ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าละเมิดกันทั้งโลก แล้วต่อไปใครจะเป็นคนวิจัยยาใหม่ๆ ออกมา กว่าจะ วิจัยได้แทบตาย ลงทุนมหาศาล แต่คนอื่น เอาไปใช้ฟรีๆ จากคุณ : จิ้งเหลนตอดเงา เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:04:29

ความคิดเห็นที่ 2 เราเคยทำไปแล้วครับ ในยาสำคัญบางตัว เรียกว่าการทำ CL (Compulsory Licensing) เพียงแต่ไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อ ทำเท่าที่จำเป็น และหลายๆครั้งเราใช้เป็นแรงกดดันในการเจรจา(ถ้าไม่ลดราคา ชั้นจะทำ CL นะ) ที่ทำบ่อยครั้งไม่ได้ นอกจากเหตุผลด้านจริยธรรม การเมืองระหว่างประเทศ ฯลฯ แล้ว อีกเหตุหนึ่งคือการตอบโต้จากบริษัทเจ้าของยา เช่นเคยมีข่าวว่า บริษัทโนวาติส ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรคเอดส์ ไม่นำยาตัวใหม่ล่าสุดมาขึ้นทะเบียนในไทย(ไม่ขึ้นทะเบียน = ไม่ขาย = ไม่มีสูตร ผลิตเองไม่ได้) ทีนี้่นอกจากคนจนไม่มีกินแล้ว คนรวยก็เลยพลอยไม่มีกินไปด้วย กรณีนั้นเป็นแค่เคสเดียวไม่เสียหายเท่าไหร่นัก แต่ถ้าทำบ่อยๆ หรือทำในเคสที่ไม่จำเป็นจริงๆ การตอบโต้แบบนี้ก็จะเยอะขึ้ันครับ ซึ่งจะเป็นผลเสียตีกลับมาหาเราเอง จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:06:01

ความคิดเห็นที่ 3 ปัญญาน้อย    มันก้เป็นรองเขาในทุกแบบแหละ   สำหรับโลกใบนี้   ทำ่บ่อยๆ   พวกบริษัทยา  ก็ไปฟ้องรัฐบาลประเทศเขาเองซิครับ   และถ้าประเทศนั้นคือ อเมริกา ละ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 11:34:28 จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:10:43

ความคิดเห็นที่ 4 เราทำตอนรบ.ทหารไปแล้วรอบนึงครับ เรียกว่าทำCLแบบข้างบนนั่นแหละ แต่ถ้าจะทำบ่อยๆวันดีคืนดีบ.ยาเขาประกาศไม่ขายยาให้ประเทศไทยทั้งหมด แล้วเราจะเอายาจากไหน? ไอ้ที่รู้ส่วนประกอบส่วนผสม มันก็แค่บางสูตร แต่ยาใหม่ๆเราไม่รู้ เขาไม่ยอมขายให้ แล้วเราจะผลิตเองได้ไหม? อีกอย่างต้องเข้าใจว่า ยาชนิดหนึ่งกว่าจะวิจัย ทดลอง พัฒนาออกมาจนมาขายได้ หมดเงินลงทุนไปหลายพันล้าน ต้นทุนมันไม่ใช่แค่ส่วนประกอบในเม็ดยาอย่างเดียวสักหน่อย ถ้าประเทศเราเกิดวิกฤติอดอยากไม่ต่างจากซูดาน อันนี้คงพออ้างเรื่องความยากจนได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น จะขโมยมาใช้ฟรีๆ ก็ต้องคิดสักหน่อยครับ ทำไปมากๆ เขาไม่มีกำไรเอาไปลงทุนวิจัยยาใหม่ๆ เมื่อนั้นเราจะหายาชนิดใหม่ๆมาจากไหนล่ะ? จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:14:52

ความคิดเห็นที่ 5 บางตัวยา บริษัทเค้าก็ยอมให้ละเมิดนะครับก็คือ CL นั่นแหละ แต่ต้องซื่อสัตย์กับเค้าด้วยว่าจะใช้ในกรณีไหนบ้าง ห้ามใช้นอกเหนือจากนี้ .... ส่วนยามะเร็งหลายตัว ราคา แพง อันนี้มันเป็นเรื่องของบุญ-กรรม ไปแล้ว สำหรับบ้านเรา จะไปว่าบริษัทยานี่ไม่ถูกเพราะกว่าเค้าจะหาตัวยาใหม่ๆ ได้นี่ ลงทุนไปมหาศาล ยุ่งยากหลายขั้นตอน ระยะเวลาก็นานไล่ตังแต่ในสัตว์ทดลอง ในคนอีก ออกขายไปแล้วก็ยังต้องตาม ซวยมายาเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงโดนถอนทะเบียนอีก สรุปแล้วมันลงทุนสูง ความเสี่ยงที่จะสูญเงินฟรีก็มีมาก ดังนั้น ในช่วงที่ยายังมีลิขสิทธิ์เค้าต้องโกยให้มากที่สุด เพราะหากหมดเวลาเรื่องลิขสิทธิ์เมื่อไหร่ โดนก๊อบแหลก..... จากคุณ : Always Red เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:47:02

ความคิดเห็นที่ 6 ดร.กฤษณา ทำยาต้านHIV แบบรวม .. ในราคาถูก ช่วยประเทศยากจน ..ยังโดนฟ้องเลยครับ แล้ว .. ที่สำคัญ ..ไม่มีคนของเราไปช่วยเป็นแบ็คด้วย .. สมแล้วที่ อาจารย์ไปช่วยประเทศอื่น .. จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:57:14

ความคิดเห็นที่ 7 จริงเคสนี้ ผมมองแบบ คนละโลกเลย... ถ้าเราอยากก้าวหน้ามากๆ มุ่งไปสู่การพัฒนาขั้นสูงที่สุดที่เป็นไปได้.. สิ่งที่ทำให้ทุกวันนี้ ดักดาน คือ เรื่อง สารพัดลิขสิทธิ์ นั่นแหละ... การมีลิขสิทธ์ มันเป็นเรื่องระบบ ผลประโยชน์บนโครงสร้างของทุนนิยม ไม่ใช่ บนโครงสร้างการพัฒนาความคิด.. เพราะเราเอา เงิน มาเป็นตัวตั้ง เลยกลายเป็นข้ออ้าง (ปัจจัย) ที่อ้างว่าต้องใช้เพื่อผลประโยชน์ในการวิจัย..(จริงหรือ?) หากตัวยา ดีจริง โดยระบบ ตัวยามันเองต้องพัฒนาตามยุคด้วยสิ เพราะในความเป็นจริง ที่เราต่อสู้คือ สิ่งมีชีวิต มันย่อมมีการวิวัฒนาการ อย่างต่อเนื่อง ตัวยาเองก็ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพันรักษาได้ตลอดเสียเมื่อไหร่เล่า เราถึงไม่เคยนำหน้าเชื้อโรคมันได้ซักที อย่างทุกวันนี้ไง... สำคัญเหนืออื่นใด อยู่ที่คนกลาง (คงหาไม่เจอในชาตินี้ นอกจากในภาพยนต์) ที่จะจัดสรรผลประโยชน์ต่างหาก บางสังคมเขาก็มีนะ เท่าที่ได้อ่านได้ศึกษาบ้าง (ส่วนเอียงหรือตรงนี่ ไม่รู้) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 12:02:30

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าทำพร่ำเพร่อ เราก็เสียเครดิต จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 12:20:02

ความคิดเห็นที่ 9 #7 ถ้าคุยเรื่องปรัชญาสิทธิบัตร มันก็สนุกไปอีกแบบครับ แนวคิดของสิทธิบัตร/ลิขสิทธิ วางอยู่บนความเชื่อว่า ถ้าทำอะไรซักอย่างแล้วคนอื่นลอกไปได้ง่ายๆ คนจะไม่ทุ่มเท/ลงทุนเพื่อนวัตกรรม เช่นยาหนึ่งตัว โดยทั่วไปใช้เวลา 7-10 ปี ตั้งแต่การวิจัย จนถึงกระบวนการทดลองในมนุษย์ จะไม่มีใครยอมลงทุนหนักขนาดนี้เด็ดขาด หากไม่มีระยะเก็บเกี่ยวนานพอคุ้มทุน ใครในที่นี้ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่ย่อมหมายถึงบริษัทยา ที่จ่ายเงินให้นักวิทยาศาสตร์เป็นเงินเดือนระหว่างทำวิจัย ซึ่งเราคงเห็นได้ตรงกันว่า ถ้าไม่มีกำไร บริษัทยาย่อมไม่จ่ายเงินเดือนต่อไปแน่นอน สิ่งที่ต้องยอมรับตรงกันก็คือ เงินก้อนนี้ต้องมีคนจ่าย ไม่มีคนจ่ายก็ไม่มีคนทำ ถ้าเอาสิทธิบัตรออก เงินก้อนนี้ก็มีแนวโน้มว่ารัฐบาลต้องเป็นคนจ่าย ซึ่งเงินของรัฐบาลมันก็ไม่ได้มาจากไหน มันก็เงินภาษีนั่นแหละ ความแตกต่างสุดท้ายคือผู้รับภาระ ในกรณีของเอกชน คนรับภาระสุดท้ายคือ ผู้ป่วย=คนใช้ยา และเอกชนแต่ละรายแข่งกันอย่างหนัก เพื่อทำยาที่ดีกว่า ออกมา เราอาจมองได้ว่า ค่ายาแพงๆ ก็คือ ตัวเร่งให้มียาที่ดีขึ้นออกมาโดยเร็ว ในกรณีของรัฐบาล คนรับภาระคือทุกคน และรัฐบาลอาจทำยาแค่ "พอไปได้" เพื่อโยกงบไปทำอย่างอื่นที่ สำคัญต่อคะแนนเสียงมากกว่า ในโลกตอนนี้ส่วนใหญ่เลือกทางแรกคือให้เอกชนทำ ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 12:27:48

ความคิดเห็นที่ 10 การทำ CL มันก็ต้องมีเงื่อนไขที่สมเหตุผลด้วย หลักๆก็ต้องอ้างเรื่องมนุษยธรรม โรคระบาดรุนแรง ฯลฯ ไม่งั้นถ้าก๊อปปี้พร่ำเพรื่อ ต่อไปชาวโลกเขาก็ไม่คบ และในระยะยาว เราก็จะลำบาก เพราะเขาไม่ขายยาสูตรใหม่ๆให้ไทยอีกต่อไป จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 13:05:28

