน้ามาแถ ระดับสติปัญญาแค่นี้มีแค่ Ctrl C Ctrl V คิดยังไม่เป็น จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:28:31 A:101.51.180.219 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 45 มันจะมากไปแล้ว แคลคูลัสมีสอนในอินเดียมานานแล้ว? ขอหลักฐานมาดูหน่อยซิวะ ถ้าไม่มีอย่าหน้าด้านมามั่ว จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:36:11 A:101.51.180.219 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 46 เด็กบ้า ป่อย มันไปก็อปความเห็นหน้านี้มาทั้งดุ้น มันยังกล้าเสนอหน้า http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/12/Y6150169/Y6150169.html ผมก็ ก๊อบเป็นวะ “Most people are other people. Their thoughts are someone else's opinions, their lives a mimicry, their passions a quotation.” ― Oscar Wilde จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:50:34 A:101.51.180.219 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 47 ใจเย็นๆ ครับ ในพระไตรปิฎก ก็ไม่ใช่จะถูกทั้งหมด ซึ่งบันทึกจากความทรงจำ อีกหลายร้อยปี ถึงจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มีผิดบ้างถูกบ้าง ตามความเข้าใจของผู้จดจำ แล้ใส่คติความเชื่อ และบันทึกลง จะหยิบเรื่องปาฏิหารแล้วเหมาเข่งว่าผิดทั้งเล่มก็ใช่ที่ ตามหลัก กาลามสูตร เหมือนหมายเหตุว่า อย่าเชื่อคัมภีร์นี้หมด ให้ใช้ปัญญาคิดบ้าง ไม่เชื่อไตรปิฏกก็ถูกต้องแล้วนิ ผมก็บอกว่า พระพุทธเจ้ารู้แจ้งอยู่เรื่องที่ชัดคือ ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 13:59:45 A:171.97.137.14 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 48 พอดีเห็นคุณมาบิดเบือน พระพุทธศาสนา ผมเลยต้องยกบทความอื่นให้รู้ว่าตรรกะคุณมั่ว เพราะคนอื่นเขาวิเคราะห์ไว้ดีแล้ว ที่บอกว่า -ศาสนาพุทธที่แท้สอนว่า สสารเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ แค่ทฤษฎีอะตอม ก็ล้มล้างความเชื่อพุทธแล้ว แต่ก็แน่หละ เนปาลเมื่อ 2600 ปีก่อนยังไม่มี LHC แล้วพระพุทธเจ้าจะไปรู้อะไร นอกจากเรื่องที่ท่านแต่งขึ้นมาเอง และคนเนปาลโบราณ ก็เชื่อต่อๆกันมา มันนี้ก็มั่วสุดๆ แสดงว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรในไตรปิฎกเลย โยงกันไปคนละเรื่องเพื่อให้ความเห็นตัวเองดูดี จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 14:30:14 A:124.122.209.8 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 49 ความรู้สมัยก่อนมีไม่เทียบเท่าปัจจุบัน อันนี้ยอมรับกันอยู่แล้วใช่ไหม ? ดังนั้นการจะเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส จะทำไปทำไม ? ในเมื่อมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอยู่แล้วนอกจากจะให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้วิเศษที่ห่างไกลจากมวลมนุษย์ จนทำให้มนุษย์เองไม่วันที่จะสามารถเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ดั่งพระพุทธองค์ได้ กลับกัน หากมาสนใจแต่ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสเป็นสิ่งที่ผิด มันจะไม่ทำให้สิ่งที่ท่านตรัสได้ถูกเป็นสิ่งที่ดูด้อยความน่าเชื่อถือไปด้วยเช่นนั้นหรือ ? ดังนั้นเราไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาเปรียบเทียบ คนที่โยงให้ต้องถูกเสมอ คือคนที่ยังมีกิเลส ยังยึดติดกับอัตตา ไม่รู้จักกาลามสูตร คนที่โยงให้ต้องผิดเสมอ คือคนที่อยากจะอวดความรู้ที่ได้มาเพื่อทับถมผู้อื่นเพียงเท่านั้น ทว่า หลักวิทยาศาสตร์ เป็นหลักที่ต้องพิสูจน์เรื่องต่าง ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีคนมาวิเคราะห์คำพูดของพระพุทธองค์ แต่ หลักศาสนา เรื่องพวกนี้มันแค่เปลือกไม่ใช่หรือ ? มันคือใบไม้ทั้งป่าที่ไม่ใช่หนทางของการหลุดพ้น ก็ต้องย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว กระนั้น ก็น่าแปลก วิทยาศาสตร์ไม่ค่อยพิสูจน์คำพูดของพระพุทธองค์สักเท่าไหร่ มีแต่ฝ่ายศาสนานั่นแหละที่เอามาโยงอยู่ได้ จนทำให้ฝ่ายวิทยาศาสตร์ที่เขา "รู้จักให้เกียรติศาสนา" ต้องออกตัวมาค้านว่าไม่จริงต่อซะงั้น ดังนั้น ศาสนาก็อยู่ฝ่ายศาสนาไปได้ไหม ? อย่าเอาวิทยาศาสตร์ไปยุ่งเลย เพราะทางวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเท่าไหร่หรอก จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 14:36:29

ความคิดเห็นที่ 50 #45 คณิตศาสตร์อินเดียโบราณ http://en.wikipedia.org/wiki/Indian_mathematics อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ Modern calculus ล่ะ จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:00:39 A:124.122.2.83 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 51 คห 34 แล้ว Quark ไปไหนครับ ? จากคุณ : Freedert เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:05:07

ความคิดเห็นที่ 52 #49 ท่านที่บอกว่า วิทย์กับศาสนาไม่ควรเอามาเปรียบเทียบกัน แสดงว่าท่านยังไม่รู้จักวิชา ศาสนเปรียบเทียบ จากคุณ : ป่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:14:00 A:124.122.2.83 X: TicketID:365930

ความคิดเห็นที่ 53 คุณป่อย ลายแทงสมบัติที่ใช้หาสมบัติไม่ได้ เพราะไม่ได้บอกรายละเอียดที่สมบัตินั้นอยู่ หรือจริงๆ แล้วไม่ใช่ลายแทง แต่คนอ่านทึกทักเอาเองว่าเป็นลายแทง มันมีค่าเท่ากระดาษชำระเช็ดก้นครับ เมื่อวันดีคืนดีมีคนอื่นหาสมบัตินั้นเจอ โดยไม่ได้อาศัยลายแทงนั้น เจ้าของลายแทงกลับอ้างว่าตัวเองรู้ตั้งนานแล้วว่าสมบัติอยู่ไหน แล้วจะขอเอาเครดิต ขอส่วนแบ่งสมบัตินั้นด้วย มันเหมาะไหมครับ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่เจ้าแม่ตะเคียนทอง พระไตรปิฎกไม่ใช่ต้นตะเคียน ให้ใครๆ ไปขูดหาหวยตีความว่างวดหน้าจะออกอะไร วิทยาศาสตร์จะเจออะไรนะครับ ไอ้พวกขูดหาหวยแล้วบอกว่าเจ้าแม่ให้แม่น แต่ตีความไม่ถูกเอง มันก็พูดได้เมื่อหวยออกไปแล้วทั้งนั้น หยุดเป็นพุทธกาฝากวิทย์เถอะ มันทุเรศ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:24:46

ความคิดเห็นที่ 54 ป่อยหน้าด้านมาก ก๊อบมาทั้งดุ้นยังจะมาแถ เมิงเพิ่งไปก๊อบเขามาว่าจากหน้านี้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/12/Y6150169/Y6150169.html ว่า "ท่านเรียนแบบเจนจบ 16 สาขาวิชาและเรียนเพียงแป๊บเดียวด้วย วิชาคำนวณแบบแคลคูลัส หรือเรขาคณิต สมัยนั้นอินเดียสอนกันมานานนมแล้ว วิชาของอารยันนี่มีมานานแล้วนะ เรื่องที่เราคิดนี่เขาคิดมาเป็นพันๆ ปีแล้วนะ ไม่ใช่พึ่งมาคิดยุคฟื้นฟู ศิลปะวิทยาการ" แล้วเมิงก็มาบอกในความเห็น #50 ว่า "คณิตศาสตร์อินเดียโบราณ http://en.wikipedia.org/wiki/Indian_mathematics อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ Modern calculus ล่ะ " เมิงเป็นคนยกเรื่องแคลคูลัสเอง แล้วเมิงก็มาบอกว่าอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ Modern calculus เมิงจะพูดอะไร เมิงเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง เมิงมาสับปรับกลับกลอกเยี่ยงนี้ใช้ไม่ได้ เมิงตอบตูมาที เมิงอ่านพระไตรปิฎกจบกี่รอบ ตูเห็นเมิงไปก๊อบกระทู้เก่ามาทั้งดุ้น จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 16:00:05 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 55 อย่าเถียงกันเลยครับ ความเชื่อเป็นอะไรที่พูดกันยากถ้าไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ ในระดับ ควอนตัม ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกมาก อย่างน้อย Higg boson ก็มีอยู่จริงครับ ปัจจุบัน พระอรหันต์ หายากนะครับ ในเมืองไทย ลองใกล้ชิดพระอรหันต์ ดูแล้วจะรู้ว่า พุทธศาสนา มีอยู่จริง เป็นเรื่องจริง ทั้งนั้นครับ แต่การจะพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ นี้มันโครตระ ยาก เลย ผมเคยเจอมากับตัวเลย เพื่อนของเพื่อนผมคิดในใจว่าจะมาทำบุญ ขอให้หางานได้เงินเดือน 25000 บาท ไปทำบุญกับพระอรหันต์ มา(แค่คิดในใจนะครับ) ท่านหันมาแล้วบอกว่า " เออ รู้แล้วๆ " นั้นหล่ะครับ อีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เพื่อนคนนี้ก็ได้งานเงินเดือน 25000 เป๊ะๆ จริงๆครับ น่าเสียดายที่พระอรหันต์ท่านนั้นล่ะสังขารไปแล้วครับ ลองไปศึกษาดูครับ ผมวว่า ศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าที่คิด ทำไมถึงสอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องการทำบุญ การประพฤติดี ศีลแค่ 5 ข้อ คนยังไม่ตระหนักเลยครับ ถ้่าลึกๆแล้วก็จะเรื่องการนั่งสมาธิ การเข้าใจตนเอง ปัญญาต่างๆ รวมไปถึงจุดสูงสุดคือบรรลุอรหันต์ คือไม่เกิด ดับไปแล้ว ผมว่ายิ่งวิทยาศาสตร์ไปไกลเรายิ่งเห็นว่าจริงๆ แล้วที่เราอยู่เราเห็นเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้นจริงๆเหมือนพระพุทธเจ้าสอนนะครับ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าไปสนใจเลยเรื่องนั้นไม่ใช้แก่น แก่นคือ กับดับทุกข์ ไม่ต้องมาเกิดอีก ประมาณนี้หล่ะครับ แล้วกฎไตรลักษณ์อีกเรื่อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อันนี้ก็ตรงๆนะครับ ทุกสิ่งวัตถุ สสาร เป็นอย่างนั้นเสมอจริงๆ นะครับ ลองพิจารณาดู ผมลองๆคิดนะครับ การไม่มาเกิดอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับสนามพลัง Higg ก็ได้นะครับ อิอิอิ ปล.พระอรหันต์รูปนั้น คือ หลวงตามหาบัว ครับ ด้วยความศรัทธา แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 20:22:31 จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 16:46:21

