ความคิดเห็นที่ 1 ในยุคน้ำแข็ง ทวีปอเมริกาเหนือ หรือ ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่า โลกใหม่ การลดระดับลงของน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ก่อให้เกิดสะพานธรรมชาติเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและเอเชีย ดินแดนดังกล่าวกินพื้นที่ซึ่งปัจจุบัน คือ ช่องแคบเบริ่ง จึงได้ชื่อว่า เบริงเจีย (Beringia) และโดยสะพานธรรมชาติเบริงเจียนี่เองที่ทำให้สิ่งมีชิวิตจากทวีปเอเชียและอาฟริกาอพยพเข้าไปในอเมริกาเหนือ ซึ่งก็รวมทั้งบรรพบุรุษรุ่นแรกของมนุษย์เราด้วย จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:31:37

ความคิดเห็นที่ 2 สัตว์โบราณกลุ่มแรกของอเมริกาที่น่าสนใจก็คือ ช้าง ในยุคแรกนั้นช้างมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและกระจายพันธุ์ไปยังทวีปต่าง ๆ ในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคพลีสโตซีนก็มีช้างมากมายหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่บนโลก โดยมีขนาดและรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ช้างแคระขนาดเท่าควายที่อยู่ตามเกาะแก่งของทะเลเมดิเตอเรเนียนจนถึงช้างแมมมอธในเขตทุ่งน้ำแข็งทางเหนือ สำหรับทวีปอเมริกาเหนือในช่วงเวลาดังกล่าวมีช้างอาศัยอยู่หลายชนิด โดยช้างที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่ ช้างแมมมอธขนปุย (wooly mammoth),  ช้างมาสโตดอน (Mastodon) และ โคลัมเบียนแมมมอธ (Columbian Mammoth) จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:32:41

ความคิดเห็นที่ 3 ช้างแมมมอธขนปุยพบกระจัดกระจายทั่วไปตั้งแต่แถบเบริงเจียจนถึงตอนเหนือของทวีป ในขณะที่โคลัมเบียนแมมมอธจะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ถัดลงมา  ลักษณะโดยทั่วไปของช้างแมมมอธแห่งอเมริกาคล้ายกับญาติของมันที่อยู่ในทวีปยุโรป โดยพวกแมมอธขนปุยจะมีขนาดพอกับช้างเอเชียตัวเขื่อง ๆ สูงที่ไหล่ราว 9 – 10 ฟุต หนักประมาณ 5 ตัน มีใบหูเล็กเพื่อช่วยในการรักษาอุณหภูมิร่างกาย งายาวโค้งใช้ประโยชน์ในการคุ้ยหิมะเพื่อหาอาหาร มีขนยาวหนาสองชั้นหุ้มร่างกาย โดยขนชั้นนอกจะยาวกว่าชั้นใน เพื่อช่วยในการสร้างความอบอุ่น  จุดเด่นอย่างหนึ่งของพวกแมมมอธก็คือโดมสูงที่ศรีษะ ซึ่งทำให้มันดูสูงใหญ่กว่าที่เป็นจริง จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:33:32

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับมาสโตดอน มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับช้างปัจจุบัน งายาวค่อนข้างตรง แต่ร่างกายก็มีขนปกคลุมร่างกายเช่นเดียวกับแมมมอธ  มีบริเวณที่อยู่กว้างกว่าช้างแมมมอธ โดยพบเลยลงมาถึงแถบอเมริกากลาง จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:34:18

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับช้างยักษ์ตัวสุดท้าย ได้แก่ โคลัมเบียนแมมมอธ เป็นช้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีควาามสูงที่ไหล่ราวสิบสามฟุต และอาจหนักเกือบ 6 ตัน มีงายาวโค้งและมีศรีษะเป็นรูปโดมสูงเหมือนแมมมอธขนปุย แต่เนื่องจากบริเวณที่โคลัมเบียนแมมมอธอาศัยอยู่มีภูมิอากาศอบอุ่นกว่า จึงคาดกันว่า โคลัมเบียนแมมมอธน่าจะมีขนสั้นกว่าแมมมอธขนปุย แม้จะมีความแตกต่างในลักษณะทางกายภาพและบริเวณที่อยู่อาศัย แต่ช้างทั้งสามชนิดนี้ก็เป็นสัตว์สังคมที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูงเช่นเดียวกับช้างในปัจจุบัน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:35:03

