ความคิดเห็นที่ 1 ศาสตราจารย์ Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บุกเบิกแนวคิดของการเกษตรกรรมบนอาคารสูง ท่านเชื่อสุดเชื่อครับว่า การเกษตรแบบใหม่นี้คือทางรอดของมนุษยชาติ โดยกล่าวว่า "อีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรโลกจะเพิ่มจาก 6.2 พันล้านคนไปเป็น 9.5 พันล้าน แต่ตอนนี้เรากลับใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเกษตรไปแล้วถึง 80% เลยครับ ผมนึกไม่ออกว่าเมื่อถึงตอนนั้น การเกษตรแบบเดิมจะเลี้ยงคนทั้งโลกได้อย่างไร" จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:33:11

ความคิดเห็นที่ 2 เกษตรแบบใหม่ จะเปลี่ยนการเกษตรจากที่เคยทำในแนวราบในชนบท มาเป็นการเกษตรแบบแนวดิ่งกลางเมืองใหญ่ Vertical Farming จะผลิตอาหารที่สังคมชนบทเคยผลิต ด้วยวิธีการที่ควบคุม พืชผลจะไม่ถูกรบกวนโดยสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็น พายุฝน ภัยแล้ง ดินเสีย การเกษตรแบบไม่ใช้ดินจะดันยอดผลผลิตขึ้นไปอีก 5-30 เท่า นอกเหนือไปจากนี้ Vertical Farming ยังช่วยลดภาวะโลกร้อน เพราะประมาณกันว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรโลก 80% จะอาศัยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการทำเกษตรกลางเมือง จะทำให้ไม่ต้องมีการขนส่งผลผลิตจากชนบทมาสู่เมือง ผลิตตรงไหน ก็บริโภคกันตรงนั้น อาคารที่ทำฟาร์มอาจมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายผลผลิตให้แก่คนเมืองไปในตัว ในเมื่อสังคมชนบทที่ทำการเกษตรไม่มีความจำเป็นแล้ว เราก็สามารถปล่อยพื้นที่ดังกล่าวกลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยการสร้างพท้นที่ป่าบนผืนเกษตรที่ทิ้งแล้ว เพื่อให้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ศาสตราจารย์ Despommier คำนวณว่าจะต้องมีการสร้าง Vertical Farm สัก 150 อาคารเพื่อเลี้ยงคนนิวยอร์คทั้งเมือง โดยฟาร์มบนตึกนี้จะผลิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ธัญพืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องนำเข้าอาหารจากชนบทอีกต่อไป ไอเดียสุดเจ๋งของท่านกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ตั้งแต่เนเธอร์แลนด์ จนถึง ดูไบ ***แก้ไขให้อ่านง่ายขึ้นครับ แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 13:18:36 จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:34:31

ความคิดเห็นที่ 3 เรามาดูเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบเป็นอาคารสำหรับการทำไร่บนตึกกันนะครับ เรื่องพลังงาน อาคารที่ใช้ทำไร่นั้นจะอาศัยพลังงานหมุนเวียนครับ แผง Solar Cell ที่อยู่เหนือยอดตึก ซึ่งสามารถที่จะหมุนตามดวงอาฑิตย์ได้ กังหันลมจะดักลมเพื่อนำมาผลิตพลังงานไฟฟ้า พืชผักเหลือทิ้ง หรือ มูลสัตว์ที่เลี้ยงในอาคาร จะถูกนำมาทำพลังงานชีวมวล จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:36:10

ความคิดเห็นที่ 4 รูปทรงของอาคาร ต้องเป็นทรงกระบอก เพื่อให้แสงสว่างส่องเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด กระจกของอาคารถูกเคลือบด้วย Titania เป็นกระจกที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ จะใสปิ๊งตลอดเวลาอาคารทำไร่ จะถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ Smart Farm ซึ่งจะทำให้อาคารนี้ทำการเพาะปลูกพืช 24 ชั่วโมง ทั้งปีโดยไม่มีวันหยุด โดยจะมีเซ็นเซอร์ตรวจสภาพแวดล้อม ตรวจการเจริญเติบโตของพืช ตรวจจับแมลง ตรวจจับความสุก ซึ่งสามารถเฝ้าดูจากหน้าจอมอนิเตอร์ของฟาร์ม พืชพรรณที่ปลูกสามารถปลูกได้เกือบทุกอย่าง ทั้งผัก ผลไม้ ธัญพืช สามารถเลี้ยงปลา ไก่ หมู ได้ ศาสตราจารย์ Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ออกแบบให้อาคารทำไร่นี้ 1 อาคาร สามารถเลี้ยงประชากรได้ 50,000 คน พืชที่ปลูกนั้นจะไม่ใช้ดิน โดยการจุ๋มรากในน้ำ หรือ ในอากาศ (แล้วสเปรย์ความชื้นกับสารอาหารให้) ทำให้สามารถใช้พื้นที่ปลูกแบบ 3 มิติได้ คือสามารถเรียงแปลกปลูกซ้อนๆ กันได้ ต่างจากเกษตรแบบเก่าที่ทำการเพราะปลูกได้เพียง 2 มิติ น้ำที่เกิดจากการคายน้ำของพืชจะมีความบริสุทธิ์สูง เราสามารถเก็บน้ำที่เกิดจากการคายน้ำโดยการใช้ Moisture Collector ซึ่งจะนำน้ำมารวมกัน บรรจุขวดขายได้ เป็นน้ำจากการคายน้ำของพืช ซึ่งจะมีแบรนด์ที่คนสนใจดื่ม ศาสตราจารย์ Dickson Despommier ประมาณว่าในปีหนึ่งๆ อาคารนี้สามารถผลิตน้ำดื่มได้ 300 ล้านลิตร  น้ำเสียต่างๆ ที่เกิดจากกิจกรรมในอาคารนี้ สามารถกรอง และนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อรดน้ำพืชได้ ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกาทิ้งน้ำที่บำบัดแล้ว ลงแม่น้ำลำคลองไปเปล่าๆ วันละ 7 พันล้านลิตร การมีระบบหมุนเวียนน้ำ จะทำให้อาคารนี้ผลิตของเสียน้อยมาก และใช้น้ำจากการประปาน้อยลง จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:37:55

ความคิดเห็นที่ 5 และท้ายสุดกรรมการเมือง Las Vegas ได้ตัดสินใจที่จะก่อสร้างอาคารสำหรับทำ Vertical Farming ขึ้นที่มหานคร Las Vegas ด้วยงบประมาณสูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหวังว่าการทำไร่บนตึกสูงนี้จะทำกำไรด้วยความสามารถในการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้ 72,000 คน และยังจะเป็นจุดท่องเที่ยวได้อีกด้วย ซึ่งหากมองในแง่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว การสร้าง Vertical Farm ในเมืองอย่าง Las Vegas ที่อยู่กลางทะเลทราย เป็นอะไรที่เข้าท่าเข้าทางมาก เพราะจะทำให้เมืองนี้สามารถพึ่งพาตัวเองทางด้านอาหารได้ ทำให้ลดการขนส่งอาหารเข้ามาจากแหล่งอื่น อาคารสำหรับทำไร่แห่งนี้จะปลูกพืชกว่า 100 ชนิด ซึ่งรวมทั้งสตอเบอร์รี่ กล้วย ถั่วต่างๆ ซึ่งก็จะส่งพืชผลเหล่านั้นหล่อเลี้ยงโรงแรม และคาสิโนต่างๆ โครงการนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้วครับ ซึ่งจะเริ่มดำเนินกิจการในปี ค.ศ. 2010 จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:47:08

