ความคิดเห็นที่ 1 โดยทฤษฏีนี้บอกว่า คนที่ทำอย่างหนึ่งได้ดี ไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่าคนที่ทำสิ่งเดียวกันได้ไม่ดีเท่า ด้วยเหตุหลายอย่างเช่น คนที่เรียนรู้ได้ช้ากว่าอาจจะพยามทำความเข้าใจในระดับที่ซับซ้อนกว่า หรือเขาอาจจะมีความถนัดอย่างอื่นที่มากกว่าก็เป็นได้ ทฤษฏีนี้ทำให้วงการการศึกษาตื่นตัวกันมาก ในการตระหนักรู้ความสามารถที่แตกต่างกันของเด็กแต่ละคน สถานศึกษาจึงต้องจัดรูปแบบการเรียนรู้ เพื่อให้เหมาะสมแก่นักศึกษา เพื่อพัฒนาพรสวรรค์ของนักศึกษาในด้านความฉลาดแต่ละด้านของนักศึกษาเอง ภาพจาก oknation แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 12:26:46 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:26:29

ความคิดเห็นที่ 2 เราลองย้อนกลับไปดูทฤษฏี multiple intelligence กันซักหน่อยนะครับ ทฤษฏีนี้ทำนายว่ามุษย์มีความสามารถที่หลากหลาย เช่น ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ ความสามารถทางด้านภาษา ความสามารถด้านการเข้าใจตัวเอง และผู้อื่น ความสามารถทางด้านดนตรี กีฬา และความสามารถอย่างอื่นอีก ซึงถ้าเรามองทั่วๆ ตามทฤษฏี multiple intelligence แล้ว คนแรก ฉลาดด้านคณิตศาสตร์ คนที่สองฉลาดด้านภาษา คนที่สามฉลาดด้านดนตรี ตามทฤษฏี multiple intelligence ทำนายไว้ว่า ความฉลาดแต่ละแบบเป็นอิสระแก่กัน คนที่เก่งคณิตไม่จำเป็นต้องเก่งภาษา คนที่เก่งภาษาไม่จำเป็นต้องเก่งด้านดนตรี จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:32:35

ความคิดเห็นที่ 3 ซึ่งก็ฟังดูดีใช่ใหมครับ เพราะให้ความสำคัญมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคล และดูเหมือนวาจะพบเห็นนได้จริงในชีวิตประจำวันเสียด้วย ทีนี้เรามาดูลักษณะ Single Dominate Intelligence กันบ้างนะครับ ทฤษฏีนี้มีหัวหอกคือ g-factor g factor (general intelligence factor) ในปี 1904 Charles Spearman เป็นผู้ที่พบว่าผลการสอบในรายวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกันของเด็กแต่ละคนนั้นมีค่าความสัมพันธ์เป็นบวก ด้วยการเก็บข้อมูลจำนวนมาก เขาได้นำค่า factor ที่สัมพันธ์กันระหว่างรายวิชา (เช่น อังกฤษ-คณิตศาสตร์ , อังกฤษ-คนตรี) ทั้งหมดมาใส่ตารางโดยค่าในแต่ละช่องคือค่า factor ความสัมพันธ์ระหว่า i,j ตามรูป แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:33:45 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:40:04

ความคิดเห็นที่ 4 ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงเกี่ยวกับตารางข้างบนนะครับ ตารางข้างบนเรียกว่า Correlation Matrix ซึ่งเป็นตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใน แถว และคอลัมนั้นๆ โดยถ้าค่าเป็น 1 หมายถึง ค่าจะมีความสัมพันธ์กันสูงจนเหมือนเป็นค่าเดียวกัน (X=Y) และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อค่าความสัมพันธ์เข้าใกล้ 0 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:15:32 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:45:32

ความคิดเห็นที่ 5 โอเคนะครับ จากความเห็นก่อนหน้า เรารู้แล้วว่านาย Charles Spearman พบว่าเด็กที่ทำคะแนนในรายวิชาหนึ่งได้ดี มีแนวโน้มจะทำคะแนนในรายวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องดีไปด้วย ด้วยอาศัยความรู้ในเรื่อง factor analysis ซึ่งเขามีส่วนพัฒนาขึ้นมาเอง ทำให้สามารถและคำนวนหา ค่า factor รวมขึ้นมา เรียกว่า general factor ตามตาราง Corr(i,j) จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:54:31

ความคิดเห็นที่ 6 โดยจากการทดลองหาค่า ผลลัพธ์ออกมาว่า g ที่หาออกมามีค่าเป็นบวกและมีค่าค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อสมองที่ใช้ (* ดูเรื่อง g-load) มันจึงหมายความว่า ค่าความสัมพันธ์ในความสามารถต่างๆ ค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น ค่า g - factor จึงสามารถเป็นตัวแทนของประสิทธิภาพโดยรวมของสมอง ( Mental Capacity ได้) นั่นหมายความว่าอะไร หากเราจับมนุษย์ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เราบอกว่า  คนที่แรกเป็นนักคณิตศาสตร์ คนที่สองเป็นนักภาษาศาสตร์ คนที่สามเป็นนักดนตรี ซึงถ้าเรามองทั่วๆ ตามทฤษฏี multiple intelligence แล้ว คนแรก ฉลาดด้านคณิตศาสตร์ คนที่สองฉลาดด้านภาษา คนที่สามฉลาดด้านดนตรี ตามทฤษฏี multiple intelligence ทำนายไว้ว่า ความฉลาดแต่ละแบบเป็นอิสระแก่กัน คนที่เก่งคณิตไม่จำเป็นต้องเก่งภาษา คนที่เก่งภาษาไม่จำเป็นต้องเก่งด้านดนตรี ซึ่งหมายความว่า ค่า g ระหว่างแต่ละการทดสอบต้องต่ำ เพราะความสามารถแต่ละอย่างจะเป็นอิสระจากกัน แต่จากผลการทดลอง พบว่าค่า ความสัมพันธ์เป็นบวก และมีค่าความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง ซึ่งหมายความว่า คนใดที่ทำแบบทดสอบความฉลาดประเภทใดได้สูง จะมีแนวโน้มที่จะทำแบบทดสอบอย่างอื่นได้สูงไปด้วย และนี่คือข้อโต้แย้งประการที่ 1 ทฤษฏี Multiple Intelligence ขัดแย้งกับผลการสังเกตุและทดลอง แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:44:17 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:37:04 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 12:59:24 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:57:43

ความคิดเห็นที่ 7 จะมี drama มั้ยนะ จากคุณ : patham เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 12:59:37

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่อง g-factor ยังมีต่อนะครับ แต่ผมขอนำข้อโต้แย้งมาลงให้ครบก่อน แล้วอะไรที่ทำให้คนทั้งสามแตกต่างกัน แนวโน้มในปัจจุบันเชื่อว่า เป็นเพราะค่านิยม แรงจูงใจ ความสนใจ และปัจจัยภายนอกมากกว่า แต่ไม่ต้องกังวลครับ หากคุณสนใจในด้านอะไร การฝึกฝนช่วยคุณได้มากทีเดียว คนฉลาดแต่ไม่ขยันรึจะสู้คนขยันได้ :) แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 13:01:00 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:00:22

ความคิดเห็นที่ 9 ข้อโต้แย่งประเด็นที่สอง คือความกำกวมในคำว่า intelligence ที่  Howard Gardner เลือกใช้เอง โดย  Howard Gardner เลือกที่จะใช้คำว่า intelligence ในความหมายใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับของเดิมที่ผ่านมา ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคำว่า ability ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถฝึกกันได้ (ใครอ่านหนังสือ อัจฉริยะสร้างได้บ้างเอ่ย) ซึ่งตามทฤษฏี multiple intelligence กล่าวว่า การนิยามความฉลาดโดยความหมายดั่งเดิมนั้นมันแคบเกินไป และไม่สอดคล้องกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ แต่  Howard Gardner กลับไม่ได้สร้างแบบทดสอบสำหรับความฉลาดแต่ละประเภทขึ้นมา แถมยังกล่าวกว้างๆว่านิยามของปัญญาในทฤษฏี multiple intelligence คือทักษะในการแก้ปัญหาที่มีค่าอย่างน้อยในวัตนธรรมนั้นๆ แต่ต่อมา Howard Gardner ก็กล่าวเพิ่มเติมในทำนองที่ว่า การจะนับอะไรเป็นความฉลาดสาขาใหม่นั้น จะต้องใช้ศิลปในการตัดสินมากกว่า ผมคิดถึงคนนี้เลยจริงๆ แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:54:49 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:19:23 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:03:21

ความคิดเห็นที่ 10 #7 ดรามาสิครับดี เพราะจะได้เป็นการไปค้นข้อมูลมายันกัน ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:04:21

ความคิดเห็นที่ 11 นี่คือประโยคเต็มที่นาย Howard Gardner  กล่าว เชิญทุกท่านอ่าน และตีความกันเอาเอง เดี๋ยวจะมีคนหาว่าผมชี้นำ Ultimately, it would certainly be desirable to have an algorithm for the selection of an intelligence, such that any trained researcher could determine whether a candidate's intelligence met the appropriate criteria. At present, however, it must be admitted that the selection (or rejection) of a candidate's intelligence is reminiscent more of an artistic judgment than of a scientific assessment. (Gardner, Frames of Mind: The Theory of Multiple Intelligences, 1985) แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:45:52 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:06:00