ความคิดเห็นที่ 6 นอกจากช้างแล้วในทวีปอเมริกาเหนือยังมีสัตว์ยักษ์อื่น ๆ อีกหลายชนิด หนึ่งในบรรดาสัตว์ยักษ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ชนิดหนึ่งก็คือ เมกะเธเรียม (Megatherium) หรือในชื่อสามัญว่า กราวด์สลอธยักษ์ (Giant ground sloth) ในสมัยปลายยุคน้ำแข็งมีกราวด์สลอธหลายชนิดที่อาศํยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่แถบเบริงเจีย ไปจนถึงบริเวณอเมริกากลางและอเมริกาใต้  แต่ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือชนิดที่เรียกว่า เมกะเธเรียม สลอธยักษ์ชนิดนี้ มีความยาวกว่า 20 ฟุต เวลายืนบนสองขาหลังอาจสูงถึง 13 ฟุต และหนักมากกว่าสี่ตัน ผิดกับญาติของมัน สลอธต้นไม้ที่มีขนาดเพียงเท่ากับชะนีตัวเขื่อง ๆ เท่านั้น ถิ่นอาศัยของมันคือบริเวณที่เป็นมลรัฐฟลอริดาเรื่อยลงไปจนถึงอเมริกาใต้ เมกะเธเรียม (Megatherium) จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:36:16

ความคิดเห็นที่ 7 สลอธยักษ์เป็นสัตว์กินพืช หากินตามลำพัง โดยมักจะยืนบนขาหลังและใช้หางขนาดใหญ่ทรงตัว ซึ่งด้วยวิธีนี้ทำให้มันสามารถกินใบไม้บนที่สูง ๆ ได้ มันมีกรงเล็บขนาดใหญ่ที่ขาหน้าทั้งสองข้างขนาดยาวราวเจ็ดนิ้ว ใช้ประโยชน์ในการเหนี่ยวยอดไม้ลงมากิน และยังใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย ลักษณะพิเศษที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของสัตว์ยักษ์ชนิดนี้ ก็คือ มันมีกระดูกชิ้นเล็ก ๆ เรียงรายใต้ผิวหนัง เชื่อกันว่ากระดูกพวกนี้น่าจะทำหน้าที่เป็นเกราะให้กับมัน ทุกวันนี้ยังมีข่าวเล่าลือเกี่ยวกับสัตว์ยักษ์ในป่าดงดิบของลุ่มน้ำอเมซอน ที่เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองว่า มาปิงกัวรี จากคำบอกเล่าของชนพื้นเมือง ลักษณะของมัน คล้ายกับเมกะเธเรียมมาก มีความเป็นไปได้ว่า บางทีสัตว์ยักษ์ตัวนี้ อาจจะยังคงอยู่ร่วมสมัยกับเราก็เป็นได้ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:36:49

ความคิดเห็นที่ 8 ในยุคพลีสโตซีนตอนปลาย อเมริกาเหนือมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เป็นที่อยู่ของนักเล็มหญ้าจำนวนมหาศาล อย่างพวกม้าที่มีอยู่กว่าห้าชนิด แอนทีโลปพรองฮอร์นอีกหลายชนิด รวมถึงกวางชนิดต่าง ๆ อูฐยุคน้ำแข็งที่มีขนาดสูงเกือบสามเมตร ลาป่า มัสออกค์ (วัวป่าขนยาว) และไบซันอีกหลายชนิด จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:37:50

ความคิดเห็นที่ 9 อูฐยุคน้ำแข็ง จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:38:28