ความคิดเห็นที่ 6 อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจและสอดคล้องกับแนวคิด Vertical Farming นี้เป็นอย่างมากก็คือ อาคาร The OASIS Tower ในประเทศดูไบ อาคารหลังนี้ได้ผนวกแนวคิดของ Vertical Farming เข้ากับการพักอาศัยของมนุษย์กลายเป็นอาคารที่นอกจากจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวและผู้พักอาศัยแล้ว ภายในยังมีการเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกพืชแนวตั้งเพื่อการบริโภคด้วย โดยทาง The OASIS Tower กล่าวว่าฟาร์มแนวตั้งดังกล่าวมีศักยภาพสามารถเลี้ยงคนได้ถึง 40,000 คนต่อระยะเวลาการบริโภค 1 ปีเต็ม นับเป็นอาคารที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการพึ่งพาตนเอง (Self Sustenance) ที่ครบสมบูรณ์แบบจริงๆ จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:49:47

ความคิดเห็นที่ 7 ปาด ทันไม่นี่....... จากคุณ : Adung เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:51:41

ความคิดเห็นที่ 8 รูปเต็ม.. จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:51:43

ความคิดเห็นที่ 9 อีก1ข้อมูลเพิ่มเติม จาก สวทช. ครับ ดังนั้น จากแนวคิดของ Despommier ที่ว่าด้วยกระบวนการแปลงของเสียเป็นอาหาร (Waste in and Food out) โดยการเกษตรแนวดิ่งจะเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่สามารถเดินเครื่องได้ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อผลิตอาหารป้อนให้แก่ประชากรจำนวนมากและเพื่อพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์สู่การค้นพบแนวทางการเกษตรในอนาคต พร้อมด้วยแรงบันดาลใจอันเกิดจากการวิจัยล้ำสมัย จากนักวิทยาศาสตร์และบริษัทห้างร้านด้านเกษตรกรรม โดยหวังว่า นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยยับยั้งภัยพิบัติที่มาลธัสทำนายไว้ไปได้อีกกว่า 200 ปี โดยในที่นี้ จะนำเสนอตัวอย่าง เทคโนโลยีล้ำยุค 3 เทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเกษตรแนวดิ่ง ได้แก่ การเลี้ยงต้นไม้ในน้ำแบบครบวงจร (Aquaponic merry-grow-round) การใช้หุ่นยนต์ดูแลพืชอาหาร (Crop Circles tended by robots) และ การใช้ประโยชน์จากปฏิกูล (The whole thing runs on sewage) ดังนี้ 1) การเลี้ยงต้นไม้ด้วยน้ำแบบครบวงจร (Aquaponic merry-grow-round) แม้การเพาะปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน (Hydroponics) และการทำฟาร์มปลา จะสร้างผลผลิตได้ปริมาณสูง แต่ก็ต้องการการดูแลรักษาเป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากระบบการเพาะปลูกโดยไม่ใช้ดินจำเป็นต้องเพิ่มเติมสารอาหารที่จำเป็นให้แก่พืชที่ปลูกอยู่บ่อยครั้ง และในขณะที่การทำฟาร์มปลานั้น ก็จำเป็นต้องรักษาคุณภาพของน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่เราอาจสามารถนำทั้งสองแนวคิดมาจับคู่รวมกันเป็น “ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponics)” ซึ่งให้ของเสียจากการเลี้ยงปลากลายเป็นสารอาหารให้แก่การปลูกพืช ในขณะที่พืชก็จะช่วยทำความสะอาดและขจัดความสกปรกในน้ำของบ่อเลี้ยงปลาเช่นกัน บริษัท ออแกนิเทค (OrganiTech) ในประเทศอิสลาเอล ซึ่งคิดค้นระบบการทำเกษตรแบบอัตโนมัติ และนับได้ว่าเป็นผู้พัฒนาระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponics) ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ภายใต้คำจำกัดความว่า “ระบบสายพานอัตโนมัติ” (automated conveyor system) ดังแผนภาพที่ 1 โดยออกแบบให้บ่อเลี้ยงปลาบรรจุถาดลอยน้ำสำหรับเพาะปลูกพืช (หมายเลข 1 ในแผนภาพที่ 1) เครื่องจ่ายสารอาหาร (หมายเลข 2 ในแผนภาพที่ 1) และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ผลผลิตพืชผลพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ด้านล่างของถาดเพาะปลูกพืช ก็จะได้ปลานิลที่มีโปรตีนสูง (หมายเลข 3 ในแผนภาพที่ 1) ของเสียที่อุดมไปด้วยแอมโมเนียจากปลาเหล่านนั้นจะจมลงสู่พื้นกรวดก้นบ่อเลี้ยงปลา (หมายเลข 4 ในแผนภาพที่ 1) ซึ่งเหล่าแบคทีเรียจะเปลี่ยนแอมโมเนียในของเสียเหล่านั้นให้เป็นไนโตรเจน จากนั้นระบบจะสูบน้ำที่อุดมไปด้วยไนโตรเจนที่ได้ไปใช้รดน้ำพืชที่ปลูก ซึ่งพืชเหล่านี้ก็จะได้รับธาตุอาหารไนโตรเจน และนำกลับน้ำสะอาดลงสู่บ่อเลี้ยงปลาอีกครั้ง จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:56:44

ความคิดเห็นที่ 10 2) การใช้หุ่นยนต์ดูแลพืชอาหาร (Crop Circles tended by robots) แม้เกษตรกรพร้อมที่จะเปิดรับเทคโนโลยีการเพาะปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน มาใช้ในการปลูกพืชแนวดิ่ง เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 30 เท่าของวิธีการเพาะปลูกโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่พืชทุกชนิดที่จะได้ผลดีกับวิธีการดังกล่าว เช่น มันฝรั่ง และพืชตระกูลแคคตัส ซึ่งจำเป็นต้องยึดรากลงในวัสดุกึ่งของแข็ง เช่น ดิน หรือกาบมะพร้าว โดยบริษัท โอเมกา การ์เด็น (Omega Garden) ในประเทศแคนาดา ได้ออกแบบระบบเพื่อการเพาะปลูกพืชที่มีลักษณะคล้ายกับชิงช้าสวรรค์ โดยจะเพาะปลูกพืชในถาดหลุมที่บรรจุหินเวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite)1ในแผนภาพที่ 2) โดยถูกจัดวางในกงเกวียนรูปทรงกระบอก (หมายเลข 2 ในแผนภาพที่ 2) ซึ่งจะหมุนเป็นช่วงๆ เพื่อให้พืชที่เพาะปลูกในทุกแถวปลูกได้รับสารอาหารที่อยู่ในน้ำด้านล่าง (หมายเลข 3 ในแผนภาพที่ 2) จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:57:59