ความคิดเห็นที่ 56 การพิสูจน์ไม่ยากตรงไหนเลยครับ ถ้าแค่ยอมให้พิสูจน์ ไม่มีเงื่อนไขต่อรอง เช่น - มันไม่ใช่แก่นแท้ - เป็นแค่ผลพลอยได้ - ของจริงไม่จำเป็นต้องแสดง - ทำได้แค่ครั้งเดียว จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 18:02:27

ความคิดเห็นที่ 57 #28,#29 อธิบายขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอีกหรือ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ของศาสนาพุทธ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าค้นพบอะไร แต่อยู่ที่วิธีการคิด อยู่ที่กระบวนการหาคำตอบ และนำคำตอบนั้น ไปใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อะไรต่างหาก พระพุทธเจ้า จะคิดเองหรือไม่ นั่นก็ไม่ได้สำคัญหรอก แต่พระพุทธเจ้าท่านนำมาสอน เพื่อให้คนได้คิดพิจารณาตน เพื่อการหลุดพ้น จากความทุกข์ ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดศักดา ว่าหยั่งรู้วิทยาการอนาคต เปรียบเหมือนการคำนวนความเร็วของแอปเปิ้ล ที่ตกลงมาจากต้นไม้ คุณจะใช้ general relativity คำนวน หรือจะใช้สูตรของนิวตั้นทั้งๆที่รู้ว่าผิดล่ะครับ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ใช้นิวตัน ก็เพียงพอแล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเช่นนั้น ก็เพียงพอแล้วเช่นกัน สำหรับการปฏิบัติธรรม ถ้อยคำทั้งหลายที่คุณด่าพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นการนำกรอบความคิดของตัวเอง ไปตัดสินพระพุทธเจ้า สิ่งใดเป็นพุทธ สิ่งใดไม่เป็นพุทธนั้น ขอให้ท่าน พิจารณาถึงลักษณะ ของพุทธศาสนาว่า พุทธศาสนามีลักษณะเป็นเหตุ เป็นผล เป็นศาสนาที่สอนให้ใช้ปัญญา เหนือศรัทธา เป็นคุณประโยชน์ ดังคำว่า สัมมาทิฏฐิ หากท่านพิจารณาดังนี้แล้ว ก็จะแยกแยะพุทธธรรม ออกจากบรรดาสิ่งที่บิดเบือนและสิ่งที่งมงายไม่เป็นประโยชน์ได้ พระพุทธเจ้าของท่าน ก็จะไม่ได้เป็นแค่ คนเนปาลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 20:12:57 จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 20:07:15

ความคิดเห็นที่ 58 **  การแสดงเหตุผล  ทำไมต้องแสดงความหยาบคายออกมาด้วย บ่อยครั้งที่มีผู้ถาม วิทย์ กับศาสนา ( โดยเฉพาะพุทธ ) จะมีบางคนทนไม่ได้เป็นประจำ วิทย์มันเป็นของส่วนตัวหรือครับถึงได้แสดงออกขนาดนั้น  ถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกันก็แค่ แสดงเหตุผล  หรือให้ความเห็นว่ามันไม่เกี่ยวมันก็จบ  การดูถูกเหยียดหยามคนอื่น มันก็ไม่ต่างกับการประจานตัวเอง จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:15:01

ความคิดเห็นที่ 59 #57 คุณนั่นแหละไม่เข้าใจ วิธีคิดแบบพุทธมันถูกตรงไหน ? อธิบายมาที ถ้าหากวิธีคิดมันถูก การยึดติดว่าพระพุทธเจ้าผิดไม่ได้ มันถูกตรงไหน? การที่คุณบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้นเพียงพอแล้วสำหรับปฏิบัติธรรม มันหมายความว่าพระพุทธเจ้ารู้แต่ไม่บอกออกมา แต่ถ้าพระพุทธเจ้ารู้แล้วไม่ได้บอก แล้วคุณไปเสือขรู้ได้ยังไงว่ามันรู้ รู้ทุกอย่างดีกว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ อีกสองพันกว่าปี การที่คุณเชื่อไปเองว่าคนเนปาลสองพันกว่าปีก่อนรู้ทุกอย่าง โดยที่มันไม่ได้บอก มันไม่ใช่วิธีคิดที่ถูก การยอมรับทฤษฎีใหม่ที่มันมีเหตุผลมีหลักฐานยืนยันต่างหากที่ถูก เมื่อรู้แล้วก็ควรให้เครดิตกับคนที่เขาศึกษาค้นคว้ามาด้วย ไม่ใช่หน้าด้านมาบอกว่าศาสดาศาสนาคุณรู้มาก่อนหมด มันน่าละอาย มีคุณอย่างคุณผมถึงอายที่เกิดมาเมืองพุทธ ศาสนาของคุณ มันเป็นแค่ศาสนาแห่งศรัทธาที่อ้างเหตุผลมาเป็นเปลือก ที่คุณอ้างว่าศาสนาของคุณสอนให้หลุดพ้นทุกข์ได้ ตอนนี้คุณเองหลุดพ้นทุกข์หรือยัง เวลาคุณปวดขี้คุณไม่ต้องขี้แล้วใช่ไหม ? ถ้าคุณคิดว่าคุณศึกษามาดีทำไมคุณยังไม่หลุดพ้น ? ถ้าคุณเองยังหลุดพ้นไม่ได้ ยังจะมาเสนอหน้าสอนคนอื่นว่าศาสนาของคุณสอนให้พ้นทุกข์ได้ทำไม พระพุทธเจ้าถ้ามีจริงก็เป็นแค่คนเนปาลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ถ้าคุณคิดว่าไม่ใช่คน หรือไม่ใช่คนเนปาลเพราะมีผมหยิกหยอยเหมือนเงาะป่า คุณก็ไปหาหลักฐานมา สำหรับคนที่เขาไม่ได้เชื่อเหมือนคุณ พระพุทธเจ้าก็เป็นแค่บุคคลในประวัติศาสตร์ ผิดได้ โกหกได้ โอ้อวดได้ เหมือนกับคนทั่วไป มันก็เท่านั้น การที่คุณบังเอิญเกิดมาเป็นคนพุทธ ไม่ได้ทำให้คุณใกล้ความจริงกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น เป็นทุกข์น้อยกว่าคนอื่น คุณแค่คิดไปเองเท่านั้น คนอย่างคุณไม่ต้องเสนอหน้ามาสอนเรื่องการใช้ปัญญา ผมเพียงใช้หนังทีนคิดยังคิดได้ดีกว่าคุณ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:33:33 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 60 #58 คุณลองไปอ่านความเห้นที่ไอ้เด็กป่อย มันเขียนมาก่อน มันน่าโมโหไหม มันเล่นไปก๊อบเขามาทั้งดุ้น แล้วยังทำหัวเราะอวดดี มันยังมาท้าให้อ่านพระไตรปิฎก มันเองก็ไม่เคยอ่าน อาวุธที่จะใช้ต่อต้านพวกคลั่งศาสนา ก็มีแค่นี้ แค่หัวเราะเยาะมัน ดูถูกถากถางมัน ไม่ได้ไปผูกระเบิดฆ่าตัวตายเหมือนพวกคลั่งศาสนาก็ดีเท่าไรแล้ว การที่คุณมาวิจารณ์คนที่ด่าคนอื่นอีกที มันทำให้คุณประเสริษฐ์กว่าตรงไหน? หากคุณมารยาทดี ก็กรุณาอย่าเสนอความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือเรียกง่ายๆว่าเสือข จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:42:01 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 61 ขออนุญาตนะครับ ผมอาจไม่ใช่ขาประจำห้องนี้แต่ขอออกความเห็นบ้างอะไรบ้าง ศาสนาพุทธสิ่งที่เป็น"แก่น"คือ"การทำความดีละเว้นความชั่วและปล่อยวาง"นี่ครับ ซึ่งการปล่อยวางก็คือการไม่ยึดถือว่าอยากได้ ไม่อยากได้ อะไรหยั่งงั้น คือการพอใจในสิ่งที่ตนเองมี โดยที่คุณบอกว่าพระพุทธเจ้าผิดได้ ก็คงจริงแหละครับเพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน(ไม่รู้ว่าศาสนาในห้องเรียนว่าไง แต่ผมเชื่อหยั่งงี้นะ) สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส(ด้วยตัวท่านหรือศิษย์แต่งเติม)ก็เกิดมาจากการคิด วิเคราะห์จากสิ่งต่างๆที่จำกัดในสมัยนั้น แล้วที่ท่านบอกว่าให้ใช้เหตุผลก่อนที่จะเชื่อมันผิดหรอครับ? พระพุทธเจ้าท่านก็สอนนี่นาเรื่องกาลามสูตรว่าให้คิดๆๆๆๆๆแล้วค่อยเชื่อ ไม่ได้ให้เชื่อท่านโดยไร้ซึ่งข้อกังขา ซึ่งสิ่งที่ท่านพยายามจะสอนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับด้านวัตถุแต่เป็นด้านจิตใจ แยกกันให้ออกนะครับ ด้วยความเคารพ ว่าที่คุณครูคนนึง ^^ จากคุณ : RainyCloud เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 00:29:32