ความคิดเห็นที่ 12 ขออนุญาตแย้งใน #6 นิดนึงนะครับ ทฤษฎีที่บอกว่า คนเก่งคณิตศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษานี่ คำว่าไม่จำเป็นไม่ได้หมายความว่าต้องแปรผกผันนะครับ ดังนั้นการสรุปว่า ค่า g ต้องต่ำ หรือ g เป็นลบนี่ ผมมีความคิดเห็นว่า น่าจะไม่ใช่การสรุปที่ถูกต้องเท่าไรนะครับ.. ^-^ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:06:56 A:171.7.209.164 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 13 นั่งอ่านอีกทีผมเข้าใจมุมมองเรื่องค่า g ที่คุณนฤมลประการต้องการสื่อแล้วครับ... ต่อเลยครับ.. ^-^ จากคุณ : เชฟต่าย เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:13:17 A:171.7.209.164 X: TicketID:019311

ความคิดเห็นที่ 14 ยัง ยังไม่จบนะครับ ยังมีอีกนิด ในตอนเริ่มแรกนั้น Howard Gardner เคยเขียนไว้ในหนังสือ frame of mind ว่าเขายอมรับว่า ความสามารถด้านภาษาและลอจิคถือเป็นความฉลาด แต่ไม่นับรวมความสามารถด้านดนตรี แต่ต่อมาก็ได้ขยายนิยามให้ครอบคลุ่มกิจกกรรมเหล่านี้เข้าไปด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความคิด และทำให้คนๆหนึ่งประสบความสำเร็จในโรงเรียน (ไม่แปลก เพราะปัญญาในทฤษฏี multiple intelligence คือทักษะในการแก้ปัญหาที่มีค่าอย่างอย่างน้อยในวัฒนธรรมนั้นๆอยู่แล้ว) แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทฤษฏีนี้แบ่งความฉลาดออกเป็นหลายๆประเภท ยิ่งทำให้การพิสูจน์ทฤษฏีนี้เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น นักวิชาการหลายคนบอกว่า ทฤษฏีนี้ไม่สามารถแยกแยะคำว่า smart และ talent ได้อย่างชัดเจน แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:20:07 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 13:29:56 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:28:58

ความคิดเห็นที่ 15 ข้อโต้แย้งที่สาม การศึกษาเกี่ยวกับประสาทวิทยายังไม่พบว่าสมองมีการทำงานตามทฤษฏี multiple intelligence เนื่องจากสมองได้รับการออกแบบ(วิวัฒนาการ) มาให้แก้ปัญหาเฉพาะด้านที่พบในชีวิตประจำวัน ซึ่งใช้หน่วยการประมวลผลร่วมกันระหว่างความสามาถด้านต่างๆ เช่นคณิตศาสตร์ภาษาศาสตร์ ไม่ได้มีลักษณะที่แบ่งการทำงานออกเป็นส่วนๆ ตามลักษณะของทฤษฏี multiple intelligence แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 13:46:35 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:30:35

ความคิดเห็นที่ 16 ขอย้อนกลับไปอธิบายยังความเห็นที่ 5 ค่า g แต่ละช่องที่ใส่ลงไปคือค่า g-load ซึ่งคือค่า g ที่โหลดไปใช้ในการทำงานต่างๆ ซึ่ง g-load นี้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงานนั้นๆ การที่ค่า g-load เข้าใกล้ 1 นั้นหมายความว่างานนั้นต้องใช้สมองหลายส่วนมาทำงานประกอบกัน ซึ่งหมายความว่า ค่า g-load ของกิจกรรมใดนั้นเข้าใกล้ 1 เราสามารถที่จะใช้กิจกรรมนั้น เพื่อประมาณการสมรรถภาพของสมองได้ใกล้เคียงความเป็นจริงนั่นเอง รูปตัวอย่าง raven test ซึ่งเป็นแบบทดสอบระดับสติปัญญาที่เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องด้วยความที่ค่อนข้างเป็นอิสระจากภาษาและให้ค่า g-load ที่สูง ประมาณ 0.8 (ภาพจาก วิกิ) แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:18:29 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 13:40:15 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 13:39:46 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:38:29

ความคิดเห็นที่ 17 และด้วยผลจากการทดสอบหลายอยางๆ เช่น Wechsler Adult Intelligence Scale (WAIS) ได้จัดลำดับการทดสอบที่ใช้ค่า g-load มากที่สุดไว้ด้วยกันหลายอันดับ ผมขอนุญาตยกมาเลยละกันครับ ซึ่งตารางนี้ใช้อ้างอิงเกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับการวัดค่าสติปัญญามนุษย์พอสมควร เลยขอยกมาตั้งไว้เลย แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:39:35 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:20:53 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:46:17

ความคิดเห็นที่ 18 ซึ่งจากตารางที่ยกมาดังกล่าว จะพบว่าการทดสอบที่ให้ค่า g-load สูงสุดสองอันดับคือ 1. Block Design g-load 0.897 2. Vocabulary  g-load 0.724 เมื่อเราทำการแสกนสมองเพื่้อดูสมองส่วน gray Matter ของทั้งสองการทดสอบก็จะพบว่าสมองมีการทำงานที่คาบเกี่ยวกัน ตามรูป ซึ่งก็เป็นหลักฐานว่าสมองไม่ได้ทำงานตามทฤษฏี Multiple Intelligence ได้ทำนายไว้ แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:21:29 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:48:03

ความคิดเห็นที่ 19 คห 15 คณิตศาสตร์ ก็เป็นภาษาอย่างหนึ่ง ดังนั้น  ก่อนที่จะแยกสมองตามความสามารถ ก็ต้องแยกชนิดของความสามารถให้ถูกเสียก่อน จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:50:23

ความคิดเห็นที่ 20 ในส่วนนี้ก็ขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฏี g-factor อีกซักหน่อยนะครับ ปัจจุบันนี้ g-factor ไม่ได้เหมือนกับโมเดล classic เสียทีเดียว โดยในมาดูโมเดลดั้งเดิมกันก่อนนะครับ ความสามารถแต่ละอย่างจะมีลักษณะของ g-load เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งอันนี้คือผลตามการทดลอง และส่วนที่อยู่นอกวงกลมคือผลจากความคลาดเคลื่อน ซึ่งการทดสอบที่ต้องใช้ g-load มาก ย่อมจะมีความคลาดเคลื่อนได้น้อย หมายความว่าค่านั้นขึ้นกับระดับสติปัญญาสูง  ในปัจจุบันเราทราบแล้วว่าการทดสอบเหล่านี้ต้องใช้สมองหลายๆ ส่วนทำงานประสานกัน และค่าที่มีความคลาดเคลื่อนมากคือการทดสอบที่ใช้ g-load น้อยซึ่งในปัจจุบันเราทราบว่ามันใช้ส่วนของเนื้อสมองน้อยในการทำงาน แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:48:38 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:22:40 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:57:52

ความคิดเห็นที่ 21 #15 ผมไม่ได้บอกว่าเราแยกเนื้อสมองตามความสามารถ ครับ อันนั้นมันอยู่ใน multiple intelligence ซึ่งผมกำลังแย้ง เพราะตามทฤษฏี g ความสามารถเกิดจากการใช้สมองทำงานร่วมกัน มากบ้างน้อยบ้างตามค่า g-load และความฉลาดแต่ละอย่างไม่ได้เป็นอิสระจากกัน แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:00:21 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 13:59:22

ความคิดเห็นที่ 22 แต่ในปัจจุบันจะนิยมอธิบายด้วย โมเดล แบบ ต้นไม้ 3 อันดับแบบนี้ครับ เพราะอธิบายสิ่งที่พบเห็นได้ดีกว่า อันนี้น่าจะอธิบาย #15 ได้ เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ดู แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:27:48 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:04:30

ความคิดเห็นที่ 23 จริงหรือคนที่เก่งในห้องเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจนะครับ จริงๆ แล้วความฉลาดไม่ได้มีแต่ค่า g อย่างเดียว แจ่ต้องพิจรณาอีกสองอย่างคือ Fluid Intelligence  (Gf) คือความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเป็นการคิดแบบใช้ลอจิคทันที เกี่ยวพันอย่างมากกับการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ chain resoning ความฉลาดประเภทนี้จะขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วง อายุ 20 ต้นๆ แล้วจะลดลงอย่างช้าๆ ทำให้เราเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ช้าลง   Crystallized intelligence (Gc) คือความสามารถในการใช้ ทักษะ ประสบการณ์ และความรู้มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งความฉลาดชนิดนี้จะพัฒนาไปตลอดชีวิต(เว้นแต่จะเป็นโรคทางสมองเสียก่อน)   ค่า  Gf คือความสามารถของปมประสาทในสมอง ซึ่งเป็นค่าที่ ค่อนข้างจะติดตัวมาแต่เกิด และค่านี้จะได้รับผลกระทบมากกว่าค่า Gc ถ้าได้รับความกระทบกระเทือน   ค่าทั้งสองเป็นค่าที่ขึ้นต่อกันค่อนข้างสูง และยังเข้ากันได้กับค่า g ถ้า งั้น จริงหรือที่เด็กที่อยู่ในห้องเรียนจะใช้ความรู้นั้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ ตามงานวิจัยนะครับ คนที่มีแนวโน้มที่จะมีความสามารถด้าน Gf สูง มักจะมีความฉลาดในการประยุกต์ใช้ความรู้ (Gc) สูงตามไปด้วย ดังนั้น คำกล่าวนี้จึงไม่ใช่เรื่องจริงครับ   *ขออธิบายเพิ่มนิดครับ แม้ในช่วงอายุมาก ค่าทั้งสองค่านี้ก็ยังสัมพันธ์กัน ถึงแม้ว่า ค่า Gf จะลดลง และค่า Gc จะเพิ่มขึ้น แต่ยังไงๆ คนที่มี gf สูง ก็มักจะมีค่า gc สูงอยู่ดี แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 18:36:51 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 15:02:55 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:06:07