ความคิดเห็นที่ 11 3) การใช้ประโยชน์จากปฏิกูล (The whole thing runs on sewage) แนวคิดการเกษตรแนวดิ่งนั้นถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโรงงานผลิตอาหาร โดยถูกวางแผนให้เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานของเมือง โดยที่ระบบสิ่งปฏิกูลโดยรอบของเมืองจะถูกส่งตรงไปสู่ฟาร์มเกษตรแนวดิ่ง โดยครึ่งหนึ่งจะถูกนำเข้าสู่เครื่องผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพที่ชื่อว่า SlurryCarb2 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท EnerTech เครื่องจักรนี้จะเพิ่มอุณหภูมิและความดันให้แก่กากตะกอน (หมายเลข 1 ในแผนภาพที่ 3) จากนั้นทำให้แตกตัวเพื่อแยกคาร์บอนและน้ำ จากนั้นเครื่องจะแยกส่วนประกอบของน้ำ (หมายเลข 2 ในแผนภาพที่ 3) และของแข็ง เพื่อผลิตเป็นแท่งเชื้อเพลิงแข็ง (Slurry) ที่คล้ายกับถ่านหิน ซึ่งจะถูกนำมาใช้เผาไหม้เพื่อหมุนกังหันพลังงานไอน้ำ (หมายเลข 3 ในแผนภาพที่ 3) สำหรับผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า และส่วนที่เหลือของสิ่งปฏิกูลจะถูกบำบัดด้วยสารเคมีที่ใช้กำจัดแบคทีเรีย และเปลี่ยนให้เป็นดินชั้นบนสำหรับการเพาะปลูก โดยผ่านกระบวนการความร้อนและอบแห้ง ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท N-Viro3 ยิ่งไปกว่านั้น น้ำที่ถูกสกัดแยกออกมาในกระบวนการที่ผ่านๆมาก่อนหน้านี้ จะถูกนำมากรองผ่านกระบวนการกรองตามธรรมชาติ โดยอาศัยนักบำบัดชีวภาพ เช่น หอยกาบลายเสือ (zebra mussel) กกช้าง (cattail) และ กกหนอง(sawgrass) (หมายเลข 4 ในแผนภาพที่ 3) ซึ่งจะทำการบำบัดจนกว่าน้ำเหล่านั้นจะเหมาะสมสำหรับนำไปใช้ในการเกษตรหรือไปผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์อีกครั้งก่อนนำไปบริโภค นอกจากนี้ ของเสียอื่นๆจากการเกษตรจะสามารถนำไปหมักเป็นปุ๋ย และก๊าซมีเทนซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงได้ 1 เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite) เป็นแร่ในกลุ่ม alumino-silicate ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ คล้ายเกล็ดปลาซ้อนกันหลาย ๆชั้น เวอร์มิคูไลท์มีธาตุอาหาร โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Vermiculite> 2 เทคโนโลยี SlurryCarb พัฒนาโดยบริษัท EnerTech คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงแข็ง ที่ได้มาจากกระบวนการรีไซเคิลของแข็งชีวภาพ (biosolids) ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นพลังงานหมุนเวียน ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดังกล่าวนี้มีการเริ่มต้นนำไปใช้งานแล้วในเมืองแอทแลนต้า (Atlanta) อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://www.enertech.com/technology/slurrycarb.html> 3 บริษัท N-Viro บริษัทซึ่งมีฐานอยู่ในมลรัฐโอไฮโอ เชี่ยวชาญการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการรีไซเคิลวัสดุชีวภาพ อ่านเพิ่มได้จาก http://www.nviro.com/index.html> จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:59:49

ความคิดเห็นที่ 12 อันนี้ภาพรวมภายในแนวคิด อาคาร Vertical Farm จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:06:36

ความคิดเห็นที่ 13 เครดิต จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:07:40

ความคิดเห็นที่ 14 เงินมหาศาลในการจักทำสถานที่เพาะปลูก จากคุณ : carrotcan เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:29:25

ความคิดเห็นที่ 15 ปาดขวา........ ....ดีจังกระทู้แบบนี้เริ่มมาอีกครั้ง.... จากคุณ : ช่าง ต.จ.ว เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:53:32

ความคิดเห็นที่ 16 เคยดูในสารคดี มีญี่ปุ่นหรือเกาหลีนี้แหละครับจำไม่ได้ ทำประมาณนี้อยู่แต่ไม่ถึงขั้นนี้ โดยใช้ตึกร้างที่มีอยู่ในเมืองอยู่แล้วมาทำ จากคุณ : MEngineer เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:18:33

ความคิดเห็นที่ 17 คะน้า มัดละ ๑๐๐ แหงมๆ (ปกติ ๘ บาท) จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:24:05

ความคิดเห็นที่ 18 *-*อีก 50 ปีข้างหน้า ถ้ายังมัดละร้อยอยู่ก็คงคุ้มละครับ ตอนนี้ถ้าปลุกระบบนี้ แล้วเอาไปขายในห้าง ติดป้ายเฉพาะ ผมว่าก็ขายออกนะ จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:57:07

ความคิดเห็นที่ 19 นึกเหมือน คห 16 เลย ของญี่ปุ่นตึกกลางใจเมือง ที่รัฐบาลมีแผนจะทำ สูงมาก ให้คนอาศัยด้วย มี office มีห้าง  แล้วใช้อาหารที่ผลิตในตึก ของเสียก็บำบัดน้ำมาใช้อีก เคยเห็นใน youtube กับวารสารของ ก.วิทย์ แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 17:01:54 จากคุณ : One X (stlive) เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 17:00:22

ความคิดเห็นที่ 20 ค่าไฟเท่าไรเนี่ย ต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหนผลิตไฟฟ้า (คือมันจะคุ้มหรอ) แสงจากแดดดูแล้วมันคงได้แค่รอบนอก แต่เห็นปลุกไปยันตรงกลาง เพดานส่องแสงได้ด้วย คือผมทำระบบนิเวศจำลองเล่นเป็นงานอดิเรกอย่างนึงอะนะ เลยรู้ว่า แสงสว่างนี่แหละสำคัญและต้องใช้ไฟฟ้าพอดู คือถ้ามันคุ้ม ใช้พลังงานน้อยมากในการผลิตแสงขนาดนั้น ก็เจ๋งเลยหละ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 17:29:03

ความคิดเห็นที่ 21 ชอบไอเดีย รอดูต้นแบบที่สำเร็จสมบูรณ์ ว่าแต่ ตึกร้างมันรับน้ำหนักไหวเหรอ เก่าหลายปีแล้ว แม้จะลดค่าขนส่ง แต่จ่ายไปกับระบบที่ซับซ้อน ราคาคงไม่ถูกลง จากคุณ : กอดเข่าคุย เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 17:45:23

ความคิดเห็นที่ 22 ชอบครับ ไอเดียเจ๋งดี จากคุณ : ต้นไผ่ไหวเอน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 18:02:07

ความคิดเห็นที่ 23 ...แล้วพวกพืชยืนต้นนี่จะทำได้เหรอ? น้ำหนักพืชก็มหาศาล+รากก็ต้องหยั่งลึกคงทำได้ดีพวกพืชล้มลุกไม่ก็พืชขนาดเล็กกระมัง...แล้ว พท การเกษตรส่วนใหญ่ก็ปลูกพืชยืนต้นแทน... จากคุณ : gunpen2010 เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 18:34:16

ความคิดเห็นที่ 24 ระบบแบบนี้ใช้เงินลงทุนและพลังงานเยอะเกินไป ระบบที่พอเป็นความหวังได้คือ ระบบ Aquaponics ผมเขียน blog ไว้ที่ http://aquaponicsthai.** ไม่ใช่ลิควิด **/ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=71364.0 ลองอ่านดูก่อน มันไม่ได้มีแต่ด้านดีอย่างเดียว จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 18:55:53

ความคิดเห็นที่ 25 โดนเซนเซอร์ ลิงค์ http://aquaponicsthai.bloกspot.com/ เปลี่ยน ก เป็น g ก่อนจะเข้าได้ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 18:58:40

ความคิดเห็นที่ 26 c จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 21:56:15

