ความคิดเห็นที่ 1 เป็นเพราะต้องการเพิ่มแรงเสียดทานใช่ไหมครับ ??? จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:15:07

ความคิดเห็นที่ 2 เพื่อให้ได้พื้นที่สัมผัสระหว่างหน้ายางกับถนนมากที่สุดจะได้มีแรงเสียดทานสูงลดการสลิปของล้อและส่งผ่านกำลังจากล้อสู่ผิวถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดอกยางจะทำให้พื้นที่สัมผัสลดลงแต่มีผลช่วยในการรีดน้ำออกจากหน้ายาง  มีผลในการขับขี่บนถนนที่เปียก ถ้าถนนแห้งๆยางไม่มีดอกดีกว่า จากคุณ : ลิงจุ่น เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:20:40

ความคิดเห็นที่ 3 เคยอ่านเจอว่า ยางไม่มีดอกจะยึดติดถนนได้ดีกว่า เพราะหน้าสัมผัสมากกว่าครับ ไปแข่งในสนามอาจจะไม่ต้องกังกลเรื่อง ถนนเปียก แก้ไข : เข้าใจผิดคิดว่าดอกไว้เพิ่มแรงเสียดทาน แหะๆ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 21:22:29 จากคุณ : หม้อต้มน้ำ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:21:41

ความคิดเห็นที่ 4 ในสนามแห้ง การไม่มีดอกยาง ทำให้รถนั้นเกาะถนนมากที่สุด เพราะยางมีผิวสัมผัสกับถนนมากที่สุด(วันไหนฝนตกเข้าก็เปลี่ยนเป็นแบบมีดอกครับ) จากคุณ : Pingyam เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:22:49

ความคิดเห็นที่ 5 (ไม่เฉพาะรถ f1รถแข่งบนทางเรียบทุกประเภทใช้หมด) ถ้าเป็นการแข่งขันในสถานการณ์ปกติ (ถนนแห้ง) ล้อเรียบจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะที่ดีกว่า แต่ถ้า f1 เจอสถานการณ์ฝนตก ก็ต้องเปลี่ยนยางมีดอกเหมือนกัน ยางมีดอกมีประโยชน์คือช่วยรีดน้ำออกจากหน้ายางให้มากที่สุด แล้วแต่การโฆษณาของแต่ละยี่ห้อ ฉะนั้นรถทั่วไปตามท้องถนนก็ใส่ยางหน้าเรียบได้ แต่คุณต้องเปลี่ยนเป็นเป็นยางดอกหากเจอพื้นเปียก (เบรกไม่อยู่แน่) แล้วใครล่ะจะกล้ามียางใช้ทั้งสองแบบ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 21:23:57 จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:23:27

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับความเห็น 2 ครับ ว่าเพิ่มแรงเสียดทาน แต่ถ้ามีดอกยางที่ล้อรถหรือพื้นรองเท้าจะลดแรงเสียดทาน ถูกต้องใช่ไหมครับ ??? จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:24:53

ความคิดเห็นที่ 8 มีดอกที่พื้น รองเท้า นี่ไม่ใช่ให้เพิ่มแรงเสียดทานไม่ให้ลื่นล้มหรอครับ หรือผมเข้าใจผิด 555+ จากคุณ : หม้อต้มน้ำ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:40:05

ความคิดเห็นที่ 9 ผมสงสัยอย่าง ทำไมทุกคนบอกว่า พื้นที่สัมผัสมากขึ้น จะทำให้แรงเสียดทานมากขึ้น แต่ทำไมในสมการ กลับไม่มีตัวแปรพื้นที่สัมผัสเลย? มันยังไงครับ ผมงงตรงนี้... จากคุณ : yongkung เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:58:35

ความคิดเห็นที่ 10 พื้นสนามไม่เหมือนพื้นถนน ทั่วไปครับ หยาบกว่ากันเยอะ ยาง slick จึงวิ่งได้ดี ถ้าฝนก็ semi slick . จากคุณ : bluedogs2949 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:03:43

ความคิดเห็นที่ 11 @9 มันแฝงไปอยู่ในรูปของ coefficient of friction ครับ จากคุณ : Phantom thief เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:14:59

ความคิดเห็นที่ 12 ใช่ครับ เช่น ลากของบนกระดาษทรายละเอียดจะยากกว่าบนกระดาษทรายหยาบ เพราะกระดาษทรายละเอียดมีพื้นที่ผิวสัมผัสมากกว่านั่นเอง สรุปว่า การมีดอกยางนั้นมีผลทำให้ลดแรงเสียดทาน ใช่ไหมครับ จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:20:38

ความคิดเห็นที่ 13 ยางไม่มีดอกมีหน้ายางมากกว่าแรงเสียดทานกระจายไปตามพื้นที่หน้ายางมากกว่าทำให้ยางทนกว่า แต่มีปัญหาเวลาพื้นถนนเปียกจะลื่นเพราะที่ความเร็วสูงน้ำจะทำตัวเป็นฟิล์มกั้นระหว่างพื้นถนนกับหน้ายางต้องเปลี่ยนไปใช้ยางเปียกซึ่งจะมีลายดอกยางไล่น้ำออกไปได้ทัน ซึ่งเวลาถนนเปียกความเร็วรถจะต่ำกว่าไม่มีปัญหาเรื่องความทน จากคุณ : เทพสิงสู่ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:24:13 A:110.168.116.118 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 14 แล้วทำไมรองเท้าเก่าๆ ที่ดอกยางเลือนไป ทำไมถึงทำให้ผู้สวมใส่ลื่นได้ง่ายกว่าครับ จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:24:21

ความคิดเห็นที่ 15 ดอกยางเอาใว้รีดน้ำ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:24:32 A:1.4.242.60 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 16 ยางเรียบยึดเกาะถนนได้ดีกว่า(ในพื้นที่แห้ง) ยางมีดอกยึดเกาะถนนได้ดีกว่า(ในพื้นที่เปียก) จากคุณ : In Darkness เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:26:30

ความคิดเห็นที่ 17 ที่เห็นโล้นๆนั้นมันของสนามแห้ง  ถ้าฝนตกก็เปลี่ยนเป็นมี ดอกยางรีดน้ำ ถ้าจำไม่ผิดคิดง่ายๆ โล้นๆนั้นนะ ดอกยางทั้งเส้น จากคุณ : katasaro เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:28:28

ความคิดเห็นที่ 18 พื้นที่สัมผัสไม่เกี่ยวครับ แต่ยางหน้าเรียบช่วยในการรักษารูปยางไม่ให้บิดเบี้ยวขณะเข้าโค้ง จากคุณ : mumakai เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:31:40

ความคิดเห็นที่ 19 ไปถามที่รัชดาสิครับ มันเกี่ยวกับคอมปาวของเนื้อยางด้วย ยางเรียบแต่เป็นยางนิ่ม ไม่ได้แข็งๆ เหมือนยางรถที่เห็นทั่วไปนะครับ จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:08:37

ความคิดเห็นที่ 20 รองเท้า ไม่ใช่ยางรถ พื้นที่เล็กกว่า น้ำหนักกดน้อยกว่า เจอฝุ่นเม็ดไม่ต้องใหญ่มากก็ลื่นแล้ว ถ้าใช้ในที่สะอาดสะอาดจริงๆ พื้นรองเท้านิ่มหน่อย ผมว่ารองเท้าพื้นเรียบเกาะกว่ารองเท้ามีดอก จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:35:49