ความคิดเห็นที่ 24 ref Multiple Intelligence http://en.wikipedia.org/wiki/Theory_of_multiple_intelligences Fluid and crystallized intelligence http://en.wikipedia.org/wiki/Fluid_and_crystallized_intelligence Michael Berman ,Multiple Intelligences Theory Revisited http://www.hltmag.co.uk/aug11/sart01.rtf Assessment Psycholog,Intelligence http://www.assessmentpsychology.com/intelligence.htm#Psychometric_intelligence g-factor http://en.wikipedia.org/wiki/G_factor_%28psychometrics%29 Critiques by those who question Multiple Intelligences Theory http://www.igs.net/~cmorris/critiques.html C. SPEARMAN. , THE PROOF AND MEASUREMENT OF ASSOCIATION BETWEEN TWO THINGS. Roberto Colom,a Rex E. Jung,b and Richard J. Haierc,*Distributed brain sites for the g-factor of intelligence http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16513370 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:06:43

ความคิดเห็นที่ 25 ผมลงอ่านย้อนไปในสิ่งที่ผมเขียน ก็พบว่าเข้าใจยากแฮะ ตอนแรกผมว่าจะลงพวกการคำนวนด้วย แต่คิดไปคิดมา คงไม่ต้องหละครับ กระทู้นี้ก็จบแค่นี้หละครับ ใครมีอะไรเพิ่มเติม เอาเลยครับ ใครมีข้อโต้แย้ง ขอให้แสดงหลักฐานครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:09:36

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่สงสัยอะไร ถือว่าเคลียร์ในระดับหนึ่ง แต่รายละเอียดยังน้อยไปนิด จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:31:31

ความคิดเห็นที่ 27 หนูดี ภาพดี แต่ตอนหลังๆ จะออกไปทางดีซีลีเบรท ซะงั้นครับ... จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:32:24

ความคิดเห็นที่ 28 ถามครับ นิยามของปัญญาในทฤษฏี multiple intelligence คือทักษะในการแก้ปัญหา ที่มีค่าอย่างอย่างน้อยในวัตนธรรมนั้นๆ ที่ขีดเส้นใต้ หมายความว่าอะไรครับ อย่างอย่างน้อย (พิมพ์ผิดหรือเปล่า?) + + ประโยคนี้ จริงหรือที่คนเก่งในห้องเรียนมักจะไม่สามารถเอาความรู้ที่เรียนไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ ผมทักตรงที่ รูปแบบประโยคน่าจะผิด ทำให้สื่อความไม่ชัดเจน เข้าใจว่าความหมายคือ คนที่เก่งในห้องเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ (ทักเรื่องภาษาคงไม่ว่ากัน เพราะคุยวิชาการ จะได้สื่อให้ชัดเจน) + + ตาราง  Correlation Matrix นั่น ค่าในตาราง เขาหามาอย่างไรครับ ได้เป็น จุดทศนิยมอย่างนั้น แล้วทำไม เข้าใกล้ 1 ถึงดี (g-load สูง) 1. Block Design g-load 0.897 ===> ค่า 0.897 มาอย่างไรครับ 2. Vocabulary  g-load 0.724 ===> ค่า 0.724 มาอย่างไรครับ ดูตารางหาค่าสองตัวนี้ไม่เป็นครับ อยากอ่านให้เข้าใจ จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:33:56

ความคิดเห็นที่ 29 สรุปว่า ...... ? คนที่เก่งคณิต ก็จะต้องเก่งภาษา และ ศิลปะด้วย ?? หรือ แค่จะโต้แย้งเฉยๆว่า Multi Int ไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียว แต่จริงๆแล้วความสามารถด้านต่างมาได้ยังไง ยังไม่เป็นที่รุ้กัน? อ่านไปอ่านมา งง จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:47:17

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านมาสรุปได้สองข้อเอง -*- 1. Gf คือพรสวรรค์+ พรแสวง 2. Gc คือพรแสวง จากคุณ : HaHaHa เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:49:56

ความคิดเห็นที่ 31 ตาราง  Correlation Matrix นั่น ค่าในตาราง เขาหามาอย่างไรครับ ได้เป็น จุดทศนิยมอย่างนั้น แล้วทำไม เข้าใกล้ 1 ถึงดี (g-load สูง) 1. Block Design g-load 0.897 ===> ค่า 0.897 มาอย่างไรครับ 2. Vocabulary  g-load 0.724 ===> ค่า 0.724 มาอย่างไรครับ Correlation Matrix นั่น ค่าในตาราง หามาด้วยการหาความสัมพันระหว่างคะแนนผลการทดสอบที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันครับ ส่วน ค่า g ได้มาจากการทำ factor analysis ซึ่งจากความรู้ทางคณิตศาสตร์ทำให้เราทราบว่ามันคือค่าในส่วนที่เป็นค่าที่ยังไม่ใช่ค่าความแปรปรวน Score = r* F(x) + ความแปรปรวน (* ผมชักจะคืนอาจารย์ไปหมดแล้วเรื่อง factor analysis ) การทดลองวัดระดับสติปัญญา โดยใช้การทดสอบสองแบบนี้ (Vocabulary , Block Design) วัดกันมานานแล้วครับ ว่าเป็นการวัดที่ต้องใช้สมองหลายส่วนต้องทำงานประกอบกันครับ ส่วนทำไมต้องวัด การทำงานของสมองที่ Block Design และ Vocabulary อธิบายได้ว่าค่านี้มันเป็นค่าที่ใช้ g-load สูง ซึ่งสามารถนำไปประมาณระดับสติปัญญาได้ แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 15:48:50 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:56:24 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:52:05 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:50:51

ความคิดเห็นที่ 32 ความคิดเห็นที่ 29 คนที่เก่งคณิต ก็จะต้องเก่งภาษา และ ศิลปะด้วย ?? คนที่เก่งอย่างใดอย่างอย่างหนึ่ง มีแนวโน้มจะเก่งอีกอย่างด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่า g-load ด้วย ตามเปเปอร์การคำนวนมีค่า g-load ประมาณ 0.68 ซึ่งก็ต้องไปดูตามตารางหละครับว่า คณิตกับดนครีมีความสัมพันธ์กันเท่าใหร่ ยังไม่นับเรื่องของความแปรปรวน ความสนใจอีก แต่อย่างหนึ่งที่เป็นจริงคือมันมีความสัมพันธ์กันเป็นบวกครับ หมายความว่าใช่ครับ คนที่เก่งคณิตมีแนวโน้มจะเก่งดนตรี แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:58:34 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 14:55:48 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 14:55:20

ความคิดเห็นที่ 33 นิยามของปัญญาในทฤษฏี multiple intelligence คือทักษะในการแก้ปัญหา ที่มีค่าอย่างอย่างน้อยในวัตนธรรมนั้นๆ ที่ขีดเส้นใต้ หมายความว่าอะไรครับ อย่างอย่างน้อย (พิมพ์ผิดหรือเปล่า?) ================================================ ถอดความมาจากเจ้าของทฤษฏีนั่นหละครับ แกพูดว่า " ability to solve problems that have value in at least one culture." ถ้าเรานับว่าผลการเรียนถือเป็นวัฒนธรรมของนักเรียนที่ต้องทำให้ดี และ ถ้าเรานับว่าในโรงเรียนเราต้องทำให้ผลการเรียนดีละก็ ความสามารถที่ทำให้ผลการเรียนดี ถือเป็นความฉลาดตามทฤษฏี multiple intelligence นั่นหละครับ และนี่คือเหตุผลที่เค้าต้องตัดสินรับเอาความสามารถด้านคนตรีรวมเข้ามาเป็นความฉลาด เพราะมันทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียน *ขอบคุณที่แจ้งเรื่องพิมพ์ผิดในหัวข้อ Gf Gc ครับ แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:56:27 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 19:38:26 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 15:11:27 แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 15:10:39 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 15:09:04

ความคิดเห็นที่ 34 Correlation ก็ใช้วัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปรนั่นแหละครับ ถ้าเป็นบวกมากๆก็หมายความว่ามันสัมพันธ์กันมาก ยกตัวอย่างถ้าค่า Correlation ระหว่าง GPA กับ O-NET ของโรงเรียนใดมีค่ามากก็หมายความว่านักเรียน ที่ได้เกรดดีจากโรงเรียนนั้นมีแนวโน้มจะทำคะแนน O-NET ได้ดีหรือให้เกรดใด้แม่นยำ (ถ้าโรงเรียนใดมีค่าน้อยก็หมายความว่าโรงเรียนนั้นอาจจะปล่อยเกรดหรือกดเกรด) ถ้าเทียบในเรื่องนี้ก็หมายความว่าคนที่เก่งทางด้านใดทางด้านหนึ่งก็มีแนวโน้มจะทำคะแนนทางด้านอื่นได้ดีด้วย (ผมเอง - ส่วนที่ทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าอันที่ดีที่สุดคงจะเป็นเวลาและความทุ่มเทที่ให้กับวิชานั้นๆด้วย อย่างเช่นคนที่ทำคะแนน Math ได้ดีมากตามข้อมูลแสดงว่ามีแนวโน้มจะได้คะแนนวิชาภาษาดีไปด้วย แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องสูงเท่ากับคนที่ได้คะแนนภาษาดีที่สุด) แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 15:40:13 จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 15:37:44