ความคิดเห็นที่ 62 **  ศาสนาพุทธเน้นเรื่องจิต  การทำจิตให้สงบ  การที่จิตไม่สงบเรียกว่าทุกข์ครับ จิตก็คือใจนั่นแหละ  ก็คือความรู้สึกทางใจ  อะไรบ้างทำให้จิตไม่สงบ  หรือจิตไม่ต้อง การมันเข้ามาทางใด  ....... มันก็มาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วส่งไปที่ใจ   ถ้าตาเห็น สิ่งที่น่ารังเกียจ  หูได้ยินเสียงน่ารำคาญ  จมูกได้กลิ่นเหม็น....ฯฯฯฯ  ใจมันก็เป็นทุกข์      การหลีกเลี่ยงเบื้องต้น  ไม่มองสิ่งที่น่ารังเกียจ  ไม่อยู่ในที่มีเสียงรบกวน  กลิ่นรบ กวน   อยู่ในที่อันเหมาะสม.....ฯฯฯฯ          แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงไปอยู่ในที่อันเงียบสงบแล้ว ไม่ร้อนไม่หนาวแล้ว หลับตาแล้ว แต่จิตเราก็ยังปรุงแต่งอยู่ ( คิด ) ไม่สงบนิ่ง  ผู้ที่ต้องการทำจิตให้สงบนิ่งจึงต้องออกบวช เพื่อศึกษาวิธีทำจิตให้สงบนิ่ง     จขกท. ถามการเวียนว่ายตายเกิด  ...ทางพุทธหมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดของจิต ขณะกำลังทำจิตให้สงบ  จิตมันจะคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ   เช่น  "เกิด"อยากกินก๋วยเตี๋ยว ต่อมา"เกิด"คิดถึงแฟน  ( อยากกินก๋วยเตี๋ยว"ดับ"ไป ) ต่อมา"เกิด"สลดใจที่เคยฆ่างู ( คิดถึงแฟน"ดับ"ไป ) ต่อมา"เกิด"อยากกินก๋วยเตี๋ยว ( กลับชาติมาเกิดเพราะอยากกินก๋วยเตี๋ยวมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ถ้าจิตจำได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเรียกว่าระลึกชาติได้    อย่างนี้เรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิด  ถ้านิ่งสนิทจิตสงบเรียกนิพพาน    ถามว่า วิญญาณ มันอาจจะอยู่ใน ฮิกก์ โบซอน ........ ผมยังจินตนาการตามไม่ทัน ว่ามันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร  วิญญาณคือความรู้สึก  คนไม่มีความรู้สึกคือคนตาย ไม่รู้เหมือนกันว่าวิญญาณมันไปอยู่ไหน จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 01:11:16

ความคิดเห็นที่ 63 คือเข้าใจนะคะว่าพุทธไม่ได้ข้องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในระดับลึกซึ้งขนาดนั้น พุทธมุ่งเน้นด้านปรัชญาและการดำรงชีวิตด้วยหลักคำสอนมากกว่า แต่ก็ไม่เข้าใจนักวิทย์บางท่านที่ต้องหยาบคายเรียกผู้อื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูแคลนซะขนาดนี้ มันส่อให้เห็นถึงอะไรบางอย่างนะ อย่าให้วิทยาศาสตร์สูงส่งในสมองและจิตใจจนลืมมารยาท จารีตแบบแผนที่วิญญูชนพึงปฏิบัติเลยนะคะ เข้ามาเพราะเป็นเรื่องฮิคส์ที่น่าสนใจ แล้วก็เผื่อมีนักวิทย์ที่ให้คำตอบที่เหมาะสม ปรากฏว่า....นะ ด่าศาสนาซะเละ จากคุณ : ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<- เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 04:11:16

ความคิดเห็นที่ 64 61-63 พวกคุณคิดผิด แก่นแท้ของ "ศาสนา" คือการเผยแพร่ศาสนา ไม่ใช่ "การทำความดีละเว้นความชั่วและปล่อยวาง" ถ้าแก่นของศาสนพุทธคือการปล่อยวาง ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วเลิกเผยแพร่ศาสนา จะมาอ้างว่าเมตตาต่อคนอื่นมันฟังไม่ขึ้น ความทุกข์ของตนเองยังปล่อยวาง จะเผยแพร่ศาสนาไปดับทุกข์คนอื่นทำไม แยกให้ออกระหว่างปรัชญาพุทธ หรือวิชาดับทุกข์ กับศาสนา ถ้ามันเป็นแค่วิชาดับทุกข์ มันก็ไม่ควรมีสาวกมาแถให้เข้าพวกกับมัน ศาสนาพุทธที่เป็นอยู่ มันเป็นศาสนา มี ศาสดา มีนักบวช มีพิธีกรรม มันเป็นศาสนาจริงๆ ไอ้ความเชื่อที่ว่าศาสดากูรู้หมด ถูกหมดทุกอย่าง ใครรู้ดีกว่าไม่ได้ต้องโยงมาเข้าเรื่องหมด มันเป็นวิธีดับทุกข์ตรงไหน ที่ต้องดูถูกเพราะคนที่คลั่งศาสนา มันก็เหมือนหมาบ้า เวลามันติดเชื้อบ้า มันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไล่กัดคนไปทั่วเพราะเชื้อโรคเข้าไปควบคุมสมองมัน ส่งผลให้มันต้องแพร่เชื้อโรค พอไปถามมันว่าไล่กัดคนทำไม บันบอกเชื้อโรคของมันดี ติดแล้วจะดับทุกข์ได้ มันอยากให้คนติดเชื้อนี้เยอะๆจะได้ไม่เป็นทุกข์ จะปล่อยให้มันไปเที่ยวไล่กัด ไล่เผยแพร่เชื้อโรคมันได้อย่างไร การคันพบอะไรใหม่ๆ มันใช้เวลานานใช้ความร่วมมือของคนที่มีใจรักในความรู้ ทุ่มเทให้กับงานตั้งหลายคน รวมทั้งคนที่สนับสนุนงบประมาณ พอค้นพบอะไรใหม่ๆ มันมาแถว่าคนเนปาลเมื่อสองพันกว่าปีก่อนรู้มาหมดแล้ว เพียงแต่อธิบายให้คนสมัยนั้นเข้าใจไม่ได้เลยบอกไม่หมด มันสมควรไหม? ทำไมไม่ให้เกียรติเขา เรื่องอย่างนี้น่าอายระดับประเทศ ทำไมด่าไม่ได้ ทำไมว่าไม่ได้ ถ้าพวกคลั่งศาสนา มันรวมตัวกันอยู่ในมุมมืดของมัน ไม่ออกมาเที่ยวไล่กัดคนเหมือนหมาบ้า ให้เกียรติคนที่เขาส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ตูจะไปด่ามันไหม หวังว่าคงพอมีสติปัญญาจะเข้าใจ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 07:13:37 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 65 พอมีอะไรนิดหนึ่งไม่เข้าท่าก็จะชอบอ้าง กาลามะสูตร คุณรู้ไหม กาลามสูตรที่มันชอบอ้างกันนัก มันเป็นคำสอนตอนที่พระพุทธเจ้าใช้อุบายหลอกชาวกาลามะให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ โดยใช้การเล่นคำให้มันงง มันเป็นเรื่องน่าอายในศาสนาพุทธ ไม่ใช่เรื่องน่ายกย่อง ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด วิทยาศาสตร์บ้าอะไรบอกว่าอย่าเชื่อโดยใช้ตรรกะ ถ้าเชื่อกาลามะสูตรคุณจะบวกเลขคุณยังไม่แน่ใจเลยว่าจะถูกไหม เพราะมันบอกว่าอย่าเชื่อหมด คุณลองไปอ่านกาลามสูตรฉบับเต็มดูก่อน แต่ก็นั่นแหละ จะให้คนที่มันโดนเชื้อโรคขึ้นสมองเข้าใจ มันคงเหมือนไปอธิบายให้หมาบ้าฟัง จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 07:27:22 A:58.9.136.80 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 66 อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อ แต่ขอยกตัวอย่างคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแปะไว้ เผื่อจะเตือนสติใครบางคนได้ ๒. อักโกสกสูตร                       ว่าด้วยพระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของพราหมณ์              [๖๓๑]     สมัยหนึ่ง     พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต  กรุงราชคฤห์.            อักโกสกภารทวาชพรหมณ์ได้สดับมาว่า  ได้ยินว่า  พราหมณภารทวาช- โคตรออกจากเรือบวชเป็นบรรพชิต      ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว    ดังนี้ ก็โกรธ  ขัดใจ   เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ  ครั้นแล้ว  ด่าบริภาษ พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย  มิใช่ของสัตบุรุษ.           [๖๓๒]   เมื่ออักโกสกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว        พระผู้มี- พระภาคเจ้าได้ตรัสกะอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า     ดูก่อนพราหมณ์    ท่าน ย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน   มิตรและอำมาตย์   ญาติสาโลหิต   ผู้เป็นแขก ของท่าน  ย่อมมาบ้างไหม.             อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ตอบว่า      พระโคดมผู้เจริญ         มิตรและ อำมาตย์       ญาติสาโลหิต      ผู้เป็นแขกของข้าพระองค์ย่อมมาเป็นบางคราว.            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า     ดูก่อนพราหมณ์       ท่านย่อมสำคัญความ ข้อนั้นเป็นไฉน           ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับมิตรและ อำมาตย์   ญาติสาโลหิต   ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างหรือไม่.            อ.  พระโคดมผู้เจริญ         ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของ ดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์      ญาติสาโลหิต     ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างในบาง คราว.                                                                                                    พ.  ดูก่อนพราหมณ์  ก็ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต  ผู้เป็นแขก เหล่านั้นไม่รับ  ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้นจะเป็นของใคร.            อ.  พระโคดมผู้เจริญ   ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต  ผู้เป็นแขก เหล่านั้นไม่รับ         ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้น       ก็เป็นของข้าพระ- อย่างเดิม.            พ.  ดูก่อนพราหมณ์   ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน    ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่  ท่าน โกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่     ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่    เราไม่รับเรื่องมีการ ด่าเป็นต้นของท่านนั้น  ดูก่อนพราหมณ์  เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่าน ผู้เดียว  ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว     แล้ว ตรัสต่อไปว่า  ดูก่อนพราหมณ์    ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่    โกรธตอบบุคคลผู้ โกรธอยู่  หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่     ดูก่อนพราหมณ์   ผู้นี้เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคด้วยกัน    ย่อมการทำตอบกัน    เรานั้นไม่บริโภคร่วม  ไม่กระทำตอบ ด้วยท่านเป็นอันขาด   ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้ เดียว   ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว.             อ.  บริษัทพร้อมด้วยพระราชา     ย่อมทราบพระโคดมผู้เจริญ      อย่างนี้ ว่าพระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์     ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น     ไฉนพระโคดมผู้เจริญ จึงยังโกรธอยู่เล่า.            [๖๓๓]  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า                             ผู้ไม่โกรธ  ฝึกฝนตนแล้ว  มีความเป็น                    อยู่สม่ำเสมอ     หลุดพ้นแล้ว     เพราะรู้ชอบ                    สงบ   คงที่อยู่    ความโกรธจักมีมาแต่ที่ไหน                    ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว     ผู้นั้นเป็น                    ผู้ลามก  กว่าบุคคลนั้นแหละ        เพราะการ                    โกรธตอบนั้น        บุคคลไม่โกรธตอบบุคคล                    ผู้โกรธแล้ว       ชื่อว่า    ย่อมชนะสงครามอัน                    บุคคลชนะได้โดยยาก      ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธ                    แล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้     ผู้นั้นชื่อว่าย่อม                    ประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย     คือ  แก่                    ตนและแก่บุคคลอื่น              เมื่อผู้นั้นรักษา                    ประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย     คือ  ของตนและ                    ของบุคคลอื่น       ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดใน                    ธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า     เป็นคนเขลา                    ดังนี้.            [๖๓๔]   เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเจ้าอย่างนี้แล้ว         อักโกสกภาร- ทาวชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก     ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ    ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก         พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือ ส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า    คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉฉะนั้น    ข้าพระองค์นี้ขอ ถึงพระโคดมผู้เจริญ   พระธรรม  และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ   ขอข้าพระองค์ พึงได้บรรพชา  พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ.            อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้ว ในสำนักของ พระผู้มีพระภาคเจ้า    ก็ท่านอักโกสกภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นานแล   หลีก ไปอยู่ผู้เดียว  ไม่ประมาท  มีความเพียร  มีจิตมั่นคงอยู่     ไม่นานเท่าไรนัก     ก็ กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษยอดเยี่ยม    เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์   ซึ่งกุลบุตรทั้ง หลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ   ด้วยปัญญาเป็น เครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่  ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว   พรหมจรรย์อยู่จบ แล้ว  กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว    กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี     ก็ แหละ    ท่านพระอักโกสกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง   ในบรรดาพระ- อรหันต์ทั้งหลาย   ดังนี้แล.   จบอักโกสกสูตร จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 08:10:11