ความคิดเห็นที่ 21 เคยเห็น Taxi ที่จอดแช่ตรงป้ายรถเมย์ ใส่ยาง Slick แม่เจ้า ขอเข้าไปเห็นใกล้ ๆ เป็นบุญตา   สุดท้าย กลายเป็นดอกยางมันหมดไปแล้วตำหาก ร้าว เกือบแตกแล้วด้วย (-___-" ) จากคุณ : phijit_electric เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:47:44

ความคิดเห็นที่ 22 ผมรู้แค่ว่า ยางรถแข่ง มี 2 ประเภท 1. ยาง slick สำหรับถนนแห้ง ไม่มีดอกยาง 2. ยาง wet weather ใช้ขณะมีฝนตก จะมีดอกยาง นอกจากนั้นไม่รู้  ("--) จากคุณ : คนเดินช้า เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:59:05

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าไม่อยากให้หน้ายางบิดเบี้ยว   ทำแก้มยางต่ำ ๆ ก็ได้ จากคุณ : apollo14 เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 07:28:06

ความคิดเห็นที่ 24 ฟอร์มูล่าวันสร้างกติกาถูกจำกัดขนาดล้อเพื่อไม่ให้มีวงล้อใหญ่ เพราะจะได้ไม่สามารถใส่ดิสก์เบรคขนาดใหญ่กว่านี้ได้ เพื่อไม่ให้ขับได้เร็วกว่านี้เพราะต้องการลดความเร็วของรถจะได้ลดอันตรายให้กับคนขับ ล้อจึงเล็กเเก้มยางสูง F = UN เป็นสมการพื้นฐานให้เข้าใจฟิสิกส์ง่ายๆครับ ถ้าไปอ่านหนังสือวิศวกรรมยานยนต์จะเจอสมการที่ละเอียดมากกว่านี้(พอดีผมหาหนังสือไม่เจอ) #18 ขนาดหน้ายางเกี่ยวสิครับ พื้นที่ผิวเยอะเเรงเสียดทานก็เยอะ ขนาดยางฟอร์มูล่าวันไม่ใช่ขนาดที่ดีที่สุด ในเรื่องการทรงตัวเเบบยางเเก้มเตี้ย แต่ใส่ตามกติกาเพื่อไม่ให้รถมีความเร็วสูงมากกว่านี้ จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:31:52

ความคิดเห็นที่ 25 ....       ให้ตายซิ เพิ่งรู้ว่า racing slicks tires มันไปเพิ่มแรงเสียดทาน! นี่จริงๆหรือครับ ไอ้เรื่องพื้นฐานของแรงเสียดทานที่ว่า เมื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสก็จะทำให้แรงเสียทาน เพิ่มขึ้น อันนี้ทราบครับ แต่ที่ผมเรียนมา racing slicks tires จุดประสงค์มันไม่ได้ ออกแบบมาเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานเลยนะครับ (หรือว่าตอนเรียนนั่งหลับหว่า...)      จุดประสงค์ครั้งแรกที่ทำการออกแบบ racing slicks tires มานั้นก็เพราะว่า ดอกยางหัก ครับ แรงเข้าโค้งมหาศาลจากม้าเป็น 6-700 ตัว เราพบว่า ยางที่เซาะร่อง มาเป็นดอกยางนั้น ทำให้ดอกยางด้านขอบนอกสุดรับแรงอย่างโดดเดี่ยวครับ เขาจึงแก้ปัญหาคือ เลิกเซาะร่อง เพื่อให้ยางถ่ายเทน้ำหนักทั้งหมดเข้ามาด้านในได้ ก็เท่านั้น ส่วนเรื่อง contact patch นั้น มาเพิ่มสปส.แรงเสียดทานของเนื้อยางครับ ไม่ได้ต้องการทำให้มันเรียบเพื่อจุดประสงค์ของแรงเสียดทาน แต่เพราะว่าถ้ามันมียอด หรือเซาะร่องแล้ว หน้ายางมันอ่อนเกินไปครับ เข้าโค้งแล้วเสียหลัก                                                                                                              ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:35:34

ความคิดเห็นที่ 26 แข่ง drag ก็ใช้ยาง slick จากคุณ : EITHER เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:44:44

ความคิดเห็นที่ 27 ยางไม่มีดอก ทำให้พื้นหน้าสัมผัสถนนมีมาก ทำให้เกาะถนนดี  สิ่งที่ได้แถมมาคือแรงต้านการกลิ้งตัวของยางลดลง เพราะยางมีความกลมมากขึ้น และสามารถวิ่งได้นาน เคยฟังเค้าวิจารณ์ ยางF1ในทีวี ถ้านำยางสำหรับทางฝน มาวิ่งทางแห้ง เวลาต่อรอบจะแย่ลง เพราะแรงต้านการหมุนเพิ่มขึ้น แรงต้านอากาศเพิ่มขึ้น เข้าโค้งได้ช้าลง และยางเกิดโอเวอร์ฮีทเพราะหน้ายางบิด และไถลตัวมาก แม้ว่าบางส่วนของสนามจะแห้งแล้ว แต่ทีมจะสั้งให้นักขับ วิ่งในทางที่เปียก เพื่อลดอุณหภูมิยางลง ทำให้แต่ละทีมจะใช้ยางฝนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เมื่อสนามเริ่มแห้ง ก็จะรีบเข้า pit เพื่อเปลี่ยนเป็นยางกึ่งสลิก หรือยางสลิกแทน หลายปีก่อนF1 ไม่ใช้ยางสลิค แต่ใช้ยางกรูฟ คือยางที่มีร่องยาวตามเส้นรอบวง เพื่อหวังให้รถF1วิ่งในโค้งได้ช้าลง และให้นักแข่งระมัดระวังในการใช้ยางเนื่องจากยางจะสึกหรอได้เร็ว จากคุณ : viper_ttt เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:48:13

ความคิดเห็นที่ 28 แล้วคุณสองนิ้วชี้ ทราบไหมครับว่า ดอกยางที่ล้อหรือรองเท้ามีไว้ลดแรงเสียดทานใช่ไหมครับ พอดีไม่แน่ใจตรงนี้??? ขอบคุณล่วงหน้าครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 08:51:58 จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:49:29