ความคิดเห็นที่ 10 มัสออกค์ (วัวป่าขนยาว) จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:39:19

ความคิดเห็นที่ 11 การมีปริมาณเหยื่อมากขนาดนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงจำนวนของสัตว์นักล่าว่าย่อมมีมากมายหลายชนิดด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้วในปัจจุบัน อย่างพวกเสือเขี้ยวดาบสไมโลดอน, เสือซคิมิต้า (Scimitar tooth cat), สิงโตอเมริกัน และหมียักษ์หน้าสั้น เสือเขี้ยวดาบสไมโลดอน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:40:30

ความคิดเห็นที่ 12 ในช่วงเวลาดังกล่าว สิงโตถือเป็นนักล่าสุดยอดที่มีการกระจายพันธุ์ครอบครองอยู่ทุกทวีปของโลก ยกเว้นแต่ออสเตรเลียและแอนตาร์กติกา เท่านั้น ในกรณีของทวีปอเมริกา เนื่องด้วยสะพานเบริงเจียที่เชื่อมระหว่างทวีปอเมริกากับเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้นักล่าอย่างสิงโตสามารถอพยพจากถิ่นกำเนิดเดิมของพวกมัน ในทวีปแอฟริกา ผ่านเข้าไปในเอเชียข้ามเข้าสู่ทวีปอเมริกาได้ ลักษณะของสิงโตอเมริกันมีความคล้ายคลึงญาติของมันในทวีปแอฟริกามาก เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าราว 75 เปอร์เซนต์ และมีช่วงขาที่ค่อนข้างยาวกว่าสิงโตอาฟริกา นอกจากนี้สิงโตอเมริกันเพศผู้ก็อาจจะมีขนคอเหมือนสิงโตแอฟริกันด้วย เนื่องจากมีการค้นพบภาพวาดโบราณในแถบอเมริกาเหนือ เป็นรูปของสิงโตที่มีขนคอ นอกจากนี้รูปสิงโตที่พบยังมีลายจาง ๆ บริเวณขาและลำตัว จึงคิดกันว่าสิงโตอเมริกันอาจจะมีลายแถบพาดตามลำตัวด้วยก็เป็นได้ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:41:35

ความคิดเห็นที่ 13 ในบรรดาสัตว์นักล่าของทวีปอเมริกานั้น หมียักษ์หน้าสั้น (Short Faced  giant bear) เป็นสัตว์นักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และบางทีมันอาจเป็นสัตว์บกกินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้นก็เป็นได้  หมีชนิดนี้อาจหนักมากกว่าหนึ่งตัน และสูงกว่าสี่เมตรเมื่อยืนด้วยสองขาหลัง  ส่วนกระโหลกศรีษะของมันค่อนข้างสั้นกว่าหมีชนิดอื่น ๆ มองดูคล้ายรูปหน้าของสุนัขพิตบลู กรามที่แข็งแรงบอกให้รู้ว่า หมีชนิดนี้น่าจะเป็นนักกินซากตัวยง ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของหมีชนิดนี้ก็คือ ช่วงขาที่ยาว ซึ่งน่าจะช่วยให้มันเคลื่อนที่ไปบนท้องทุ่งกว้างได้เร็วขึ้น จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:42:17

ความคิดเห็นที่ 14 เสือซคิมิต้า (Scimitar  tooth tiger) เป็นเสือเขี้ยวดาบชนิดหนึ่ง เขี้ยวของมันสั้นกว่าสไมโดอนขณะที่ช่วงขาก็ดูเพรียวกว่า ลักษณะของซคิมิต้า ให้ภาพของนักล่าที่ปราดเปรียว คล้ายกับเสือดาวในยุคปัจจุบัน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:43:02