ความคิดเห็นที่ 67 มีข้อสังเกตุว่า พวกคลั่งศาสนามันไม่มีความคิดของตัวเอง มันถึงได้งมงายเยี่ยงนี้ พิมพ์เองไม่ถึงบันทัด นอกนั้นก๊อบมา พิมพ์ดีดเป็นรึเปล่าก็ไม่รู้ #66 คุณมีความคิดของตังเองบ้างไหม สักแต่ว่ากด Ctrl C Ctrl V มา คุณอ่านก่อนโพสไหมว่ามันตรงหรือไม่ตรง คุณคิดว่าใครกำลังโกรธ ? โกรธเรื่องอะไร? นี่ไม่ใช่ความโกรธ เกลียดน่าจะตรงกว่า คือเกลียดพวกงมงาย หน้าไม่อาย ขโมยเครดิตคนอื่น ชอบก๊อป อย่างพวกคุณ คุณไปเตือนสติตัวเองก่อนดีกว่า จะโพสอะไรมาโง่หรือฉลาด อย่างน้อยก็ควรจะคิดเอง เอาแต่ซุกหัวอยู่หลังตำราโบราณ ขี้ขลาดแท้ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 12:36:59 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 68 tiktaalik นานๆผมจะเจอคนพูดตรงใจสักที จากที่ผมไปบวชมาด้วยความตั้งใจ หลังสึกออกมาก็รู้แจ้งทันทีว่า ศาสนาก็แค่เครื่องมือหากินดีๆนี่เอง จากคุณ : babydestiny เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 13:41:54 A:58.9.184.34 X: TicketID:358298

ความคิดเห็นที่ 69 #68 ขอบคุณครับ แต่ไม่ใช่ผมคนเดียว มีอีกหลายคนที่ต่อต้านพวกโง่งมงาย เช่นคุณ Gen อีกคน จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 14:44:41 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 70 โอเคๆ เอาเป็นว่าคนับถือศาสนาพุทธ:-)โง่ ยอมให้คนเนปาลหลอกอยู่ได้ สองพันกว่าปีก็ยังโดนหลอกอยู่ :( มันต้องคนไม่ศาสนาสิฟระ เท่ห์ขิงๆ ปล.เจ้าของกระทู้เคยลองศึกษาศาสนาพุทธจริงๆจังๆซักครั้งในชีวิตมั้ยครับ  อันนี้ถามเฉยๆ อย่าด่าผมนะ ผมกลัวจริงๆ จากคุณ : plugnaja เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 14:52:39

ความคิดเห็นที่ 71 #70 คุณเกิดในเมืองพุทธ คุณคงคิดไปเองว่าคนทั้งโลกนับถือพุทธ ขาดศาสนาพุทธไม่ได้ คุณลองมองไกลออกไป ประเทศอื่นเขาโง่มากใช่ไหม? ที่เขาไม่นับถือพุทธเหมือนคุณ ศาสนาพุทธ สูญพันธ์จากดินแดนบ้านเกิดมาเป็นพันปีแล้ว ถ้าคุณคิดว่าผมไม่เคยศึกษาศาสนาพุทธ คุณลองอ่านความเห็นผมให้ละเอียด มีตอนไหนที่ผมตอบพวกงมงายได้ไม่ตรงประเด็น ไม่ชัดเจน แถเอาสีข้างเข้าถูเหมือนพวกมันบ้าง คุณมีข้อสงสัยแง่ไหนคุณแย้งมา ถ้าจะให้ผมตอบว่าผมศึกษาศาสนาพุทธมาดี มันก็แค่คำพูด ถ้าคุณเชื่อคุณก็โง่งมงายเหมือนไอ้พวกคลั่งศาสนาบ้าก๊อบข้างบนนั่น ไม่ได้ด่านะ ถามโง่ๆ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 15:04:28 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 72 ps ผมไม่ใช่เจ้าของกระทู้ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 15:18:03 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 73 นานๆจะเจอคนที่กล้ายืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง กล้าพูดออกมาดังๆ ไม่ว่าจะผิดหรือถูก แต่สงสัยว่าพวก..มาหมู่ ที่ชอบรุมกัดชาวบ้าน อย่างพวกที่เข้าไปรุมกระทู้พระวอท หายศีรษะไปไหนหมดโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เห็นมาแสดงปัญญากันเลย จะว่าเป็นวันขึ้น 15 คํ่าเดือนหกก็ไม่ใช่ เจอคนปากเด็ดเข้า หายศีรษะไปเลย ทีเจอคนอ่อนกว่า คนที่เค้าเถียงสู้ไม่ได้หรือคนที่เค้าไม่เถียงสู้ละปากเก่งกันนัก สำหรับคุณ tiktaalik ผมเห็นด้วย 50-50 แต่ถ้าใช้คำพูดให้ซอฟท์ลง จะมีคนเห็นด้วยเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะคนที่อ่านแวบแรกยังชอคอยู่ จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 17:53:15

ความคิดเห็นที่ 74 เหอๆ พิมพ์ออกมาโดยไม่ศึกษา ว่า"ศาสนาพุทธ สูญพันธ์จากดินแดนบ้านเกิดมาเป็นพันปีแล้ว" จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:19:06

ความคิดเห็นที่ 75 เหอๆ ศึกษามาว่ายังไง มาเหอๆแล้วก็ไป ไอ้บ้า จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:29:44 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาอ่านตามลิงค์จากห้องศาสนา เห็นว่าไร้สาระที่จะมาโต้เถียงกันด้วยเรื่องที่ต่างคนต่างก็ไม่รู้จริง จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 21:31:07

ความคิดเห็นที่ 77 ไปดูมาเหมือนกัน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12345974/Y12345974.html แต่ละตัวแถได้ไม่ตรงประเด็น สมกับเป็นห้องศาสนา งมงาย โง่งม ปลาหมู่จริงๆ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 21:50:20 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 78 พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพียงแต่ในนาม แต่โดยเนื้อแท้คือหลักความจริงของธรรมชาติ เป็นศาสนาเดียวที่มี หลักธรรมคำสอน เป็นศาสดาของศาสนา พระพุทธเจ้าเคยเป็นพระบรมศาสดา ถูกต้อง แต่นั่นคือตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ภายหลังปรินิพพานแล้ว พระองค์ตรัสให้ธรรมะเป็นศาสดาแทนพระองค์ โดยความหมาย คือ ให้ชาวพุทธยึดถือหลักธรรมนำไปปฏิบัติ ทำไมในเมื่อพระองค์เป็นพระสัพพัญญู (รู้ทุกเรื่อง) แต่พระองค์ไม่ตรัสบอกในสิ่งที่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ค้นพบ ตั้งแต่เมื่อ 2600 ปีก่อน หรือพระองค์ไม่ได้รู้ทุกเรื่องกันแน่? พระพุทธเจ้า รู้ทุกเรื่องหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ที่ผมทราบแน่ๆ คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่สาวก เป็นไปเพื่อเห็นทุกข์ รู้ทุกข์ ดับทุกข์ และเข้าใจทุกข์ แม้พระองค์มีความรู้ มีปัญญามาก แต่สิ่งที่พระองค์สอนให้ปฏิบัตินั้น เปรียบได้เพียง "ใบไม้กำมือเดียว" อันเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น (หากสงสัย "ใบไม้กำมือเดียว" คืออะไร โปรดนำคำนี้ไปค้นใน google) คุณไม่จำเป็นต้องนับถือหรือเชื่อในพระพุทธเจ้า เพราะเมื่อคุณศึกษาพุทธประวัติอย่างเข้าใจแล้วก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าก็เป็น เพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่ชาวพุทธเคารพนับถือและศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งการประพฤติปฎิบัติ เป็นตัวอย่างที่ดีของมนุษย์ธรรมดาแต่สามารถพัฒนาเป็นผู้ประเสริฐได้ และทุกคนก็สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้เช่นเดียวกัน มิใช่นับถือเพราะพระองค์สามารถดลบันดาลสิ่งใดให้แก่เราได้ เพราะรู้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เลิศเลอล้ำยุค หรือทำให้เราไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย มีหลายคนมากมายที่ยังไม่ทันได้นำธรรมะมาปฎิบัติ อย่างจริงจังและเข้าใจ แล้วด่วนสรุปว่า ธรรมะล้าสมัย ใช้งานไม่ได้จริง ธรรมะหัวข้อเดียวก็มีค่า ถ้าเราทำ แต่ธรรมะเป็นพันหัวข้อก็ไร้ค่า ถ้าเราไม่ทำ ต้นไม้มีทั้งเปลือก กระพี้ และแก่น ฉันใด พระพุทธศาสนาก็มีทั้งเปลือก กระพี้ และแก่น ฉันนั้น อยู่ที่ว่าเราเลือกจะศึกษาหรือจับเอาเปลือก กระพี้ หรือว่าแก่น เท่านั้นเอง ปล. ที่คุณ tiktaalik ถามว่า เป็นชาวพุทธทำไมยังปวดขี้? ไหนบอกว่าพ้นทุกข์ไง? นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คุณ tiktaalik มีความเข้าใจเรื่องทุกข์เลย สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอน ไม่ใช่ให้หลีกหนีจากความทุกข์ แต่หมายถึงสามารถอยู่ร่วมกับทุกข์โดยที่ใจยังเป็นสุขได้ รู้ว่าอะไรคือทุกข์ รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ รู้ว่าอะไรคือการดับทุกข์ รู้ว่าการแก้ไขทุกข์ต้องทำเช่นไร นี่ต่างหาก คือ แก่นของพระพุทธศาสนา หาใช่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่คุณกำลังยกย่องไม่ ความหมายของคำว่าพ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าทุกข์ไม่มี ทุกข์น่ะมีเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือทำอย่างไรใจถึงจะไม่เป็นทุกข์ไปด้วย เป็นพระอรหันต์ เป็นชาวพุทธ ไม่ได้หมายความว่าไม่ปวดขี้ ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ใช่แบบนั้น และความทุกข์แบบนี้ เป็นความทุกข์ที่อ่อนมาก เพราะมันเป็นความทุกข์ตามธรรมชาติ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความทุกข์ที่ยิ่งกว่านั้น คือ ความผิดหวัง ความเสียใจ การได้สิ่งที่ไม่พอใจและไม่ได้สิ่งที่พอใจ ถามว่า เมื่อเกิดความทุกข์เหล่านี้ วิทยาศาสตร์ช่วยอะไรได้ไหมครับ ? จริงอยู่ว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่การที่คุณกำลังดูถูกพระพุทธศาสนา โดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นตัวข่ม ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เอาง่ายๆ แค่เป้าหมายของทั้งสอง ก็ต่างกันแล้ว วิทยาศาสตร์เป็นไปเพื่อสนองกิเลส แต่พระพุทธศาสนาเป็นไปเพื่อดับกิเลส ไม่มีใครเป็นตัวถ่วงใครทั้งนั้น ความคิดที่ว่า "คนอื่นเป็นตัวถ่วง" นั่นต่างหากคือตัวถ่วงความเจริญที่แท้จริง ขอบคณที่อ่านจนจบครับ จากคุณ : ธรรมทาน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 22:45:38 A:58.9.50.93 X: TicketID:366197