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ล้อรถตามที่ข้างบนว่ามาครับ ส่วนร่องที่รองเท้า ไว้เพิ่มแรงเสียดทานถูกแล้วครับ ส่วนของรถมันมีแรงมหาศาลพร้อมจะตะกุยล้อครับ ส่วนคนนั้นมีแต่ 1 แรงขาครับ ที่เซาะร่องเพื่อเพิ่มแรงต่อหน่วยพื้นที่ครับ นึกถึงส้นสูงที่เวลาเหยียบเท้าคนแล้วจะเจ็บมากๆครับ พอมีการเซาะร่อง แรงกดต่อพื้นที่มากขึ้น เลยทำให้เกาะขึ้นครับ แต่ยังไงรองเท้าก็ไม่ slip เพราะแรงคนมีน้อยครับ เปรียบเสมือน รถยนต์ ถ้าเราไม่วิ่งเร็ว ออกตัวช้าๆ ก็ใส่ยางหน้าแคบได้ครับ (เปรียบเทียบครับ) ตัวอย่างในรถที่เห็นได้ชัดก็คือ ในวงการออฟโรดเค้าจะรู้กันว่า พวกล้อใหญ่ หน้ากว้างๆมากๆ มันสวย ใส่แล้วดุดี แต่ลุยพวกโคลนได้ไม่ดีเท่าล้อหน้าแคบครับ เพราะว่าล้อยางมันจะลอยไม่จมโคลนทำให้ลื่นครับ ส่วนยาวหน้าแคบ ยางจะจมไปในโคลนจนถึงผิวดิน เลยตะกุยขับต่อไปได้ครับ เปรียบเทียบได้แบบนี้ครับ รถยนต์ถ้าหน้าสัมผัสน้อย จะได้แรงเกาะมากขึ้น แต่ว่าแรงขแงรถ มันมากจนไปชนะแรงยึดเกาะของยาง ทำให้ยางslip เลยต้องเพิ่มหน้ายางให้กว้างขึ้น ทีนี้แรงยึดเกาะก็ลดลงอีก เลยต้องไปเพิ่ม compound ให้ยางเหนียวขึ้น เพื่อให้เกาะ เลยกลายมาเป้นslick ครับ อ้อ แถมนิด slick นี่เหนียวมากนะครับ เวลาวอร์มได้ที่ แบบหมากฝรั่งเลย เวลาวิ่งในพิท จะมีเสียงป้อกแปีกแบบรถเหยียบยางมะตอยมา เพราะกรวดที่ถูกยางslickเหนียวๆจับมา ถูกสะบัดออกครับ มันเหนียวมากกว่าที่เราๆท่านๆคิดเยอะครับ ส่วนควอเตอรืไมล์ที่เค้าใช้ยางสลิคนี่ เค้าสุบยางน้อยๆ ประมาณ 20 เองนะครับ เพื่อให้ยางกองกับพื้น เพิ่มหน้าสัมผัส เวลากระโจนออกตัวครับ แล้วอีกประการที่สำคัญของ slick คือยางเมื่อวิ่งเร็วๆมันยืดได้ครับ เสมือนมีเกียร์อีกเกียร์ เพราะยางมันเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นเรื่อยๆครับ เมื่อความเร็วมันถึงขีดของมัน จากคุณ : KhaiGTR (kdt) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:04:46

ความคิดเห็นที่ 30 ...       ไม่ทราบในรายละเอียดนะครับ แต่เห็นในโฆษณาทีวีเรื่อง ยางประหยัด น้ำมันนั้น มันไม่ใช่ไปลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่หน้าสัมผัสถนนกับหน้ายางนะครับ แต่มันไปแก้ปัญหาเรื่อง ความกลม ของตัวยางครับ ให้วิ่งได้ Smooth ขึ้น คือไม่สดุด ครับ สิ่งที่จะได้แถมมาก็คือ ความเงียบ                                                                                                            ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:09:04

ความคิดเห็นที่ 31 คห.29 ชัดเจนเห็นภาพครับ จากคุณ : viper_ttt เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:09:42

ความคิดเห็นที่ 32 #14 เรื่องรองเท้าเก่าผมว่ายางเเข็งขึ้นครับเป็นสาเหตุที่ลื่นไม่เกี่ยวกับลายรองเท้า จากคุณ : ต้นกลเรือ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:40:32

ความคิดเห็นที่ 33 ร่องยางตามวงยางนั้นมีไว้รีดน้ำออกจากหน้ายาง ส่วนทางขวางเข้าใจว่าเอาไว้ตะกุยเวลาวิ่งทางที่มีทรายหรือหินครับ เท่าที่เคยเห็นเพื่อนบางคนเอารถโมโตครอสดอกยางเป็นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆมาวิ่งบนทางลาดยางมะตอย มันวิ่งไม่ออกเลยยิ่งเกียร์สูงยิ่งหนืดมากๆ แต่พอเอาลงไปวิ่งทางลูกรังฉลุยเลยครับ จากคุณ : ลุงน้อยลำปาง เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 10:16:12

ความคิดเห็นที่ 35 @29 ทำให้นึกถึงเรื่อง DRIVEN ที่สตอลโลนโยนเหรียญลงในสนามแล้วใช้ยางเก็บเหรียญ เหรียญก็ติดฝังอยู่ในยางเลย จากคุณ : iamakanit เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 10:49:46

ความคิดเห็นที่ 36 http://www.youtube.com/watch?v=mfJejgODr3E&feature=related น่าจะเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : KHIN7710 เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 11:13:56

ความคิดเห็นที่ 37 จุดที่ยางสัมผัสกับพื้นถนน เรียกว่า Footprint แปลเป็นไทยตรงตัวว่ารอยเท้า เท้าใหญ่กับเล็กจะมีผลดีผลเสียต่างกันอย่างไร อย่าเพิ่งคิดแบบเดียวกับการเสียดสีของเหล็ก เพราะเรื่องนั้นขนาดไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับ Unit load ว่ามากแค่ไหน   นั่นคือภาษาของ Friction แต่ตอนนี้กำลังพูดถึง Grip หรือ Traction ของยางซึ่งนิ่มๆ และติดอยู่บนถนน Footprint จึงเป็นสิ่งสำคัญ สมมุติรถหนัก 1,000 กก. น้ำหนักลงล้อละ 250 กก. ถ้าฝนตกบนถนนมีน้ำ Footprint ก็ต้องทับน้ำก่อน แล้วไล่น้ำออกไปข้างๆ ถ้าน้ำหนักกดลงไปบนน้ำแล้วน้ำไม่ยอมหนีไปไหน Footprint ก็ไม่ได้แตะกับพื้น “ร่องของดอกยางมีเพื่อลดหน้าสัมผัส เพื่อแหวกน้ำลงไปหาถนน ยางที่เกาะอยู่กับถนนไม่ต้องการดอก” ผิวถนนนั้นถ้าส่องกล้องดูจะพบว่าหยาบกว่ากระดาษทราย มีหลุม มีบ่อ มีภูเขาเยอะแยะ ลักษณะเหมือนหนาม เวลายางวิ่งทับหนาม ก็ถูกหนามตำเข้าไปในเนื้อ ถ้ามีน้ำก็ต้องมี Unit load เยอะ หมายความว่าหน้ายางต้องเล็กลง จึงจะแหวกน้ำลงไปสัมผัสกับพื้นได้ แต่ถ้าถนนแห้งก็อยากได้หน้ายางใหญ่ ยางหน้ากว้าง Footprint ก็ใหญ่ หนามก็มาก สามารถรับแรงขับของเพลาได้มากขึ้น ยางแต่ละเส้นเกาะถนนมากขึ้น แต่ Footprint จะได้มากขึ้น ต้องเพิ่ม Vertical load ลงไปบนตัวยางด้วย ถ้า Footprint คงที่ จะได้กราฟที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ถ้าเพิ่ม Load แล้ว Grip ย่อมมากขึ้น   และถ้าเพิ่ม Load กับ Footprint   เส้นกราฟก็เพิ่มขึ้นหนักขึ้นไปอีก สาเหตุที่ต้องมีร่องบนหน้ายางเพราะรู้ว่า ในชีวิตประจำวันต้องเจอน้ำด้วย ในภาษายางเรียกว่า Land & Sea Area คือเนื้อยางและช่องว่าง สำหรับให้น้ำอยู่ แต่อย่าหวังว่ายางที่มีร่องจะเกาะได้หนึบหนับเหมือนยาง Slick บนถนนเรียบและแห้ง หน้ายางที่กว้างกว่า อาจมี Land Area น้อยกว่าได้  ถ้ายางหน้ากว้าง 265 มม. มี Land Area = 50% หรือ 132.5 ส่วนยางหน้ากว้าง 225 มม. มี Land Area = 65% หรือ 146.25 "เมื่อ Land Area มากขึ้น ก็เกาะถนนดีขึ้น เพราะหน้าสัมผัสมากกว่า นี่คือ Fact ของยางที่อาศัยผิวถนนเป็นหนาม" เรื่องนี้พูดถึงหน้าสัมผัสของยางที่เกาะถนนด้วยหนามเล็กๆ ที่งอกมาจากพื้นถนน  แล้วยางก็ยอมให้หนามตำตัวมันได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีพื้นที่เยอะหนามก็ตำได้เยอะ ถ้ามีน้ำหนักกดมากหนามก็ตำได้ลึก (ไม่เกี่ยวกับเรื่อง Friction) ปล.ผมดัดแปลงบทความนี้มาจากหนังสือ ThaiDriver นะครับ . . . แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 16:39:18 แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 13:00:32 จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:19:35