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้่าเภสัชกรไทย(มีอยู่มาก)เก่งพอที่จะผลิตและค้นคว่ายาเองได้ตามหลัดสูตรที่เรียนมา เราก็ไม่จำเปนต้องสนใจอะไรหรอกเรื่อง CL  เกิดโรคระบาดมาก็คนคว้าหายาแก้ หาวัคซีนเอง แต่วันนี้ ถามว่า เภสัช จบมา ถ้าไม่มาขายยา ก็มาทำงาน ใน รพ. คอยนับยา จ่ายยา ทำน้ำเกลือ ทำ ยาดม พิมเสนน้ำ แล้ว หากประกาศไปแล้ว วันนึงมีโรคระบาด บริษัทยาในต่างชาติ คิดวัคซีนได้ แล้วขายให้เราเปนประเทศสุดท้าย  ถามว่า เราจะเป็นอย่างไร        บ่อยครั้งผู้ประกาศ CL ใช้มุก บอกว่า ยังงัยบริษก็ต้องขายให้เราอยู่ดีเพราะบริษัทอยากได้เงิน จากคุณ : บองหลา เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 13:14:03

ความคิดเห็นที่ 12 โถๆๆๆๆ คห11 ครับ เป็นไปได้ใครจะไม่อยากทำหละครับ มันติดตรงไอ้เรื่องทุนเรื่องค่าใช้จ่ายนี่แหละ บริษัทยาบ้านเรามันเป็นพวก local made เป็นส่วนใหญ่ เน้นการ coppy and development เป็นส่วนใหญ่เพราะต้นทุนมันต่ำกว่าเยอะ แต่ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เงินทุนเยอะๆ ที่เป็นเจ้าของพวกยาออริจินอลต่างๆ เค้าจะเป็น Research & Development เล่นกันตั้งแต่ค้นหาสารที่พอมีหวังในการนำมาพัฒนาเป็นยา ทดลองผลในสัตว์จนได้ข้อมูลที่มากพอแล้วถึงจะนำมาทำในคนต่ออีกตั้งหลาย phase ยังไม่พอ หลังจากออกสู่ตลาดแล้วยังต้องติดตามอีกเพื่อเก็บข้อมูลความปลอดภัยอีก อันนี้คือในกรณีที่โชคดีและขายได้จนหมดระยะเวลาลิขสิทธิ์นะครับ แต่บางครั้งเมื่อทำออกมาแล้วเกิดมัน fail หละ ในตอนที่ยังอยู่ในสัตว์ทดลองโอเคมันคงไม่เสียหายมาก แต่ลองคิดดูเกิดทำมาจนออกสู่ตลาดแล้ว ลงทุนไปมหาศาล ดันเจออาอารอันไม่พึงประสงค์ร้ายแรงที่ไม่เคยเจอมาก่อนในช่วงการทดลอง จบเลยทีนี้ โดนเพิกถอนตำหรับใครจะรับผิดชอบ เชื่อสิครับ ว่าเภสัชกรเก่งๆ หลายคนไม่ใช่ไม่อยากไปร่วมงานหรือทำงานการผลิตยา แต่แหล่งสนับสนุนมันยาก ครั้นจะออกไปต่างประเทศเลยมันจะไปได้ซักกี่คน อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่านก็เลยต้องหันไปวิจัยในส่วนที่พอจะทำได้เช่น สมุนไพรหรือระบบนำส่งยาแทน ไม่ได้เข้าข้างบริษัทยานะครับ แต่มันเป็นเรื่องของแรงขับดัน ในเมื่อเค้าทำออกมาเค้าก็ต้องการกำไร และสิทธิบัตรยามันก็ใช่จะตลอดไปซะหน่อยถึงเวลาหนึ่งมันก็จะหมดลง ทีนี้คนทั่วไปก็จะได้ใช้ แม้ว่าถึงตอนนั้นมันจะมียาที่ใหม่ที่ดีกว่า ครั้นจะอ้างเรื่องสิทธิมนุษย์มาเกี่ยวว่าจำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ตอนนี้แล้ว CL มั่วซั่ว ใครจะอยากมาคบกับเราหละครับ.....ใจเขาใจเรา เข้าใจว่ายาใหม่มันแพง กำไรมันเยอะ แต่เราคงต้องยอมรับนะ ว่าถ้าไม่มีกฏหมายสิทธิบัตรมาคุม ป่านนี้เราคงไม่มียาดีๆ ให้เลือกใช้มากมายเหมือนทุกวัน แม้ว่ายาบางตัวอาจเข้าถึงยากก็ตาม คนป่วยวันนี้อาจไม่มีปัญญาใช้ แต่ถัดไปจากนี้อีก 10 ปี ยานี้อาจกลายเป็นยาพื้นฐานที่ต้องมีใช้ก็ได้ จากคุณ : Always Red เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 14:43:52

ความคิดเห็นที่ 13 มีงบให้ผมวิจัยซักสามหมื่นล้านบาทไหมล่ะ ถ้าโชคดีคงได้ Candidate Compound ซักสองสามตัวมาพัฒนาจน Launch ได้ซักตัว จากคุณ : HotSmile เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 14:48:54

ความคิดเห็นที่ 14 สภาคงไม่กล้าอนุมัติงบวิจัยเป็นหมื่นๆแสนๆล้านหรอกคับ เด๋วก็มีคนว่าแพง ไม่คุ้ม ทำไปทำไม ซื้อเขาถูกกว่าอีก บลาๆๆๆ ส่วน CL ยา ทำพร่ำเพื่อ เด๋วเขาก็กีดกันทางการค้า เพิ่มภาษีนำเข้า แล้วก็อะไรต่างๆนาๆ อยากให้ งบ 3 แสนล้าน บริหารน้ำอะไรเนี่ย ช่วยเป็นตัวเบิกทางทำหรับการวิจัยของไทยจัง ประเทศจะได้เจริญกว่านี้ จากคุณ : NIC เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 14:51:56 A:183.88.91.124 X: TicketID:349466

ความคิดเห็นที่ 15 เคยมีกลุ่มต่อต้านในเมกาเอง มาแฉว่า ยาใหม่ส่วนใหญ่ที่ บ.ยาอ้างว่ามีต้นทุนวิจัยสูงๆนั้น แท้จริงแล้ว แค่เป็นการดัดแปลงตัวยาเก่า นิดๆหน่อย เอามาเปลี่ยนชื่อใหม่ขายต่อให้มีมูลค่าเพิ่มสูงๆ (ประสิทธิภาพก็คงเดิม) คนแฉ ก็เป็นอดีตนักวิจัยใน บ.ยายักษ์นั่นเอง ส่วนเรื่องต้นทุนแพงๆ ก็โมเมขึ้นมาเอาบิลล์เอาค่าใช้จ่ายมาอัด เพื่อให้สิทธิบัตรคุ้มครองเป็นเสือนอนกิน จึงเป็นเหตุให้ยาขนานใหม่ๆดีๆจริง ไม่มีแรงจูงใจให้ถูกพัฒนาขึ้นมา เพราะเล่นดัดแปลงของเก่าหลอกขายได้เรื่อยๆ จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:08:45 A:58.9.141.169 X: TicketID:365239

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องสิทธิบัตรยานี่ผมเห็นด้วยนะว่าต้องมี เพราะระยะเวลาค้นคว้า เงินลงทุน รวมถึงความละเอียดอ่อนในการทดลองทั้งกับสัตว์และคน แต่สิทธิบัตรพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นี่สิ เห็นฟ้องร้องกันแต่ละชนิด เหมือนเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดเพื่อกีดกันคู่แข่ง แถมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก้าวหน้าไวมาก ฟ้องกันที กว่าจะชนะคดีความ ปรากฎว่าสินค้าหลุดจากตลาดไปซะแล้ว จากคุณ : X-Sy เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 16:21:31

ความคิดเห็นที่ 17 #15 เคยอ่านครับ แล้วเชื่อว่ามีมูลด้วย กลไกสิทธิบัตรจำเป็นต้องมี แต่ว่าระบบของอเมริกามันก็ก่อปัญหาไว้ไม่น้อย อย่างแรกคือ ตามหลักการแล้ว จะต้องไม่ยินยอม ให้จดสิทธิบัตรกับสิ่งที่ไม่ได้มีขั้นการผลิตสูงขึ้น ยาที่แก้จากของเก่าเล็กๆน้อยๆ มันไม่ควรจดได้แต่แรก แต่ดันจดได้ เรื่องนี้เป็นปัญหาไปถึงการจดสิทธิบัตรเรื่องไม่เป็นเรื่องของวงการอิเล็คทรอนิคด้วย อย่างที่สองคืออายุคุ้มครองที่มันควรแตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ผลิตยาต้องการให้ยืดอายุคุ้มครองให้ยาวถึง 40 ปี เพราะอ้างว่าจากวันเริ่มจด(และนับอายุ) จนถึงวันที่ FDA ยอมให้ขาย ก็เสียไป 10 ปีแล้ว ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นว่า สิทธิบัตรเรื่องเสาอากาศชนิดซ่อนในตัวเครื่องของโนเกียผ่านไปแค่สามปี ทุกรายก็ทำได้หมด แบบไม่ต้องไปดูต้นฉบับด้วย แต่ยังต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรอยู่ และต้องจ่ายไปอีกสิบกว่าปี เรื่องงี่เง่าพวกนี้รวมๆกัน ก็เป็นปัญหาไม่น้อย จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 17:01:51

ความคิดเห็นที่ 18 ตามระบบใหญ่ๆนี้ ดีที่สุดคือตุกติกให้บ่อย CLให้บ่อย เท่าที่พวกบริษัทยายังคุ้มกับการหาเงินในไทยอยู่ กด จุดหาเงินของบริษัทฝรั่งให้ต่ำ อยู่เสมอ แต่ไม่ต่ำเกินไป และหาทางชักชวนประเทศอื่นให้กดจุดนี้ลงมาเช่นกัน จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 18:03:41

ความคิดเห็นที่ 19 ุุถ้าวิจัยกันง่ายๆ เอาตัวเก่ามาหลอกขายเป็นตัวใหม่แล้วได้กำไรเยอะๆ ไม่คิดบ้างล่ะว่าจะมีบ.ยาใหม่ๆมาตีตลาดกันเยอะแยะไปหมด? ประเด็นสิทธิบัตร นึกถึงพวกสมุนไพร ของไทยใช้ตามตำราโบราณมั่วๆมาตั้งนาน ฝรั่้งสนใจเอาไปวิจัย ลงทุนไปหลายร้อยล้าน จนสกัดได้สูตรที่เหมาะสมทำเป็นยาสำเร็จรูป เราก็ไปโวยวายหาว่าฝรั่งขโมยภูมิปัญญาไทย?!?! ก็อ้าว ใช้กันมั่วๆ ไม่มีdose ไม่มีการศึกษาผลกระทบ ไม่มีการทำวิจัยแบบจริงจัง ใช้กันแบบยาผีบอก ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ใช้ผิดขนาดตายไปก็ไม่น้อย โทษบุญโทษกรรมเอา แล้วเมื่อไรมันจะพัฒนา? กลับกันมองในแง่ว่าฝรั่งเขาทุ่มวิจัยจริงจัง จึงได้ยาสำเร็จรูปที่เหมาะสม วิจัยแล้วปลอดภัยไม่ต้องลุ้นกินยาหม้อแล้วตาย กลายเป็นฝรั่งทำให้เป็นประโยชน์ต่อโลกมากกว่าอีก และอันที่จริงฝรั่งเขาจดสูตรเขา แต่เราก็ยังใช้สูตรตามยาผีบอกได้เหมือนเดิมนี่นา จะไปลักไก่เอาผลงานที่เขาวิจัยมาใช้ฟรีๆ แล้วบอกว่ามาจากสมุนไพรเราได้อย่างนั้นหรือ? มันมีหลายแง่มุมครับ จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 18:15:02