ความคิดเห็นที่ 79 #78 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแต่ในนาม มันมีองค์ประกอบครบ ทั้งศาสดา คำสอน สาวก พิธีกรรม การที่คุณหน้าด้านตู่เอาเองว่ามันเป็นศาสนาแต่เพียงในนามทั้งที่ในความเป็นจริงที่เห็นอยู่ มันเป็นศาสนา มีการจัดการอย่างเป็นระบบ รับเงินบริจากแล้ว ยังใช้งบประมาณชาติในการเผยแพร่ศาสนา จึงเป็นการเล่นคำ คุณจะบอกว่าจริงๆแล้วหมาที่คุณเลี้ยงเป็นหมูก็ได้ แต่ในสายตาชาวโลก หมาของคุณยังเป็นหมููอยู่ ที่บอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีคำสอนเป็นศาสดา ก็เป็นการเล่นคำอีกนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรใหม่ ความหมายของศาสดาต้องเป็นบุคคล คุณนึกว่าคุณเล่นคำแล้วคนจะตามไม่ทันหรือ? คุณดูถูกคนอื่นมากเกินไป การที่คุณอ้างว่ายังไม่เอาธรรมะมาปฎิบัติอย่างจริงจังก็มาเถียง คุณคิดว่าโลกนี้มีศาสนาเดียวหรือไง ศาสนาอื่นก็มี ผมจะไปมีเวลาปฏิบัติธรรมครบทุกศาสนาไหม เท่าที่ศึกษาซึ่งก็มากกว่าคุณ ผมพบว่าศาสนาคุณเต็มไปด้วยคนที่ชอบประดิษฐ์คำ ไม่มีคนจริงใจที่จะเอาความจริงมาถกกัน เป็นที่ไม่ถูกใจของผมมากเข้าขั้นรังเกียจเลยทีเดียว ที่พูดว่าปวดขี้คือการประชด หากคุณคิดว่าศาสนาพุทธทั่วๆไปที่สอนกันไม่ได้สอนให้ดับทุกข์ แต่เพียงสอนให้อยู่ร่วมกับทุกข์ คุณก็กลับมาเล่นคำเหมือนเดิม ไม่าใช่ว่าผมไม่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจผิด แต่เป็นเพราะเวลาศาสนานี้โฆษนา ก็พูดว่าดับทุกข์ได้ แต่เนื้อใน มันไม่เป็นไปตามจริง ถ้าเป็นสินค้าผมฟ้องสคบ.ได้แล้ว การที่ผมมาต่อว่าพวกคลั่งศาสนา ไม่ใช่เพราะเอาวิทยาศาสตร์มาข่ม คุณไม่ได้อ่านหรือไง ? มันเป็นเพราะมีกาฝาก แอบเคลมเอาผลงานวิทาศาสตร์ไปให้พระพุทธเจ้่าของคุณก่อน ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าอาย คุณเองก็ควรจะละอายในการกระทำของคนพวกเดียวกับคุณ และหัดไปแนะนำพวกเดียวกันให้วางตัวดีๆ ไม่ใช่มาต่อว่าผม สติปัญญาเยี่ยงคุณยังห่างผมนัก เชิญไปนั่งสมาธิอีกกัปป์กัลป์ แล้วค่อยมาเถียงกันใหม่ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 23:37:44 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 80 #79 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแต่ในนาม มันมีองค์ประกอบครบ ทั้งศาสดา คำสอน สาวก พิธีกรรม ....ฯลฯ - "โดยเนื้อแท้คือหลักความจริงของธรรมชาติ" อย่ามองแต่ผิวเปลือกครับ นามคือนาม แก่นแท้คือแก่นแท้ จะหมูหรือหมา แก่นแท้ของมัน ก็ประกอบด้วยเอ็น หนัง กระดูก เลือด ฯลฯ เหมือนกันหมด ส่วนชื่อจะตั้งอย่างไร ก็เป็นเพียงนิยามที่ชาวโลกสมมติขึ้นเท่านั้น ที่บอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีคำสอนเป็นศาสดา ก็เป็นการเล่นคำอีกนั่นแหละ ...ฯลฯ - การที่คุณไปจำกัดความคำว่า "ศาสดา" เป็นแค่ว่า "บุคคล" ผมว่าคุณมากกว่าที่กำลังดูถูกสติปัญญาตนเองนะครับ การที่คุณอ้างว่ายังไม่เอาธรรมะมาปฎิบัติอย่างจริงจังก็มาเถียง คุณคิดว่าโลกนี้มีศาสนาเดียวหรือไง ...ฯลฯ - ไม่เคยบอกเลยว่ามีศาสนาเดียวในโลก และไม่ได้บังคับให้คุณมาปฏิบัติด้วย แต่ถ้าคุณอยากรู้เห็นแจ้งชัดให้มากกว่านี้ ถ้าอคติไม่บังตา "การปฏิบัติ" ช่วยได้แน่นอน การศึกษามากแต่ขาดการปฏิบัติจะเกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ผมขอจบการถกเถียงด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ เพราะชัดเจนแล้วว่า คุณไม่เคยปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ศึกษากับฟังมาเยอะเท่านั้น เถียงกันไปก็เท่านั้นครับ ไม่ต่างอะไรกับคนที่คุยกันคนละเรื่อง ขออภัยที่ทำให้เสียเวลาครับ จากคุณ : รู้อะไรรู้ให้จริง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 03:34:19 A:58.9.62.39 X: TicketID:366197

ความคิดเห็นที่ 81 #80 ไอ้หน้าด้าน จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 07:14:35 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 82 ----------- ตามลิงก์มาครับ ตอบ  คุณ : tiktaalik  ตั้งแต่ความเห็นแรก   ความคิดเห็นที่ 8   higgs boson เป็นอณุภาคที่ทำให้วิญญาณ มีแรงดึงดูดกรรม เป็นข้อพิสูจน์ว่ากรรมสามารถเกาะติดวิญญาณ ข้ามภพข้ามชาติได้ ศาสนาพุทธที่แท้สอนว่า สสารเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ -----------------------   ศาสนาพุทธ  ไม่ได้สอนว่า สสารเกิดจากดิน น้ำ ลม ไป ครับ แค่ทฤษฎีอะตอม ก็ล้มลางความเชื่อพุทธแล้ว -----------------------    จากคำตอบข้างบน  คงทราบแล้วนะครับว่า เข้าใจผิด      ว่าศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนว่า สสารเกิดจากดินน้ำลมไฟ     แต่ก็แน่หละ เนปาลเมื่อ 2600 ปีก่อนยังไม่มี LHC แล้วพระพุทธเจ้าจะไปรู้อะไร นอกจากเรื่องที่ท่านแต่งขึ้นมาเอง และคนเนปาลโบราณ ก็เชื่อต่อๆกันมา -------------------------  อันนี้เป็นความเชื่อของคุณ  ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นจริง  เพราะจากประเด็นแรก คุณก็ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แม้ว่าจะบอกว่า ศึกษาศาสนามามากกว่าคนอื่น    คงจะเป็นเรื่องที่คุณคิดว่าคุณเข้าใจมากกว่า คนอื่น เท่านั้นเอง คนไทยสมัยปัจจุบัญก็เชื่ออยู่อีก 2600 ปีผ่านไป คนไทยไม่พัฒนาเลย จากคุณ : tiktaalik   เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 21:22:33 A:58.11.17.176 X: TicketID:287399   ------------- บางที คนไม่รู้เรื่องอะไร  ก็คิดผิดไปว่า    คนที่เขารู้ ไม่รู้เรื่องอะไร ได้ ยินดีสนทนาครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 10:09:08 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 09:53:55 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 09:51:49

ความคิดเห็นที่ 83 ส่วนการตั้งกระทู้ " การค้นพบ Higg boson นี้จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อศาสนาพุทธได้เปล่า " เป็นการตั้งกระทู้ ของคนคนหนึ่ง   ที่อาจจะนับถือศาสนาพุทธ ก็ได้ แต่ไม่ใช่ ความเห็นทั่วไปของ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ------------ ยินดีสนทนาทั้ง เรื่องพุทธศาสนา และ วิทยาศาสตร์ ครับ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 09:57:18

ความคิดเห็นที่ 84 ขันธ์ แปลว่า กอง, หมวด, หมู่, ส่วน ในทางพุทธศาสนาหมายถึงร่างกายของคนเรา คือแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน หรือ 5 ขันธ์ คือ รูป ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต คุณ มีหลักฐานอะไร บอกว่าศานาพุทธมิได้สอนเช่นนั้น ทุกอย่างที่คุณพูดมา เป็นความเชื่อของคุณ ถ้าคุณยังไม่พูดด้วยหลักฐาน ด้วยเหตุผล เอาแต่เลี่ยงประเด็น เล่นคำ คุณก็ไม่ควรคู่กับการสนธนา จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 10:20:31 A:101.109.194.20 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 85 ผมเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ล้มล้างได้ทุกศาสนา วิทยาศาสตร์สอนให้เรารู้ว่ายังมีอีกหลายต่อหลายสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้และยังรอการค้นพบ ผมเชื่อว่าถ้าจะเอา วิทย์มาคุยกับศาสนา คุยกันอีกเป็นชาติก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย   แต่คนเราทุกๆคน ต้องมีสิ่งที่เรานับถือ   ตัวผมนับถือ ความจริง ความดี สิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น คุยกันดีๆเถอะครับ.....คุยกับแบบที่"คน"เขาคุยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ความเชื่อไม่ตรงกันก็ ไปรังเกียจเขา ไปด่าเขาว่าไม่คู่ควรที่จะคุยกับคุณ ผมเชื่ออย่างสุดใจเลยครับว่าสิ่งที่คุณtiltaalikพูดออกมามันถูกต้อง แต่ผมก็เชื่ออีกว่าคุณเป็นคนที่คุยกับใครเขาไม่ได้เลยจริงๆ  ใจเย็นๆหน่อยครับ จากคุณ : Pingyam เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:05:34