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนวิธีที่ยางช่วยในเรื่องประหยัดน้ำมันนั้น ความกลมของยางก็มีส่วน และตัวเนื้อยางเองก็มีส่วนผสมที่ช่วยให้ยางกลิ้งไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น ทั้ง 2 อย่าง เพื่อเป็นการลดแรงต้านการหมุนของยาง (แต่ยังเกาะเหมือนเดิม) จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:48:04

ความคิดเห็นที่ 39 Unit Load เยอะๆ ยางจะแหวกน้ำลงไปหาถนนได้ดีกว่า แต่ถ้าอยากให้เกาะถนน ต้องเพิ่ม Total Load ให้เยอะๆครับ และสิ่งที่ใช้เพิ่ม Total Load ในรถ ก็คือพวกปีกต่างๆที่ใส่เข้าไป โดยอาศัยเรื่องที่เกี่ยวกับ Aerodynamic มาช่วยเพิ่มน้ำหนักลงบนปีก / ลดแรงยกใต้ท้อง เพื่อให้ยางได้รับ Total Load เพิ่มขึ้น จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:58:51

ความคิดเห็นที่ 40 ใครว่า เมื่อก่อนหนะใช่ครับ เดี๋ยวนี้กติกา บังคับให้มีร่องดอกยางแล้ว ครับท่าน ดูจาก #๑๖ ได้ครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 13:32:00

ความคิดเห็นที่ 41 เรื่องที่ ยางสลิค ดีไซน์แบบไม่มีดอก ตกลงเพื่อลดอาการ "ดอกยางหัก" หรือ "เพิ่มแรงเสียดทาน(จริงๆต้องแรงยึดเกาะ)" กันแน่ ? ผมว่ามันเหมือนเรื่องไก่กับไข่นะ ก่อนอื่นจะบอกว่าผมไม่ได้เรียนอะไรมาหรอกนะ คิดเอาเองทั้งนั้น  พื้นฐานการออกแบบชิ้นส่วนรถแข่งทุกชิ้นก็ยืนบนตรรกะว่า เร็วและทน(พอที่จะจบการแข่งขัน) ฉะนั้นการออกแบบให้เร็วผมว่าจะปฏิเสธเรื่องแรงเสียดทานก็คงไม่ได้หรอก ถ้าแค่กันดอกล้มแล้วไม่สนเรื่องแรงเสียดทาน ลองใช้ compound ยางรถบ้านมั๊ยล่ะ มีดอกได้เลยยังงัยก็ไม่ล้ม เพราะมันลื่น!! หัวแตกตกข้างทางตั้งแต่โค้งแรกไง  compound ยางรถแข่งอ่ะมันเสียตัวง่ายคือยอมเสียเนื้อยางเพื่อแลกกับแรงยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น มันไม่ได้เป็นเรื่องแรงเสียดทานอย่างเดียวนะมันเป็นเรื่องของการยอมให้เนื้อยางฝังลงไปในพื้นถนนด้วย ฉะนั้นเรื่องดอกล้มมันแน่อยู่แล้ว แค่วิ่งจนจบอายุของยาง ยางก็หลุดปลิวเป็นชิ้นๆแล้วเคยดูภาพช้ามั๊ย  ขืนมีดอก ดอกมันก็หลุดออกไปเองโดยไม่ต้องเข้าโค้งด้วยซ้ำ สรุปว่าผมยังให้น้ำหนักกับการออกแบบยางเรียบไร้ดอกนี้ เพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะนะ เพราะมันเป็นจุดประสงค์หลักของการเพิ่มความเร็ว  ส่วนเรื่องรองเท้า ทำไมโล้นแล้วลื่น ก็ต้องบอกว่า มันต่างกันกับสนามแข่งนะ ลองเอา รองเท้าเรียบๆไปวิ่งในสนามแบตที่สะอาดๆ ก็เชื่อว่าไม่ลื่นหรอก ยังไม่เคยลองเหมือนกัน แต่เหตุผลที่มันลื่นเพราะ มันมีฝุ่นไง ฝุ่นมาขวางทางระหว่าง พื้นรองเท้ากับ พื้นถนน ก็เหมือนมีตลับลูกปืนติดรองเท้า เหมือนน้ำแหล่ะ ถ้ามีน้ำมาขวางทาง ระหว่างพื้นรองเท้ากับถนน ก็ลื่น วิธีก็คือทำให้พื้นรองเท้ามีร่อง ให้น้ำให้ฝุ่นเข้าไปหลบ เพราะแรงกดต่อพื้นที่มันเพิ่มขึ้นไง จบ  จากคุณ : Ryback เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 16:07:15

ความคิดเห็นที่ 42 # 30 ยางประหยัดน้ำมันจะมีสูตร หรือ compound ที่เพิ่มเข้าไป เช่น full-silica เพื่อช่วยลดแรงต้านในการหมุนครับ (Rolling-Resistance) ซึ่งก็คือไปช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างโมเลกุลน่ะแหละ ให้ยางมันกลิ้งได้ไกลมากขึ้นในการใช้พลังงานที่เท่าๆกัน การสร้างโครงสร้างยางให้กลมนั้น มีส่วนเหมือนกัน แต่น้อยกว่าครับ ส่วนใหญ่จะเน้นโครงสร้างยางให้ firm เพื่อที่ให้มัน wear out น้อยๆครับ จากคุณ : AMIYAMA เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 16:40:18

ความคิดเห็นที่ 43 ปล. รถ Dragster ที่ใช้ยาง slick ขนาด 30" ขึ้นไป บางรอบจะใช้ลมยางแค่ 5 เองนะครับ สำหรับรถ drift ถ้าสนามไหนต้องการให้เกาะมากๆ ก็จะเติมลมประมาณ 20 เองครับ -------------------------------------- ดอกยางมีไว้ แค่รีดน้ำ กับลดเสียงแค่นั้นเองครับ  ยางที่เกาะที่สุดคือยางไม่มีดอก http://en.wikipedia.org/wiki/Slick_tyre อ้อ F1 โดนห้ามใช้ยาง Slick เพราะมันอันตรายครับ ทั้งทางตรงและทางโค้ง สามารถทำความเร็วได้มากๆ ดอกยาง (สำหรับยางทางแห้ง) จึงตั้งใจออกแบบให้มีขึ้น เพื่อช่วยลดความเร็วในโค้งครับ ดังนั้นจะบอกว่า Racing Slick ไม่ได้ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะเลย คงไม่ใช่น่ะครับ เพราะทาง motorsport เค้าพิสูจน์กันมาแล้ว แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 16:53:28 จากคุณ : AMIYAMA เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 16:48:52