ความคิดเห็นที่ 20 งั้นสมุติใหม่... ถ้าโลกนี้ไม่มีระบบ ลิขสิทธิ์ จะเกิดอะไรขึ้น มันจะก็อปปี้กันแหลกราน จริงหรือ.. หรือ... มุ่งเน้นด้านงานวิจัยที่พัฒนาต่อยอด แข่งกันพัฒนามากกว่าการก็อปปี้ อย่างไหนมันมีโอกาสมากกว่า (ในมุมมองของคนที่มีความรู้นะ) ไม่ใช่ โง่ดักดานและเห็นแก่ตัว... ที่กล้าพูดเช่นนี้เพราะยุคหนึ่ง (ประเทศที่เป็นเกาะแห่งหนึ่ง ปัจจุบันเป็นประเทศที่ก้าวหน้ามากที่สุดในด้านเทคโนโลยีของโลก) ประเทศนี้ลอกแบบกันชนิดที่ว่าต่างฝ่ายต่างลอกนั่นแหละ แต่โดยสัญชาติญานของการเรียนรู้ ไม่มีทางที่จะคอยลอกแบบตลอดไป เพราะโดยมีพื้นฐานมนุษย์เราไม่ชอบการเลียนแบบ (เชื่อหรือไม่) จึงพยายามพัฒนาแตกหน่อตามแต่ความถนัดของแต่ละวิชาชีพออกไป ส่วนสำคัญในเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องการให้การศึกษาในสิ่งที่ลอกแบบด้วย (ไม่อวดว่าทำเองแต่ต้น, แต่บอกว่าดัดแปลง)จึงได้เป็นคำถามในกระทู้นี้ไว้ จริงหรือว่า หากไม่มีบทบัญญัติเรื่องลิขสิทธิ์แล้ว เราจะไม่สามารถพัฒนาได้.. (ไม่เชื่อเด็ดขาด) เพราะที่เห็นชัดที่สุดก็เป็นเรื่องการทำอาหาร (วงการอาหาร) หรือแอบมีใครจดลิขสิทธ์การทำข้าวผัดไหมเนี่ย??? เพราะจะเห็นว่า อาหารเองพัฒนาก้าวหน้าไปมากมายกว่าเมื่อยุค 50 ปีก่อนมากๆ ก็แสดงว่ามันย่อมเป็นหลักฐานได้อย่างดีว่า การที่เราพยายามเอาเรื่อง ลิขสิทธิ์ มาผูกมัดเป็นเพียงข้ออ้างในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตนของคนบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น (ใช่ไหม?) ^&^' แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 22:18:50 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 22:18:02 จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 22:06:27

ความคิดเห็นที่ 21 #20 ญี่ปุ่นเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเยอะอันดับต้นๆของโลกครับ และกฏหมายด้านนี้เข้มแข็งมากด้วย และเขาไม่ได้ก๊อปครับ เขาเรียกว่า วิศวกรรมย้อนกลับ:Reengineering คือการพยายามสร้างสิ่งที่ทำงานได้เทียบเท่า หรือคล้ายคลึงขึ้นมาใหม่ สำหรับงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ด้วยตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ครับ ที่ไม่มีสิทธิบัตร คนก็คิดไปเรื่อยๆ แต่สำหรับงานที่ซับซ้อน ต้องใช้ทีม ใช้ระยะเวลายาวนาน ตอบได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้ คุณจะสร้างทีมได้ยังไง ถ้าไม่มีเงิน? ธนาคารจะให้กู้มาสร้างทีมได้อย่างไร ถ้ามันไม่รับประกันว่าไอเดียนั้นจะหาเงินได้ เพราะคนอื่นทำตามได้ทันที? เอาง่ายๆเถอะ วงการซอฟแวร์เมืองไทยตอนนี้มันเป็นง่อย เพราะกฏหมายลิขสิทธิมันบังคับใช้ไม่ได้ ถ้าคุณไปญี่ปุ่น คุณจะเจอซอฟแวร์ลักษณะคล้ายๆของอเมริกา ที่ด้อยกว่า ขายราคาถูกกว่า ราคาที่ถูกกว่านั้นก็คือค่าไอเดีย ที่เพียงพอจะเลี้ยงโปรแกรมเมอร์ที่สร้างมันขึ้นมา โปรแกรมเมอร์คนนั้นได้คิด ได้ทำ ได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองและทีม สร้างสมประสบการณ์และเทคโนโลยีที่อาจจะใช้ต่อยอดไปสู่ระดับโลก การทำงานแบบนี้ถูกคุ้มครองโดยกฏหมายลิขสิทธิคนอื่นก๊อปขายตามใจไม่ได้ แต่ไปเขียนขึ้นมาใหม่ ให้ทำงานเหมือนกันได้(ซึ่งก็หมายความว่าเขามีโอกาสได้พัฒนาเทคนิคของเขาออกมาทำขายแข่งอีกต่อหนึ่ง) แต่คุณคิดว่าผมจะทำซอฟแวร์คล้ายๆ โฟโต้ชอป ขายเลี้ยงชีพได้มั้ยครับ? ถ้าทันทีที่ทำขึ้นมา ผมต้องชนกัน โฟโต้ชอป พันทิพย์เวอร์ชั่น 150 บาท? ม้วนเสื่อแน่นอน ไม่ต้องคิดเรื่องการพัฒนาทักษะ หรือสร้างเทคโนโลยีด้านนี้เป็นของตัวเองเลย  ภาวะไม่มีกฏหมายลิขสิทธิมันจะจบแบบนี้ คุณจะหลังขดหลังแข็งทำงาน ข้ามวันข้ามคืน เป็นปีๆ ทำไม ในเมื่อก๊อปขาย ได้เงินเร็วกว่า และมากกว่า การไม่เคารพในทรัพย์สินทางปัญญา เป็นตัวฉุดรั้งนวัตกรรมอย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 55 23:01:48 จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 22:59:36

ความคิดเห็นที่ 22 มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่ง่ายกว่านี้ และชัดเจนกว่านี้ คนเล่นเกมคอมพิวเตอร์คงจำกันได้ว่า หลายปีก่อน EA Thailand เคยแปลเกมของตัวเองทุกเกมเป็นภาษาไทย ขายในราคาถูก เพียง 3-400 บาท เพื่อนผมก็เป็นพนักงานคนหนึ่งที่ไปแปลขายกับเขาด้วย นี่คือทรัพย์สินทางปัญญาถูกไหมครับ? ได้รับคุ้มครองตามกฏหมายลิขสิทธิ แล้วเราก็ก๊อปขายกันเกลื่อน กฏหมายอะไร คนไทยไม่รู้จัก เราก๊อปเล่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้ววันหนึ่ง EA Thailand ก็ปิดออฟฟิศในไทย เพื่อนผมตกงาน เพราะ "ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ทำให้ขาดทุน" มาวันนี้ คุณไม่เห็นเกม EA ภาษาไทยอีกแล้ว ไม่เห็นเกมใหม่ราคาถูกอีกแล้ว เกมต้องนำเข้ามาจากข้างนอก และขายในราคาเดียวกับสิงคโปร์ ไม่ต้องนับว่า เราไม่ได้แม้กระทั่งองค์ความรู้ ของกระบวนการแปลซอฟแวร์(ยุ่งนะครับ คุณจะเขียนโปรแกรมยังไง ให้สามารถแปลขายง่ายๆได้ทั่วโลกหลายภาษาพร้อมกัน? พวกนี้เป็นสิ่งที่เราเคยมีโอกาสเข้าไปทำ และตอนนี้ มันไม่มีอีกแล้ว) ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณพูดจริง ว่าไม่จำเป็นต้องมีกฏหมายลิขสิทธิ คนเราก็ไม่ก๊อปแหลก หรือพัฒนาเองได้ เราควรจะไม่เห็นพันทิพย์ เราควรจะเห็นอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาขับเคลื่อนแต่ทั้งหมดมันตรงข้าม และทุกประเทศ ที่มีนวัตกรรม มีกฏหมายลิขสิทธิเข้มแข็งทั้งสิ้น จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 23:12:49

ความคิดเห็นที่ 23 แล้วทำไม android  ไม่ค่อยมีปัญหานี้หละ??? LINUX / UNIX เองก็ปล่อย source code กันโครมๆ  copy กันบานเบอะ แต่เวลาพัฒนา ก็เห็นพัฒนากันอิสระจะตายไป... ผมมองว่าจุดเสียเป็นเรื่องโครงสร้าง และวางกลยุทธ์ผิดมากกว่า ถ้าไม่มีลิขสทธิ์มาคุ้มครองแล้วไม่สามารถเก็บเงินมาทำวิจัยได้ (เป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า ของบริษัทฯ คนทำจริงใช้นิดเดียว ในโลกนี้ ลองมองดู กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีระบบลิขสิทธิ์ แล้วเปรียบเทียบ กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มี สิ่งที่ถาม(ตรงประเด็น) ถามว่าอะไรจะทำให้มีโอกาสต่อยอดพัฒนามากกว่ากัน (ให้ตัดพ่อค้าคนกลาง หรือบริษัทฯ ออกจากสมองไปนะ) ซึ่งส่วนใหญ่ถึงพยายามแจกแจงว่าที่มันเป็นไปได้ยากเพราะ ลิขสิทธิ์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือของคณะบุคคลที่มุ่งหวังผลประโยชน์มากกว่าจะมุ่งพัฒนา เช่น ที่อินเดียหรือที่อื่นๆ ในโลก ทุกวันนี้ยังมีผู้ป่วยที่ไม่สามารถซื้อยารักษาได้ ถ้าบริษัทฯ อ้างว่ากว่าจะวิจัย แล้วทำไมไม่เอากลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ มาวิจัยเล่า รักษาได้ก็เป็นเครดิต มีโอกาสต่อยอดพัฒนาด้วย รักษาไม่ได้ (ตายไปก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นยาทดลอง ผู้ป่วยเองมักยอมรับอยู่แล่ว) บริษัทฯเองก็ ไม่ต้องเสี่ยงกรณียาไม่ได้ผลการรักษา เป็นต้น ที่ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงได้พยายามถามว่า จริงๆ แล้ว ลิขสิทธิ์เป็น ข้ออ้างหรือไม่? ทุกวันนี้บริษัทยาฯ กำไรกันบานเบอะ คนคิดทั้งหลายก็เป็นเพียง กระรอกวิ่งราวในกรงบริษัทฯ มากกว่ามั้ง จะมียาตัวไหนในโลก ที่ไม่ผ่านระบบลิขสิทธิ์ แบบว่าขายตรงจากผู้ผลิตนะมีไหม (เห็นมีแต่ยาเสพติด พัฒนาเหลือเกินเรื่องเทคนิคการขาย มีทั้งรูปแบบตรงและทางอ้อม) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 06:34:09