ความคิดเห็นที่ 86 ความคิดเห็นที่ 84   ขันธ์ แปลว่า กอง, หมวด, หมู่, ส่วน ในทางพุทธศาสนาหมายถึงร่างกายของคนเรา คือแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน หรือ 5 ขันธ์ คือ รูป ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต ----------------------  แล้วตรงไหน ที่คุณตีความบอกว่า พระพุทธศาสนาสอนว่า สสารเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ ครับ รูปในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงสสาร  แต่หมายถึง หมวดของสิ่งที่พอมองเห็นปรากฏการณ์ของการมีอยู่  (รูปธรรม) ไม่ได้หมายถึงสสาร[/u] (แยกจาก นาม หมายถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม คือ จิต และสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต(เจตสิก ได้แก่ ความรู้สีก(เวทนา) ความจำ(สัญญา)  ความคิด(สังขาร)  ตัวรับรู้(จิต))   ------------------ การแบ่งหมวดสิ่งต่างๆนี้ เป็นการแบ่งแบบศาสนา  เพื่อการพิจารณา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ของ รูปและนาม เพื่อให้เห็นความจริง                        ซึ่งไม่ตรงกับการแบ่งแบบวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ที่ไม่มีการแบ่ง  สิ่งที่เป็นนามธรรม เพื่อพิจารณา  เป็นการกระทำให้วัตถุประสงค์ที่ต่างกัน   (ซึ่ง การแบ่งสิ่งต่างๆ โดยละเอียด ที่เป็นวัตถุประสงค์ของวิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้  ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของศาสนา  การทำความเข้าใจการแบ่งหลักๆตามความรู้สมัยนั้น ก็เพียงพอต่อการพิจารณาธรรมแล้ว)   อ้างอิง   รูป ไม่ได้หมายถึง สสาร -------------------------------------------------------------------------------------   http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=38 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) [38] รูป 2๑, 28 (สภาวะที่แปรปรวนแตกสลายเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, ร่างกายและส่วนประกอบฝ่ายวัตถุพร้อมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, ส่วนที่เป็นร่างกับทั้งคุณและอาการ : corporeality; materiality; matter)       1. มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 (สภาวะอันปรากฏได้เป็นใหญ่ๆ โตๆ หรือเป็นต่างๆ ได้มากมาย, รูปที่มีอยู่โดยสภาวะ, รูปต้นเดิม ได้แก่ ธาตุ 4 : primary elements)       2. อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24 (รูปอาศัย, รูปที่เป็นไปโดยอาศัยมหาภูต, คุณและอาการแห่งมหาภูต : derivative materiality) ------------------------------------------------------------------------------------- http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%D8%BB%D2%B7%D2%C2%C3%D9%BB พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) อุปาทายรูป รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป,       อาการของมหาภูตรูป ตามหลักฝ่ายอภิธรรมว่า มี ๒๔ คือ       ก. ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ได้แก่           จักขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ลิ้น, กาย, มโน ใจ       ข. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป (รูปที่เป็นอารมณ์) ๕ ได้แก่           รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ           (โผฏฐัพพะ ไม่นับเข้าจำนวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วาโย ซึ่งเป็นมหาภูตรูป)       ค. ภาวรูป ๒ ได้แก่           อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง และ           ปุริสภาวะ ความเป็นชาย       ง. หทัยรูป ๑ คือ หทัยวัตถุ หัวใจ       จ. ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย์ ภาวะที่รักษารูปให้เป็นอยู่       ฉ. อาหารรูป ๑ คือ กวฬิงการาหาร อาหารที่กินเกิดเป็นโอชา       ช. ปริจเฉทรูป ๑ คือ อากาศธาตุ ช่องว่าง       ญ. วิญญัติรูป ๒ คือ           กายวิญญัติ ไหวกายให้รู้ความ           วจีวิญญัติ ไหววาจาให้รู้ความ คือพูดได้       ฎ. วิการรูป ๕ อาการดัดแปลงต่างๆ ได้แก่           ลหุตา ความเบา,           มุทุตา ความอ่อน,           กัมมัญญตา ความควรแก่งาน,           (อีก ๒ คือ วิญญัติรูป ๒ นั่นเอง ไม่นับอีก)       ฏ. ลักขณรูป ๔ ได้แก่           อุปจยะ ความเติบขึ้นได้,           สันตติ สืบต่อได้,           ชรตา ทรุดโทรมได้,           อนิจจตา ความสลายไม่ยั่งยืน       (นับโคจรรูปเพียง ๔ วิการรูป เพียง ๓ จึงได้ ๒๔);       ดู มหาภูต ด้วย ------------------------------------------------------------------------------------- คุณ มีหลักฐานอะไร บอกว่าศานาพุทธมิได้สอนเช่นนั้น ทุกอย่างที่คุณพูดมา เป็นความเชื่อของคุณ -------------------- เห็นหลักฐานแล้วนะครับ ถ้าคุณยังไม่พูดด้วยหลักฐาน ด้วยเหตุผล เอาแต่เลี่ยงประเด็น เล่นคำ คุณก็ไม่ควรคู่กับการสนธนา จากคุณ : tiktaalik   เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 10:20:31 A:101.109.194.20 X: TicketID:287399   --------------------- คุณเป็นคนพูด โดยไม่แสดงหลักฐานก่อน (การอ้างว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริง สอนว่า .................. )  เมื่อผมแสดงความเห็น จึงแสดงหลักฐานที่คุณเข้าใจผิดไป  (ไม่ได้อ้างอิงที่มา)   คุณจึงไม่ควรมาพูดว่า ถ้าคุณยังไม่พูดด้วยหลักฐาน ด้วยเหตุผล เอาแต่เลี่ยงประเด็น เล่นคำ คุณก็ไม่ควรคู่กับการสนธนา           คุณพิจารณาการกระทำของคุณดู ยินดีสนทนาครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 13:32:11 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 13:30:54

ความคิดเห็นที่ 87 ความคิดเห็นที่ 85     ผมเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ล้มล้างได้ทุกศาสนา วิทยาศาสตร์สอนให้เรารู้ว่ายังมีอีกหลายต่อหลายสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้และยังรอการค้นพบ .... จากคุณ : Pingyam   เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:05:34   ------------------ คุณPingyam ครับ  ถ้าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก้าวหน้าเพียงพอที่จะ ตอบปัญหาครอบคลุมสิ่งต่างๆได้มากพอขนาดนั้น   ตอนนี้ศาสนาก็ไม่มี หรือมี เป็๋นที่ยอมรับ เพราะมีการพิสูจน์ในลักษณะที่ใช้คนทั่วไปทำได้ ไม่ต้องใช้ผู้ปฏิบัติจนเชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดความรู้ แล้วหละครับ   แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 13:39:33 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 13:38:49

ความคิดเห็นที่ 88 ผมเชื่อว่าต้องใช้เวลาครับ สุดท้ายแล้วคนจะค่อยๆลืมศาสนาไปเองครับ แล้วมันจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นในคนเชื่อถือ ผมไม่ได้ว่าศาสนาไม่ดีนะครับ แต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างมันเหมือนนิทานหลอกเด็กมากไป ทำไมโลกนี้ถึงต้องมีหลายศาสนาครับ ทำไมคำสอนถึงทำให้คนเชื่อไม่เหมือนกัน ทำไมเราทำอย่างหนึ่ง พุทธบอกเป็นบาป แต่คริสต์บอกไม่บาป ทานหมูพุทธคริสต์บอกไม่เป็นไร แต่อิสลามบอกบาป  สุดท้ายผมว่าบาปไม่บาปสบายใจไม่สบายใจ มันอยู่ที่ตัวเราเชื่อและนับถืออะไร ผมเลยเลือกที่จะอยู่ตรงกลางสบายใจที่สุด วัดผมก็เข้าได้โบสท์ผมก็เข้าได้ มัสยิดผมก็เข้าได้ หมูผมก็ทานได้ เลือดผมก็ทานได้ วัวผมก็ทานได้ ทำตัวตามกฎหมาย ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคนดี(ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่หากเราเป็นคนดีเราไม่เห็นจะต้องนับถือศาสนาใดเลย) มีความสุขแล้วครับ ปล. ผมไม่เคยรังเกียจใครเพราะเขาเชื่อไม่เหมือนผมเลยครับ....จากใจจริง^^ จากคุณ : Pingyam เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 14:31:53

ความคิดเห็นที่ 89 แล้วมันจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นในคนเชื่อถือ --------------- ด้วย ประการณ์ในชีวิตที่ผ่่านมาของผม  ผมคิดว่าสักวันหนึ่ง คุณPingyam จะได้รู้ครับ ว่าศาสนาดีเพียงพอ หรือ อะไรดีกว่า ผมไม่ได้ว่าศาสนาไม่ดีนะครับ ------------- ผมเข้าใจครับ แต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างมันเหมือนนิทานหลอกเด็กมากไป --------------- วันหนึ่ง เมื่อ คุณ Pingyam  ได้พบผุ้รู้จริง เห็นจริง    คุณPingyam จะได้รู้ว่า ศาสนาเหมือนนิทานหลอกเด็กหรือไม่ ครับ   ทำไมโลกนี้ถึงต้องมีหลายศาสนาครับ ทำไมคำสอนถึงทำให้คนเชื่อไม่เหมือนกัน -----------------------  เมื่อ ชีวิตปฐมวัยของวิทยาศาสตร์  ก็ค้นพบส่ิงที่เป็นจริงบ้าง   สิ่งที่ไม่จริงบ้าง  เข้าใจถูกบ้าง  เข้าใจผิดบ้าง   สักวันหนึ่งวิทยาศาสตร์ ก็จะก้าวหน้าขึ้นพอที่จะบอกอะไรได้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนา  ว่าอะไรจริงหรืออะไรไม่จริง     ยินดีที่ได้สนทนาด้วยครับ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 15:33:36

ความคิดเห็นที่ 90 ลบละ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:31:19 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:03:58 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 15:55:17

ความคิดเห็นที่ 91 ลบละ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:31:06 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:06:54 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:21:04

ความคิดเห็นที่ 92 ลบละ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:30:45 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 16:26:52 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:23:44

ความคิดเห็นที่ 93 ลบละ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:30:36 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 17:10:15 จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:59:48