ความคิดเห็นที่ 44 ....    เข้าใจผิดแล้วครับ ระหว่างยาง มีดอกกับไม่มีดอก กับยางที่มี compound พิเศษ(ยาง slick) กับยางบ้านๆ compound ธรรมดา    ต้องแยกกันก่อนนะครับ ถ้าเอามารวมกัน เดี๋ยวใครอ่านเข้าใจผิด หน้าร้อนฝนไม่ตก ใส่ยางไม่มีดอกเกาะถนนกว่า ก็ไปตายซิครับ    ถึงตรงนี้ ฟันธงได้แล้วนะครับว่า ยางมีดอกเกาะถนนดีกว่าครับ     หลายท่าน อธิบายดีแล้วนะครับเรื่อง compound ต้องเข้าใจใหม่ครับว่า ยาง slick คือยางที่มี compound ที่ช่วยให้เกาะถนนครับ ไม่ได้เกี่ยวกับมีดอก หรือไม่มีดอก     ถ้ายางมี compound เดียวกัน ยางมีดอก เกาะถนนมากกว่าซิครับ นั้นวันฝนไม่ตก ลองขับรถไม่มีดอกยางดูก็ได้ครับ ใน wiki เขาก็อธิบายไว้ชัดเจน แล้วนะครับว่ายางหน้าเรียบ "maximize traction for any given tyre dimension" ครับ    ตัวอย่างท่าน ความคิดเห็นที่ 29 ก็บอกแล้วนะครับว่า ยางมีดอก ทำให้พื้นที่กด หน้าถนนน้อยลง ทำให้แรงกระทำต่อพื้นที่มากขึ้น อธิบายได้ชัดเจนมากเลยครับ ดังนั้น ยางมีดอกต้องเกาะถนนดีกว่า "ไม่มีดอก" ซิครับ ลองอ่านในวิกีอีกที่ครับ    ย้อนกลับไปที่ Design  เขาออกแบบให้มันไม่มีดอกก่อน แล้วจึงไปหา compound ที่ช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน นะครับ ไม่ใช่ใช้ compound ธรรมดาเหมือนเดิมแล้วไปลด ดอกยาง เข้าโค้งหักศอกแค่ 80 ก็หลุดโค้งแล้วครับสำหรับยางไม่มีดอก                                                                                                               ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 17:25:31

ความคิดเห็นที่ 45 ได้ความรู้ดีจริงจริงครับ พอดีคุยหาข้อยุติกับเพื่อนไม่ได้ เพราะเมื่อล้อหมุนจะมีแรงเสียดทานผลักให้ล้อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ??? ใช่ไหมครับ ดังนั้นการที่ยาง F - 1 ไม่มีดอกยาง หรือรองเท้าไม่มีดอกยาง จะทำให้เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ดีขึ้น (เร็วขึ้น) เพราะมีแรงเสียดทานเพิ่มขึ้นนั่นเอง ??? ถูกไหมครับ ??? จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 17:29:29

ความคิดเห็นที่ 46 อ่า ช่าย ยาง slick ผมลืมเรื่อง Compound ไปเลย แหะๆ ^^ ตามด้านบนเลยคร้าบ จากคุณ : AMIYAMA เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 17:36:51

ความคิดเห็นที่ 47 "By eliminating any grooves cut into the tread, such tyres provide the largest possible contact patch to the road, and maximize traction for any given tyre dimension" ก๊อบมาให้ครบ ครับ อ่าน #44 แล้วผมก็งงอีก สงสัยผมรู้ไม่ถึงจริงๆ   จากคุณ : Ryback เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 17:45:05

ความคิดเห็นที่ 48 #44 ไหนๆ ขอความรู้หน่อยละกัน ถ้างั้นเราพูดถึง F1 ยางสลิค อย่างเดียวนะ ทำไม F1 จึงเซาะร่องบนหน้ายางเพื่อลดความเร็วในการเข้าโค้งละครับ ถ้าการมีดอกยางมันทำให้เกาะถนนมากกว่า จากการที่ "แรงกระทำต่อพื้นที่มากขึ้น" แล้วทำไม รถ drag ยางเรียบ ไม่ใช่ยางดอก ในเมื่อมันไม่เข้าโค้ง ถ้ากลัวดอกล้มอีก ทำร่องตามยาวแบบ F1 ก็ได้นี่ครับ อีกอย่างใน wiki เค้าก็พูดนะว่า "A slick tyre (also known as a "racing slick") is a type of tyre that has no tread" ประโยคข้างต้นแปลว่า Design lead material หรือพูดง่ายเค้าดีไซน์ให้มันเรียบ เพื่อเพิ่ม contact patch เพิ่ม traction หรือแรงยึดเกาะ    แล้วจึงมาพัฒนาเรื่อง compound เสริมทีหลัง ขอโทษนะครับผม สับสนจริงๆไมได้กวน จากคุณ : Ryback เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 18:03:01

ความคิดเห็นที่ 49 ที่ตอบกระทู้นี้ไปคือส่วนเฉพาะเรื่องการเทียบกันระหว่าง ยางที่มีดอกกับแบบ Slick ในถนนเรียบเท่านั้นนะครับ (แต่มีแถมเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักที่กดด้วยนิดหน่อย) ถ้าเป็นถนนที่ไม่เรียบ เช่นทางลูกรัง, ทางโคลน คำตอบจะไม่ใช่แบบนี้ครับ อาจจะต้องมีดอกไว้เพื่อช่วยในการตะกุย หรือเพื่อให้ยางฝังตัวลงไปในเนื้อถนน ส่วนในเรื่องของ Compound ที่นิ่มๆนั้นจะทำให้มีโอกาสที่หนามของถนนฝังลงไปในตัวยางได้ลึกยิ่งขึ้น (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความทนทานของยาง) แต่ถ้าในยางเส้นหนึ่ง ทุกอย่างเหมือนกันหมดและ Compound แข็งพอจะให้ดอกยางไม่ล้ม เมื่อเราปาดดอกยางทิ้งไปบ้าง เราจะได้หน้าสัมผัสเพิ่มขึ้น (เพราะที่ฐานของดอกยางมีพื้นที่มากกว่าตรงยอดของดอกยาง) ยางเส้นที่ถูกปาดไปนั้นจะเกาะถนนดีขึ้น เพราะมันมีพื้นสัมผัสมากขึ้น ถ้าพื้นสัมผัสมากขึ้น หนามที่ตำเข้ามาในยางมากขึ้นแต่กินไม่ลึกเหมือนเดิม เพราะยางลอยขึ้นมาจากหนามบ้าง(แต่ก็ยังจมอยู่ดี) สมมุติรถหนัก 1 ตัน มี 4 ล้อ แต่ใส่เพิ่มเป็น 6 หรือ 8 ล้อ น้ำหนัก 1 ตัน เท่าเดิม เกาะถนนดีขึ้นเพราะหน้าสัมผัสมากกว่า แม้ว่าแต่ละล้อจะรับน้ำหนักลดลง ปล. กติกาของ F1 ในปัจจุบันให้ใช้ยางแบบ Slick แล้วครับ (ตามรูปใน คห.22) จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 18:17:19