ความคิดเห็นที่ 24 เรื่องปัญหาการใช้ของก๊อป จนเพื่อนคุณตกงาน ถ้าเอามาแจกแจงนะ ยาวววว ถามง่ายๆ ราคาที่ของแท้วางขายนะ มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า แค่ข้อนี้ข้อเดียว... ลองคิดมุมกลับคนเล่นของก๊อปกันทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะอะไร การตลาดมันห่วย หรือว่าคนขายไม่ได้เรื่อง หรือ.... ของก๊อปเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีต้นทุนก๊อปนะ...ขนาดก๊อป ยังกำไรบานเลย จำได้ไหม ที่เคยเห็นข่าวจับพวก ก๊อป DVD เกม-หนังเถื่อน อะไรแบบนี้ หรือลองนึกดูก็ได้ ว่าถ้าไม่มีใครใช้ของลอกเลียนแบบเลยจะขายได้เท่าไหร่? กลไกราคาที่ไม่สมเหตุผลอย่างแท้จริงย่อมสร้างโอกาส การลอกแบบได้ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะเป็นอะไรก็ตาม ที่ญี่ปุ่น(ไหนๆ อ้างแล้ว) เขาไม่ใช้ของลอกแบบเพราะ ราคาของแท้ ไม่ได้แพงโอเวอร์ เหมือนประเทศอื่นๆ ในโลกใบนี้ เรียกได้ว่าถ้าลอกแบบอาจขายแพงกว่าด้วยซ้ำ (ลองไปหาข้อมูลดูได้) ส่วนลิขสิทธ์ที่เขาจดมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องออกไปแข่งขันภายนอกประเทศ ถ้าขายภายในเขาไม่ค่อยจดกันหรอก (เปลืองค่าใช้จ่ายและยุ่งยาก) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 06:46:49

ความคิดเห็นที่ 25 #23 Linux อยู่ใต้สัญญาอนุญาตแบบ GPL3 ซึ่งไม่อนุญาตให้นำไปค้ากำไร แต่การเกิดขึ้นของ Linux ส่วนหนึ่งเกิดจากเหตุผลทางการเมือง เพื่อคานอำนาจ MS ในตลาด Server แต่มันย้อนกลับไปประเด็นที่ผมชี้นั่นแหละ ระบบที่วางอยู่บนรากฐานของคนๆเดียว ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจะต่อยอดได้กว่าระบบที่ต้องเป็น team player เท่านั้นและใช้เวลานานอย่างระบบยา linux มีอาสาสมัครหลายพันก็จริง แต่ว่า คุณสามารถดึง Code มา Build ได้ในเวลาข้ามคืน สามารถ submit patch ขนาดไม่กี่ร้อยบรรทัด เข้ากับโค้ด และสร้าง distro ใหม่ได้ตลอด ต้นทุนการเช่า server มา deploy มันก็ไม่กี่พัน มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ สำหรับการทำงานแบบปัจเจก แต่กรณียา ตอบได้เลยว่าไม่มีทาง ใครจะจ่ายค่าทำแล็ป? คุณทำแล็ปที่บ้านได้ไหม? ใครจะติดตามผลคนไข้? ใครจะตามประกบหมอ? ถ้ามี pool ของงานวิจัยอยู่ตรงกลาง จะมีเภสัชซักคนเดินดุ่มๆเข้าไปหยิบมาทำแลปเองได้ไหม? หาสารตั้งต้นจากไหน?  แล้วถ้าเขาเกิดทำสำเร็จ เขาจะผลิตมันยังไง? เช่าโรงงานเอง? หรือวางผังไว้ตรงกลาง รอนายทุนมาเอาไปทำกำไร(เฮ้! แล้วคนทำล่ะ? ไม่มีสปอนเซอร์ แลปก็จ่ายเอง สารก็จ่ายเอง จะเอาอะไรกิน?) และคุณยินดีจริงๆหรือ ที่เห็นการเอาคนไข้เป็นหนูทดลองแบบต้นทุนต่ำ เพียงเพื่อจะได้เอาระบบลิขสิทธิออกไป? คุณจะพบว่าทุกขั้นตอนมันมีขั้นตอนมาก มากเกินกว่าปัจเจกที่ไม่มีการสนับสนุนทางการเงินจะเข้ามาทำได้ นอกจากนี้การที่ลินุกซ์ ไม่ใช้กลไกลิขสิทธิตามปกติ เพราะ ตัวมันเองไปพึ่งพิงกับภาคบริการ และเป็นเสาค้ำกิจการอื่นในเครือ ช่นการการันตีว่าเซอร์เวอร์ออกมา จะมี OS ใช้ และตัว Server ก็มี "สิทธิบัตร" กำไรจากเซอร์เวอร์ เป็นตัวจ่ายเงินให้คนไปพัฒนาฟรีๆ(จริงๆก็ไม่ฟรี) ในตัว linux จะเห็นได้ว่า มันจะต้องมีการคุ้มครองสิทธิบัตรในตัวแกน ที่สำคัญต่อธุรกิจเสมอ ไม่งั้นมันก็ไปไม่รอด แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 08:05:09 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 08:03:26 จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:46:38

ความคิดเห็นที่ 26 ทีนี้มาดูกันเรื่องราคาของแท้ คุณว่าเกมหนึ่งเกม ใช้งบพัฒนาเท่าไหร่ครับ?  Mass Effect ใช้งบ 3 ล้าน USD = 90 ล้านบาท งบนี้ย่อมไม่รวม "ค่ากล่อง ค่าแผ่น และอื่นๆที่คนก๊อปก็ใช้เหมือนกัน" http://www.snootysims.com/forums/viewtopic.php?f=21&t=29317 ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่า คนก๊อปได้เปรียบต้นทุนคนทำไปแล้ว 90 ล้าน ถ้าทำขาย 1 ล้านแผ่นเท่ากัน คนแรกขาย 100 บาทได้แค่เท่าทุน(คิดค่าแผ่น 10 บาท) คนก๊อป ขายร้อยนึง กำไร 90 เห็นเลยว่ากำไรห่างกัน 9 เท่า ตกลงว่า แผ่นมันแพง ไม่สมเหตุสมผล หรือสมเหตุสมผล? และไม่ว่าปรับไปขายที่แผ่นราคาเท่าไหร่ก็ตาม ต้นทุนคนก๊อปย่อมถูกกว่าเสมอ อาจจะบอกได้ว่า เมื่อคำนึงถึงต้นทุนแล้ว แผ่นก๊อปที่ว่าถูกนั่นต่างหาก ที่แพงแบบไม่สมเหตุสมผล คุณยังเข้าใจผิดกับการจดลิขสิทธิอีก ลิขสิทธิไม่ต้องจดครับ มันได้รับการคุ้มครองโดยอัตโนมัติทันทีที่สร้างขึ้นมา(ไปลองหาอ่าน พรบ ลิขสิทธิดู) ดังนั้นใครละเมิดในประเทศ เขาฟ้องได้ทันที ลิขสิทธิไม่เหมือนสิทธิบัตร และบริษัทเทคโนโลยีไม่มีบริษัทไหนไม่มีสิทธิบัตร ทุกบริษัทแข่งกันจดทั้งนั้น เพราะต้องเอาไว้ใช้ทั้งป้องกันตัว และระดมทุน แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 07:58:51 จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:58:08

ความคิดเห็นที่ 27 ราคาในญี่ปุ่นไม่แพงรากเลือดจริงหรือ? ผมเคยไปอยู่ บอกได้เลยว่าแพงมาก โฟโต้ชอปราคาเป็นแสน อยู่ในกลุ่มเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่ http://psd.tutsplus.com/articles/tools/photoshop-pricing/ โฟโต้ชอปขายกัน 1500 USD = 4 หมื่น 5 พันบาท ต่อให้ปรับค่าครองชีพแล้ว(จับ / 5) ก็ยังเกือบๆการจ่ายเงินหมื่นสำหรับคนไทย คนที่โน่นนอกจากระดับอาชีพ เขาไปใช้ app อื่นที่ถูกกว่านี้ ซึ่งตามที่ผมบอก app พวกนี้มันขายได้ ก็เพราะ photoshop มันขายอยู่ 4 หมื่น ถ้ามันเหลือ 150 (เพราะตามคำที่คุณว่า 4 หมื่นไม่สมเหตุสมผล) app พวกนั้นก็ตายหมด มีคนพยายามทำฟรีเหมือนกัน อย่าง GIMP แต่พบว่า มันไม่ไปไหน ฟีเจอร์ห่าง โฟโต้ชอป และซอฟแวร์เชิงพาณิชอื่นๆมาก ถ้าไม่ต้องมีลิขสิทธิแล้วคนจะแห่กันทำ ทำไม GIMP ไม่เก่งเท่า โฟโต้ชอปเสียที? แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 08:14:30 จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 08:09:10

ความคิดเห็นที่ 28 บางทีคุณอาจจะยอมรับได้ง่ายกว่า ถ้าผมบอกว่า ทุกการกระทำมีต้นทุน คือเวลา ไม่ว่าคุณจะผัดข้าวผัด ทำโต๊ะ เขียนโปรแกรม หรือวิจัยยา และงานที่ได้จากการทุ่มเทเวลาให้มันมาก จะดีกว่างานที่คุณให้เวลากับมันน้อย ถ้าคุณต้องการให้คนทำอะไรซักอย่างเต็มเวลา คุณต้องทำให้การกระทำนั้น "เลี้ยงชีพ" ได้ ไม่งั้นเต็มที่เลยมันก็จะเป็นแค่งานอดิเรก วิธีที่โลก ใช้ให้การกระทำนั้นเลี้ยงชีพได้ คือยอมรับว่าความคิดมีคุณค่า มีราคา ซื้อขายได้นั่นเอง ทำไม GIMP สู้โฟโต้ชอปไม่ได้? เพราะกลุ่มแรกทำเมื่อว่าง แต่กลุ่มที่สอง Adobe จ้างให้ทำอย่างน้อยแปดชั่วโมงต่อวัน คนทำ GIMP ทุ่มเทขนาดนั้นไม่ได้ เพราะยังต้องกินต้องใช้ ถ้าเอาลิขสิทธิออกไป กลุ่มที่สองก็จะหายไป เราจะมีพัฒนาการ ลงมาเหลือเท่าๆ GIMP (หรือช้ากว่า เพราะคนจะเลือกเรียนสาขาด้านนี้น้อยลง เพราะมันทำเงินได้น้อยลง ทำให้จำนวนวิศวกรน้อยลงด้วย) Linux ล่ะ? Linux ในช่วงแรก โตช้านะครับ FSF สร้างองค์ประกอบมารอนานตั้งเท่าไหร่กว่า Kernel ตัวแรกจะหลุดมาประกอบร่างได้ และอาจไม่มีวันโตเลยด้วยหากบริษัทต่างๆไม่ส่งทีมเข้ามาทำ เพราะหวังขายเซอร์วิสทีหลัง ทำไมคุณไม่เห็น Native Game บนลินุกซ์ระดับเดียวกับ PC? เพราะมันขายไม่ได้ครับ ก็เลยไม่มีคนทำ ง่ายๆแค่นี้เอง จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 08:23:38