ความคิดเห็นที่ 15 สมาชิกดึกดำบรรพ์ตัวสุดท้ายของทวีปอเมริกาที่เราจะกล่าวถึง ก็คือ บีเวอร์ยักษ์ ที่มีความยาวประมาณแปดฟุตและหนักมากกว่าสองร้อยกิโลกรัม มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับลา บีเวอร์ยักษ์อาศัยอยู่ในแถบตอนเหนือของแคนาดาเรื่อยมาจนถึงฟลอริดา ลักษณะของมันก็คล้ายคลึงกับญาติตัวเล็กของมันในยุคปัจจุบัน และยังมีหางที่แบนคล้ายใบพายเหมือนกันอีกด้วย แต่บีเวอร์ยักษ์จะมีช่วงหางที่แคบกว่าบีเวอร์ในยุคปัจจุบัน และมีฟันหน้าที่ยาวโค้งใช้ประโยชน์ในการฉีกกินพืชน้ำแข็ง ๆ พวกมันอาศัยอยู่ตามแม่น้ำและทะเลสาป ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง ก็คือบีเวอร์ยักษ์ไม่มีการสร้างทำนบกั้นน้ำเหมือนญาติในยุคปัจจุบัน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:43:45

ความคิดเห็นที่ 16 ทวีปอเมริกาเหนือ เป็นแหล่งพักพิงอันแสนสงบสุขของเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์มาเป็นเวลานานหลายหมื่นปี จวบจนกระทั่งเมื่อราวหนึ่งหมื่นสามพันปีก่อน อันเป็นช่วงเวลาที่ยุคน้ำแข็งใกล้สิ้นสุดลง มนุษย์กลุ่มแรกได้เดินทางมาจากทวีปเอเชีย มนุษย์พวกนี้สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์โครมันยอง พวกเขาอพยพมาจากดินแดนไซบีเรีย ผ่านสะพานธรรมชาติเบริงเจียข้ามมาสู่ทวีปแห่งนี้ และการเข้ามาของมนุษย์ได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อเหล่าสัตว์ยุคน้ำแข็งแห่งทวีปอเมริกา จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:44:16

ความคิดเห็นที่ 17 มนุษย์เหล่านี้ถูกเรียกว่า พวกโครวิส (Crovis) ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะใบหอกประดิษฐ์ของพวกเขา หอกของพวกโครวิส มีประสิทธิมากกว่าหอกหินแบบเดิมหลายเท่า โดยมีน้ำหนักเบากว่า มีความคมมากกว่า เมื่อใช้ประกอบกับเครื่องพุ่งหอก ก็ทำให้กำลังแรงของมันมากพอที่จะทะลุหัวกระโหลกของเหยื่อได้ ใบหอกประดิษฐ์ของพวกโครวิส (Crovis) จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:45:05

ความคิดเห็นที่ 18 การพัฒนาความสามารถในการล่าของพวกโครวิส ทำให้พฤติกรรมในการล่าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป จากแต่เดิมนักล่าในยุคน้ำแข็งมักจะล่าเหยื่อ ที่แยกตัวจากฝูง หรือเหยื่อที่บาดเจ็บ แต่ประสิทธิภาพในการล่าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้พวกเขาเลือกที่จะล่าสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุด ซึ่งโดยมากก็มักจะเป็นจ่าฝูง การที่มนุษย์สังหารสัตว์ผู้นำฝูงลง ทำให้ฝูงสัตว์ขาดผู้นำฝูงที่มีประสบการณ์ โดยเฉพาะในสภาพอากาศอันทารุณของยุคน้ำแข็ง การขาดจ่าฝูงที่มีประสบการณ์ย่อมทำให้ฝูงพบหายนะในที่สุด เช่น ในกรณีของ แมมมอธ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีพฤติกรรมไม่ต่างจากช้างในปัจจุบัน ที่จะมีตัวเมียสูงอายุเป็นจ่าฝูง ประสบการณ์ของจ่าฝูงจะทำให้ฝูงอยู่รอดได้ในช่วงที่อาหารขาดแคลน เมื่อจ่าฝูงถูกฆ่า สัตว์ที่เหลือก็ไม่อาจรอดได้  จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:46:01