ความคิดเห็นที่ 27 ผมพนันได้เลยว่าต่อไปพื้นที่เพาะปลูกของโลกนี้จะน้อยมากๆ และถ้าหากประเทศไทยยังอยากจะเป็นเจ้าของตลาดอาหารโลกจริงละก็ ควรที่จะยกระดับงานวิจัยในสาขานี้ให้สูงที่สุด และเป็นวาระวิจัยแห่งชาติ ถึงคุณจะคิดว่ามันใช้เงินทุนมหาศาลและนำมาใช้วันนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าเรารออีกซัก 10-20 ปีแล้วค่อยเริ่ม เชื่อผมเถอะว่า ไม่ทันฝรั่งแน่นอน และอย่าหวังว่ามันจะมาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เราด้วย โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้คือการปฎิวัติเขียวครั้งต่อไปด้วยซ้ำ จากคุณ : S.nualrod เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:11:21

ความคิดเห็นที่ 28 โหวตเท่านั้น ช่วยโปรดตระหนักกันเถิดคับว่า เทคโนโลยี Vertical Farm หรือ Automatic Farming Tower นี่แหละ เหมาะที่สุดที่จะเป็นสาขาวิจัยและพัฒนาหลักของประเทศเรา โลกเราตอนนี้มีทั้งภัยพิบัติและปัญหาประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าประเทศที่เป็นแหล่งอาหารของโลกมันกำลังจะเข้าขั้นวิกฤตในไม่ช้า ถ้าเรายังมารอปลูกพืชวัดใจกับดินฟ้าอากาศละก็ อย่าว่าแต่ส่งขายเลย คนในชาติจะอดตายด้วยซ้ำ ช่วยๆกันดันมันขึ้นไปคับ ก่อนเป็นวาระแห่งชาติมันต้องเป็นวาระแห่งหว้ากอซะก่อน จากคุณ : S.nualrod เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:20:02

ความคิดเห็นที่ 29 อืมมม น่าสนใจดีครับ ขอถกด้วยคน - ต้นทุน น่าจะแพงกว่าปกติเยอะ แต่ถึงตอนนั้นคาดว่าคงไม่ใช่ปัญหา คนเมืองน่าจะมีกำลังซื้อได้ - โครงสร้างอาคาร เคยเห็นมีการทดลองปลูกพืชบนหลังคามาแล้วครับ พบว่าน้ำหนักเพิ่มมาเป็นตันจากดินและปุ๋ยที่ใช้ แต่แบบนี้ไม่ใช้ดินน่าจะลดปัญหาไปได้เยอะ - พลังงาน ยังข้องใจอยู่ว่าลำพังโซล่าร์เซลล์กับกังหันลมจะผลิตพลังงานได้เพียงพอหรือไม่ คือพลังงานแบบนี้มันไม่เสถียรนะครับ น่าจะได้เห็นต้นแบบของจริงเร็วๆนี้ เห็นว่าไต้หวันก็จะทำเหมือนกันนี่ครับ จากคุณ : FireLion เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:20:43

ความคิดเห็นที่ 30 ตึกหนึ่งตึกจะปลูกข้าวได้เท่ากับนาสักกี่ไร่ครับ... คุ้มค่าไฟค่าน้ำที่ต้องสูบขึ้นไปรดหรือเปล่า ฟังดูสวยหรู แต่กลัวจะเป็นเศรษฐีเล่นทำนามากกว่า จากคุณ : ole (trufa) เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:32:20

ความคิดเห็นที่ 31 เกษตรกร ไปไหนหมดครับ จากคุณ : เมื่อวาน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:43:27

ความคิดเห็นที่ 32 ก่อนจะไปคิดปลูกพืชบนตึก มาห่วงต่างชาติฮุบที่ปลูกพืชบนดินในบ้านเราก่อนดีไหม http://www.peace.mahidol.ac.th/saiburi/webpages/news-210252.html http://gms.oae.go.th/Z_Show.asp?ArticleID=260 จากคุณ : ole (trufa) เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:52:21

ความคิดเห็นที่ 33 Vertical Industry กับ Automatic Factory ยังทำไม่ได้เลย(ไม่คุ้มทุน) จะทำกับการเกษตรยังเร็วไปมากเลย ระบบที่เป็นความหวังตือ Aquaponics คือเอา น้ำเลี้ยงปลามาวน รดผัก เป็นปู่ย แล้วปลาได้การบำบัดน้ำ ช่วยประหยัดน้ำ และลดน้ำเสีย Aquaponics มีการเผยแพร่มานานแล้ว คนแรก ๆ ที่ทำคือ Dr. Jame Rakocy มหาวิทยาลัย Virgin Island (UVI) ลองค้น UVI Aquapponics ระบบแบบนี้มีข้อดีหลายอย่างเช่น ๑ ใช้น้ำน้อย ปกติน้ำเลี้ยงปลาจะต้องถ่ายทิ้ง และน้ำปุ๋ยไฮโดรโปรนิกส์ก็ต้องถ่ายทิ้ง ระบบนี้ไม่ต้องถ่ายน่ำทิ้งเลย มี-แต่การสูญเสียไปเนื้องจากระเหย และผักปลาดูดกินไปเท่านั้น ๒ ให้ผลผลิตสูงมาก โดยเฉพาะผัก เคยมีการทดลอง ปรากฎว่าผักโตเร็วกว่าการปลูกแบบไฮโดร แล้วมีคนเอาน้ำจากการปลูก Aquaponics ไปตรวจ เพื่อหาสารอาหาร แล้วเอามาทำเลียนแบบ คือผสมปุ๋ยไฮโดรให้ได้สัดส่วนแบบ Aquaponics แล้วลองปลูกดู ปรากฎว่าก็ยังโตสู้แบบ Aquponics ไม่ได้ การเลี้ยงปลาก็เลี้ยงได้หนาแน่นกว่า ผลผลิตต่อพื้นทีสูง ๆ ของ Aquaponics ทำให้ส่งผลดีหลายอย่างตามมากเช่น -ทำโรงเรือนได้คุ้มกว่า เมื่อทำโรงเรื่อนได้คุ้มกว่าก็สามารถปลูกแบบปลอดสารพิษได้ง่ายกว่า และป้องกันสภาพแวดล้อมที่่ไม่พึงประสงได้ง่ายกว่า เพราะมีโรงเรือนกันสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป -ใช้ที่ดินได้คุ้มกว่า ปลูกบนดาดฟ้าก็ได้ ๓ ไม่ใช้ดิน ทำให้ปลูกที่ใหนก็ได้ การปลูกที่ใหนก็ได้ และใช้พื้นที่น้อยกว่าที่ผลผลิตเท่ากัน ทำให้ปลูกในเมือง หรือปลูกใกล้แหล่งบริโภคได้ ทำให้ลดการขนส่งลดการใช้พลังงานโดยรวม ได้ของที่สดใหม่ ๔ ลดการใช้พลังงาน ถ้าเทียบกับการ ปั้มน้ำรดต้นไม้ การไถ่การขุด การต้องขับรถไปเฝ้าไรหรือบ่อปลาหรือขนส่งสินค้าใกลๆ ในการเกษตรแบบเดิม นี่เป็นแค่ข้อดีนะครับ ข้อเสียก็มีเยอะ -ลงทุนสูง(กว่าไฮโดรโปนิกส์) -เหมาะสมสำหรับพืชบางตัวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นผัก เพราะกินได้(เกือบ)ทั้งต้น ระบบมีไนเตรทสูง ปลูกพืชกินใบดีมาก แต่จะปลูกพวกธัญญพืชไม่น่าจะคุ้ม ไม่ต้องพูดถึงไม้ใหญ่ -ต้องใช้ความรู้หลายแขนงมาก ทั้งพืช(พืชแต่ละชนิดแทบไม่เหมือนกันเลย) ปลา ก่อสร้าง น้ำ ไฟ ฯลฯ Learning curve สูงมากครับ กว่าจะเป็นนี่นาน จะเห็นได้ว่าจะมีคนสนใจเยอะ หาข้อมูลกันมาก แต่ทำเป็นน้อยมาก -ระบบที่ออกแบบไม่ดี มักจะไม่บรรละข้อดีของมัน มักจะ น้ำรั่วน้ำล้น ผักไม่งาม ปลาตาย จุกจิก ค่าใช้จ่ายสูง ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 23:05:56 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:58:19