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่เก่งไม่ฉลาดอะไรมากแต่แข็งแรงไม่เป็นโรคภัยง่ายๆก็พอแล้วมั้ง จากคุณ : monsterchef เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 16:31:40

ความคิดเห็นที่ 36 น่าสนใจดีจัง แล้วไม่มีใครไปศึกษาโครงการ MK-Ultra มั่งหรือ ว่าเค้าป้อนความรู้ใส่สมอง ของทหารทดลอง ยังไง ...ก้าวขึ้นไปถึงระดับ ป้อนความชำนาญเข้าสู่สมองเลย  โดย ไม่ต้องลงฝึกก่อน จากคุณ : Juj เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 17:06:26

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้า g factor มันคำนวณมาจากตัวแปร a,b,c พอนำมาrun correlationมันก็ต้องเกี่ยวพันสูงอยู่แล้วหนิครับ งง จากคุณ : warin153 เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 17:41:10

ความคิดเห็นที่ 38 #37 ช่วยอธิบายสิ่งที่คุณสงสัยอีกนิดครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 17:44:42

ความคิดเห็นที่ 39 กำลังหาอ่านอยู่เลย   ดีมีที่ผู้เชี่ยวชาญเอาหลักฐานแน่นๆมาเปิดประเด็นกันชัดเจนไปเลย เป็นตัวอย่างให้รู้ว่าทุกเรื่องสมัยนี้มันต้องการหลักฐานอ้างอิงที่เป็นรูปธรรมหมดแล้ว   เลยยุคสมัยที่ใครจะมาสถาปนาตัวเองเป็นศาสดาและนั่งเทียนเขียนตำราสอนสั่งชาวบ้าน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมเชื่อนะครับว่าคนที่เก่งส่วนใหญ่ไม่รู้ทำไมถึงเก่งไปเสียทุกเรื่อง บางเรื่องที่คนมองว่าเขาไม่เก่งก็เพราะเขายังไม่ได้ทุ่มเทเวลาให้    แต่ถ้าได้ลองหยิบมาทำในโอกาสเหมาะๆ รับรองว่าผลสำเร็จออกมางดงาม แต่ผมยังเชื่อนะว่าความสามารถบางอย่างเป็นอิสระเฉพาะบุคคล เช่นความสามารถด้านกีฬาและดนตรี    สังเกตคนที่เล่นกีฬาและดนตรีไม่เก่งมันก็มักจะไม่เก่งไปเกือบทุกชนิด ถึงแม้ว่าเขาจะอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และภาษาสักแค่ไหนก็ตาม ผมว่าเรื่องนี้อธิบายได้เพราะกีฬาและดนตรีนั้นต้องใช้ลักษณะทางกายภาพของอวัยวะและระบบประสาทเฉพาะส่วน ตั้งแต่การทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่  การรับรู้ทางสายตา การได้ยิน การเคลื่อนไหว และการประมวลผลของ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมผัส  และการตัดสินใจสั่งการในสมองส่วน motor system ไปยังกล้ามเนื้อส่วนปลาย ซึ่งเรื่องนี้มันอยู่นอกเหนือจากแค่การไล่เรียงลำดับถ้อยคำและตรรกะแน่ๆ   (แต่ความสามารถเชิงตรรกะใน frontal cortex ก็คงมีอยู่ดีส่วนนั่นแหละ) ส่วนความสามารถทางศิลปะนั้นผมให้อยู่กึ่งกลางระหว่างความสามารถอิสระและไม่อิสระ เพราะศิลปะต้องใช้ทั้งประสาทสัมผัส  การเคลื่อนไหว  และความสามารถเชิงตรรกะ คนที่ปกติวาดรูปไม่สวย   แต่ถ้าลองให้เวลาเต็มที่  ให้ไม้บรรทัด  อุปกรณ์วัดมุม  แบบร่าง และสอนวิธีคำนวณสัดส่วนรูปทรงเสียหน่อย   รูปวาดก็ออกมาเหมือนจริงได้ จากคุณ : Exampli gratia เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 17:50:51

ความคิดเห็นที่ 40 คนที่เก่งในห้องเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ - เห็นด้วยค่ะ  มันประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างนะคะ   ยกตัวอย่าง  ข้าเจ้ามีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ  จะยิ้มหัวเราะง่าย  ดูเอ๋อๆ  ไม่่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่  ใส่เสื้อยืดเก่าๆ   ส่วนอีกคนอายุมากกว่า  เป็นผู้ชายแต่งตัวดี  ดูภูมิฐาน ข้าเจ้าบอกว่า  แคนาดาอยู่ทวีปอเมริกาเหนือ  อยู่บนประเทศอเมริกา ผู้ชายอีกคน  แคนาดาอยู่ยุโรป  ใช้ค่าเงินยูโร เชื่อไหม  คนอื่นหัวเราะข้าเจ้า  แล้วเชื่อผู้ชายคนนั้นมากกว่า T-T เรื่องบางเรื่อง  มันไม่ได้เกี่ยวกับความฉลาดหรือความรู้เลยค่ะ  แม้เราจะปรับใช้กับการทำงานได้  แต่มันต้องประสานกับคนอื่นในสังคมด้วยอะค่ะ  ถ้าเราไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นรับรู้และเข้าใจได้  ไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อเราได้  ก็เปล่าประโยชน์นะเจ้า จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 18:31:59

ความคิดเห็นที่ 41 คนที่เก่งในห้องเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ ไม่เป็นจริงครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 18:36:24

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องหนังสือนั้น ผมไม่เชื่อว่่าจริงอยู่ละ เพราะถ้าเป็นจริงเราคงมีคนแบบไอสไตน์ กันเพียบแล้ว จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 18:39:47

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าเช่นนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมา มีพราหมณ์มากล่าวว่า ถ้าพระองค์จะเป็นกษัตริย์ จะเป็นมหาราชของโลก ถ้าพระองค์จะออกบวช จะเป็นศาสดาเอกของโลก นั่นหมายความว่า อันที่จริง พระพุทธเจ้าเก่งมาก และฉายแววตั้งแต่ยังเยาว์ จนเชื่อว่าพระพุทธเจ้าสามารถจะเป็นอะไรก็ได้ มั๊งครับ -__-" จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 19:50:15

ความคิดเห็นที่ 44 ชอบกระทู้แบบนี้ค่ะ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เกิดข้อมูล 2 ด้าน แต่ขออนุญาตแนะนำนิดนะคะ คือ จขกท อธิบายซับซ้อนนิดหน่อย อ่านแล้ว งง ๆ ไม่เหมือนหนังสือคุณหนูดี ที่จะใช้ภาษาง่าย ๆ แนวคิดง่าย  ๆ อ่านแล้ว เข้าใจเลยน่ะค่ะ แต่พอเข้าใจว่ามีแนวคิดที่ค้านกับสิ่งที่คูณหนูดีบอกค่ะ จากคุณ : production เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 21:01:48

ความคิดเห็นที่ 45 เรียนกุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย ผมว่าการสื่อสารให้คนอื่นรู้เรื่องที่เราจะสื่อ นี้ก็คือความฉลาดอย่างหนึ่งนะครับ ผมยังสนใจคดีคนร้ายที่ชื่อว่า โอม ที่เที่ยวหลอกสาวๆก่อคดีชิงทรัพย์ในเน็ทเกือบ 100 คดี ล่อลวงสาวๆมาหลับนอนได้ 15 คน ทั้งๆที่หน้าตาตัวจริงก็ไม่ได้หล่อเท่าไหร่ แถมอ้วนเตี้ย แต่กลับใช้วาจาหลอกผู้หญิงได้ 100 คน ผมว่าความฉลาดในการเข้าใจคนอื่น แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต้องสูงมากๆครับ จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 22:36:00

ความคิดเห็นที่ 47 สงสัยตัวเองได้ไหม ใครๆก็บอกว่า ภาษากับ คำนวณ ใช้สมองข้างเดียวกัน แต่ทำไม เราเก่งภาษามาก แต่เกลียดคำณวนสุด ไม่เคยทำได้เลย แต่อีกเหตุผลนึง เราเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองสามารถคิดนอกกรอบ เรียกว่า ฉลาดกว่าคนอื่น แต่เรากลับไม่ถนัดเรื่องความจำ อ่านหนังสือก็จำอะไรไม่ได้ จากคุณ : poliopakung เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 01:29:21 A:180.183.189.233 X: TicketID:331406

ความคิดเห็นที่ 48 ลึกซึ้งๆ กระทู้นี้ ถ้าจะมองอีกด้าน สมองคนก็คล้ายๆคอมนะ มีความจุ ความเร็ว และซอฟแวร์ บางคนจำได้เยอะ แต่คิดได้ช้า บางคนก็หัวไว บางคนก็ศักยภาพสูง แต่ว่าไม่ค่อยมีข้อมูลดีๆ ใส่ไว้ในหัว จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 01:56:38

ความคิดเห็นที่ 49 รสส้ม จากคุณ : rewrite เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 02:12:25

ความคิดเห็นที่ 50 test http://www.youtube.com/watch?v=_sMFN69l_ZY&feature=related จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 04:02:13