ความคิดเห็นที่ 19 อย่างไรก็ตามการจะโทษว่ามนุษย์เป็นต้นเหตุให้บรรดาสัตว์ดึกดำบรรพ์แห่งทวีปอเมริกาสูญพันธุ์ไปนั้น ก็ดูจะเป็นการโยนบาปให้มนุษย์แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ในเวลานั้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงของยุคน้ำแข็งเอง ก็ส่งผลต่อพวกมันเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของบีเวอร์ยักษ์ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อระดับน้ำในลำธารและหนองบึงอันเป็นที่อยู่ของพวกมัน เมื่อระดับน้ำลดลง บีเวอร์ในยุคปัจจุบันแก้ปัญหานี้โดยการสร้างทำนบกั้นน้ำเพื่อให้ระดับน้ำสูงพอที่พวกมันจะสามารถอยู่รอดได้ ทว่าบีเวอร์ยักษ์ที่ไม่ได้สร้างทำนบกั้นน้ำ ไม่อาจปรับตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ระดับน้ำที่ลดลงส่งผลให้บีเวอร์ยักษ์ประสบปัญหาในการหาอาหาร พืชน้ำที่เป็นอาหารของพวกมันลดจำนวนลง ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ บีเวอร์ยักษ์ไม่อาจซ่อนขนาดอันใหญ่โตของมันในแหล่งน้ำขนาดเล็กได้ โดยเฉพาะเมื่อมันต้องเผชิญหน้ากับนักล่าหน้าใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างมนุษย์ การสร้างทำนบกั้นน้ำของบีเวอร์ในยุคปัจจุบัน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:47:06

ความคิดเห็นที่ 20 แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในตอนปลายยุคน้ำแข็ง จะเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการสูญพันธุ์ของเหล่าสัตว์ยักษ์ยุคน้ำแข็ง ในทวีปอเมริกาเหนือ  แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่เร่งเวลาหายนะของเหล่าสัตว์ยักษ์ยุคน้ำแข็งนี้ก็คือ มนุษย์ จากหลักฐานของซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในแถบอเมริกาเหนือ พบว่าหลังจากที่มนุษย์เข้าตั้งรกรากได้เพียงหนึ่งพันปี สัตว์ขนาดใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือกว่าสามสิบชนิดก็ต้องสูญพันธุ์ไป และสัตว์ใหญ่เพียงชนิดเดียวที่หลงเหลือจากยุคน้ำแข็งก็คือควายไบซัน จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:47:42

ความคิดเห็นที่ 21 อย่างไรก็ตามนับจากช่วงเวลานั้นมาจนถึงยุคที่ชาวผิวขาวเข้ามาตั้งรกรากบนแผ่นดินอเมริกา ไม่มีหลักฐานว่ามีการสูญพันธุ์ใด ๆ เกิดขึ้น ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือได้สร้างวิถีชีวิตใหม่ในการอยู่ร่วมและเคารพในธรรมชาติ แต่เมื่อชนผิวขาวเข้ามาถึง การทำลายล้างก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ควายไบซันกว่าหกสิบล้านตัวถูกกวาดล้างจนแทบหมดสิ้นไปจากทุ่งราบ อาจกล่าวได้ว่าชะตากรรมของเหล่าสัตว์ยักษ์ในทวีปอเมริกาเหนือจบสิ้นลงจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและการล่าของมนุษย์ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:48:28

ความคิดเห็นที่ 22 จบล่ะ ไว้พบกันใหม่  จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 07:50:14

ความคิดเห็นที่ 23 สัตว์หลายๆตัวในยุคน้ำแข็ง เท่ดีนะ แล้วสถานการณ์ของไบซันในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างครับ จากคุณ : erkDaZe เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 08:00:50

ความคิดเห็นที่ 24 ไบซันได้รับการคุ้มครองและตอนนี้เพิ่มจำนวนขึ้นมากแล้วครับ.. ^^ จากคุณ : pencilboy เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 08:23:24

ความคิดเห็นที่ 25 ปาด จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 08:39:28