ความคิดเห็นที่ 34 คุ้ม หรือไม่คุ้ม มันต้องนำ ต้นทุนการผลิต ของเกษตรแนวนอน มาเทียบกัน ต้นทุนที่น้อยกว่าของแนวตั้ง : ค่าขนส่ง ค่าที่ กำไรที่หาได้เพิ่มจากแนวตั้ง : ค่าเข้าตึก ค่าห้องเช่า ต้นทุนที่สูงกว่าของแนวตั้ง : ค่าสร้างตึก ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแล ถ้าประเทศที่พื้นที่น้อย(อย่าง ญี่ปุ่น) การขนส่งลำบาก (อย่างประเทศที่มีภูเขา) หรือประเทศที่มีพื้นที่การเกษตรน้อย (อย่างมีทะเลทรายมาก) ผมว่าน่าจะคุ้ม ดูจากเมืองที่นำไปทำแล้ว เป็นไปตามที่บอก คิดว่าน่าจะศึกษาด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์แล้ว กำไร น่าจะต่ำกว่ารายรับที่เข้ามา อีกทั้งยยังเป็นการบุกเบิกธุรกิจทางด้านนี้ด้วย จากคุณ : MondayCool เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:01:35

ความคิดเห็นที่ 35 34 ถูกต้องครับ มันจะคุ้ม ในบางที่ บางสถานะการณ์ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:15:02

ความคิดเห็นที่ 36 ข้องใจอยู่ว่าพลังงานที่ใช้ไป กับพืชที่ได้มา มูลค่ามันจะคุ้มกันรึเปล่า ถ้าทำให้ต้นทุกถูกกว่านี้ได้ก็คงดี น่าสนใจมากๆ ค่ะ จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:19:38

ความคิดเห็นที่ 37 อันนี้ vertical ของจริง แบบวนถาดปลูกไปเรื่อย ๆ แต่พลังานทีใช้จะคุ้มกับการขนส่งหรือเปล่า ไม่แน่ใจ http://www.verticrop.com/about.html จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:47:11

ความคิดเห็นที่ 38 แนวคิดหลัก มันผิด  (และอาจเพ้อฝันเกินไป) จะปลูกพืชในเมือง  ที่ดินมันแพง   ก็เลยต้องสร้างคอนโดฯไว้ปลูกพืช อืมม เขาลืมคิดถึงความจริง 2 อย่าง 1)   พืชส่วนใหญ่ ต้องการแสงทั้งวัน  (แสงยิ่งมาก ยิ่งโตเร็ว)      การปลูก พืชให้ได้รับแสงด้านข้าง มันก็ได้แสงนิดเดียว  มันก็ไม่โตตามควร      แต่ถ้าบอกว่า  ใช้ไฟฟ้ามาให้แสง(เทียม)แทนแสงแดด      ก็จะเจ้งเพราะค่าไฟ 2)   ในเมือง มันก็มีตึกสูง อยู่ติดๆกัน  บังแดดไปหมด ถ้าเอาคอนโดฯปลูกพืช  ไปไว้ กลางไร่ผัก พื้นที่ข้างๆคอนโดฯ ก็จะเสียไปบางส่วน ปลูกผักไม่ได้เพราะคอนโดฯบังแสงไปแล้ว สรุป  ไม่ได้กำไรเรื่องพื้นที่สักเท่าไร นาย Dickson น่าจะมองแคบไป  คือมองแต่เทคโนฯ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 00:09:02

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึงครับ คิด ประเมินแต่ไม่ได้ลงมือทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ จากคุณ : J_online เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 08:32:34

ความคิดเห็นที่ 40 น่าจะใช้แสงไฟช่วยด้วยนะคะ เคยเข้าไปดูเวปเกี่ยวกับการปลูกผักต่างๆของเมืองนอก เค้าจะใช้ไฟฟ้ามาช่วยด้วย ซึ่งเราอยู่โซนนี้มีทั้งแดดและสภาพที่เหมาะกับการเพาะปลูกคงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่เมืองนอก แดดไม่มีอากาศก็เย็นจนบางทีพืชขึ้นไม่ได้ เค้าจะเห็นความสำคัญของการพัฒนาการปลูกพืชมากๆ สมัยเมื่อสองปีก่อน ศึกษาเรื่องการปลูกผักไฮโดรโปนิค เข้าไปดูเวปพวกการปลูกวิธีนี้ ก็ยังเห็นคนต่างชาติที่อยู่โซนหนาวเค้าเอาไฟมาช่วย จัดระบบไฟ น้ำ เพื่อมะเขือเทศแค่ต้นเดียว เรายังงงๆว่าทำไปแล้วมันจะคุ้มไม๊ ซื้อกินไม่ดีกว่าเหรอ แต่พอมาถึงตาเรา มันไม่ได้เกี่ยวกับคุ้มไม่คุ้มค่ะ มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะบริโภคเข้าไป เค้าทำการทดลองกันเพื่อพยายามทำให้การปลูกพืชมีค่าใช้จ่ายลดลง ให้ถึงจุดที่คุ้มทุน อย่างการนำโซล่าร์เซลมาใช้(เก็บพลังงานไว้ชาร์ตไฟตอนไม่มีแสง  ถ้ามีแสงก็ให้ผักโดนแสงตามปกติ) รวมถึงการปลูกที่ลดสารเคมีตกค้างอื่นๆ ก็มีสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง มันดูเหมือนไร้สาระนะคะ แต่การทดลอง ลองผิดลองถูกของเค้ามันก็ช่วยให้หลายๆคนต่อยอดวิธีการต่างๆไปเรื่อยๆ.. ตอนคนรู้จักที่ทำงานสายอาหารโทรมาเตือนเรื่องสารเคมีในผัก เราก็ค่อนข้างกังวลเลยปลูกผักเอง พอเริ่มปลุกผักและทดลองด้วยตัวเอง ถึงเข้าใจความสำคัญของมัน ตอนน้ำท่วมนี่ซาบซึ้งเลยค่ะ ข้าวปลา..สิของจริง..มีเงินแต่ไม่มีอาหารให้คุณซื้อมันเป็นยังไง ปล.คุณ Ao+สนใจเรื่องAquaponics มากเลยค่ะ  ก่อนน้ำท่วมได้เลี้ยงปลาในบ่อเล็กๆ แต่ไม่ได้เลี้ยงไว้กินนะคะ คือทดลองเรื่องนี้ ใช้วิธีกั้นบ่อส่วนนึงแล้วลอยผัก แบบผักไฮโดรไว้ แต่โตช้ากว่าการปลูกไฮโดรฯ เลยทำการทดลองอีกแบบคือ ใช้ปลูกในเม็ดดินเผา วางถาดเหนือบ่อแล้วปั๊มน้ำจากก้นบ่อขึ้นมารด พอดีน้ำท่วมก่อนเลยพับโครงการ เข้าใจเองว่า การปลูกแบบนี้มันคอนโทรลเรื่องสารอาหารให้พืชไม่ได้ใช่ไหมคะ( พืชชนิดเดียวที่ปลูกแบบลอยน้ำได้ดีคือผักบุ้ง แหะๆ) รูปล่างคือสวนแนวตั้งของเรา  ได้กินผักด้วยนะคะ กำลังทดลองระบบน้ำหยด ทำการควบคุมปริมาณน้ำเพื่อเปรีบยเทียบ แต่ปีนั้นฝนตกมาก เลยล้มเหลวค่ะ จากคุณ : anavrin เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 08:54:55

