 |
***
ส่วนของฝ่ายญี่ปุ่นนั้นมีนายพลอีกคนหนึ่งที่อาจจะโด่งดังพอๆกับนายพล "ยามาโมโต้" เลยทีเดียวนั่นคือนายพล "โทโมโยกิ ยามาชิตะ" ผู้นำกองทัพญี่ปุ่นในการรุกคืบเข้าสู่ "คาบสมุทรมาลายา"(มาเลเซีย) ของอังกฤษในช่วงปลายปีค.ศ.1941ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ญี่ปุ่นโจมตี "เพิร์ลฮาร์เบอร์" และเปิดฉากสงครามแบบสายฟ้าแลบไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
โดยนายพล "ยามาชิตะ" สามารถนำกองทหารญี่ปุ่นจำนวนไม่ถึง 40,000 คน (ถ้าจำเป็นเรียกกำลังสนับสนุนเพิ่มได้อีกประมาณ20,000คน) ไล่ตีกองทัพอังกฤษและพันธมิตรนับแสนนายจากบริเวณคาบสมุทรมาลายานับตั้งแต่ชายแดนประเทศไทยให้ไปจนมุมกันอยู่ที่ "เกาะสิงคโปร์" ทางตอนใต้ของแหลมมลายู ซึ่ง "สิงคโปร์" เองเป็นป้อมปราการและฐานทัพเรือที่สำคัญที่สุดของอังกฤษ ณ ตะวันออกไกลในตอนนั้น
กระทั่งในที่สุดกองทัพของญี่ปุ่นเพียงไม่กี่หมื่นนายซึ่งกำลังอ่อนล้าจากการรุกอันหนักหน่วงมาตลอด2เดือนเต็ม จะสามารถทำให้กองทัพอังกฤษและพันธมิตรนับแสนนายในเกาะสิงคโปร์ต้องยกธงขาวยอมจำนน ซึ่งการยอมจำนนครั้งนี้นับเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสมรภูมิตะวันออกไกลตลอดช่วงสงครามและเป็นการทำลายความเข้มแข็งของจักรวรรดิอังกฤษในภูิมิภาคนี้ไปตลอดกาลแม้สงครามจะจบลงไปแล้วก็ตาม
และจากชัยชนะนี้เองจึงทำให้นายพล "ยามาชิตะ" ได้รับสมญานามว่า "พยัคฆ์ร้ายแห่งมาลายา" (Tiger of Malaya) นั่นเองครับ ทว่าเรื่องน่าเศร้าก็คือทหารนับแสนนายที่ยอมแพ้นั้นส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปรวมกับทหารมะริกันที่พ่ายแพ้มาจากสมรภูมิฟิลิปปินส์ และถูกส่งไปทำงานในค่้ายเชลยศึกอันโหดร้า่ยทารุณรวมถึงการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะในบ้านเราด้วย จึงทำให้หลังสงครามจบลงนายพล "ยามาชิตะ" จึงถูกศาลอาชญากรสงครามพิพากษาให้ต้องโทษประหารชีวิตอันเนื่องมาจากการกระทำอันโหดร้ายของทหารใต้บังคับบัญชาของเขาต่อเชลยศึกสัมพันธมิตรในช่วงสงครามนั่นเอง
ป.ล. ตอนที่นายพล "ยามาชิตะ" ยอมจำนนต่อกองทัพสัมพันธมิตรนั้น "ดาบคาตานะ" คู่กายของเขาได้ถูกนายพล "แม็คอาร์เธอร์" ผู้โด่งดังยึดเอาไป ก่อนที่ภายหลัง "แมคอาร์เธอร์" จะส่งดาบเล่มนี้ไปยังพิพิธภัณท์ทหารที่ "โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยน์" ของอเมริกา ซึ่งเป็นที่จัดแสดงดาบเล่มดังกล่าวอยู่จนถึงปัจจุบันครับ (ตามรูป)
(May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
จากคุณ |
:
เจไดหนุ่ม
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ค. 55 23:37:10
|
|
|
|
 |