ความคิดเห็นที่ 50 ตอนที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ มันมีแค่ 43 ความเห็นนะครับ พอกดส่งแล้วความเห็นผมกลายเป็นลำดับที่ 49 ไปซะละ ที่ยาง F1 ในสมัยก่อนมันเซาะร่องก็เพื่อต้องการให้มันช้าลงในโค้งครับ เพราะไม่ว่าจะมีร่องหรือไม่มีมันก็มีโอกาสแหกโค้งด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจากมันต้องการไปให้เร็วที่สุด ทุกๆอย่างจึงทำงานใกล้ลิมิทของตัวมันเอง ถ้าเป็นยาง Slick มันอาจแหกโค้งกันที่ความเร็ว 240 กม./ชม. แต่ถ้าเป็นยาง Groove มันอาจจะเริ่มแหกโค้งที่ความเร็วแค่ 200 กม./ชม. นักแข่งที่ใช้ยาง Groove ก็ต้องขับให้ช้าลง แต่ถ้ามันพลาดขึ้นมาความเร็วมันก็อยู่แถวๆ 200 ไม่ใช่ 240 โอกาสเจ็บ - ตาย - ชนกำแพงก็น้อยลง (คงไม่มีใครทะลึ่งเข้าโค้งด้วยความเร็ว 300 กม./ชม. ทั้งๆที่รู้ว่าโค้งนั้นเข้าได้แค่ 200 กม./ชม.หรอกนะ) ยาง Slick ของ F1 ในปัจจุบัน ยังมี Compound ต่างๆให้เลือกใช้และต้องเลือกตามกติกาบังคับด้วย ต่างกันแค่ที่ Compound แต่การเกาะถนนและความทนทานต่างกันคนละเรื่อง (ทั้งๆที่หน้าตามันก็เหมือนๆกัน) (The specifications can be visually differentiated by the colouring of the sidewall lettering: super soft - red; soft - yellow; medium - white; hard - silver.) ในส่วนของรถ Drag เมื่อใช้ยางไม่มีดอกก็จะทำให้มีพื้นที่สัมผัสมาก Footprint ก็ใหญ่ หนามของถนนก็ตำเข้ามาที่ยางได้มาก สามารถรับแรงขับของเพลาได้มากขึ้น . . . แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 19:53:00 แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 18:50:38 จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 18:45:50

ความคิดเห็นที่ 51 #50 คุณตั๊มเล็ก ผมก็เข้าใจเหมือนที่คุณอธิบายนะครับ แต่พอดีคุณ สองนิ้วชี้ ให้ความเห็นที่มีทฤษฎีแตกต่างออกไปใน #44 ที่ว่า ยางมีดอกเกาะถนนแห้งมากกว่า ผมก็เลยอยากขอความรู้จากท่านเสียหน่อย น่ะครับ เข้าใจว่าตั้งแต่คุยมาเราคุยกันในหัวข้อ F1 กับ racing track แหล่ะครับเพราะ ถนนธรรมดามีเงื่อนไขแตกต่างออกไปคงใช้กันไม่ได้ จากคุณ : Ryback เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 19:09:01

ความคิดเห็นที่ 52 เหตุผลสำคัญที่ต้องใช้ยาง compound หน้าเรียบใน F1 เพราะความต้องการอัตราเร่งที่รวดเร็ว ยาง compound หน้าเรียบตอบสนองเรื่องการกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดลงไปที่ถนนได้ดีกว่ายาง compound แบบมีดอก ส่วนเรื่องการยึดเกาะถนน F1 ไปพึ่งอากาศพลศาสตร์ + ช่วงล่างของตัวรถแทน จากคุณ : internetsmile เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 20:51:23

ความคิดเห็นที่ 53 งง น้าๆสงสัยอะไรกัน มีดตอก แทรคชั้นน้อย ไม่มีดอก แทรคชั้นเยอะ ดอกล้ม= หลุดแทรคชั่น= หลุดSam เห็นด้วยเรื่องaero. คคห 53 จากคุณ : E-Boat เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 23:05:16

ความคิดเห็นที่ 54 งั้นขอยกตัวอย่างแบบสุดโต่งอีกซักอันนะครับ จะได้เห็นภาพง่ายๆหน่อย ถ้าอยากได้น้ำหนักต่อพื้นที่เยอะๆ เพื่อหวังจะให้มันเกาะถนนมากๆ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้ายางมีพื้นที่สัมผัสถนน 1 ตารางเซ็นติเมตร แล้วรถหนัก 1,000 กก. มี 4 ล้อ = 250 กก.ต่อตารางเซ็นติเมตร กับอีกคันที่แต่ละล้อมีพื้นที่ 25 ตารางเซ็นติเมตร =  10 กก.ต่อตารางเซ็นติเมตร คุณอยากขับคันไหนมากกว่ากันครับ? จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 23:43:18

ความคิดเห็นที่ 55 ดีใจที่ได้ยังอ่านกระทู้ดีๆในหว้ากอ ในช่วงหลังๆนี้..... จากคุณ : BananaBlueSky เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 23:53:12

ความคิดเห็นที่ 56 ....     มาทำงานแล้วครับ โห....อ่านไม่ทันเลย       เอาอย่างนี้ครับ พอดีมีบางท่านบนๆบอกว่า ถ้าเพิ่มพื้นที่สัมผัส แรงเสียดทานจะ เพิ่มขึ้น อันนี้ผิดนะครับ     จากสมการ         F = mN      F = แรงเสียดทาน      m = สปส แรงเสียดทาน       N = น้ำหนักรถ+แรงกดของลมขณะวิ่ง ในสมการ ไม่มี พื้นที่สัมผัสเลยนะครับ  แล้วบอกได้อย่างไรว่า เมื่อเพิ่ม พ.ท สัมผัส หน้ายาง แล้วแรงเสียดทานจะเพิ่มขึ้น      สิ่งที่จะเพิ่มได้ก็คือ N กับ m เท่านั้นนะครับ เราลองมาดูว่า ถ้าเราเพิ่มพ.ท สัมผัสหน้ายาง จะเกิดอะไรขึ้น      P = F/A    ความดัน = แรง/พื้นที่     ถ้าเราเพิ่ม พ.ท สัมผัสหน้ายาง ความดัน(กดลงพื้น) จะยิ่งน้อยลงนะครับ ดังนั้นการเพิ่มพื้นที่สัมผัสหน้ายาง ไม่ได้มีผลใดๆ ต่อแรงเสียดทานครับ เพราะ N จะน้อยลงไปครับ สรุปเท่าเดิม เคลียร์ไหมครับ                                                                                                              ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 07:34:32

ความคิดเห็นที่ 57 ผมว่ายางรถ เอาสมการแรงเสียดทานมาใช้ อาจไม่ตรงความเป็นจริงนัก ค่า มิว มันเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่คงที่เหมือนกับที่คำนวณกันตอนปี 1 คำอธิบายเรื่องหนามตำยางของ อ.ศิริบูรณ์ ก็เข้าใจง่ายดี คือถ้าหนามบนถนนมันตำเข้าไปในเนื้อยางได้ลึกพอ หนามเยอะ ย่อมดีกว่าหนามน้อยครับ(หนามที่อยู่ในยาง) ไอ้คำว่าลึกพอนี่ แค่ไหน ก็ต้องอาศัยการจูนอัพ มันจะต้องมีค่าที่ Optimum  อาจจูนด้วยแรงดันลมยาง (และ Compound?) แรงดันมาก ยางกลม ..Rolling resistance น้อย ทางตรงดี แต่หนามตำไม่ลึก เข้าโค้งห่วย ต้องอัดที่แอโร่พาร์ท แรงดันน้อย หนามก็ตำลึกหน่อย เกาะโค้งดี ไม่ต้องอาศัยแรงแอโร่ดาว์นฟอร์ซมาก ทางตรงห่วยนิดนึง ช่วยได้ด้วยการลดมุมแอโร่พาร์ท resource ในรถแข่ง สนามแข่งมันจำกัด อยู่ที่สมองของทีมว่าจะดึงเอาอะไรมาใช้ตอนไหนให้แข่งชนะได้ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 08:25:12 จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 08:18:33