ความคิดเห็นที่ 51 "คนที่ทำอย่างหนึ่งได้ดี ไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่าคนที่ทำสิ่งเดียวกันได้ไม่ดีเท่า" ผมตีความคำว่าไม่จำเป็น มีค่าเท่ากับ "อาจจะ" แสดงว่า ทฤษฎีนี้ก็ไม่ได้ฟันธงไปว่า คนที่ทำอย่างนึงได้ดีไม่ได้ฉลาดกว่าคนที่ทำสิ่งเดียวกันได้ไม่ดีเท่า  คือเขาอาจจะฉลาดกว่าก็ได้ และ "คนที่เก่งอย่างใดอย่างอย่างหนึ่ง มีแนวโน้มจะเก่งอีกอย่างด้วย" คำว่าแนวโน้ม ก็ไม่ได้มีความหมายฟันธงลงไป 100% ว่าจะเป็นอย่างนั้น ก็สามารถตีความหมายได้เช่นกันว่า คนที่เก่งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่จำเป็นต้องเก่งอีกอย่างด้วย คือเขาอาจจะไม่เก่งอีกอย่างก็ได้ เพราะฉนั้น ผมก็ยังไม่เห็นว่าทฤษฎีที่ยกอ้างมานั้น สามารถหักล้างกับทฤษฎี Multiple Intelligence ได้แต่อย่างใด ..................................................................... ความคิดเห็นที่ 41 คนที่เก่งในห้องเรียนจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้ ไม่เป็นจริงครับ อันนี้ถูกต้องแน่นอนครับตามทั้งสองทฤษฎี ***แต่ถ้าเปลี่ยนประโยคเป็น "คนที่เก่งในห้องเรียนอาจจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ข้างนอกไม่ได้"  ประโยคนี้ถึงจะเป็นจริงครับ ..................................................................... ปล.ผมอาจจะตีความไปเองตามที่ได้อ่าน ตามความเข้าใจของผมเอง ผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะครับ แก้ไขคำผิด แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 09:52:06 จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 09:51:35

ความคิดเห็นที่ 52 #51 มันอยู่ที่คุณมอง Multiple Intelligence ว่าอย่างไรครับ ถ้าคุณมองว่าเป็นอิสระนิดเดียวก็ถือว่าเป็นอิสระ ก็ถูกอย่างที่คุณพูด เอาเป็นว่าสิ่งที่งานวิจัยนี้บอกแล้วขัดกับความเชื่อของ Multiple Intelligence คืองานวิจัยนี้บอกว่า "คนที่ฉลาด ไม่ว่าจะนำมาฝึกฝนอะไร โอกาสที่จะเก่งมีมากกว่าคนไม่ฉลาด" ซึ่งต่างจาก Multiple Intelligence เดิม คือ "คนที่ฉลาดก็ฉลาดแค่ด้านเดียวเท่านั้น" เช่น ถ้าจับคนที่คิดเลขเก่งมาเล่นดนตรี มีโอกาสสูงที่จะเล่นได้เก่งกว่าคนที่คิดเลขไม่เก่ง เพราะความฉลาดทุกด้านสัมพันธ์กันหมด แต่ไม่ได้สัมพันธ์กันแบบสมบูรณ์ คือมีแนวโน้ม ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง แปลว่า คนที่ไม่ฉลาด(โดยรวม) ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนที่ฉลาด(โดยรวม)เสมอ ถ้าพูดอย่างโหดร้ายและตรงไปตรงมา คืองานชินนี้กำลังจะบอกว่าคนที่ไม่เก่งเลขหรือไม่เก่งดนตรีหรือไม่เก่งกีฬา มีแนวโน้มที่จะ "ไม่เก่งอะไรเลยซักอย่าง" สูงกว่าคนที่เก่งเลขหรือเก่งดนตรี (แต่ก็เป็นแค่แนวโน้มนะครับ)ไม่เหมือนเดิมที่เราเข้าใจว่า ถ้าเด็กไม่เก่งเลข ไม่เก่งดนตรี ก็ไม่เป็นไร ก็คงต้องมีอะไรซักอย่างที่มันเก่งนั่นแหละ ผมว่ามันค่อนข้างโหดร้ายครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 12:41:16

ความคิดเห็นที่ 53 งง จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 12:46:36

ความคิดเห็นที่ 54 ความคิดเห็นที่ 52 ขอแย้งนิดนึงนะครับ ทฤษฎี Multiple Intelligence ไม่ได้บอกว่า "คนที่ฉลาดก็ฉลาดแค่ด้านเดียวเท่านั้น" ตามที่คุณกล่าวมาเท่านั้น แต่บอกว่า "คนหนึ่งอาจฉลาดเพียงด้านเดียว หรือหลายด้าน หรืออาจไม่ฉลาดเลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว" เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เก่งเลข ไม่เก่งกีฬา หรือไม่เก่งดนตรี ก็มีแนวโน้มที่จะไม่เก่งอะไรเลย ถ้าอธิบายในหลักทฤษฎี  Multiple Intelligence ก็คงต้องอธิบายว่า ก็คนคนนี้ไม่ฉลาดเลยสักด้านยกเว้นด้านที่ยังค้นไม่พบ งานวิจัยนี้อาจจะสนับสนุนหรืออธิบาย ทฤษฎีพหุปัญญาด้วยซ้ำไปนะครับ เพียงแต่อธิบายในข้อปลีกย่อย ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หรือมีแนวโน้มเช่นนั้น ปล.คำนิยามโดยทฤษฎีพหุปัญญา โดย นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 13:42:35

ความคิดเห็นที่ 55 ตามความเข้าใจของเรานะคะ คนที่เก่งโดดเด่นในด้านใดด้านนึง มักจะเก่งด้านอื่นๆด้วย เราว่าตรงนี้น่าจะเป็นที่ "ความสามารถในการเรียนรู้" ที่โดดเด่นมากกว่า คนที่ฉลาดมากๆ มักจะเป็นพวกที่เรียนรู้อะไรได้ไว บอกอะไรนิดเดียวก็คลิกแล้ว เข้าใจแล้ว คือให้เวลาเค้านิดเดียว เรียนรู้นิดหน่อย เค้าสามารถต่อยอดไปได้ เทียบกับคนที่ไม่ได้โดดเด่นด้านใดด้านนึงเลย สอนแบบแทบจะจับมือทำ มันก็ยังทำไม่ได้สักที อ่านแล้วเรานึกถึงไซลาร์ (จากซีรี่ย์ฮีโร่ส์) ที่มันต้องเปิดสมองคน เพื่อดูกลไกการทำงานของสมอง มันถึงจะขโมย ability ของคนคนนั้นมาได้ #พร้อมจะออกทะเล จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 14:50:05

ความคิดเห็นที่ 56 ไม่เข้าใจ ข้อสรุปและข้อโต้แย้งของ จขกท.  ค่ะ 1. เราคิดว่า ทฤษฎี Multiple Intelligence ก็ไม่ได้บอกว่า ความฉลาดแต่ละด้านเป็นอิสระต่อกัน นะคะ แต่ละด้านผสมผสานกัน กลายเป็น " ลักษณะเฉพาะ " ของบุคคลนั้น โดยส่วนตัว เราโอเคกับทฤษฎีนี้ ในแง่ของการยอมรับใน individuality 2.  การนิยามคำว่า intelligence ในที่นี้ เราคิดว่าเป็นการขยายขอบเขตของคำนิยามแบบเดิมๆ ที่วัดคนที่ ไอคิว เช่น ให้ทำแบบทดสอบตรรกศาสตร์, ภาษา  ซึ่งแคบเกินไป โดยเป็นการให้คำนิยามที่เพิ่มเติมส่วนของ อีคิว เช่น การเรียนรู้ทางอารมณ์, ธรรมชาติ ฯลฯ ด้วย  ( ประเภทของความฉลาดในปัจจุบัน มี 8 ด้าน ) 3. ทฤษฎี  multiple intelligence เขาบอกว่า สมองทำงานแยกส่วน หรือคะ ??? เราตีความว่า เขาบอกเรื่องการ " ผสมผสานออกมา จนได้ลักษณะเฉพาะบุคคล " ค่ะ จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 15:14:53

ความคิดเห็นที่ 57 ความคิดเห็นที่ 56 ชอบตรงคำว่า "ประเภทของความฉลาดในปัจจุบัน มี 8 ด้าน" ตอนนี้มีแ่แปด ในอนาคตอาจจะมีมากกว่า หรือน้อยกว่านี้ อิอิ จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 15:41:40

ความคิดเห็นที่ 58 ผมลองไปค้น google เกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญา   ก็ขอยกมาตรงนี้จะได้ อ่านกันได้ง่ายๆครับ   ดร. โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์  (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  ประเทศสหรัฐอเมริกา  ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ให้คำจำกัดความของคำว่า “ปัญญา” ไว้ดังนี้           “ปัญญา คือความสามารถที่จะค้นหาและแก้ปัญหาและสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับในสังคม” ลักษณะสำคัญของทฤษฎีพหุปัญญา 1.       มนุษย์มีความสามารถทางปัญญาแบ่งออกได้"อย่างน้อย" 8 ด้าน (ปัจจุบันน่าจะมี9ด้านแล้ว) 2.       จากการศึกษาเรื่องสมองปัญญามีลักษณะเฉพาะด้าน 3.       คนทุกคนมีสติปัญญาทั้ง 8 ด้านที่อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะสูงทุกด้าน บางคนอาจจะสูงเพียงด้าน หรือสองด้าน ส่วนด้านอื่น ๆ ปานกลาง 4.       ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นถึงระดับใช้การได้ถ้ามีการฝึกฝนที่ดี มีการให้กำลังใจที่เหมาะสม ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 5.       ปัญญาด้านต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่นในการดำรงชีวิตประจำวันเราอาจต้องใช้ปัญญาในด้านภาษาในการพูด อ่าน เขียน ปัญญาด้านคิดคำนวณ ในการคิดเงินทอง ปัญญาด้านมนุษย์ สัมพันธ์ในการพบปะเข้าสังคมทำให้ตนเองมีความสุขด้วยการใช้ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง 6.       ปัญญาแต่ละด้านจะมีความสามารถในหลาย ๆ ทาง ยกตัวอย่างเช่นคนที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญญาทางภาษา แต่เขาอาจจะเป็นคนเล่าเรื่องที่เก่งหรือพูดได้น่าฟัง จากคุณ : อิอิคุง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 15:56:50

