เคยดูสารคดีตอนนี้ เขาเรียกว่า ความถี่ธรรมชาติ ครับ ถ้าจับไม้บรรทัดพลาสติกมาอันนึง แล้วกำไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วสะบัดให้แกว่ง จากนั้นลองจับให้เหลือปลาย ยาวกว่า และสั้นกว่า เดิม แล้วสะบัดให้แกว่ง
จะเห็นได้ว่า ต้องใช้ความถี่ในการสะบัดแตกต่างกัน ความถี่ที่ใช้สะบัดให้ไม้บรรทัดแกว่งแตกต่างกันนี่แหละ เรียกว่า "ความถี่ธรรมชาติ" วัตถุแต่ละชนิดมีขนาดแตกต่างกัน จะมีความถี่ในการทำให้มันสะบัด/แกว่ง/สั่น ที่แตกต่างกัน
เคยดูหนังเรื่อง Pirates Of The Caribbean ภาค 3 ไหมครับ ตอนที่แจ็คสแปโร่พยายามพลิกเรือ โดยการให้ทุกคนวิ่งสลับบนเรือไปมา แรกๆ เรือจะโยกนิดหน่อย และโยกแรกขึ้นๆ จนสุดท้ายเรือก็พลิก
เราอาจจะใช้คนแค่ 4 คน ในการโค่นเสาไฟฟ้าต้นไม่ใหญ่มากได้ โดยให้ 2 คนยืนอยู่ตรงข้ามกันระหว่างเสาไฟฟ้า จากนั้น ให้ฝั่งหนึ่งผลักเสาไฟฟ้า แล้วอีกฝั่งก็ผลักกลับ ด้วยความเร็วและจังหวะที่ตรงกับ "ความถี่ธรรมชาติ" ของเสาไฟต้นนั้น ถ้าทำได้ตรงจังหวะ และเพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เสาไฟฟ้าก็จะสามารถโค่นลงมาได้
กลับมาเรื่องคลิปวิดีโอสะพานถล่ม สาเหตุที่สะพานบิดเบี้ยวเหมือนมีชีวิต เป็นเพราะโดน "ลมปะทะ" ลมที่ว่านี้ปรกติก็พัดเป็นประจำ ด้วยความเร็วที่ไม่สามารถพัดคนให้ปลิวได้ด้วยซ้ำ แต่บังเอิญที่ครั้งหนึ่ง ลมได้พัดด้วยความเร็วที่ตรงกับ "ความถี่ธรรมชาติ" ของสะพาน ทำให้สะพานแกว่งไปและกลับ มากขึ้นๆ จนสุดท้ายสะพานก็แกว่งจนบิดเป็นงู และถล่มลงในที่สุด
ต่อวิศวะกรได้แก้ไข โดยการทำให้สันของกำแพงลู่ลม เพื่อให้การเกิดความเร็วลมกับความถี่ธรรมชาติไม่มีทางตรงกัน คือต้องเป็นลมที่มีความเร็วสูงสุดๆ มากๆ จริงๆ ถึงจะสามารถทำได้ (ต้องเป็นความเร็วขนาดรถปลิว) เหมือนการใช้คลื่นเสียงทำให้แก้วน้ำแตก ที่ต้องเป็นคลื่นความถี่สูงมากๆ ถึงจะสั่นได้ตรงกับความถี่ธรรมชาติของแก้วน้ำ
จากคุณ |
:
ปลาๆงูๆ
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ค. 55 06:55:40
|
|
|
|