ความคิดเห็นที่ 58 ข้างบนนี่ ไม่ได้อธิบายเลยว่า ทำไมยางสลิค ถึงได้เกาะกว่า 555 ยางที่มี Groove ทำให้รูปร่างของ Contact Patch มันเปลี่ยน(แรงดันเท่ากัน พื้นที่สัมผัสควรจะเท่าเดิม) เปลี่ยนไปในทางยาวขึ้นตามแนวการเคลื่อนที่ คล้ายกับการใช้ยางหน้าแคบ เพราะร่อง Groove มันแบ่งพื้นที่สัมผัสทางด้านกว้างไป ซึ่งมันทำให้เกิดผลอะไรบ้างผมได้แต่เดาล่ะครับ 555 จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 08:50:33

ความคิดเห็นที่ 59 เวลายางมันทำงานมันหมุน-กลิ้ง ไม่ได้ถู-ลากไปกับถนน ยางมันนิ่มและมันยอมให้หนามของผิวถนนตำเข้าไปในเนื้อมันได้ มันจึงมีลักษณะเหมือนเฟืองเล็กๆขบกันไปเรื่อยๆ ยิ่งพื้นที่มากจำนวนเฟืองก็ยิ่งมาก ถึง Unit Load น้อยลง แต่หนามก็ยังตำเข้าไปในเนื้อยางได้อยู่ดี (ยังเป็นแบบเฟืองอยู่ แต่ขบกันไม่ลึก) ยางมีดอกกับยาง Slick ต่างกันตรงพื้นที่สัมผัส (แต่มันยัง "นิ่ม" และ "กลิ้ง" และมีลัษณะเป็น "เฟือง" เหมือนเดิม) ถ้าพื้นที่เพิ่มแล้วทำให้ Unit Load ลดลง ก็ต้องคำนวณว่าอะไรได้กำไรมากกว่ากัน ระหว่างหนามที่ตำได้ลึกแต่มีจำนวนน้อย กับหนามที่ตำได้ตื้นๆแต่มีจำนวนมาก Keyword ของเรื่องนี้คือ "นิ่ม" กับ "เฟือง" ครับ . . . แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 12:38:50 จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 11:06:22

ความคิดเห็นที่ 60 อ่านทู้นี้ได้ความรู้ จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 11:26:40

ความคิดเห็นที่ 61 โพสต์แล้วโดนลบ เห้อๆ ยางF1 มีดอกเพื่อรีดน้ำครับ ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ pirelli ได้สิทธิ์ผลิตยางให้ F1 ยางขอบสีเขียว (ยางwet tyre )สามารถรีดน้ำ ได้ 60 ลิตร ต่อวินาที ที่ความเร็ว300 km/h (ยางรถบ้าน ดีๆ รีดได้ประมาณ 10 ลิตร/วินาทีครับ) ส่วน intermediate tyre ขอบสีฟ้า รีดได้น้อยกว่า (จำที่ engineer ของpirelli พูดที่ silverstoneไม่ได้ ) สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของสนามเปียกคือ standing water ครับ การเอายาง slick ไปวิ่งบนถนนเปียกก็เหมือนกับการร่อนหินไปบนหน้าผิวน้ำนั่นแหละครับ(อาการเหินน้ำ) ฤดูฝนแล้ว รถใครหน้ายางแทบจะไม่มีดอก ก็ไปเปลี่ยนเถอะครับ อาการเหินน้ำ น่ากลัวมากเคยเจอมาแล้ว จากคุณ : TagMyZky เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 12:00:47

ความคิดเห็นที่ 62 ....         ท่านใดในที่นี่ มีใครเตะบอลบ้าง ยกมือ.....!            สนามหญ้านะครับ ถ้าท่านใส่ รองเท้านันยาง พื้นเรียบ(Slick) ลงไปวิ่งดูซิครับ วิ่งไม่ออกครับ ลื่นบรรลัยเลย ยืนขยับขารับลูกแล้วพลิกตัวจะไปข้างหน้า ล้มทุก ท่านครับ ถามห้อง ศุภฯ ดูได้ครับ ต้องใส่สตั๊กครับ 6 ปุ่ม เท่านั้นนะครับ เกินกว่านี้ ผิดกฏจราจร           นี่ผมอธิบายแบบบ้านๆเลยนะครับ คิดว่าทุกท่านคนเลยเล่นบอลสนามหญ้า แล้วเอานันยางไปใส่ นี่คือคำตอบว่า ทำไมการเพิ่มพื้นที่สัมผัส ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า จะทำให้แรงเสียดทานเพิ่มขึ้นนะครับ และจะเห็นได้ว่า การลดพื้นที่สัมผัสให้เหลือ เพียง 6 ปุ่ม รองเท้าจะมีแรงจิกกับพื้นมากกว่าครับ          ดังนั้น "ถ้าจะเพิ่มพื้นที่สัมผัส จะต้องไม่ไปลดสปส.แรงเสียดทานลงครับ" แต่การไปเอาดอกยางออกแล้วบอกว่าไปเพิ่มพื้นที่สัมผัส(คือทำให้เรียบ) มันไปเปลี่ยน แปลงสปส.แรงเสียดทานให้น้อยลง                                                                                                               ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 14:12:27

ความคิดเห็นที่ 63 ตัวอย่างที่ยกมาไม่สามารถอธิบายเรื่องยางกับถนนเรียบและแห้งได้ครับ ในกรณีนี้ หญ้าจะเป็นเหมือนน้ำ คอยขวางไม่ให้ยางรถยนต์ลงไปหาพื้นดินได้ ดังนั้นจึงต้องการดอกยาง (และ Unit Load เพิ่มขึ้น) เพื่อให้ยางแหวกหญ้าลงไปหาพื้นดินง่ายขึ้น เมื่อแหวกหญ้าลงไปแล้ว และดินมันนิ่มกว่ายาง มันก็ไม่มีเฟืองมาจิกเข้าไปในยางเหมือนกับถนนทั่วๆไป เจอยางขยี้ลงไปบนผิวหน้าดินมันก็เละหมด จึงต้องให้ยางเป็นฝ่ายจิกลงไปในเนื้อของถนน(ดิน)แทน [*เพิ่มเติมนิด...ถ้าอยากให้เทียบกันดีกว่านี้ ต้องย้ายมาเล่นบอลกันบนถนนดีกว่าครับ ถึงมันจะไม่หมุนเหมือนล้อรถ แต่มันก็ทำให้เห็นภาพต่างๆได้ใกล้เคียงขึ้น] ย้ำอีกครั้งว่ายางกับถนน(แห้ง) เป็นเหมือนเฟืองที่ขบกันไปเรื่อยๆครับ . . . แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 22:27:10 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 22:26:15 จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 15:05:39