ความคิดเห็นที่ 59 นี่เป็นมู้หว้ากอ ของแท้ที่ไม่ได้เห็นมาซะนาน องค์ประกอบหลัก3อย่างของมู้หก.แท้คือ 1."WTF"   --->อ่านไม่รู้เรื่อง ลึกเกิ๊นน 555+ 2."GANGBANG" --->มีมากกว่า1บุคคลขึ้นไปมามะรุมมะตุ้มกัน 3."..." จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 16:23:15

ความคิดเห็นที่ 60 ไม่ใช่ครับ ทฤษฏีพหุปัญญา ไม่ได้รับการยอมรับในสากลแล้วนะครับ 1. เพราะไม่ได้ให้ผลแบบ predictive validity 2. โครงสร้างของสมอง ขัดกับการที่ทฤษฏีพหุปัญหาทำนาย 3. โดยทฤษฏี ก็มีข้อขัดแย้งในตัวเอง เจ้าของทฤษฏีพูดว่า ต้องใช้ ศิลปในการตัดสินด้วยซ้ำ g-factor ทำนายว่าสติปัญญาของมนุษย์เป็นแบบ single dominate intelligence ซึ่งความสามารถคุณจะแปรตามลักษณะ ความฉลาด ใหญ่ๆ เพียงหนึ่งเดียว ทฤษฏี multiple intelligence ทำนายว่าความฉลาดของมนุษย์ในแต่ละด้านเป็นอิสระแก่กัน (ไม่ได้พูดว่าคนแต่ละคนต้องเก่งด้านเดียว) หมายความว่า ความฉลาดไดๆ แทบจะไม่มีผลกระทบกับความฉลาดอย่างอื่นเลย (ซึ่งจากผลการทดสอบในปัจจุบัน พบว่า ไม่เป็นจริง) งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้สนับสนุนทฤษฏีพหุปัญญาครับ ======================================== แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 16:28:40 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 16:27:22

ความคิดเห็นที่ 61 #58 ตามข้อโต้แย้งในปัจจุบันนะครับ 1.       มนุษย์มีความสามารถทางปัญญาแบ่งออกได้"อย่างน้อย" 8 ด้าน (ปัจจุบันน่าจะมี9ด้านแล้ว)     สติปัญญาที่เกิดจากการวัดค่าในผลการทดสอบแต่ละอย่าง มีลักษณะขึ้นต่อกันชี้นำให้เห้นว่า มนุษย์ถูกกำหนดด้วย ค่าเดียวๆ (mental capacity) 2.       จากการศึกษาเรื่องสมองปัญญามีลักษณะเฉพาะด้าน                   ตามการศึกษาสมมอง พบว่า สติปัญญามีลักษณะร่วมกัน 3.       คนทุกคนมีสติปัญญาทั้ง 8 ด้านที่อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะสูงทุกด้าน บางคนอาจจะสูงเพียงด้าน หรือสองด้าน ส่วนด้านอื่น ๆ ปานกลาง       คนเรามีความสามารถในแต่ละด้าน แปรกันไปตามทางเดียวกันเสมอ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 16:37:41

ความคิดเห็นที่ 62 ความคิดเห็นที่ 60 ผมพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับ multiple intelligence theory ที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสากลแล้ว แต่ยังไม่เจอครับ ยังไง ช่วยหาข้อมูลมายืนยันอีกทีนะครับ จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 16:48:57

ความคิดเห็นที่ 63 3. ทฤษฎี  multiple intelligence เขาบอกว่า สมองทำงานแยกส่วน หรือคะ ??? เราตีความว่า เขาบอกเรื่องการ " ผสมผสานออกมา จนได้ลักษณะเฉพาะบุคคล " ค่ะ ================================================== ด้วยตัวทฤษฏี ไม่ได้บอกไว้ครับ แต่ทฤษฏีทำนายไว้ว่าความฉลาดแต่ละชิดเป็นอิสระจากกัน ซึ่ง imply ให้เห็นว่าสมองที่ทำงานกับสติปัญญาแต่ละชนิด ควรจะทำงานเป็นอิสระจากัน แต่จากการศึกษา พบว่าสมองใช้การประมวลผลร่วมกัน ดังนั้น ความสามารถแต่ละอย่างมันจึงไม่สามารถเป็นอิสระจากันได้ครับ หลักฐานทางการศึกษา จึงไม่สนับสนุนทฤษฏีพหุปัญญา แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 18:25:42 แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 17:33:04 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 17:32:01

ความคิดเห็นที่ 64 #62 ที่คุณ หาไม่เจอ คือ 3 ข้อ ที่ผมกล่าวมาใน #61 หรือว่าการที่นักวิทย์หลายคน ปฏิเสธทฤษฏีนี้ครับ ถ้าเป็นอย่างหลัง คุณสามารถหาเพิ่มเติมใด้ใน reference ที่ผมยกมา ลองดูนี่ครับ http://www.igs.net/~cmorris/critiques.html 2.No Child Left Behind ไม่ได้สนับสนุน Multiple Intelligence เหมือนเมื่อก่อน 3. ทฤษฏีนี้ ไม่สามารถแยกระหว่าง ความสนใจ ability intelligence ชัดเจน ทำให้มันเป็นไปได้ยากที่จะพิสูจน์ จริงๆ เพราะมันวัดผลไม่ได้ ทฤษฏีนี้เลยไม่ได้รับการยอมรับมากเท่าไหร่ในการศึกษาเรื่องสติปัญญาของมนุษย์ อนึ่ง ทฤษฏีนี้ที่นำไปใช้ในการศึกษาก็ยังไม่เป็นที่แน่ชักว่าได้ผลดี ผมหมายความว่ามีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล แต่ ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า ที่ได้ผล เพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเด็กสนใจ หรือทฤษฏีนี้อาจจะมีผลสร้างแรงจูงใจกับเด็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวทฤษฏีจะถูกต้องไงครับ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 18:24:39 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 17:47:01

ความคิดเห็นที่ 65 ลองอ่านนี่ดูครับ Reframe of Mind จริงๆ บทความนี้ยาวและละเอียดกว่าในกระทู้นี้ http://educationnext.org/reframing-the-mind/ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 18:34:09 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 18:31:52

ความคิดเห็นที่ 66 ดีใจที่มีการเอาทฤษฏีมาวิเคราะห์ครับ จะได้ไม่ต้องยกยอทฤษฏีกันมากเกินไป... เรื่องข้อบกพร่องของทฤษฏีนี่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนก็พยายามหาทฤษฏีออกมาเพื่อ จะได้มีชื่อเสียง ส่วนจะ predict ได้แค่ไหน เอาไปใช้ในบริบทไหนได้บ้างก็แล้วแต่กันไป ถ้าไม่ค่อยมีคนใช้หรือ มีทฤษฏีใหม่ๆ ออกมา ทฤษฏี เก่าๆ ก็ตกไปตามระเบียบ ส่วนทฤษฏี MI นี้ก็คงพอใช้ได้ในระดับหนึ่งครับ อ่านดูคร่าวๆ งงตรงค่า g-load เหมือนกัน ในเรื่องของ factor analysis เคยใช้แต่ค่า factor loading ที่คำนวณมาจาก eiganvalue ของ item ใน factor นั้นๆ ไม่รู้เค้ามีสูตรการคำนวณยังไง ยังไม่ได้อ่านข้อมูลต้นฉบับ แต่เห็นว่า g-load นี่มันเป็นแค่ด้านหนึ่งของเหรียญ เป็นการพิสูจน์ convergent validaity ว่าความฉลาดแต่ละด้านมัน "อยู่ด้วยกันได้" ไม่รู้ว่าเค้ามีข้อมูลสถิติเกี่ยวกับอีกด้านของเหรียญ หรือ divergent validity ซึ่งว่าถึงความ "อยู่ด้วยกันไม่ได้" ของความฉลาดแบบต่างๆ หรือเปล่า ปกติแล้วถ้าใช้ factor analysis เค้าจะมอง factor ในสองมุมนี้ครับ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับบทความครับ แก้ไขเพิ่ม... เพิ่งเข้าไปดูลิงค์ที่ จขกท โพสท์ไว้ข้างบน สรุปเห็นว่า g-loading มันก็คือ second-order factor ทำมะดาๆ นี่เอง สรุปว่ามันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ อย่างงี้ค่าที่ได้ออกมาก็ไม่แปลกเลย แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 18:51:20 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 18:48:41

ความคิดเห็นที่ 67 ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณมากครับ แต่ที่ผมหาข้อมูลมายืนยันคำพูดของคุณไม่ได้คือประโยคนี้ครับ "ไม่ใช่ครับ ทฤษฏีพหุปัญญา ไม่ได้รับการยอมรับในสากลแล้วนะครับ" ไม่ใช่ข้อที่ 3 ที่คุณพูดมา เพราะผมเข้าใจดีว่าทุกทฤษฎีย่อมต้องมีข้อโต้แย้ง และมีคนที่ไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 11:19:46 จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 11:15:05