ความคิดเห็นที่ 26 ควายไบซัน รูปร่างหน้าตาโบราณได้ใจจริงๆ ชอบเป็นการส่วนตัวมานานละ จากคุณ : ผมเป๋รองทรง เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 08:56:34

ความคิดเห็นที่ 27  คงจะอร่อย  จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 09:28:05

ความคิดเห็นที่ 28 มนุษย์นี่มันตัวหายนะจอมทำลายล้างจริงๆ จากคุณ : มดปลวกติดปีก เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 09:55:30

ความคิดเห็นที่ 29 มีคนบอกว่า ควายไบซัน น่ารักขนปุยๆ เนื้ออร่อย  ^0^ จากคุณ : TonTon1977 เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 10:10:03

ความคิดเห็นที่ 30 กบ จากคุณ : PONG NOO PUND (PONG NOO PUND) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 10:39:32

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วนใหญ่ตายจากการล่าเล่น ด้วยปืน หลายๆคนล่าเล่นเพื่อประลองความแม่นเท่านั้น ไม่ได้ล่าเอามากิน จากคุณ : du เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 10:56:41 A:164.115.7.10 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความรู้นะครับ จากคุณ : เกาะพะลวย กรีนไอส์แลนด์ (green island) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 11:01:37

ความคิดเห็นที่ 33 แล้วเจ้าตัวนี้หละ จากคุณ : porrunka เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 11:08:24

ความคิดเห็นที่ 34 ควายไบซัน สู้ฮิปโปได้ไหม จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 11:14:24

ความคิดเห็นที่ 35 คห.34 อย่าเอาไปตั้งกระทู้นะ จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 11:47:52

ความคิดเห็นที่ 36 ในอเมริกาเหนือมีฮิปโปมั้ยครับ จากคุณ : ท่านคิมไม่เคยยืม เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 12:53:31

ความคิดเห็นที่ 37 กระทู้ต้อนรับหนังเข้าใหม่พอดี จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 13:52:42

ความคิดเห็นที่ 38 /\ /\ อ๊ายย..เอดส์ 4 นี่ครับ เข้ารึยังครับ จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 14:07:16

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบความเห็นที่ 23 ครับ ปัจจุบัน มีควายไบซันอเมริกันอยู่ราวสี่แสนถึงห้าแสนตัวในสหรัฐและแคนาดาครับ สบางส่วนอยู่ในป่าสงวนของรัฐและบางส่วนก็อยู่ในฟาร์มของเอกชน นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังได้มีการออกใบอนุญาตให้ล่าไบซันได้ด้วย โดยมีการจำกัดจำนวนไบซันที่จะถูกล่า ในแต่ละปีเอาไว้ ส่วนเงินที่ได้จากการออกใบอนุญาตก็จะเอามาใช้สนับสนุนงานอนุรักษ์สัตว์ป่า สำหรับความเห็นที่ 34 ดูท่าทางคงสู้ไม่ไหวแน่ครับ ไบซันหนักเฉลียหนึ่งตัน แต่ฮิปโปหนักกว่าสามตัน เทียบกันเหมือนเอารถเก๋งไปชนกับรถหกล้อ นอกจากนี้ฮิปโปยังมีหนังหนากว่าไบซัน แถมมีเขี้ยวยาวขนาดงับหนังแรดทะลุ เพราะฉะนั้นอย่างใบซันนี่คงแหลกแน่ ถ้าเจอกัน สำหรับความเห็นที่ 36 ในยุคน้ำแข็ง ที่อเมริกา ไม่มีฮิปโปหรอกครับ แต่เมื่อราวสามแสนปีก่อน ในยุโรปแถบฝรั่งเศสและอังกฤษ เคยมีสภาพอากาศคล้ายๆเคนยาในปัจจุบันนี้ และเคยมีฮิปโปโปเตมัส อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 14:42:31