ความคิดเห็นที่ 41 เหมาะกับพื้นที่เพาะปลูกน้อยอย่างญี่ปุ่น หรือประเทศทะเลทรายทั้งหลาย หรือประเทศที่คนกระจุกในตัวเมืองและค่าขนส่งแพง เขาคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้วแหละ อนาคตประชากรมากขึ้นและจะมารวมตัวกันในเมืองใหญ่มากขึ้น ดังนั้นการทำอาคารสูงใจกลางเมืองจะเหมาะอย่างยิ่ง แม้ต้นทุนจะสูงกว่า แต่ก็สามารถทำให้พื้นที่เกษตร 2D กลายเป็นป่าเพื่อกันโลกร้อนได้ จากคุณ : Dovahkiin เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:11:27

ความคิดเห็นที่ 42 ขอโชว์ผลงานบ้าง  เนื่องจากทุกๆวันนี้ ทุกๆสิ่งทุกอย่างก็ต้องซื้อ  ผักบุ้งสักกำมือก็ต้องซื้อ  และก็ไม่แน่ใจว่าผักพวกนั้นมีสารเคมีหรือไม่  แถมการขนส่งผักเข้าเขตเมืองก็ต้องใช้เวลา เปลื่องน้ำมันรถอีก ไม่พูดพร่ำทำเพลง  ก็เลยมาปลูกผักแนวตั้ง(Vertical Farm)กัน เริ่มที่ 4 กระถางก่อน เป็น ผักกาด 3 กระถาง แลเวก็โหรภาอีก 1 กระถาง (กระถางล่างสุดเป็นโหรภา) แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:27:17 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:23:51

ความคิดเห็นที่ 43 2 ไร้สารเคมีแน่นอน  เพราะมีหนอนมาเจาะ  ระบบการปลูกผักแนวตั้ง สุดยอดมาก เพราะรดน้ำกระถางบนกระถางเดียว แต่เหมือนได้รด 4 กระถาง เพราะน้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:26:09

ความคิดเห็นที่ 44 3. ความจริงการปลูกผักในบ้าน ไม่ต้องปลุกเยอะหรอก เพราะมันกินไม่ทัน ผักโตเร็วมาก ปลูก 4 กระถางก็พอแล้ว โดยนใช้เทคนิคการกินใบล่าง เด็ดใบล่างทีละใบ ปล่อยให้ยอดต้นโตขึ้นไปเรื่อยๆ  จากรูปนี้จะเห็นว่า จขกท. เปลี่ยนมาปลูกผักบุ้งในกระถางล่างแทนโหรภาแล้ว จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:29:23

ความคิดเห็นที่ 45 4. เมื่อเรากินผักใบล่างจนยอดใบสูงเกินไป เราก็ตัดที่โคนมันเลย แล้วรอ 1 อาทิตย์ เราก็จะได้ต้นใหม่  แล้วเรากินใบล่างเหมือนเดิม โดยไม่ต้องปลูกใหม่   จากรูปนี้ เราจะเห็นปากกากับเชือกฟาง  นั่นคือระบบน้ำที่ต่อมาจากหลังคานั่นเอง แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:31:18 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:32:05

ความคิดเห็นที่ 46 5. นั่นก็คือระบบน้ำที่ต่อมาจากหลังคานั่นเอง  เนื่องจากน้ำมีแรงตึงผิว บวกกับแรงโน้มถ่วงโลก น้ำจะไต่ลงมาตามเชื่อกฟางเวลาฝนตก  (จะบอกให้ ปลูกแค่ 4 กระถาง แล้วใช้เทคนิคการกินใบล่าง  กินกันไม่ทันจริงๆ) จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:34:06

ความคิดเห็นที่ 47 6.บ่อปลาดุกก็มี อาหารที่ให้ก็เศษอาหารเหลือๆ  ปลาตัวโตมากๆ  รูปนี้ถ่ายบนดาดฟ้าที่บ้านนะเนี๊ยะ แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 13:36:47 แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 13:35:46 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:34:56

ความคิดเห็นที่ 48 7.จากนั่นลองมาปลูกผักสวนครัวอื่นๆบนดาดฟ้าอีก ก็ใช้แนวคิดสวนแนวตั้ง(Vertical Farm )เหมือนเดิม โดยปลูกตะไคร้ไว้ล่างสุด  ตามด้วยโหรภา และพริก ชั้นบนสุดก็มะกรูต ว่างกระถางซ้อนๆกัน  ข้อดีคือ ไม้ต้องรดน้ำหลายกระถาง  ต้นไม้แต่ละชนิดจะป้องกันแมลงให้แก่กันและกัน หมายถึงแมลงบนชนิดชอบกินใบมะกรูด แต่พอมีตะไคร้ที่มีกลิ่นแรงอยู่ใกล้ๆ มันก็จะไม่เข้ามากิน แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:25:51 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:41:08

ความคิดเห็นที่ 49 8.  ตกใจมาก  แมวที่บ้านมันกินใบตะไคร้เฉยเลย  กำลังดูอยู่ว่า ถ้ามันกินใบมะกรูตด้วย จะจับแมวทำต้มย้ำทันที          (ต้มยำแมว)  *.*" จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:43:38

ความคิดเห็นที่ 50 9.เวลาผ่านไป ทั้งตะใคร้  ใบโหรภา  พริก  ใบมะกรูต ก็ขึ้นโตมาก  เดียวนี้แทบไม่ต้องซื้อเลย  เพราะแค่ตะไคร้ 1 กำมือ ก็ 10 บาทแล้ว  แถมในรูปนี้ก็มีผักบุกขึ้นมาเฉยเลย  ได้ผักบุ้งเป็นของแถม   จะบอกว่ากระปลุกผักแนวตั้ง เหมาะกับชีวิตคนเมืองมากๆ  และก็ไม่ต้องปลุกเยอะหรอก ปลุกสัก 4 -5 กระถาง + ผักสวนครั้วเท่าที่เห็นในรูปนี้ก็เกินพอแล้ว จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:47:23

ความคิดเห็นที่ 51 10. ดูรูปนี้ นี้คือใบมะกรูต  ขึ้นสวยมากๆ  ต้มยำกันไม่ทันเลย  นี้กำลังนึกอยู่ว่า  ถ้าทุกๆบ้านในเขตเมือง ทำแบบนี้ทุกบ้าน  ในตัวเมืองจะร่มรืนขนาดไหนนะ  เพราะเขตเมืองมีพื้นที่แนวราบน้อย  แต่มีพื้นที่แนวตั้งเยอะมาก แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:19:42 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:49:41

ความคิดเห็นที่ 52 11.  ดูรูปนี้เห็นพริกไหม  อิอิ  เผ็ดมากๆ  จขกท.  เรียกผักเซตนี้ว่า  ผักเซต ต้มย้ำ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:51:04

ความคิดเห็นที่ 53 11.รูปนี้ จขกท.  ออกแบบไว้  มันเหมาะกับพวกหอพัก 4 กระถางก็เกินพอ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:52:11

ความคิดเห็นที่ 54 12. รูปนี้ที่เงือนเชือกที่ใช้  ก็ใช้แนวคิดปลูกผักแนวตั้งเหมือนเดิม  ปลูกผักแนวตั้งกันเยอะๆนะ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:53:19

ความคิดเห็นที่ 55 คุณanavrinกับคุณruddy01 ปลูกผักกินเองด้วย น่ารักจังค่ะ เห็นแล้วอยากปลูกบ้างจัง จากคุณ : minafiba เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:39:50