ความคิดเห็นที่ 94 ย้ำอีกที ศาสนาทุกศาสนาไม่ได้สอนให้เป็นคนดี ศาสนาสอนให้เผยแพร่ศาสนาเท่านั้น ศาสนา อาจจะถูกออกแบบมาแต่เมื่อผ่าไปหลายปี มันก็มีชีวิตเป็นของมันเอง มันแพร่พันธ์และถูกคัดเลือก ด้วยการวิวัฒนาการโดยอาศัยการคัดเลือกทางธรรมชาติ ไม่ต่างจากสัตว์ ที่จริงน่าจะเรียกว่าไม่ต่างจากเชื้อโรคมากกว่า ถ้าศาสนาไหนไม่เผยแพร่ศาสนามันก็สูญพันธ์ไป ก็เท่านั้น คนจะดีหรือไม่ดีไม่เกี่ยว ที่จริงศาสนาจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีคนไม่ดี มันถึงมีข้ออ้างให้เผยแพร่ต่อไป ถ้าหากศาสนสอนให้คนเป็นคนดีจริง ทำไมถึงได้มีหลายศาสนาที่สอนต่างกัน และแข่งกันเผยแพร่ ราวกับจะแย่งที่ว่างในสมองของมนุษย์ บางศาสนาถึงกับยุให้คนฆ่ากัน ศาสนาจะยอมให้ทุกคนเป็นคนดีหรือ ? ถ้ามันทำให้ศาสนาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นี่ผมสุภาพมากแล้วนะ ขอร้องอย่ามาแถข้างๆคูอีก จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 18:52:18 A:58.9.239.249 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 95 ว่าคนอื่นบ้า ตัวเองก็บ้าและเกรียน จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 01:08:10

ความคิดเห็นที่ 96 ลองอธิบายการคัดเลือกทางธรรมชาติและ เปรียบเทียบกับประวัตศาสนาที่คุณ tiktaalik กล่าวถึงหน่อยสิ ขอแบบข้อมูลแน่นๆนะ มีหลักฐานประกอบ อ้างอิงแหล่งที่มาได้ครับ อยากรู้ว่าเหมือนต่างกันอย่างไร ปล. โดยเฉพาะเชื้อโรคยิ่งดี ท่าทางมันส์นะเปรียบเทียบการขยายพันธุ์เชื้อโรคกับการเผยแผ่ศาสนา แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 01:31:47 จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 01:27:25

ความคิดเห็นที่ 97 #95 ตกลอง #74 ว่าไง ไอ้บ้า #96 อธิบายขนาดนี้ยังไม่เข้าใขอีกหรือ? มีความเห็นอะไรก็แย้งมา แย้งไม่ได้ก็ทำเป็นถาม จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 04:38:50 A:58.9.69.149 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 98 #96 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X12347447/X12347447.html จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 04:40:48 A:58.9.69.149 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 99 To Tiktaalik, ไม่เห็นอธิบายอะไรเลยไหนบอกว่าเชื้อโรคมีการคัดเลือกทางธรรมชาติโครตมั่วแบบจับแพะชนแกะ Toxoplasma gondii  เชื้อโปรโตซัว ส่วนโรคพิษสุนัขบ้าเป็นไวรัส อธิบายตามหลักวิชาการหน่อย อย่าอ้างมั่วๆ ช่วยอธิบายชัดเจนด้วยครับ ปัจจัยอะไรที่คัดเลือทางธรรมชาติ จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:03:50

ความคิดเห็นที่ 100 http://en.wikipedia.org/wiki/File:Toxoplasmosis_life_cycle_en.svg จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:06:54

ความคิดเห็นที่ 101 http://www.parasitesinhumans.org/toxoplasma-gondii.html จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:07:54

ความคิดเห็นที่ 102 http://www.cdc.gov/parasites/toxoplasmosis/ อันนี้ CDC ศูนย์เกี่ยวกับเชื้อโรคที่หย่ายที่สุดในโลก จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:10:23

ความคิดเห็นที่ 103 รอคำตอบอยู่ อย่าหนีสิ จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:11:17

ความคิดเห็นที่ 104 -------------------- ตอบคุณ tiktaalik   -------------- เมื่อคุณพูดเรื่องอื่นต่อ  แสดงว่า เรื่อง ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนว่า รูปคือสสาร  ตามที่ผมได้บอก และอ้างอิง ไป    แสดงว่าคุณเข้าใจแล้วนะครับ ว่าเข้าใจผิดไป ความคิดเห็นที่ 94   ย้ำอีกที ศาสนาทุกศาสนาไม่ได้สอนให้เป็นคนดี ------------------- รับทราบความเห็นของคุณครับ  แต่ไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้นครับ ศาสนาสอนให้เผยแพร่ศาสนาเท่านั้น ศาสนา อาจจะถูกออกแบบมาแต่เมื่อผ่าไปหลายปี มันก็มีชีวิตเป็นของมันเอง มันแพร่พันธ์และถูกคัดเลือก ด้วยการวิวัฒนาการโดยอาศัยการคัดเลือกทางธรรมชาติ ไม่ต่างจากสัตว์ ที่จริงน่าจะเรียกว่าไม่ต่างจากเชื้อโรคมากกว่า ------------------- คุณ   tiktaalik   อาจจะศึกษาศาสนามามาก แต่สำหรับ พระพุทธศาสนา ผมคิดว่า คุณ  tiktaalik  ยังไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งพอ(ขออภัยที่ต้องพูดเช่นนี้ เนื่องจากความเห็นของท่านแสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจนัก ชี้ให้เห็นเช่นนั้น)และอาจจะยังไม่ได้พบผู้ที่รู้ยิ่ง เห็นจริง จากการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา จึงคิดเช่นนั้น ครับ                        บางศาสนา เป็นความเชื่อ ที่ศาสดาไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด ย่อมนำไปในทางที่ถูกต้องไม่หมด (เป้าหมายคือ มีสุข สันติถาวร)                        แต่พระพุทธศาสนา พระบรมศาสดา ทรงเห็นความจริงครบถ้วน ทรงสอน การเข้าถึงความสงบ สันติสุขถาวร ถ้าศาสนาไหนไม่เผยแพร่ศาสนามันก็สูญพันธ์ไป ก็เท่านั้น ---------------- ประเด็นไม่เกี่ยวกับ ความจริงหรือไม่จริง ของศาสนา  ไม่ว่าเรื่องอะไร  เช่น วิทยาศาสตร์ ก็ตาม   หากไม่มีการเผยแพร่ไป  ก็หายไป เป็นปกติ   ไม่เกี่ยวกับศาสนา คนจะดีหรือไม่ดีไม่เกี่ยว ที่จริงศาสนาจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีคนไม่ดี มันถึงมีข้ออ้างให้เผยแพร่ต่อไป ถ้าหากศาสนสอนให้คนเป็นคนดีจริง ทำไมถึงได้มีหลายศาสนาที่สอนต่างกัน และแข่งกันเผยแพร่ ราวกับจะแย่งที่ว่างในสมองของมนุษย์ บางศาสนาถึงกับยุให้คนฆ่ากัน ---------------------------  อันนี้เป็นความคิดของท่านเท่านั้น  ที่ท่านเห็นว่าศาสนาไม่ดี                                          สำหรับคนทั่วไป      ศาสนาให้แนวทางในการไม่เบียดเบียนกัน ทำให้สังคมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร                                   สำหรับผู้มุ่งมั่น   ให้วิธีปฏิบัติให้พบ ความสงบ สันติสุขถาวร(พระพุทธศาสนา) ศาสนาจะยอมให้ทุกคนเป็นคนดีหรือ ? ถ้ามันทำให้ศาสนาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ------------------------------- สำหรับพระพุทธศาสนา  เป้าหมายคือความสงบ สันติถาวร  หากทุกคนเป็นคนดี  นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนาสอน    จะว่าทำให้ศาสนาไม่จำเป็น                                        คุณลองคิดดูเองก็ได้  ถ้าคนเป็นคนดีแล้ว ในยุคหนึ่งแล้ว  ศาสนาจำเป็นหรือไม่   แนวทางปฏิบัติดีนั้น ควรถ่ายทอดเพื่อให้เกิดความรู้ทีดีต่อคนรุ่นหลังหรือไม่  หรือถ้าคนยุคหนึ่งดีแล้ว ความดีนั้นก็จะถูกถ่ายทอดลงสู่ยีน ไม่ต้องมีการเรียนรู้  ก็รู้ได้ ทำได้ เอง ต่อไป   ได้หรือไม่? นี่ผมสุภาพมากแล้วนะ ขอร้องอย่ามาแถข้างๆคูอีก จากคุณ : tiktaalik   เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 18:52:18 A:58.9.239.249 X: TicketID:287399     ----------------  คำพูดนี้ คุณหมายถึงกำลังพูดกับใคร    ครับ   ที่ผมเพิ่งมาตอบแค่ 2-3 ความเห็นนี้  ผมก็ตอบมีเหตุผลและอ้างอิงที่มาให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 10:24:01 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:22:45

ความคิดเห็นที่ 105 ยอมรับว่า แนวคิดคุณ "tiktaalik " น่าสนใจ นึกว่ามาผิดห้อง ... จากคุณ : EN4EVER เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:51:00

ความคิดเห็นที่ 106 กระทู้นี้ เป็นกระทู้แรกที่ชอบ แตงกวา......... ท่านที่ฉลาดล้ำโลก โปรดสำรวจตัวเองแบบง่ายๆ ด่วน 1. ตอนมัธยม ท่านเรียนจบโรงเรียนอะไร (อันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศนี้มั๊ย เกรดเท่าไหร่) 2. ตอนสอบระดับประเทศท่านได้ที่เท่าไหร่ 3. ท่านเรียนจบที่ใด คณะใด 4. ในช่วงการศึกษาระดับใดของท่าน ที่ท่านเริ่มรู้สึกว่าตัวเองฉลาดล้ำโลก ถ้าท่านทำครบทั้ง 4 ข้อ และคำตอบคือ ท่านเป็นที่ 1 หรือ 2 มาโดยตลอด ท่านก็เป็นคนที่มีเครดิตในมันสมองมากพอ ที่กระผมจะเชื่อถือท่านได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ช่วยกลับไปนั่งคิดนิดนึงว่า ทำไมเราฉลาดล้ำโลกขนาดนี้ เราถึงยังไม่ได้ที่ 1 แล้วไอ้คนได้ที่ 1 มันฉลาดเท่าเราหรือเปล่า หรือว่าเราฉลาดกว่า แต่เราไม่ได้ที่ 1 ก็เท่านั้นเอง เวลาเราโตขึ้น สภาพสังคม มันไม่ค่อยมีดัชนีชี้วัดความถูกผิดแบบเป๊ะๆ ทำให้บางที่เราเกิดความเข้าใจผิดในประสิทธิภาพของตนเอง จนเป็นการเข้าข้างตัวเอง และความขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะสำรวจมันสมองของตัวเอง ก็คือ กลับไปมองผลงานในอดีต ตั้งแต่ประถม มัธยม มหาลัย เพราะมันไม่มีอีโก้มาเกี่ยวข้อง สำหรับผม คนแรง ผมไม่เชื่อ ผมเชื่อเฉพาะคนที่มีพลังสมองสูงเท่านั้น (เพราะผมมีเพื่อนได้ที่ 1 ของประเทศ ทำให้ผมรู้ว่าคนมีพลังสมองสูง เป็นยังไง) จากคุณ : -------------- เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:17:54 A:203.185.134.4 X: TicketID:275893