ความคิดเห็นที่ 40 เข้าแล้วครับ สนุกดีครับภาคนี้ แม่เสือสาวน่ารักดี 555 จากคุณ : Kyo3 เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 14:48:25

ความคิดเห็นที่ 41 เจ้าตัวในความเห็นที่ 33 ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยครับ แต่คุณ ๆ รู้มั้ย เพราะมันตัวเดียว ทำให้แผ่นดินสมัยยุคน้ำแข็งแยกออกจากกันเป็นหลายทวีป  มาจนถึงทุกวันนี้แหละ อิ ๆ จากคุณ : คนใต้ดิน เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 15:06:17

ความคิดเห็นที่ 42 ผมสงสัยว่า มันอายุยืนมากเกินไปมั้ย? ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ยุคน้ำแข็ง หลังยุคน้ำแข็ง จนตอนนี้ยุคใหม่ ก็ยังอยู่อีก ภาคต่อไปนี่จะยุคอนาคตรึเปล่า แต่ก็ดูนะ ฮาดี ชอบ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 17:58:39 จากคุณ : darkness2 เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 17:58:22

ความคิดเห็นที่ 43 ผมสงสัยว่าโลกยุคโบราณ ความอุดมสมบูรณ์จะมากขนาดใหน สังเกตจากสัตว์แต่ละชนิดซึ่งมีขนาดใหญ่ถึงใหญ่มากจริงๆ แล้วสัตว์ใช้เวลากี่ล้านปีถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เล็กลงตามทฤษฏีวิวัฒนาการ หรือเป็นแค่อีกสายพันธ์หนึ่งที่ยังคงเหลืออยู่ จากคุณ : Mr.Seal Man เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 19:57:22

ความคิดเห็นที่ 44 ^ น่าจะขึ้นกับวงจรชีวิตของสัตว์นั้นเองด้วยครับ เพราะยิ่งมีวงจรชีวิตสั้น จำนวนรุ่นก็จะมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดได้เร็วกว่าสัตว์ที่มีวงจรชีวิตยาวนาน สมมติว่า ต้องคัดเลือกไป 1000 รุ่น จึงจะกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ กรณีของคน พันรุ่นก็ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 หมื่นปี แต่ของสัตว์บางชนิดอาจจะไม่กี่พันปี ยิ่งถ้าพวกแมลงบางอย่างที่มีอายุไม่กี่เดือนก็ผสมพันธุ์ได้ พันรุ่นอาจจะเหลือแค่สี่ห้าร้อยปีเองก็ได้ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 21:09:54

ความคิดเห็นที่ 45 อยากกินซุปมาสโตดอน (เอาคำพูดมาจากมนุษย์หินฟริ้นสโตน) จากคุณ : Rommail เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 11:17:33

ความคิดเห็นที่ 46 อยากได้เสือเขี้ยวดาบมาเลี้ยงจัง สวยดี จากคุณ : นส.3ก เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 15:34:51

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบความเห็นที่ 43 ครับ ที่สัตว์ในยุคน้ำแข็งตัวใหญ่ สาเหตุหลักๆ ก็เพราะในยุคดังกล่าวอากาศหนาวเย็นครับ แล้วขนาดของร่างกายที่ใหญ่โตจะช่วยในการเก็บความร้อนและสะสมไขมันได้ดีกว่า ส่วนเรื่องการวิวัฒนาการขนาด ก็เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของโลกนั่นแหละครับ อย่างเช่น พวกม้า ในยุคแรก โลกมีอากาศร้อนชื้นแบบป่าดงดิบ ม้ารุ่นแรก อาศัยในป่าทึบ และมีขนาดเล็ก แบบพวกกระจง ต่อมา พออุณหภูมิโลกลดลง ป่าเริ่มหายไป ทุ่งหญ้าเริ่มมากขึ้น ม้าก็วิวัฒนาการให้มีขายาวขึ้นและตัวโตขึ้น จนกลายมาเป็นอย่างในปัจจุบันนี้ ส่วนที่ว่า สายพันธุ์ใหม่ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า ก็ขึ้นกับความจำเป็นในการปรับตัวแลการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่จะเป็นตัวแปรในการคัดเลือกลักษณะที่เหมาะสมของสิ่งมีชีวิตนั้นๆครับ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 15:57:49