ความคิดเห็นที่ 56 น่าสนุกดีคครับ ตอนนี้ มีสวนดาดฟ้าในเมืองไทยเยอะแล้วเหมือนกัน (อย่างสำนักงานเขตอะไรน้า หลักสี่หรือพญษไท ไม่แน่ใจ ก็มีสวนดาดฟ้าที่เยี่ยมมาก) แต่นี่ไปอีกระดับ น่าจะช่วยแก้ปัญหาพลังงานที่เสียไปกับการขนส่งสินค้าบริโภคได้มาก แข่งกับ algae will save the world ของป๋า Craig ventor ได้เลยนะเนี่ย จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:50:45

ความคิดเห็นที่ 57 สนใจเรื่องทำสวนแนวตั้งอยู่ จะปลูกทั้งผัก ทั้งดอกไม้ เเต่ว่าไม่เอาเเบบระบบน้ำ เเต่จะใช้ระบบดินนี่เเหละ เพราะเเบบนั้น มันมีสารอาหารไม่ค่อยครอบถ้วนหรอก  ได้เเต่ธาติหลักๆ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 16:14:37

ความคิดเห็นที่ 58 ใกล้จะเป็นความจริงแล้วสินะ จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 16:50:48

ความคิดเห็นที่ 59 อืม ตอนนี้มันยังเพิ่งเป็นงานวิจัย ดีแล้วละครับ อาจจะยังไม่คุ้มทุนตอนนี้ แต่อนาคตไม่แน่ มันมีหลายปัจจัยเยอะเกินกว่าที่จะบอกว่า มันมาผิดวิธี แต่โลกนี้ต้องมีงานวิจัยต่อไป วันนี้อาจจะไม่ได้ใช้ พรุ่งนี้อาจจำเป็นต้องใช้ เหมือนกับการที่เราพยายามไปดาวอังคารนั้นละ แต่ความเห็นส่วนตัว... คนเหล่านี้ได้มองถึงกฎอนุรักษ์พลังงานหรือปล่าวนะ จากคุณ : debud เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 18:41:29

ความคิดเห็นที่ 60 ไอเดียดี ทำโชว์ ทำประกวดเอารางวัลน่ะได้ แต่เชิงการค้า การทำเป็นจริงเป็นจังมันไปไม่รอดหรอกครับ ที่ดินบนโลกนี้ยังเหลือให้ปลูกพืชอาหารอีกมากมายนัก ต่อให้อีก100ปีข้างหน้า ประชากรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เป็น 12,000พันล้านคนก็เถอะ ยังไงๆที่ดินก็เหลือเฟือพอที่จะปลูกอาหารกิน เพราะถ้ามันไม่พอ มนุษย์ต่างหากที่จะเป็นฝ่ายที่จะต้องไปอยู่บนตึกสูง ไม่ใช่ต้นไม้ที่ยังไงๆมันก็ต้องอยู่บนดิน...... จากคุณ : หก คูณ หก เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 03:16:55

ความคิดเห็นที่ 61 ระบบต่าง ๆ ดูท่าจะกินพลังงานมหาศาล แล้วพอมาดูแหล่งพลังงาน...แสงอาทิตย์ + ลม...ไม่พอแน่นอน - -" จากคุณ : HotSmile เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 05:39:14

ความคิดเห็นที่ 62 เยี่ยมมาก จากคุณ : wissy เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 05:47:56

ความคิดเห็นที่ 63 ความคิดดีมากๆเลย จากคุณ : เงาะสีชมพู เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 10:40:42

ความคิดเห็นที่ 64 เรื่องแสง ใช้แสงจากหลอดไฟ LED แทนแสงอาทิตย์ได้ไหมครับ จากคุณ : -=นามไร้ชื่อ=- เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:23:58

ความคิดเห็นที่ 65 ทำเป็นโครงการวิจัยอะได้ครับ แต่ถ้าเอามาทำจริงๆรบกวนช่วยหาแนวคิดที่จะทำยังไงให้ชาวบ้าน ขายผลิตผลที่ทำมาให้ได้กำไรก่อนเถอะ เพราะนาทีนี้เรื่องจริงคือ พวกเค้ายังจนมากๆและไม่มีทางเข้าถึงเทคโนโลยีนี้แน่ๆเว้นแต่คนรวยระดับร้อยล้านหรือพันล้านขึ้นไป จากคุณ : wan_p เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 20:58:09

ความคิดเห็นที่ 66 สมัยก่อน นักรบที่ใช้ดาบกับธนูเป็นอาวุธ ก็มองปืนยุคแรก ๆ ว่าเป็นของเด็กเล่น ใช้ไม่ได้จริงในสนามรบ ยิงทีล่ะนัดไม่ทันกินกันพอดี และต้นทุนสูงเหมือนกันครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ????? จากคุณ : มิสเตอร์ไท้ (มิสเตอร์ไท้) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 21:22:07

ความคิดเห็นที่ 67 ผมเองทำมานานแล้ว ปลูกดอกไม้ตรงระเบียงห้องนอนตัวเอง พอเมาก็ไปยืนฉี่(ใกล้กว่าไปห้องน้ำหน่อย) ดอกบานงอกงาม (มีตายไปบ้างช่วงที่ไม่อยู่) จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 08:52:59

ความคิดเห็นที่ 68 บางคนมองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไกลตัว บางคนมองว่า ปลูกข้าวบนตึกไม่น่าทำได้ แต่ลองมองจำนวนประชากรโลก ดูสิครับ ถ้าประชากรเพิ่ม ขนาดนั้น พื้นที่ปลูกข้าวทำเกษตรกรรม จะไม่พอผลิตเพื่อเลี้ยงประชากรมากขึ้น ต้องหาพื้นที่เพิ่ม พื้นที่เกษตรกรรมแนวราบ จะถูกนำไปเป็นที่ปลูกข้าว ข้าวโพด พืชไร่ พืชสวน ปศุสัตว์ แล้วสวนผัก ล่ะครับ สวนแนวตั้ง จะเน้นพวกสวนผัก หรือพืชหมุนเวียนที่ ต้นไม่สูงมาก พวกถั่ว แตง รวมทั้งพืชที่ปลูกแบบไร้ดินได้ เรื่องพวกนี้ไม่ไกลตัวเราหรอกครับ ที่ดินแนวราบเราต้องสงวนไว้เป็น ป่าธรรมชาติ เป็นสวนสาธารณะ เป็นแหล่งน้ำ ผมว่า คนที่คิดและดำเนินการเรื่องนี้ มองไกลกว่าเราเยอะ ของเรา ซีพีก็เริ่มแล้วครับ จากคุณ : นายสบายสบาย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 09:40:52

ความคิดเห็นที่ 69 มหาลัยของเรา(อเมริกา)ก็ทดลองปลูกคะ เค้าไม่ให้เข้าไปแต่เราก็ไปแอบส่งมาเค้าก็เปิดไฟสว่างแล้วก็ร้อนมากๆเลยคะ จากคุณ : jibjoy<jj_pinkuri> เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 13:54:18

ความคิดเห็นที่ 70 ชอบไอเดีย ระบบน้ำจากหลังคามากครับ ตอนแรกเห็นปากกา กะเชือกฟาง ผมถึงกับงงว่าระบบน้ำอะไรฟระ พอดูอีกรูปก็ถึงบางอ้อ เป็นระบบง่าย ๆ ที่นึกไม่ถึงจริง ๆ ครับ จากคุณ : เค้าเปล่านะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 14:33:18

ความคิดเห็นที่ 71 ฝรั่งนี่ไช้ปัญหาเป็นบันไดนะ คนบางคนเห็นปัญหาเป็นกำแพง จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 18:15:26