ความคิดเห็นที่ 64 ผมว่า ชักจะไปกันใหญ่นะ คุณอธิบายเรื่องรองเท้าสตั๊ดมาก็ชัดดีครับว่า คุณเข้าใจมันผิดไปใหญ่แล้ว ง่ายๆเลยครับตามที่คุณอธิบายมาตกลงรองเท้าสตั๊ดเนี่ยใช้ "แรงเสียดทาน" หรือ "แรงจิก" กันแน่ เสียดทานคือถูไถแล้วฝืดๆ  ส่วนจิกคือเจาะปักลงไปในพื้น เหมือนขวานของนักไต่เขา แค่นี้คำอธิบายของคุณมันก็ ขัดแย้งกันเองแล้วนะครับ  เอาละโดยส่วนตัวผมคิดว่า การทำงานของปุ่มรองเท้าสตั๊ดมันเป็นแรงจิกมากกว่า และผมคิดว่าเป็นพฤติกรรมที่คล้ายกับที่เราพูดถึงพฤติกรรมที่ ยางล้อรถกับถนนทำต่อกันด้วย เหมือนที่คุณตั้มเล็กอธิบายนั่นถูกแล้วนะครับ เรื่องนี้ต้องใช้จินตนาการ ถึงพฤติกรรมที่ วัสดุทั้งสองทำต่อกันด้วย ไม่ใช่เอา สมการ แรงเสียดทานมาคุยอย่างเดียว มันคนละเรื่องแล้วครับ สิ่งที่คุณพยายามอธิบายมันขัดต่อ ข้อเท็จจริงที่เราเห็นอยู่ทุกวันนะ รถแรงรถซิ่งรถแข่ง เค้ามีแต่ใส่ยางให้ใหญ่ขึ้น พื้นที่สัมผัสมากขึ้น  ถ้าสิ่งที่คุณอธิบายมันถูกต้องแล้ว คุณอธิบายอย่างไรว่า ทำไมรถแข่งทั้งทางตรงทางเลี้ยวทั้งหลาย เค้าไม่ใส่ยางขนาดล้อรถจักรยานไปเลยล่ะ หน้าเล็กดีจิกถนนได้ดี ผมว่าคุณลองไปคิดเรื่อง สตั๊ดของคุณก่อนดีกว่าครับว่า ถ้าให้คุณเล่นฟุตบอลในเงื่อนไขของคุณ คุณคิดว่า ใส่สตั๊ดปุ่มเดียว หรือใส่สตั๊ด 6 ปุ่ม ดีกว่ากัน  อิอิ  จากคุณ : Ryback เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 17:48:23

ความคิดเห็นที่ 65 ผมไม่มีความรู้อะครับ แต่คิดว่ารองเท้า กับล้อหมุน มันน่าจะใช้หลักการคนละแบบ จากคุณ : Tuey_re เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 17:54:23

ความคิดเห็นที่ 66 ผมก็ชักงงนะ -__-' ยางรถแข่งทางเรียบ แบบแห้ง ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ หรือ รถยนต์ class ไหน ก็ต้องเป็น racing slick ไร้ดอก ผมว่านอกจาก racing compound แล้ว  Contact patch ก็น่าจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่ม grip ไม่ใช่เหรอครับ? จากคุณ : AMIYAMA เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 21:37:30

ความคิดเห็นที่ 67 ผมเข้าใจว่าการเพิ่มพื้นที่สัมผัส ช่วยเพิ่มแรงเสียดทานนะครับ แต่ว่าใครช่วยแนะนำหนังสือหรือหาสมการมาอธิบายสักหน่อยเถิดครับ อยากรู้ครับ จากคุณ : EviL_ParAGoN เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 01:01:43

ความคิดเห็นที่ 68 คห. คุณสองนิ้วชี้กิ๊ฟเยอะแต่มั่วนะ ผู้อ่านระมัดระวังด้วย จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 08:07:12 A:1.4.234.39 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 69 ใครรู้วิธีหา สัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (μ) บ้าง ตั้งแต่เรียนฟิสิกส์มายังไม่เคยหาตัวนี้เลยครับ เข้าใจว่าน่าจะเกินหลักสูตรฟิสิกส์ม.ปลาย เพราะในม.ปลายมีแต่กำหนดให้... บางทีถ้าลองไปดูวิธีหาสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอาจจะได้คำตอบว่า ถ้าพื้นที่สัมผัสเยอะ สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเยอะ ทำให้แรงเสียดทานเยอะ ถ้าพื้นที่สัมผัสน้อย สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานน้อย ทำให้แรงเสียดทานน้อย แม้ในสมการ F = μN จะไม่มีเรื่องพื้นที่ ก็ตามที แต่หากเราวิเคราะห์ μ อาจจะมีเรื่องเกี่ยวข้องก็ได้ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 08:24:26

ความคิดเห็นที่ 70 ขนาดไม่สำคัญในเรื่องของ Friction มันจะขึ้นอยู่กับ Unit Load ว่ามากแค่ไหน แต่มันเอาภาษาของ Friction มาใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของ Traction ของ "ยาง" รถยนต์ที่วิ่งอยู่บน "ถนน" ไม่ได้ เพราะหนามของถนนมันตำเข้าไปในเนื้อยาง ถ้าหน้ายางกว้างเท่าๆกัน ยาง Slick ต้องออกแรงเข็นมากกว่ายางรถยนต์ที่มีดอกครับ ซึ่งเป็นเพราะยาง Slick มีพื้นที่ให้หนามตำเข้าไปในเนื้อยางมากกว่า ส่วนเรื่องรองเท้าทั่วๆไปที่ต้องมีดอกนั้น ก็เป็นเพราะผู้ผลิตไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่าคนจะไปเดินบนพื้นลักษณะใดบ้าง ซึ่งมันมีทั้งถนน ทราย ปาร์เก้ โคลน ฯ และเนื่องจากลักษณะของพื้นผิวบางประเภท อาจจำเป็นต้องมีดอกเอาไว้เพื่อช่วยในการยึดเกาะ ถ้าจะเอาสูตรของ Friction มาใช้ ต้องเปลี่ยนเรื่องนี้เป็นรถไฟที่วิ่งอยู่บนรางเสียก่อน (เหล็กเจอกับเหล็ก) ดังจะเห็นได้ว่า ตอนขึ้นภูเขานั้น รถไฟอาจล้อฟรีได้ เนื่องจากน้ำหนักถ่ายไปอยู่ด้านหลังขบวน จากคุณ : ตั้มเล็ก เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 13:49:52

ความคิดเห็นที่ 71 คุณสองนิ้วชี้เปรียบเทียบไม่ถูกนะ เปรียบกับสนามหญ้าได้ไง ต้องเปรียบเทียบสนามเรียบด้วยกันซิ ( จริงๆ ถ้าจะเปรียบเทียบสนามหญ้าก็ต้องคิดพื้นที่สัมผัสที่ปุ่มรองเท้าฝังเข้าไปในดินด้วย ซึ่งเมื่อคิดรวมแล้ว พื้นที่สัมผัสจะมากกว่ารองเท้าลอยๆ ที่ไม่จมดินอย่างแน่นอน) ในกรณีที่วัสดุเป็นประเภทเดียวกัน พื้นที่สัมผัสที่มากกว่า ความเสียดทานย่อมมากกว่า จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 17:01:57

ความคิดเห็นที่ 72 ดอกยาง เข้าโค้งหักศอกแค่ 80 ก็หลุดโค้งแล้วครับสำหรับยางไม่มีดอก อันนี้จริงหรือครับ  ในรถธรรมดาเอายางไม่มีดอกจากไหนครับ รึว่าเป็นยางเก่าเปรียบเทียบไม่ได้นะ ยางเก่าจะแข็ง สปสความเสียดทานจะเปลี่ยนไป  ถ้ายางประเภทเดียวกันยางเรียบน่าจะเกาะกว่านะ จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 17:10:44

ความคิดเห็นที่ 73 เออแฮะ พูดไปไปมาๆ งงเอง ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่นะครับ 1. ดอกยากคือบริเวณผิวสัมผัสถนน 2. ร่องยางคือร่องที่ไม่สัมผัสถนน ฉะนั้นในปัจจัยแวดล้อมที่เหมือนๆกันทุกอย่าง เรียบเทียบยางที่มีดอกทั้งหน้ายาง (ก็คือยางเีรียบนะครับ) จะเกาะกว่า  ยางที่มีร่องยาง อย่างแน่นอนครับ จากคุณ : puylogin เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 17:15:16