ความคิดเห็นที่ 48 พวกโครวิสนี่ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์โฮโมซาเปี้ยนแบบเดียวกับพวกเรา ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ได้ทำให้สัตว์ยุคน้ำแข็งสูญพันธุ์ แต่เป็นพวกเขาที่ทำ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 15:59:35

ความคิดเห็นที่ 49 พวกโครวิสไม่ใช่อินเดียนแดงถูกต้องหรือเปล่าครับ แล้วพวกนี้หายไปใหนซึ่งผมสงสัยเหมือนพวกอียิปห์โบราณที่ทรงภูมิปัญญาที่สร้างปิรามิดได้ รวมทั้งพวกขอมที่สร้างนครวัต นครธมรวมถึงโบราณสถานอื่น ๆ พวกนี้หายไปใหน จากคุณ : alien1200 เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 16:43:32

ความคิดเห็นที่ 50 Survival of the fittest จากคุณ : Fatalbringer เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 17:35:16

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบความเห็นที่ 48 พวกโครวิส ก็เป็นสายพันธุ์โฮโมซาเปี้ยน ซาเปี้ยน เหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ ในช่วงต้นยุคน้ำแข็ง พวกโฮโมซาเปี้ยน ซาเปี้ยน ซึ่งปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในทวีปอาฟริกา ได้อพยพออกจากอาฟริกาเข้าไปในยุโรปและเอเซีย ต่อมาในช่วงปลายยุคน้ำแข็ง พวกนี้ได้อพยพข้ามสะพานแผ่นดินเบริงเจีย เข้าไปในทวีปอเมริกา โดยพวกโฮโมซาเปี้ยนที่อพยพเข้าไปในอเมริกานี้เอง ที่ถูกเรียกว่า พวกโครวิส ครับ เพราะฉะนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ละว่า ที่เหล่าสหายแห่งยุคน้ำแข็งสูญพันธุ์ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกเรานี่เอง ตอบความเห็นที่ 49 อันนี้ มีความเห็นแตกต่างกันสองอย่างครับ แต่เดิม นักโบราณคดีเชื่อว่าพวกโครวิสคือบรรพบุรุษของชนพื้นเมืองอเมริกันหรือชาวอินเดียนแดง แต่ภายหลังมีนักโบราณคดีอีกกลุ่ม เสนอทฤษฎีว่า ชาวโครวิสเป็นพวกแรกที่ตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาก่อนจะถูกบรรพบุรุษของพวกอินเดียนแดงที่อพยพเข้ามาทีหลัง แย่งถิ่นที่อยู่จนต้องหายสาปสูญไป ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องขึ้นกับหลักฐานใหม่ๆที่จะค้นพบในอนาคตละครับ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 15:47:17

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามาเสพความรู้ครับ จากคุณ : bank2511 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:38:53

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณความรู้กีๆครับ ยุคน้ำแข็งนี่ผมชอบเป็นส่วนตัวมากครับ อยากให้คุณแมวน้อยในเมืองใหญ่ช่วยลงสาระของสัตว์ตัวอื่นๆเยอะๆด้วยครับ ^^“ จะรอติดตามนะครับ จากคุณ : wodemimi เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 17:27:00

ความคิดเห็นที่ 54 รับทราบครับ ถ้ามีโอกาส จะหามาลงอีกนะครับ เอาพวก หนูยักษ์ หมีถ้ำ ช้างญี่ปุ่น ประมาณนี้ละครับ จากคุณ : แมวน้อยในเมืองใหญ่ (แมวน้อยในเมืองใหญ่) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:50:53

ความคิดเห็นที่ 55 จากคุณ : ^__^ (เซ็งอูฐ) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 16:37:44

ความคิดเห็นที่ 56 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 20:36:17