ความคิดเห็นที่ 29 ผมมองต่างมุม แสดงว่า ลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ วิชาชีพ จะเอา วิศวกรรม ไปเทียบไม่ได้ครับ... แต่ที่เราพูดถึง กำลังบอกว่า ถ้าไม่มีลิขสิทธิ์ ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะยังคงสามารถพัฒนาต่อไปได้หรือไม่ ถ้าได้ แสดงว่า ลิขสิทธิ์เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ใช่หรือไม่ (นี่คือประเด็น) เรื่องเกมบน Linux ทำไมไม่ค่อยมีคนทำ ต้องมองก่อนว่า OS LInux มันเกิดมาเพื่ออะไร เหตุผลของ LInux ที่เกิดมา ดั้งเดิมเพื่อเป็น server และหรือ control  ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ด้าน entertain ตั้งแต่แรก (พูดง่ายๆ ว่าไม่สนับสนุน แต่อยากให้มีก็ได้) เช่น MAC-OS เป็นก็แตกหน่อจาก Linux ไปไม่ใช่หรือ แถมเกมปัจจุบันเพียบและดีด้วย ราคาเกมเองก็ไม่ได้แพงเว่อร์ด้วยซ้ำ เพราะคนกลางสามารถกำหนดบทบาทที่ดีให้กับระบบได้ นี่ต่างหากที่กล่าวถึง หากแม้นมี ลิขสิทธ์ แต่หากสามารถกำหนดราคาที่เป็นธรรม สมเหตุผล ยังไงมันก็สามารถขายได้ โอกาสลอกแบบก็น้อยมากหรืออาจไม่มีเลย...(ที่พูดคือประเด็นนี้) เรื่องประเด็นการเลี้ยงชีพ ผมเห็นด้วย เพียงแต่ว่าทุกวันนี้บทบาทนั้น ถูกกลืนไปกับกลุมบุคคลที่แอบอ้างเอา ลิขสิทธิ์มาใช้เป็นเครื่องมือ หรือไม่? ที่พูดมาแต่ต้นก็เช่นเดียวกัน หากแม้นไม่มี ลิขสิทธิ์ แล้ว เรายังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นได้ต่อไปหรือไม่ แน่นอนต้องมัคนที่ดำเนินการเป็น ผู้ควบคุมโครงสร้าง (^ ได้สาธยายามาหมดแล้วว่ามีอะไรบ้าง) ก็ย่อมเป็นเหตุผลได้ว่า แม้ไม่มี เรื่อง ลิขสิทธิ์ ผู้พัฒนาเองยังคงได้รับผลตอบแทน และสามารถพัฒนาต่อยอดได้เรื่อยๆ เช่นเดียวกัน (อาจมีผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่ได้พอตัว) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:00:18

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ เรื่องราคาผลิตภัณฑ์ ควรเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศสิ เอาผลิตภัณฑ์ต่างชาติไปเทียบมันก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ยกตัวอย่าง กระเป๋าหัตถกรรมของไทยเรา หรือผ้าไหมไทย ฯลฯ พูดถึงญี่ปุ่น แต่ดันเอา Photoshop(ของใครหว่า???) แล้วราคามันจะไม่สูงได้อย่างไร ต้องนำเข้าแท้ๆ ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:04:05

ความคิดเห็นที่ 31 #26# ที่พยายามถามมาก็เรื่องนี้แหละ ว่าหากแม้นไม่มี ลิขสิทธิ์แล้ว การพัฒนาจะเป็นเช่นไร? จริงหรือที่จะไม่มีใครพัฒนาอีกเลย? โดยเฉพาะด้านการแพทย์ อีกอย่าง เพราะการมี สิทธิบัตร และ ลิขสิทธิ์ นี่ใช่หรือไม่? ที่ไปปิดโอกาสการพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่ควรจะเป็น? เพราะมัวแต่ฟ้องเอาผลประโยชน์ ในขณะที่ผู้พัฒนาก็กลัวจะไปซ้ำแบบความคิดอยู่นั่นแหละ แม้นว่าความคิดดังกล่าวอาจต่อยอดพัฒนาออกไปและแก้ไขกระบวนการบางอย่างที่ไม่ดี จากของเดิมก็ตาม (นี่ต่างหากที่อยากพูดถึง) ถ้าสิ่งเหล่านี้ใช่ แสดงว่า ลิขสิทธิ์เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มบุคคล ที่ต้องการผลประโยชน์ (ใช้เป็นข้ออ้าง) ใช่หรือไม่? คำถาม ใครกันแน่ที่เสียประโยชน์ ? ผู้สร้าง(นักวิจัยตัวจริง) หรือว่า ผู้ขาย(กลุ่มบริษัทฯ ที่ใช้ลิขสิทธิ์เป็นเครื่องมือ) ??? ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:30:55

ความคิดเห็นที่ 32 #29 ลิขสิทธิ์เป็นเครื่องมือครับ เพื่อเร่งนวัตกรรม และนวัตกรรมบางอย่างอาจจะเกิดไม่ได้เลยหากปราศจากสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา กรณี ของ MAC OSX นี่เป็น Close Source มันแตกออกจาก UNIX ก่อนหน้าที่จะมี Linux ดังนั้นมันเป็นผลผลิตของเอกชน 100%  ภายใต้ระบบลิขสิทธิ์ นอกจากนั้นไม่เคยมี OS ใด เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์ทาง entertain ครับมันเกิดมาเพื่อทำงาน หลังจากนั้นเมื่อ entertain ขายได้ จึงมีเกมแห่ไปลง linux ไปไม่ถึงจุดที่ขายได้ มาดูตรงนี้อีกนิดหนึ่ง "สมมุตื" ว่าไม่มีระบบลิขสิทธิ linux model เป็นระบบที่ใช้ในซอฟแวร์ทั่วประเทศ linux นี่ user friendly มั้ยครับ? ร้อยทั้งร้อยคงตอบว่าไม่ ถึงมันจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ช้ามาก มากกว่าซอฟแวร์เชิงพาณิชย์ เพราะอะไร? เพราะคนทำ คือโปรแกรมเมอร์ เพื่อโปรแกรมเมอร์ โดยโปรแกรมเมอร์ ถ้าคุณอยากได้อะไรบางอย่าง แต่เขียนโปรแกรมไม่เป็น สิ่งที่คุณจะได้รับก็ช้ามาก เพราะแรงขับของการพัฒนาคือความพอใจของคนทำ ซอฟแวร์เชิงพาณิชย์จะต่างไป เพราะแรงขับของการพัฒนาคือความพอใจของลูกค้าที่อาจไม่ซื้อ ถ้าทำอย่างที่ลุกค้าต้องการไม่ได้ เรื่องราคา ประเด็นที่ผมชี้คือราคาที่เป็นธรรมนี่แหละ ว่าโดยตัวมันเองแล้ว วัดไม่ได้ หากไม่มีการรับรองสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญา คุณจะตัดโฟโต้ชอปออกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีการคุ้มครองทรัพยฺ์สินทางปัญญา คุณอาจพบว่าซอฟแวร์ราคาห้าพันบาท ก็ขายไม่ออกอยู่ดี เพราะโดนก๊อปขายแผ่นละสองร้อย โปรแกรมที่พัฒนาโดยจ้างโปรแกรมเมอร์สองคนทำงานสิบเดือน ใช้เงินไปแล้วสามแสนบาท ถ้าก๊อปได้อิสระ ยังไงคนก๊อปขายก็ได้เปรียบ ถ้าจะไม่ให้คนก๊อป คุณก็ต้องรับประกันสิทธิ ของคนทำ เอาละ คุณอาจบอกว่า เอามันทิ้งไปให้หมดเลย ผมยอมช้า ขอให้มันถูกๆก็พอ เพราะ*(อาจมีผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่ได้พอตัว)* อีกสิบปีผ่านไป ประเทศที่คิดแบบนี้ก็จะมีนวัตกรรมตามหลังคู่แข่งที่ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาแบบเต็มตัว เพราะประเทศที่สนับสนุนเต็มตัว สามารถสร้างคนมาทำงานเต็มเวลาเพื่อวิจัยด้านนี้เลี้ยงปากท้องได้ ในขณะที่ประเทศที่ไม่หนุนมัน คุณทำมันได้แค่งานอดิเรก นี่คือสาเหตุว่าทำไมทุกประเทศในโลก "เร่ง" ใช้กฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคนที่ไม่มีจะค่อยๆล้าหลัง โดนทิ้งไปในที่สุด จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:33:18

ความคิดเห็นที่ 33 ผมพูดไปตั้งแต่ 17 แล้ว ว่าระบบของอเมริกา มันก็ก่อปัญหาไว้เยอะ นั่นเป็นปัญหาในทางการ นำมาใช้ ไม่ใช่ปัญหาในทางหลักการว่าควรมีหรือไม่ อย่างถ้าให้ผมแก้ไข ผมก็จะแก้แบบนี้ 1. สิทธิบัตรยา เริ่มนับจากวันที่ FDA อนุมัติขาย 10-15 ปี 2. ไม่อนุญาตให้จดสิทธิบัตรอนุพันธ์เกี่ยวเนื่อง หากไม่มีข้อบ่งชี้เฉพาะที่เหนือกว่าตัวยาเดิม ด้านการแพทย์ถ้าไม่มีสิทธิบัตร ผมบอกได้ว่าแทบไม่มีทางเกิดเลยครับ วิจัยในตัวคนไข้สิบปี เก็บประวัติ บวกผลข้างเคียงของคนไข้สองร้อยคน นี่ก็เกินขอบเขตที่จะสามารถทำได้ในรูปของงานอดิเรกแล้ว แน่ละ มันจะยังมีการผลิตยาขาย ในโรคทั่วๆไป เพราะฐานมันกว้าง ยอมเสียต้นทุนตรงนี้ก็ยังไหว แต่โรคยากๆ ที่มีคนเป็นน้อยๆ งานวิจัยจะไม่เดิน ที่ยามะเร็งแพง เพราะจำนวนเม็ดที่มันขายได้ น้อยกว่ายาแก้หวัดไม่รู้กี่สิบเท่า แต่ต้นทุนงานวิจัยสูงกว่า(หาคนเป็นยากกว่า จำเพาะกว่า) ถ้าไม่ปกป้องสิทธิบัตร ยอมให้เขาขายแพงๆได้ เขาก็จะพบว่า ไปวิจัยยา ปลูกผม ลดความอ้วน แก้สิว สูตรใหม่ คุ้มกว่าทำยาโรคมะเร็ง จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:39:33