ความคิดเห็นที่ 72 ในเชิงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มันต้องเริ่มถูกต้องแล้ว คุ้มค่าหรือเปล่า มันอีกเรื่อง ยิ่งในระดับมหภาค การลงทุนมันไม่ได้อยู่ที่เอกชนรายใดรายหนึ่ง แต่ถ้ามองว่าสักวันหนึ่ง เราต้องลงทุน หรือทุ่มทุนเพื่อประเทศทั้งประเทศ หรือเพื่อเผ่าพันธุ์ของเรา เราจะเอาอะไร เป็นตัวชี้วัดผลกำไรครับ ผมว่าโครงการเกษตราคารนี้ก็เหมือนเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ชั้นสูงในด้านเทคโนโลยีการเกษตร มาแสดงอย่างเป็นองค์รวม ในเชิงการศึกษา หรือในเชิงของศาสตร์ มันก็คือการบูรณาการความรู้ ชั้นยอดเอาไว้ ก็คล้ายๆ พวกโครงการสร้างนิคมในอวกาศหรือดาวเคราะห์อื่นครับ ถ้าว่าถึงมีเทคโนโลยีที่ทำได้ แต่จำเป็นต้องทำหรือเปล่า ก็คงยังไม่จำเป็น เพราะเราเอาเทคโนโลยีนั้น ไปพัฒนาพื้นที่อื่นๆในโลก ให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้อีกมาก เช่นพื้นที่ทะเลทราย หรือผิวทะเล คือเราได้ศึกษา เราได้พัฒนามันขึ้นมา ในสภาวะที่สุดโต่งที่สุด เพื่อจะสร้างความเป็นไปได้ ที่จะนำมันมาประยุกต์ใช้ในสภาวะอื่นๆ ... ถ้าสี่พันปีที่แล้วไม่มีใครสร้างปิรามิด ไปอีกสี่พันปีข้างหน้าก็อาจไม่มีใครสร้างปิรามิดก็ได้ ดังนั้นคิดอะไรออก มีปัญญาทำอะไร ก็รีบทำเถอะครับ ... จากคุณ : N of Dark เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 19:18:55

ความคิดเห็นที่ 73 #64 พืชใช้ช่วงแสงสีม่วง ไปจนถึง UV ในการสังเคราะห์ด้วยแสงน่ะครับ ถ้าออกแบบ LED ที่แผ่คลื่นในย่านความถี่ ที่พืชต้องการก็น่าจะใช้ได้น้ะครับ เป็นการสร้าประสิทธิผลในเชิงพลังงานด้วย จากคุณ : N of Dark เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 19:27:05

ความคิดเห็นที่ 74 คห.42 ต้อง "โหระพา" นะคะ ไม่ใช่ โหรภา จากคุณ : เด็กหญิงปอยหลวง เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 19:59:35

ความคิดเห็นที่ 75 คห 60 ผมว่าคนสมัยก่อนก็ไม่คิดหรอกว่า เราต้องอยู่กันบนตึก 20-30 ชั้น ต้องทำลิฟต์อะไรให้วุ่นวาย เค้าก็คงคิดว่าที่ดินมีเยอะแยะ ไม่เห็นจำเป็นต้องสร้างตึกใหญ่โตให้มันอันตรายเลย แล้วเดี๋ยวนี้เป็นยังไง ??? ลองคิดเล่นๆ ถ้ามีตึกแบบนี้เกิดขึ้นจริงในกรุงเทพ นี่ อย่างน้อยเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้สบายๆ  นอกจากพืชแล้ว ยังมีดอกไม้ ต้นไม้ ที่สามารถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อีก จากคุณ : สาManUtd เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 19:48:46

ความคิดเห็นที่ 76 ถ้าขนาดเมืองใหญ่มาก  ในใจกลางเมืองใช้ตึกโครงถักราคาถูก เพื่อปลูกพืชก็น่าสนใจนะครับ จากคุณ : sonsense1234 เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 21:33:28

ความคิดเห็นที่ 77 น่าจะทำฟาร์มโคนม กับเลี้ยงหมู บนดาดฟ้า ด้วยเลย ก็ยิ่งดีครับ จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 23:02:15

ความคิดเห็นที่ 78 ความรู้สึกเวลาเข้ามาอ่านกระทู้พวกนี้ก็คือ คนกลุ่มหนึ่ง ทำวิจัย ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ หัวแทบแตก เป็นเวลานานหลายปี ได้วิทยาการใหม่ๆมานำเสนอต่อชาวโลก คนกลุ่มหนึ่ง อ่านบทความไม่กี่บรรทัด ประมวลผลความคิดภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที แล้วก็วิพากษ์วิจารย์ด้วยข้อมูลที่คิดเอาเอง มันต่างกันมากจริงๆ คิดถึงตอนที่ผู้คนทั่วโลกหัวเราะเยาะโทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่ๆ ว่าแพงขนาดนั้น หนักขนาดนั้น ใครจะไปใช้ แล้วตอนนี้เป็นไง .... จากคุณ : คนไทยในต่างมุม เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 55 06:52:31

ความคิดเห็นที่ 79 แล้วเรื่องมุมมองของระบบนิเวศละครับ พวกนกแมลงจะเป็นยังไงกันบ้าง ในระบบไม่กลายเป็นพืชเชิงเดียวไปหมดเลยหรอครับ จากคุณ : ตี๋แนว เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 55 10:10:54

ความคิดเห็นที่ 80 องค์ความรู้อะไรมันก็ไม่เป็นประโยชน์หรอก ถ้าไม่มีการต่อยอด ถกเถียง การถกเถียงการไม่เห็นด้วยนี่แหละ  ที่จะเป็นตัวพัฒนาองค์ความรู้นั้น เพราะฉะนั้น อย่าเหน็บแนมกันเลย จากคุณ : PCHREX เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 55 20:58:22

ความคิดเห็นที่ 81 หรือก็คือ เอาซากใบไม้ไปให้ปลากิน เอาขี้ปลามาเป็นปุ๋ยต้นไม้ ใช่ป่ะครับ จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 55 23:55:09

ความคิดเห็นที่ 82 มีความเป็นไปได้นะคะ เพราะในอนาคตอาหารต่างๆจะแพงขิ้นมากๆจริงๆ จนมันคุ้มขึันมาได้ พลังงานต่างๆก็น่าจะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ หรือ ชีวมวลอย่างที่ว่า ยิ่งถ้ามันผลิตน้ำได้ ก็จะเหมาะกับดูไบอย่างที่สุด จากคุณ : fm@co เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 14:07:23

ความคิดเห็นที่ 83 ชอบๆ  เจ๋งมาก จากคุณ : Panda-baker เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 22:07:27

ความคิดเห็นที่ 84 ตอนนี้ ไม่มีอะไรคุ้มหรอกครับ ยังอยู๋ในขั้นทดลองก่อน แต่เมื่อพัฒนาไปสักช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะ 5 ปี 10 ปี ประกอบกับ เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ต้นทุนมีโอกาสลดลง พูดถึงเรื่องแสง ผมนึกถึงจอทีว จอคอมพิวเตอร์ สมัยก่อน เป้นจอตู้ กินไป 200-300 วัตต์ พอปรับมาเป็น LCD กินไฟที่ 50-100 วัตต์ ตอนนี้พัฒนาเป็น LED กินไปเหลือแค่ 20 วัตต์ จากตอนนั้น 200 ตอนนี้เหลือ 20 อะไรหลายๆอย่างที่เป็นวิทยาศาสตรืมักจะเป็นแบบนี้เสมอ จากคุณ : ZaTaN_KruZZ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 01:19:44