สงครามเคมีแตกต่างจากการใช้อาวุธสามัญ หรือ อาวุธนิวเคลียร์
เพราะเป็นการทำลายที่เกิดจากคุณสมบัติของสารเคมี ที่มิได้เกิดจากแรงระเบิด หรือการใช้พิษของสิ่งมีชีวิตเป็นอาวุธเช่นการใช้เชื้อแอนแทร็กซ์ก็ไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมีแต่เป็นอาวุธชีวภาพ แต่การใช้พิษที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิต เช่น botulinum toxin, ricin, and saxitoxin ถือว่าเป็นอาวุธเคมีภายใต้คำนิยามของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี ตามข้อตกลงในอนุสัญญาสารเคมีไม่ว่าจะมีที่มาอย่างใดก็ถือว่าเป็นอาวุธเคมีทั้งสิ้น นอกจากว่าจะเป็นการใช้โดยวัตถุประสงค์ที่มิได้ห้ามตามรายละเอียดที่ระบุไว้ใน General Purpose Criterion[1]
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการสะสมอาวุธเคมีด้วยกันทั้งสิ้น 70 ชนิด ตามอนุสัญญาสารเคมีที่มีพิษพอที่จะใช้เป็นอาวุธหรืออาจจะใช้ในการผลิตอาวุธเคมี แบ่งออกเป็นสามประเภทตามวัตถุประสงค์ของอาวุธ:
อาวุธเคมีประเภท 1 (CWC Schedule 1) คือประเภทของอาวุธเคมีที่แทบจะไม่มีการใช้ที่ถูกต้อง อาวุธเคมีประเภทนี้สามารถใช้ได้เฉพาะในการผลิตหรือใช้ในการค้นคว้า, การแพทย์, การเภสัชกรรม หรือ การป้องกัน (ในการทดลองเครื่องตรวจอาวุธเคมี หรือเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการป้องกันจากอาวุธ) ตัวอย่างของอาวุธเคมีในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ nerve agents, ricin, lewisite and แก๊สมัสตาร์ด ผู้ผลิตมากกว่า 100 กรัมต้องยื่นคำร้องขออนุญาตจากองค์การเพื่อการห้ามอาวุธเคมี (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons (OPCW)) และแต่ละประเทศสามารถสะสมอาวุธเคมีได้ไม่เกินประเทศละหนึ่งตัน
อาวุธเคมีประเภท 2 (CWC Schedule 2) คือประเภทของอาวุธเคมีที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้สอยทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แต่อาจจะมีประโยชน์สำหรับการใช้สอยจำนวนน้อย ตัวอย่างของอาวุธเคมีในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ ไดเม็ทธิล เม็ทธิลฟอสโฟเนท (dimethyl methylphosphonate) หรือ ไธโอไดกลิคอล (Thiodiglycol) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำแก๊สมัสตาร์ด แต่ก็ใช้ในการเป็นสารละลายสำหรับทำหมึกด้วย
อาวุธเคมีประเภท 3 (CWC Schedule 3) คือประเภทของอาวุธเคมีที่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตัวอย่างของอาวุธเคมีในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ ฟอสจีน (phosgene) และ คลอโรพิคริน (chloropicrin) สารเคมีทั้งสองต่างก็ได้รับการใช้ในการผลิตอาวุธเคมี แต่ฟอสจีนเป็นสารเคมีที่มีความสำคัญในการผลิตพลาสติค และ คลอโรพิครินในการใช้เป็นตัวฉีดรม (fumigant) ในกรณีนี้ผู้ผลิตต้องแจ้งองค์การเพื่อการห้ามอาวุธเคมี และทางองค์การมีสิทธิที่จะตรวจสอบโรงงานที่ผลิตมากกว่า 30 ตันต่อปี