ความคิดเห็นที่ 34 ประเด็นที่ว่า Gimp << Photoshop อันนี้เทียบแบบไหน.. user by user หรือ user by OS... ถ้ามองให้ถ้วนถี่ อัตราส่วนการใช้งานก็ไม่ได้แตกต่างกันมากหรอก การร่วมกันเพื่่อเขียนโปรแกรมที่ดีมี หากเข้าใจการทำตลาด ไม่ใช้ขายลูกเดียว ฟันกำไรบานเบอะ แล้วจะไม่ให้มีแผ่นผีได้อย่างไร... เอ้าว่ากันด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวก็ได้... มาตีแผ่กัน...(นับแค่โปรแกรมเดียวนะ) Photoshop โปรแกรมละประมาณ 50,000. ใช่ไหม... คำถาม ทีมเขียนโปรแกรมควรมีกี่คน 50 คนพอไหม เอ้าให้ 500 คนเลยเอ้า สมมุติว่าเขียนโปรแกรมนี้แล้วกะมีกิน(และพอใช้ยันตาย) หนึ่งคนโปรแกรมเมอร์ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไร เอ้าให้เดือนละ 30,000. พอไหม สมุติว่าเขียนตอนอายุ 30 แก่ตายตอน 90 พอใจไหม (จะเขียนโปรแกรมเดียวตลอดชีวิตหรือเปล่าหละ???) -ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น(ค่าสมอง) = (90-30) x 12 x 30,000. = 21,600,000. x 500 คน = 10,800,000,000. บาท -ค่าผลิตภัณฑ์(ค่าบรรจุและการตลาด) แบบพื้นๆ 1,500. บาทต่อโปรแกรม พอไหม(สมมุติว่าพอ) ขายโปรแกรมนี้ทั้งโลกใบนี้ คิดแค่เวอร์ชั่นเดียวนี่แหละ คิดเล่นๆ โลกใบนี้มีประชากรราวๆ 8,000. ล้านคน สมมุติ แค่ 10.ล้านเครื่องที่ต้องใช้ โปรแกรมนี้ละกัน(คงไม่มากไปใช่ไหม) โปรแกรมนี้ควรมีมูลค่าเท่าไหร่... 10,800,000,000./ 10,000,000. = 1,080.+1,500. = 2,580. บาทต่อโปรแกรม (เห็นภาพหรือยัง) ค่าการตลาดตลอด 60 ปี = 300 x 10,000,000.(คิดแค่ 1/5, 1,500.x0.2) เท่ากับ 50,000,000. บาทต่อปี (พอไหม) คำถาม... ตกลงลิขสิทธิ์ นี่มันเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ของคณะบุคคลหรือเปล่า??? ถ้าไม่มีมันแล้ว เราจะไม่พัฒนา หรือเลิกพัฒนาเพราะไม่มีสิทธิการคุ้มครอง? จริงหรือ??? ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:02:38

ความคิดเห็นที่ 35 ทีนี้มามองในผลิตภัณฑ์ที่ไม่มี ลิขสิทธ์ กันบ้าง... ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด.... อาหาร (ที่เราๆ ท่านๆ กินกันอยู่นี่แหละ) ทุกวันนี้ วงการอาหาร พัฒนาไปมากแค่ไหน เทียบกับยุคเมื่อ 50 ปีก่อนพอ... คงไม่มีใครไปแอบจด ลิขสิทธิ์ ข้าวใข่เจียว นะ ^&^' ที่บอกเช่นนี้เพราะเห็นชัดว่า อาหารเองมีการพัฒนาต่อยอด อย่างมากและแทบจะทุกวัน ที่เราได้ยินข่าว เทคโนโลยีเอยฯ รายการอาหารที่แปลกใหม่เสมอๆ เอย แทบจะทุกวัน ให้ 3 วันครั้งก็ได้เอ้า แล้วไปเทียบกับ ผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มี เครื่องมือ (ที่ทำให้การพัฒนาไปได้เชื่องช้า แถมมุ่งแต่ประโยชน์เห็นแก่ได้) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:11:34

ความคิดเห็นที่ 36 เอาเป็นว่า   พวกเรานี่  มีใครคิดอะไร ได้ ใหม่ๆมั้ย  ได้ทุ่มเทเวลาทำนวัตกรรมใหม่บ้างหรือเปล่า จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:13:32

ความคิดเห็นที่ 37 APP iphone  ขายกันได้ 30 บาท ..คนทำยังรวย ยังอยากทำ APP ใหม่ๆกันเรื่อยๆ ถ้าทำ PHOTO SHOP ออกมา ขาย 300.-  ผมว่า รวยกว่า ขายครึ่งแสนแบบตอนนี้แน่ๆ ของปลอมก็ไม่กล้าก๊อบ เพราะ โทษหนักเท่าก๊อบของราคาหมื่น จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:14:11

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ต้อง 300. หรอก ให้ 5,000. เลยเอ้า ถ้ามันดีจริงและขายสมราคาตามเหตุผลที่ควรเป็น ใครมันจะอยากลอกแบบขายหละ เพราะทำไปก็ไม่คุ้ม... ยาต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน หากอยากจะตามเชื้อโรคให้ทัน และพัฒนาไปสู่ยุค (อมตะ) ควรลดบทบาทด้านการฟ้องร้องการลอกแบบทั้งหลาย (แบบในจีนยุคหนึ่งที่ dvd clone กันกระจาย) ดังนั้นสิ่งที่ผู้สร้างต้องทำคือ พัฒนาต่อยอดไป (นิ่งก็อดตาย) ทีนี้มันจะพัฒนาไปอย่างไรนี่สิ น่าสนใจมากกว่า ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:22:52

ความคิดเห็นที่ 39 #36 งานเต็มเวลาผมครับ #34 ถูกมากครับ ทำขายสิครับ แล้วคุณจะพบว่า ในราคานั้น คุณทำไม่ได้จริง เพราะอะไร? เพราะถ้าราคานั้นทำได้ เราควรเห็นผลิตภัณฑ์อื่นที่ฟีเจอร์เท่าๆกัน ออกมาตัดราคาในระดับนั้นแล้ว แต่เราไม่เห็นเลย ทำไมล่ะ? สำหรับโลกทุนนิยมที่เอากำไรตั้ง? เพราะมัน "ไม่มีกำไร" ในราคา/ต้นทุน ระดับนั้น จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:27:20

ความคิดเห็นที่ 40 #38 ผมแทบไม่เคยได้ยินการฟ้องร้องในวงการยา เอาจริงๆนะ ของวงการยานี่ค่อนข้างจะถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักไปทาง cross license ผมสรุปสั้นๆเลยละกัน คุณจะคิดโลกสวยยังไงก็ได้ ว่าถึงไม่มีก็อยู่ได้ ขายถูกกว่าก็อยู่ได้ ถ้าทำได้จริงก็ทำสิครับ หรืออย่างน้อยเราควรจะเห็นใครบางคนทำ แต่เราไม่เห็น เพราะอะไร? ทั้งโลกวิสัยทัศน์สั้น หรือว่าสมมติฐานที่คุณยกมาไม่สมเหตุสมผล เลือกเอง ถ้าทั้งโลกวิสัยทัศน์สั้น นี่คือโอกาสทำกำไรที่ยิ่งใหญ่ คุณอาจรวยแบบบิลเกตต์ และสร้างการวิจัยได้อย่างที่คุณอยากทำ ถ้าไม่ใช่ คุณก็รู้ว่าควรทำยังไง จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:30:22

ความคิดเห็นที่ 41 พอแระ เดี๋ยวกระทู้เบี่ยงประเด็น...ไปเรื่อง กำไร/ขาดทุน(เอ กำไรน้อยมากกว่ามั๊ง) สรุป เห็นด้วยว่าควรลอกแบบ เพียงแต่ เมื่อลอกแบบแล้ว ต้องมุ่งเน้นต่อยอดการพัฒนาออกไป (มีหนูทดลองอยู่แล้ว) หลายคนอาจมองด้านมนุษยธรรมว่าไม่ควร ในความเป็นจริง เมื่อคุณรู้ว่าไม่สามารถซื้อยาราคาสูงได้ แต่มียาทดลองให้ใช้ ในราคาที่ถูกมากๆ หรืออาจฟรี (แน่นอน มักจะรับรู้โดยปริยายว่าเป็นหนูทดลอง) ยังคงต้องการรับยานั้นๆ หรือไม่? ผมเชื่อว่าสำหรับประเทศที่ถูกกีดกันในเรื่องระบบการขาย โดยเฉพาะกรณีอินเดีย-อเมริกา แล้ว ผมเห็นด้วยที่ควรลอกแบบตัวยา ใครก็คิดได้ ถ้ามีความรู้นั้นๆ แสดงว่าสิ่งที่คิดไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หรือเป็นเรื่องเฉพาะ ดังนี้แล้ว เหลือแต่ว่าเมื่อดำเนินการแล้วคนกลาง(สำคัญมากๆ) มีบทบาทอย่างไรในการจัดการเรื่องเช่นนี้ ^&^' แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 10:43:02 จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:40:51