ความคิดเห็นที่ 107 Peter higgs เก่งกว่าบางเรื่อง ศาสนานี้มันจะดิ้นตายกันหมดไหม? ไอ้พวกใจแคบ คุณ "tiktaalik " ใจกว้างมากไหม ถ้าใจกว้างกว่าผมก็ศึกษาเบื้องต้นสักสี่ห้าเดือน แล้วบวช ปลีกตัวไปฝึกจิตสักสองสามปีดูไหม เอาแบบจริงๆจังๆ นะ จะอุปปััฐฐากดูแลท่านอย่างดีเลยเชียว.... จากคุณ : tiktaalik จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 16:25:39

ความคิดเห็นที่ 108 #99 เชื้อโรควิวัฒนาการมา ไม่มีหนทางอื่น ถ้าคุณคิดว่าเชื้อโรค ไม่ได้วิวัฒนาการมา จากการคัดเลือกทางธรรมชาติ แต่เกิดจากพรหมกินง้วนดิน แล้วเกิดเป็นกรรม ทำให้มีเชื้อโรค ก็ไปหาหลักฐานมา ผมไม่ได้บอกว่า T. goundii เป็นไวรัส ไปอ่านดีๆ ไม่ว่าไวรัส หรือโปรโตซัว พยาธิ หรือเชื้อรา ก็ต้องวิวัฒนาการมา อย่างเลี่ยงประเด็น คุณยังฉลาดน้อยเกินไป ทฤษฎีที่ว่า มี replicator ที่ไม่ใช่ Gene แต่วิวัฒนาการมาคล้ายๆกันมีมานานแล้ว เช่น Meme, sociogene, culture gen ศาสนาก็อาจเป็นแค่ meme ที่ต้องการขยายพันธ์ โดยไม่สนว่า host ของมันจะได้รับผลเสียอย่างไร แต่คนงมงายอย่างพวกคุณก็ไม่มีวันเข้าใจ เพราะถูกปลูกฝังไว้แล้ว ว่าศาสนาของกูดีสุด แตะต้องไม่ได้ ไอ้การผิดไม่ได้นี่แหละที่ทำใหไห้พวกคลั่งศาสนาอย่างคุณไม่มีทางเถียงชนะ ที่โพสลิ้งมาผมไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร ? #104 ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการสื่ออะไร ตกลงพระพุทธเจ้าสอนว่าอณุภาคพื้นฐานคืออะไร? หรือไม่ได้สอน ถ้าไม่ใช่หรือไม่ได้สอน แล้วคุณไปยอมให้พวกงมงายมันไปโยงหา Higgs boson ได้ยังไง มันเป็นการขโมยเครดิตคนอื่น หน้าด้าน หน้าไม่อาย หากคุณคิดว่าศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ลองยกเหตุผลมาว่าเป็นไปได้ยังไง ทฤษฎีของผมๆก็อธิบายไปแล้ว ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ถามมาทีละประเด็น ไม่ใช่เถียงข้างๆคูๆ มันมีวิธีคิดง่ายๆ แบบ thought experiment คุณลองนั่งคิดดู ถ้าสมมุติกรรมมีจริงมาตลอด จนถึงวันนี้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ของจักรวาลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ทำให้อำนาจกรรมหายไป และคุณรับรู้ได้ และสมมุติอีกว่ากฎหมายใช้งานไม่ได้เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้น คุณจะฆ่าเพื่อนคุณเอา iphone เลยไหม หรือว่าไม่ชอบจะเอา Galaxy s3? คุณจะเล่น incest กับแม่คุณไหม? ถ้าตามแนวทางของคุณ ในเมื่อศาสนาไม่มี ในเมื่อกฎกมายใช้งานไม่ได้ สิ่งเดียวที่ห้ามคุณไว้ ก็คือแม่คุณแก่เกินไป ผมถึงกลัวคนที่นับถือศาสนา มากกว่าคนที่ไม่มี หรือไม่เคร่ง เพราะตามความเชื่อของเขา สิ่งเดียวที่ห้ามไม่ให้เขาทำชั่ว คือเรื่องโกหก ยังดีที่คนพวกนี้มีไม่มาก คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองเชื่อเรื่องกรรม แต่ไม่ได้เชื่อเรื่องกรรม แต่คุณก็คงไม่เข้าใจ #106 ก๊อบเป็นอย่างเดียวคิดไม่เป็น ผมไม่ได้เชื่อว่าผมฉลาดที่สุด ผมพร้อมจะรับว่าผมผิด ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณคิดได้สักเสี้ยวหนึ่งของหนังทีนผม คุณจะรู้ว่าแต่ละตัวที่เถียงมามันเถียงไม่ตรงประเด็นเลย สิ่งที่ตัวเองไม่รู้จะเ๔ียงยังขี้เกียจอ่าน ไปโพส link wiki มา แล้วก็คิดว่าตัวเองแน่มาก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไม่อยากว่าแตงกวาเลย แต่การไปบอกว่าลำดับคะแนนเรียนเป็นตัวตัดสินความฉลาดเป็นความคิดที่ผิด คะแนนสอบไม่ได้ตัดสินอะไรในตอนโต มีที่ 1 ที่ 2 ของชั้นกี่คนที่ประสพความสำเร็จตามสัดส่วนของมัน ผมไม่รู้ แต่เท่าที่เดาดูไม่น่าจริง คนที่สร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่คนที่เรียนดี แต่เป็นคนที่กล้าคิดต่างจากความเชื่อเดิมๆ ก็แน่หล่ะ ถ้าเก่งแต่เรื่องเดิมๆ ม้นจะก้าวหน้าได้ยังไง ที่ควายมันใช้เรียกคนโง่ ไม่ใช่เพราะมันพูดไม่รู้เรื่อง แต่เป็นเพราะสั่งอะไรมันก็ทำโดยที่มันไม่คิด ต่างหาก ที่อ้างควายไม่ได้ด่าใครคนใดคนหนึ่ง ด่าพวกโง่งมงายที่ยึดติดว่าศาสนาของมันดีที่สุดไม่มีวันผิดโดยรวมๆ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 17:28:01 A:58.11.18.5 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 109 #107 เรื่องให้ไปศึกษา ให้ไปปฏิบัติก่อนค่อยมาเถียงได้ มันเก่าแล้ว ตอบไปหลายรอบแล้ว มันเป็นสันดานพวกพุทธงมงายหรือไง เถียงไม่ได้ ก็บอกว่าคนอื่นยังไม่ได้ศึกษา ยังไม่ได้ปฏิบัติ พวกคุณปฏิบัติเองแล้วหรือ ? ปฏิบัติเองแล้วยังอธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ คิดว่าจะชวนคนไปนับถือศาสนาโบราณ ล้าสมัย อธิบายไม่ได้ ได้อย่างไร? จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:06:51 A:58.11.18.5 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 110 เช่น Toxoplasma gondii ทำให้หนูไม่กลัวแมว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เชื้อสามารถเข้าไปติดแมวซึ่งเป็น host หลัก ทำให้หนูสูญเสียโอกาสสืบพันธ์ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 23:00:59 A:61.90.67.92 X: TicketID:287399 คุณไปดูวงจรชีวิตมันใหม่ดีกว่า แค่อธิบายมาก้อมั่วแล้ว ถ้าหนูสูญพันธุ์แล้ววงจร Toxoplasma gondii จะครบได้อย่างไร โปรโตซัวมันไม่โง่พอจะตัดวงจรของมันเองหรอก แล้วยังไม่ตอบตรงประเด็นเลยอะไรคือปัจจัยคัดเลือกทางธรรมชาติ ตอบตรงประเด็นหนอยสิ เขียนเองมิใช่เหรอ หรือมั่วแบบจับแพะชนแกะเลยตอบคำถามตัวเองไม่ได้ จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 02:07:25

ความคิดเห็นที่ 111 ขอคำตอบตรงๆนะ อะไรคือปัจจัยคัดเลือกทางธรรมชาติของ Toxoplasma gondii  คำถามชัดเจนไหม  เขียนเองมิใช่เหรอ  หรือถามไม่ตรงคำตอบ จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 02:26:23

ความคิดเห็นที่ 112 ผู้ไม่ได้เขียน 110-111 กรุณาอ่านข้ามความเห็นนี้ไปก่อน #110-111 เมิงคิดว่าเชื้อโรคมันฉลาดหรือ? เมิงเชื่อจริงๆใช่ไหมว่าเชื้อโรคมันคิดได้ มันวางแผนได้ เมิงคิดว่าไม่เคยมีเชื้อโรคที่สูญพันธ์ไปแล้วหรือ? เมิงโง่กว่าเชื้อโรคอีก ถ้าเมิงไม่เข้าใจ evolution by means of natural selection ก็ไม่ใช่ความผิดตู เมิงไปหาหนังสือมาอ่านเองเถิด ตูไม่ใช่พ่อเมิง Darwin เมิงก็ไม่รู้จัก เมิงรู้จักแต่ ไอ้คนเนปาลหัวขนุน 84000 พระธรรมขัธ์ มันไม่ได้สอนเมิงเรื่องวิวัฒนาการหรอกไอ้โง่ เมิงอย่าแถให้หน้าอาย ยิ่งแถยิ่งแสดงความโง่ว่าเมิงไม่รู้อะไรเลย เมิงน่าจะรู้ระดับสติปัญญาตัวเองด้าน เมิงทั้งไม่มีความรู้ ไม่มีไหวพริบ ทั้งไม่มีเหตุผล เมิงจับประเด็นไม่ถูก ไปยกรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งตูก็ไม่ได้ผิด แต่เมิงโง่เองตลอด เมิงไม่เคยเรื่องที่เป็นประเด็นเลย เมิงมีแต่ความหน้าด้าน เมิงอย่านึกว่าเมิงแน่ เมิงอย่าคิดเทียบตู ตูไม่รู้จะสอนให้เมิงฉลาดได้ยังไง เมิงต้องไปโทษกรรมพันธ์ของเมิงที่ทำให้เมิงเกิดมาโง่ หน้าด้านถึงเพียงนี้ เมิงจะเสนอหน้ามาอีกก็จับประเด็นให้ถูก อย่าได้แถอีก ขออภัยผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยครับ ที่ต้องพูดแรงๆกับไอ้โง่นี่ จากคุณ : tiktaalik เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 06:48:24 A:61.90.72.164 X: TicketID:287399

ความคิดเห็นที่ 113 TO Tiktaalik, ถามแล้วตอบไม่ได้ แถไปเรื่อย ลวงโลกอะ โปรโตซัวมันก้อคิดได้นะ จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 07:14:12

ความคิดเห็นที่ 114 ลองคิดดูนะถ้าโปรโตซัวทำให้หนูสูญพันธุ์แล้ว มันจะเอาหนูที่ไหนไปเป็น host มันก้อไม่ครบวงจร  แค่นี้ก้ออธิบายมั่วแล้ว จากคุณ : Nine Cats เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 07:18:58