ความคิดเห็นที่ 68 จขกท.  แลดูตั้งใจ (ที่จะอธิบาย) ดีนะคะ เพียงแต่  คนนอกวงการ จะไม่ get  เช่น  ความเห็นที่ 17,  ความเห็นที่ 20 จขกท  สู้ๆ นะคะ  ขอให้สามารถอธิบายให้เข้าใจง่าย  ระดับที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าถึงนะคะ ( เราเชื่อว่า มันจะมีประโยชน์ ) นอกจากนั้น ถ้ามีข้อมูลว่า " แล้วจะทำอย่างไร ที่จะฝึกฝนสมองให้มี intelligence " ??? จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 12:05:07

ความคิดเห็นที่ 69 ตามทฤษฎีบัวสี่เหล่าของพระพุทธเจ้าครับ จะมีบางกลุ่มที่สอนไม่ได้จริงๆ แม้ว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 12:30:47

ความคิดเห็นที่ 70 ไม่รู้ผมอธิบายจะงงขึ้นหรือเปล่านะ แต่จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะเทียบกับระบบเศรษฐกิจละกัน สมมติว่าความฉลาดของมนุษย์เป็น GDP ของประเทศต่างๆ ซึ่งส่งออกสินค้า 8 ชนิด สมมติเป็น ข้าว มือถือ ขนม ไม้ เหล็ก น้ำมัน ทฤษฎี multiple intelligence บอกว่า GDP ของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตสินค้าแต่ละอย่าง ถ้าประเทศนึงผลิตข้าวไม่เก่ง ก็ไปผลิตน้ำมันแทนได้ ไปผลิตเหล็กแทนได้ ก็ไม่ต้องส่งออกข้าวไป ก็สามารถมี GDP สูงได้ ทฤษฎี single intelligence บอกว่า GDP ของประเทศขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ประเทศไหนที่มีค่าแรงสูงหรือเงินเฟ้อจนผลิตข้าวไม่ได้ หรือประชากรในประเทศไร้การศึกษา แรงงานขาดทักษะ ก็ย่อมจะทำให้การผลิต มือถือ เหล็ก น้ำมัน ไม่ดีไปด้วย ไม่ใช่ว่าคุณผลิตข้าวไม่ดีแล้วจะบอกว่าให้ไปผลิตเหล็กแทนได้ง่ายๆ เพราะฐานการผลิตของประเทศคุณมันไม่ดี ไม่แน่น สมองของมนุษย์ก็เช่นกัน multiple intelligence เชื่อว่าถ้าคุณไม่เก่งเลข คุณก็สามารถไปฝึกอย่างอื่นได้ แต่ single dominate intelligence บอกว่าถ้าคุณไม่เก่งเลขแล้ว อยู่ดีๆ จะบอกว่าให้ไปเก่งดนตรีแทน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฐานสมองคุณไม่ดีแต่ต้น แต่ในความเป็นจริง เช่นเดียวเศรษฐกิจครับ ประเทศที่ฐานการผลิตไม่ดี ฐานเศรษฐกิจอ่อนแอ ก็ใช่ว่าจะรวยไม่ได้ จะมี GDP สูงไม่ได้ อาจจะจับพลัดจับผลูเจอน้ำมันใต้ดินจนรวยก็ได้ เพียงแต่ "โอกาส" มันน้อยครับ เช่นกัน ตามข้อมูลที่เจ้าของกระทู้บอก คนที่ไม่ฉลาด ไม่ใช่จะไม่มีทางเก่งด้านใดด้านหนึ่งเลข เพียงแต่ "โอกาส" มันน้อย ผมเชื่อว่าสมองก็คล้ายๆ ระบบเศรษฐกิจครับ มีทั้งปัจจัยรวม ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจโดยรวม (ความฉลาดแบบ Single) และปัจจัยภายนอกที่เป็นอิสระเฉพาะทางอย่างทรัพยากรในชาติ (ความฉลาดแบบ multiple) ผสมกัน แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 13:43:50 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 13:41:24

ความคิดเห็นที่ 71 #67 เอ่อ ทฤษฏีที่วัดผลไม่ได้ ทดสอบกำไม่ได้ กำกวม แถมพอศึกษาบ้างก็ไม่พบหลักฐาน ต้องใช้ศิลปะในการตัดสิน ก็ย่อมจะไม่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วครับ เอางี้ดีกว่าครับ คุณหาหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฏี Multiple Intelligence ดีกว่า ครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 13:44:55

ความคิดเห็นที่ 72 ^ ^ ^ คห. 69  ต้องการจะหมายความว่า คนที่ไม่เข้าใจ เป็นบัวใต้น้ำเอง ช่วยไม่ได้ หรือคะ ? ขอโทษนะคะ คือรู้สึกว่า ความเห็นของ คุณ amnakim  ใน คห.43 และ 69  มันไม่เข้าพวก น่ะค่ะ การสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ เป็นความฉลาดประเภทหนึ่ง ( อย่างที่ คห.บนๆ กล่าวไว้ ) ( ขออภัย ถ้าคนอื่นเข้าใจคุณ amnakim แต่เราไม่เข้าใจเอง ) จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 13:45:02

ความคิดเห็นที่ 73 งงๆ มาจนถึงคห.70 อ่านที่เปรียบเทียบออกมาแล้วเข้าใจเลย ขอบคุณมากครับ อิอิ จากคุณ : aristoton เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 14:12:27

ความคิดเห็นที่ 74 ability to solve problems that have value in at least one culture นึกถึง เด็กชายโนบิตะ เก่งเรื่องการเล่นเกมโยงเชือกเป็นรูปต่างๆ  ( ซึ่งจริงๆ ก็อาจเป็นความฉลาดทางศิลปะหรือการจินตนาการ, การมองวัตถุในภาพรวม ??? ) แต่มันไม่ถูกประเมินว่ามีคุณค่า นึกถึง พวกเกมตอบปัญหาต่างๆ ที่มีคำถามที่เป็น trivia เช่น รายการเกมเศรษฐี  รายการราชรถมาเกย ฯลฯ  เราไม่ดูเลยนะ เพราะไม่รู้จะจดจำข้อมูลพวกนั้นไปทำไม ?   อีกอย่างหนึ่ง สมองที่ฉลาด ไม่ได้แปลว่า สมองที่จดจำอะไรได้มาก แต่จะเป็นสมองที่สามารถ " ลบข้อมูล " ที่ไม่จำเป็นต่างๆ ออกไป และเหลือข้อมูลที่มีประโยชน์ไว้ เพื่อนำมาจัดระเบียบมากกว่า จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 15:03:20

ความคิดเห็นที่ 75 คนในวงการเค้าก็รู้กันหมดแหละว่า ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับ เพราะมีจุดอ่อนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการพิสูจน์ตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ อาจข้อแย้งทฤษฎีนี้ เราไม่แปลกใจ แปลกใจก็แค่ว่า.... ถ้าเจ้าของกระทู้สงสัย หรืออยากให้เกิดการต่อยอดทางความรู้จริง ทำไมไม่เขียนจดหมายไปถาม การ์ดเนอร์ หรือ หนูดีล่ะ ? เขียนไปถามแล้วได้ความเห็นอย่างไร ก็เอามาลงเผยแพร่ก็ได้ หรือปรกติที่นักวิชาการเขาทำกันก็คือ เขียน journal ตีพิมพ์ข้อแย้งนี้ลงบทความเชิงวิชาการ หรือจะเขียนเป็นหนังสือ โดยหาหลักฐานมาแย้งก็ได้ เอามาแย้งใน pantip มันไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก ประโยชน์ประการเดียวที่ได้ คือ discredit การ์ดเนอร์ กับ หนูดีเท่านั้นแหละ ** วิธีการสื่อสารของเจ้าของกระทู้น่ะ ผิดหลักวิทยาศาสตร์เต็ม ๆ เพราะถ้าคุณต้องการหาคำตอบให้กับปัญหา คุณก็ต้องไปค้นหาที่สาเหตุของปัญหาสิ คือ ถ้าคุณมีปัญหากับทฤษฎี multiple intelligence คุณก็ต้องไปค้นหาคำตอบจากเจ้าของทฤษฎี (การ์ดเนอร์) ไม่ใช่มาหาคำตอบจากคนใน pantip เพราะผู้ที่อ่านในนี้ไม่ใช่เจ้าของทฤษฎี เป็นแค่ผู้เสพความรู้ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : ... (จิตหรรษา) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 15:13:52

ความคิดเห็นที่ 76 คิดว่าสิ่งทค่ทำให้เกิดแนวคิดแบบmultiple intนีเพราะความสนใจเฉพาะตัว และการถูกปลูกฝังค่านิยมในการเรียนรู้มากกว่าครับ ยังไงคนฉลาดกง่าก็ย่อมเรคยนรู้ได้เร็ว มากกว่า แทบทุกด้านแหล่ะ แต่ ท นี้รวมถังความฉลาดในการเคลื่อนไหวด้วยรึป่าว ผมคิดว่ามันแยกกันเยอะอยู่นะ เจอพวกเก่งกคฬาแบบพรสวรรค์ แล้วอั้งจริง เล่นกีฬาอะไรครั้งแรกเหมือนจะเก่งได้ทันทีระดับนึง จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน (ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 15:43:08