ความคิดเห็นที่ 42 #41 ตอนนี้ก็มีการทดลองในคนไข้ มีการติดตามผล และคนไข้รู้ด้วยว่าตนเองเป็นคนทดลองยา ประเด็นมันอยู่ตรงค่าใช้จ่ายในการติดตามผลต่างหาก ที่หากไม่มีเงินซัพพอร์ต มันทำไม่ได้ ปัจจุบันยาถูกกำหนดว่าต้องผ่านการทดลองในสัตว์ ก่อนแล้วจึงมาทดลองในคน ดังนั้นโอกาสที่คนลองยาจะตาย มันน้อยมากๆๆๆๆ แต่ถ้าเอาแบบที่คุณว่า ใครจะจ่ายงบทดลองในสัตว์? ถ้าโรคยากๆอย่างมะเร็ง แต่ตั้งราคาขายไม่ได้ ใครจะทดลอง? ผมจี้โจทย์พวกนี้ตลอด แต่คุณก็ไม่ตอบ ตอบแต่ว่ามันจะมีคนทำ ผมถึงถามต่อว่า ถ้ามีคนทำ ทำไมตอนนี้ไม่มีคนทำ กรณีกำไรน้อย ค้าปลีกกำไรชิ้นละ 1% เซเว่นกับวอลมาร์ต ยังทำจนครองโลกได้ ดังนั้นมันไม่ใช่กำไรน้อยละครับ มันไม่มีกำไรเลยต่างหาก ข้อแรก ในอเมริกาคุณต้องคูณ ค่าแรงไปอีก อย่างน้อยโปรแกรมเมอร์ 1 คน คือ 1.5 ล้านต่อปี และในระดับเก่งๆที่ต้องใช้ อาจจะแพงกว่านั้นได้อีก 2-3 เท่า ข้อสอง โปรแกรมออกกันทุกปี ข้อสาม คุณมองเหมือนไม่มีคู่แข่ง ทุกคนซื้อผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน ใช้กันทั่วโลก ซึ่งมันไม่ใช่ คุณไม่ได้บวกต้นทุนให้กับดีไซเนอร์ นักการตลาด คนทำโฆษณา และเซลแมน ข้อสี่ คุณไม่ได้มองต้นทุนของผลิตภัณฑ์ทางอ้อม ซึ่งไม่ได้สร้างกำไรโดยตรง แต่มันจำเป็นต้องแบกอยู่ด้วย เช่นมาตรฐาน pdf, flash ฯลฯ อย่างที่ผมบอก ทั้งโลกวิสัยทัศน์สั้น หรือสมมติฐานคุณไม่สมเหตุสมผล มันมีแค่สองอย่าง คาใจมากกับคำว่าใครๆก็คิดได้ สิทธิบัตรมอบให้กับสิ่งที่มี "ขั้นการผลิตที่สูงขึ้น" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า  novelty and non-obviousness. หมายความว่า "ไม่ใช่ใครๆก็คิดได้" ครับ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเท เพื่อคิดมันขึ้นมา แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 11:00:26 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 10:54:30 จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 10:52:36

ความคิดเห็นที่ 43 http://en.wikipedia.org/wiki/Economics_and_patents ไม่รู้จะมีคนอ่านไหม Costs versus benefits of the system A patent system encourages innovations in some cases and discourages it in other cases. For example, studies have shown that the average patent litigation costs in the software industry are twice the average patent portfolio value. In pharmaceuticals, on the other hand, the benefits of the system exceed the costs.[2] จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:06:20

ความคิดเห็นที่ 44 คนทำมีครับ... ไปดูได้ ทั้งที่จีนเอย อินเดียเอย แม้กระทั่งไทย... มีดร.ถูกฟ้องร้องและเป็นข่าวทุกวันนี้มีเพียงหนึ่งท่าน คือ ดร.กฤษณา ที่เป็นข่าวในจีนนี่มีอีกเยอะครับ แต่อเมริกายังทำไรไม่ได้ ก็เท่านั้น ถามต่อท่านเอางบมาจากไหน มีเยอะแยะเลยครับที่แหล่งเงินทุนยินดีให้ท่านนะ กระทู้นี้ถึงพยายามตอบคำถามว่าเรื่อง สิทธิ์บัตร/ลิขสิทธิ์ เป็นสิ่งชอบธรรมหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงข้ออ้างในการเรียกร้องเอาผลประโยชน์ โรคยากๆ มะเร็งเอย เอดส์เอย นี่ยังไม่ยากอีกหรือ(ดร.กฤษณา ท่านเองก็ศึกษาหลายโรคเช่นกันนะครับ งานวิจัยท่านเพียบ หาอ่านได้ ก็ไม่ได้ผ่านระบบ บริษัทฯ ที่อ้างเครื่องมือหากินทั้งหลายเลย) ทุกวันนี้เมื่อมีแหล่งเงินทุน มีศักยภาพพอ มีนักวิจัยที่ดีมากมายพอ (คำว่าใครๆ ก็คิดได้ ไม่ใช่คำกล่าวอ้างเลื่อนลอยครับ) เพราะมันสามารถคิดได้และทำได้จริง ส่วนไอ้ที่ไม่มีคนทำหรือทำน้อย ก็ใครมันจะกล้ามาประกาศทนโท่ละครับ ว่ากำลังลอกแบบงานนี้อยู่ เพียงเพื่ออาจจะนำไปใช้พัฒนาหรืออะไรก็แล้วแต่ ขนาด CL ยังเก็บเป็นความลับไป บลั๊ฟ กันในบางเคสเลย... ก็แหมฟ้องกันซะขนาดนั้น... ถึงได้บอกว่าถ้าเลิกฟ้องแล้ว ต่างคนต่างพัฒนา อาจมีเงื่อนไขให้เฝ้าดูก็ได้ งานทุอย่างในโลกนี้จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ไหม?? (นี่คือประเด็นที่ผมพยายามตั้งคำถาม) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:27:04

ความคิดเห็นที่ 45 จัดไปหนึ่งดอก จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:35:30

ความคิดเห็นที่ 46 #44 ผมเข้าใจว่ายาที่ ดร.กฤษณา ทำ เป็นยาที่พ้นระยะการคุ้มครองโดยสิทธิบัตรนะครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:37:18

ความคิดเห็นที่ 47 #44 ต่างเยอะเลยครับ นั่นคือ "การลอก" ไม่ใช่การ "คิดค้นสิ่งใหม่" ไม่มีใครบอกว่า มีกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญาแล้วจะไม่มีใคร "ลอก" นะครับเขาบอกกันว่า ถ้าไม่มี "จะไม่มีใครคิดของใหม่" กฏเกณฑ์ที่รอมชอมกันในปัจจุบันคือกฏ FRAND นั่นคือ ต้องอนุญาตให้ใช้สิทธิในราคาที่เป็นธรรม และไม่แบ่งแยก แต่เป็นคนละเรื่องกับการไม่รับรองสิทธิ และปล่อยฟรีสไตล์ลอกอย่างอิสระ จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:37:19

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ถึงพยายามถามไงครับ ถ้าลอกอิสระสามารถกระทำได้จริง ตกลงใครเป็นผู้เสียประโยชน์กันแน่??? อีกอย่างผมไม่เชื่อเช่นเดียวกันว่า คนเราจะเอาแต่ลอกเขาอย่างเดียวโดยไม่ยอมพัฒนาแตกยอดสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกไป เพราะในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมากที่ไม่มีเรื่อง สิทธิบัตร/ลิขสิทธิ์ มาเกี่ยวข้องล้วนเห็นมากมายว่ามันสามารถพัฒนาต่อยอดออกไปได้มากมาย... แม้กระทั่งพวก เฟอร์นิเจอร์ที่เราๆ ท่านๆเห็น งานออกแบบเอยฯ แต่ถามว่ามันลอกเลียนแบบมาใหม? เชื่อว่าเกินครึ่ง ลอกเลียบแบบมาครับ เพียงแต่ไม่ลอกทั้งหมด เพราะต้องนำมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ (นี่ต่างหากที่ผมพยายามกล่าวถึง) ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:47:10

ความคิดเห็นที่ 49 #46# ตัวยาหากมีส่วนประกอบที่เข้าข่าย ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดที่ไปพ้องกับ ส่วนประกอบคล้ายกัน แม้จะต่างกันโดยสูตร ก็มีสิทธิ์ถูกฟ้องร้องได้ครับ ที่ท่านโดนฟ้องข้ามประเทศเลยก็เรื่องนี้แหละ โดน บริษัทฯ ยาข้ามชาติฟ้อง... ^&^' จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:49:45

ความคิดเห็นที่ 50 #48 นวัตกรรม มันจะช้าลงครับ เพราะถ้าไม่มีเอกชนมาทำ(เพราะไม่มีกำไรให้) ทุกอย่างจะเทกลับไปที่ภาครัฐ ไปดู คห 9 แล้วมีรัฐบาลไหนในโลกทำอะไรเทือกๆนี้ได้ดีเท่าเอกชน?(ไม่เคยเห็นในประวัติศาสตร์) เรื่องอาหารกับเฟอร์นิเจอร์ กลับไปอ่าน คห 21 ใหม่ "สำหรับงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ด้วยตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ครับ ที่ไม่มีสิทธิบัตร คนก็คิดไปเรื่อยๆ แต่สำหรับงานที่ซับซ้อน ต้องใช้ทีม ใช้ระยะเวลายาวนาน ตอบได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้" ใครเสียประโยชน์นี่ต้องดูที่จุดเวลา จุดเวลาที่ 1 : ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีทรัพย์สินทางปัญญา ก๊อปไม่ได้ ไม่มีใครเสียผลประโยชน์ การเกิดนวัตกรรมช้ามาก จุดเวลาที่ 2 : มีนวัตกรรม(จากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเดิม) กำลังจะอนุญาตให้ก๊อปกระจาย เจ้าของทรัพย์สินเดิมเสียประโยชน์ งบวิจัยเอกชนลดลง ความเร็วของนวัตกรรมใหม่ช้าลง คนเสียประโยชน์อีกกลุ่ม คือ คนในอนาคตที่อาจจะได้ใช้นวัตกรรม จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:31:37

ความคิดเห็นที่ 51 เรื่องกำไร เข้าใจได้อยู่ครับ แต่ที่มองว่าทุกวันนี้มันมากเกินไปมากกว่า ราคาที่ขายกันก็เกินจริง บวกกำไร(ไม่รู้บวกกันซะขนาดไหน) กะรวยข้ามสิบชาติ อันนี้ต่างหากที่ผม โวยว่าทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์มันเกินจริงไปมาก เมื่อเกินจริงไปมาก ก็ไม่แปลกใจที่การลอกแบบย่อมให้ผลประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมากกว่า แม้จะเสี่ยงต่อกฏหมายก็ตาม ถ้าราคานั้นสามารถสะท้อนเหตุผลสมจริงนะครับ.. ไม่ว่าจะวงการไหนๆ ก็ไม่มีใครอยากลอกแบบหรอก แค่เลียนแบบแล้วพัฒนาต่อยอดขายไม่ง่ายกว่า ดีกว่าหรือ ไม่เสี่ยงต่อการโดนฟ้องด้วยเท่าไหร่.. ส่วน นวัตกรรม (ไหนๆ ก็สาวยาวมา) มีองค์กรมากมายครับ ที่ไม่ใช่เอกชน และไม่ได้ค้าขายเป็นกิจลักษณะที่มีหน่วยงานวิจัยและสำรวจ ในเชิงกลุ่มครับ ของไทยเราก็เช่น ศูนย์วิจัยจุฬาภรณ์ ฯลฯ.. ผมจึงไม่เชื่อว่าเอกชนจะดีกว่าเสมอไป(ที่เรารู้สึกเช่นนั้น) เพราะอะไร? ซึ่งบางครั้งเอง บริษัทฯ ยาพวกนี้ต่างหากที่กีดกันการเข้าถึงข้อมูลด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่งานวิจัยบางอย่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาโดยตรงก็ตาม ส่วนนี้ต่างหากที่ผมโวย เพราะพวกนี้แหละอ้างคำว่า ลิขสิทธิ์ มาเป็นเครื่องมือเตะถ่วงโอกาสการพัฒนา ต่อยอดในการค้นคว้าออกไป ปล.มีตัวอย่างยาและการวิจัยบางชนิดที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ทั้งๆ ที่บทบาทของ FDA ไม่ได้ครอบคลุมเอกสารเหล่านี้ก็มี(ทั้งๆ ที่งานวิจัยนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับบริษัทฯ ยาเลยก็ตาม) พูดให้ง่ายๆ บริษัทฯ พวกนี้กลัวว่าถ้าปล่อยความรู้ส่วนนี้แล้ว คนอื่นจะสามารถทำซ้ำหรือพัฒนาต่อยอดในสิ่งซึ่งตนเองอาจเสียประโยชน์ในอนาคตออกไปต่างหาก นี่คือข้อเท็จจริง แล้วถ้าไม่มีเอกสารเหล่านั้น จะสามารถวิจัยเองได้ไหม ตอบ...ได้แน่นอนเพียงแต่ระยะเวลาอาจเนิ่นนานออกไป (พอแระ เมื่อย) ^&^' แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 13:04:26 จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:58:29

ความคิดเห็นที่ 52 #51 ถ้าเคสนี้ผมเห็นด้วย กฏหมายในประเด้นนี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างยิ่ง และควรแยกระหว่างกฏหมายของอุตสาหกรรมยา ออกจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอที(ซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟ้องร้องแบบบ้าระห่ำ เกินไปแล้ว) อาจต้องสรุปใหม่ว่า ผมเห็นด้วยกับกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา(และคุณก็น่าจะเห็นด้วย) แต่กฏหมายสิทธิบัตร ทั้งของยา และ ของวงการไอที ต้องทบทวนใหม่หมด เฉพาะของวงการไอที ผมเห็นว่าเราไม่ควรมีสิทธิบัตรด้วยซ้ำ(ไม่ควรมี Software Patent คุ้มครองแค่ตามกฏหมาย Copyrights) จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 13:03:15

ความคิดเห็นที่ 53 เห็นเถียงกันไปมา ผมว่าไปแยก ลิขสิทธิ์ กับ สิทธิบัตรออกจากกันก่อนครับ มุมมองของผม ลิขสิทธิ์ ยังไงก็ต้องมี เพราะมันเป็นการคุ้มครองผลงาน หรือ ป้องกัน copy ผลงานนะครับ จะห็นว่าวงการ software แทบจะไม่มีสิทธิบัตรเลย มีเพียงลิขสิทธิ์ มันต่างจากสิทธิบัตรที่คุ้มครองวิธีการ หรือแนวคิด ซึ่งผมเห็นด้วยกับคุณpanote_saechiew กล่าวมานั่นแหละครับ เมื่อก่อนผมเองก็มองว่าสิทธิบัตร มันคุ้มครองให้กับเจ้าของผลงานจริง ถ้าเป็นวงการยานี่ผมเห็นด้วยนะ มันมีขั้นตอนวิจัย เยอะแยะและละเอียดอ่อน แต่วงการ IT นี่สิ ใครเห็นสิทธิบัตรที่ apple ไปจดทะเบียน ipad แล้วไล่ฟ้อง tablet ทุกตัวในตลาดเห็นแล้วกุมขมับ มันถูกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อผลทางการตลาดเท่านั้น แล้วผมก็ไม่รู้ว่ามันจดกันได้ยังไง อาจจะจดเป็นอนุสิทธิบัตรก็ได้ การคุ้มครองอนุ ไม่กี่ปี ก็คุ้มค่าพอที่จะกีดกันการค้าบริษัทอื่น จากคุณ : X-Sy เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 13:43:10

ความคิดเห็นที่ 54 #53 อเมริกามี software patent ครับ เป็นความบ้าที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน = =" จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 13:47:40

ความคิดเห็นที่ 55 อันที่จริงมองกลับกัน ทั้งลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร ทำให้การต่อยอดทางความรู้ทำได้ง่ายขึ้นตะหาก ลองนึกถึงสมัยโบราณ แต่ละสำนักวิชาเก็บงำเคล็ดวิชาเอาไว้ หรือแม้แต่วิชาชีพต่างๆโดยเฉพาะช่างฝีมืออาชีพจะเก็บเทคนิคที่คิดค้นมาได้เป็นความลับ สอนให้ศิษย์เอกแค่รุ่่นต่อรุ่น ทำให้ความรู้หลายอย่างสูญหายไป เพราะกลัวว่าจะมีสำนักอื่นมาเลียนแบบ แล้วทำให้สำนักต้นสังกัดล่มสลาย แต่ปัจจุบัน จดสิทธิบัตรซะ ใครจะเอาไปใช่ต่อ จะเลียนแบบทำขาย หรือจะไปต่อยอด ก็ต้องอ้างอิืงสิทธิบัตรก่อน ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนกลัวคนเลียนแบบฟรีๆ #51 เอ่อจะบอกให้ว่าสถาบันวิจัยของรัฐไทย ทำผลงานออกมาน้อยมากๆเมื่อเทียบกับองค์กรเอกชนต่างชาตินะครับ งานวิจัยทางเทคโนโลยีใหม่ๆมาจากเอกชนทั้งนั้น อย่างโรงงานอิเล็คฯที่นึงของชาวดัชท์ เขามีสิทธิบัตรใหม่ๆจากสาขาต่างๆทั่วโลกในแต่ละปี มากกว่าสถาบันอุดมศึกษาของเรารวมกันเลยก็ว่าได้ ก็เข้าใจว่าด้วยเงินลงทุนที่แตกต่างกันมากๆด้วยเช่นกัน แต่ขนาดของเงินลงทุน มันก็เพิ่มจากค่าตอบแทนของผลสำัเร็จที่ได้ เขาเลยกล้าทุ่มมากกว่าเราไงล่ะ ส่วนไปเทียบกับทำข้าวผัด หรือเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องของศิลปะและบางทีก็ิคิดได้โดยใช้กลวิธีที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งมันก็อาจจะบังเอิญคิดตรงกันได้โดยไม่ต้องไปเลียนแบบได้ด้วยซ้ำ แต่งานวิจัยหรือเทคโนโลยีขั้นสูง มันยากมากที่จะบังเอิญคิดมาตรงกันครับ นอกจากจะตั้งใจวิจัยจากส่วนต่อแบบเดียวกัน ส่วนเรื่องsoftware ขอจำกัดไว้ที่ลิขสิทธิ์แล้วกัน เรื่องสิทธิบัตรมันมีปัญหาเพราะเมกาที่เดียว แต่จะให้แจกฟรี มันก็เห็นๆอยู่ว่าsoftware แจกฟรีมันมีความสามารถจำกัด ต่อให้พูดถึงเรื่องlinux มันก็เป็น OSพื้นฐาน ส่วนapplicationที่ซับซ้อนก็ขายกันแพงๆอยู่ดี ที่มีแจกกันก็เป็นตัวพื้นฐาน ใช้งานง่ายๆทั้งนั้น หรือแม้แต่OSก็เหอะ ในโรงงานเอกชนขนาดใหญ่เขาใช้Microsoft partnerทั้งนั้น ต่อให้เป็นUNIX basedเป็นSUN/HP-UX มีเอกชนขนาดเล็กหรืองานเฉพาะทางสุดๆที่จะใช้linux กันเป็นหลัก เพราะสิ่งที่open sourceไม่สามารถรับประกันได้ คือความปลอดภัยและการการันตีการแก้ไขครับ จริงอยู่ว่ามันก็มีบ.รับดูแลเป็นเรื่องเป็นราว แต่ยังไงก็สู้ตัวแทนจากบ.แม่ของOSเอกชนไม่ได้ครับ ยิ่งกับธุรกิจที่คิดประสิทธิภาพกับเงินสูงสุด เขาไม่ยอมเสี่ยงตรงนี้ (อ้อMS มีvirusหรือbugเยอะจริง แต่เขามีรับประกันว่าจะออกpatchแก้ไขให้ทันท่วงทีเสมอนะ) ส่วนเรื่องราคา เราคิดจากค่าครองชีพไทยๆไงครับ แต่คนผลิตเขาอยู่ประเทศที่เจริญแล้ว เขาก็ต้องคิดตามค่าแรงที่นู่น อีกอย่างถ้ามันแพงไปจริงๆ ก็ต้องมีคู่แข่งทำsoftware ที่มีfeatureเท่าเทียมกันมาแข่งในราคาขายที่ถูกกว่าได้ ที่เราว่าแพง เพราะไปคิดเทียบจากค่าCD กับกล่องกระดาษเท่านั้นหรือเปล่า? และผลิตภัณฑ์นึงกว่าจะออกมา มันต้องใช้เงินลงทุนเยอะจริงๆนะครับ ส่วนกำไรจะมากหรือน้อยก็บอกยาก แต่ถ้าหวังน้อยไปแล้วขายไม่ออกเลย ใครจะรับผิดชอบ? อ้ออันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องซื้อชุดใหญ่มาใช้เลยนะครับ หรือใช้โปรแกรมอื่นๆที่ถูกกว่าให้เหมาะกับงาน อย่างงานออกแบบตกแต่งภาพระดับร้านข้่างคูหาเดียว ซื้อpaintshop proก็เหลือเฟือแล้ว แต่บังเอิญเราติดนิสัยใช้ของเทพๆ เพราะโหลดง่ายแผ่นผีถูก เลยใช้ของถูกๆไม่เป็นแล้วโวยว่าของดีมันแพงเกินไปหรือเปล่า? อย่างงานระดับนักเรียนแต่งภาพทำรายงานส่งครู ใช้photoscape ก็ยังเหลือเฟือ แต่เห็นเด็กหลายคนไปเอาphotoshop มาืทำจนติดซะงั้น อีกอย่างเครื่องpc workstation ราคาเฉียดแสน เอาไว้process ภาพทำไมซื้อได้ แต่softwareอัจริยะราคาแค่ครึ่งเดียว ถึงคิดว่าแพง? เรายึดติดกับราคาจากวัตถุดิบทางกายภาพมากไปหรือเปล่า? อันนี้คงต้องให้ลองได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกproduct ใดๆ ถึงจะมองภาพของต้นทุนที่แท้จริงออก แล้วยิ่งถ้าได้ลองทำงานกับองคฺ์กรที่ลงทุนซื้อระบบทีราคาหลักร้อยล้าน จะยิ่งมองเห็น ว่าืทำไมเขาถึงกล้าจ่ายค่าsoftwareแพงๆ กล้าลงทุนแล้วคาดหวังว่ามันจะคุ้มค่าต่อผลที่ได้ โดยไม่ต้องหาข้ออ้างไปใช้แผ่นผีของเื่ถื่อน? จากคุณ : IHAYO เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 16:10:03