ความคิดเห็นที่ 77 #75 บทความวิชาการที่ตีพิมพ์เพื่อ "โต้แย้ง" อย่างเดียวโดยไม่เกิดการต่อยอดความรู้ ไม่มีวันได้ตีพิมพ์ครับ ดังนั้นปกติแล้วหากนักวิชาการต้องการจะ "โต้แย้ง" ทฤษฎีใดๆ เค้าก็จะนำหลักฐานเปเปอร์ต่างๆ ที่มีข้อสรุปที่ขัดแย้งงานทฤษฎีดังกล่าวมาสรุปรวมแล้วเผยแพร่ตามสื่อครับ กรณีเช่นนี้ก็เกิดขึ้นทั่วไปครับ เช่นกรณีของไอน์สไตน์กับบอห์ร ไอน์สไตน์เองก็ไม่สามารถตีพิมพ์งานใหม่ได้ถ้าเป็นการตีพิมพ์ที่เกิดขึ้นเพราะแค่ "โต้แย้ง" ควอนตัม โดยไม่มีองก์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น ต้องใช้การโต้แย้งผ่านสื่อ ส่วนถ้าบอกให้จดหมายไปถาม เจ้าของกระทู้เค้าไม่ได้สงสัยในทฤษฎี Multiple ครับ แต่ต้องบอกว่า "ไม่เชื่อ" มากกว่า ดังนั้นไม่น่ามีอะไรต้องถามนะครับ อย่างสมมติถ้าผมไม่เชื่อในทฤษฎีควอนตัม สิ่งที่ผมต้องทำคือหาหลักฐานมาโต้แย้งแล้วเผยแพร่ตามสื่อ ไม่ใช่ไปเมล์ไปถามนักฟิสิกส์ควอนตัมครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 16:25:11

ความคิดเห็นที่ 78 # 77 ถึงได้บอกว่ามันไม่ได้เกิดการต่อยอดความรู้ไง วิธีแบบเจ้าของกระทู้ กับ ที่คุณว่าน่ะ เพราะ เจ้าของกระทู้หาหลักฐานมาแย้ง แล้วให้คนอื่นหาหลักฐานมาโต้ตอบ แย้งกันไปมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คนที่โต้ตอบกันไปมาน่ะ รู้ทฤษฎีนี้จริงหรือเปล่า ถ้าจะให้เกิดการต่อยอดทางความรู้ คุณต้องทำให้ข้อโต้แย้งนี้มีน้ำหนัก และกระเพื่อมไปถึงเจ้าของทฤษฎีได้ [เหมือนที่ ไอสไตน์ ทำกับ บอห์ร - คู่นี้ทำผ่านสื่อก็จริงแต่เป็นสื่อเชิงวิชาการ โดยเฉพาะเวทีในงานประชุมเชิงวิชาการต่าง ๆ] แล้วให้เจ้าของทฤษฎีมาโต้ตอบกับคุณ ถ้าผิดก็จะได้ไปแก้ที่ทฤษฎี มาโพสต์โต้กันไปมาในกระทู้แบบนี้ เห็นจะได้ประโยชน์ก็แค่ "หาพวก" มาเข้าข้างก็เท่านั้น ไม่ก่อประโยชน์เชิงความรู้ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย หนำซ้ำ เหมือนลอบกัดเขาอีก เพราะเจ้าของทฤษฎี หรือผู้เผยแพร่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ไม่มีโอกาสแม้แต่จะมาให้ข้อมูลในส่วนที่พวกคุณรู้ไม่ครบด้วยซ้ำ ส่วนเรา ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีนี้ ก็คงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ รู้งู ๆ ปลา ๆ แย้งไปก็เหมือนให้ข้อมูลผิดเข้าไปอีก ด้วยความเคารพ จากคุณ : จิตหรรษา เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 16:47:50

ความคิดเห็นที่ 79 งง ครับ หรือว่าผมไม่ฉลาดพอ -_-? จากคุณ : Herononame (Herononame) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 16:52:12

ความคิดเห็นที่ 80 #78 ผมมองว่านี้เป็นส่วนของ ความเข้าใจในองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของคนทั่วไป (Public Understanding of Science) ซึ่งที่เจ้าของกระทู้มาpostนั้นเป็น ชี้ถึง การเข้าใจคลาดเคลื่อนในองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในหมู่คนทั่วไป อย่างที่oxfordยังมีตำแหน่งให้เลย ซึ่งคนที่ดำรงตำแหน่งนี้คนแรกคือ Richard Dawkins http://en.wikipedia.org/wiki/Simonyi_Professorship_for_the_Public_Understanding_of_Science จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 20:25:54

ความคิดเห็นที่ 81 เออ..นี้เราลืมมองปัจจัยเกี่ยวกับ เวลา + สิ่งแวดล้อมไปแล้วเหรอครับ.. วันหนึ่งมี 24 hr คนที่อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 5 ชั่วโมง (ที่เหลือทำกิจกรรมประจำวัน นั่ง นอน เดิน กิน) กับอีกคน มีสภาพแวดล้อมเอื้อให้ เล่นกีฬาได้ดี เช่น แทนที่จะอ่านหนังสือ 5 ชั่วโมง พี่แกยากจนหาเลืี้ยงตัวเองด้วยการชกมวยและมีความสามารถจากการฝึกฝนกีฬาชกมวยจนกระทั่งเป็นแชมป์โลก.. ถามว่า ถ้าสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบไม่เอื้อ..เค้าก็ไม่ด้ทำสิ่งที่อยากทำ ยกเว้น เด็กที่ฐานนะทางบ้านพอมีพอกิน "พอที่จะได้เป็นคนเลือก" มากกว่าจะถูกสิ่งแวดล้อมคัดเลือกให้ต้องเก่ง ต้องฉลาด ทางด้่านใดด้านหนึ่ง ก็ย่อมดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน.. คิดว่าลูกของ บิลเกตต์ ต้องการทักษะความอัจฉริยะทางด้านกีฬาจนทำให้ได้เหรียญโอลิมปิกหรือเปล่า.. ถ้ายอมรับว่ามนุษย์เป็นปัจเจกชน ก็ต้องยอมรับการ "เลือกที่จะฉลาด" ในบางด้าน แทนที่พวกเค้าจะเกิดมา "ฉลาดด้านใดด้านหนึ่งแบบ Born to be " จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 21:45:45

ความคิดเห็นที่ 82 เห็นด้วยกับคห.74 คุณ จำฉันได้ไหม ครั้งหนึ่งประเทศไทยถือกันว่าเด็กที่มีความรู้รอบตัวมาก จะเป็นเด็กที่ "ฉลาด" ผลของการเชื่อแบบนั้นคือ พี่ชายผมจนทุกวันนี้บ้าอ่านๆๆๆ ข้อมูลซะเน่นหัว แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร คือรู้ทุกเรื่อง (ที่สื่อบอก)แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าแต่ล่ะเรื่องที่ตนรู้นั้นจะอำนวยประโยชน์อะไรกับตนได้ พี่ชายผมเอ็นฯติดเรียนจบ จบโทฯจากอังกฤษ จนบัดนี้ยังไม่สามารถตอบผมได้ถ้าผมถามถึงจุดยืนหรือความคิดของเค้าต่อเหตุการณ์หนึ่งๆในหลายๆเรื่องได้เลย ไร้การวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างรุนแรง (ดีที่แต่งงานแล้ว มีพี่สะใภ้มาช่วยคิด) จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 22:46:19

ความคิดเห็นที่ 83 เราเห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ในแง่ที่ว่า ความฉลาดมีหลายด้าน แต่เรื่องที่แต่ล่ะด้านจะเกี่ยวข้องกันมั้ย เราว่าบางด้านมันก็เกี่ยว บางด้านมันก็ไม่เกี่ยว คนเก่งคณิตศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เพราะมันเป็นสมองคนล่ะส่วนกัน แต่คนเก่งดนตรี มักเล่นกีฬาเก่งด้วย เพราะสมองส่วนควบคุมกล้ามเนื้อพัฒนาไปพร้อมๆ กับการเล่นดนตรี เราคิดว่าสมัยที่คุณลุงเค้าคิดทฤษฎีนี้ การศึกษาการทำงานของสมองมันยังไม่ก้าวหน้าแบบทุกวันนี้ ตอนนี้เค้าก็น่าจะปรับเปลี่ยนแนวคิดไปตามข้อมูลใหม่ๆ ที่มี (แต่เราไม่รู้ว่าทำไมยังไม่เผยแพร่ ถ้ามองในแง่ดีอาจเพราะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยอยู่) อีกอย่าง คนที่สมองดีหลายคน ได้รับการเลี้ยงดูมาดี สมองถูกส่งเสริมมาให้เก่งหลายด้าน (อ้างอิงตามทฤษฎีอัจฉริยะสร้างได้) เราว่านี่เป็นอีกส่วนนึงที่ทำให้ค่าของ G factor ออกมาค่อนข้างสนับสนุนทฤษฎี Single Dominate Intelligence ว่าแต่เราว่านักสิทยาศาสตร์ดังๆ หลายคน ไม่ได้เก่งหลายด้านนะคะ อันนี้ถือว่าขัดกับอีกทฤษฎีมั้ยอ่ะ จากคุณ : แม่น้องอัณณา เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 23:21:17 A:180.180.188.244 X: TicketID:258399

ความคิดเห็นที่ 84 #81 ทฤษฎีนี้ไม่ได้ต่อต้านการ "เลือกฉลาด" ครับ เพราะถ้าคุณเลือกฉลาดได้ แปลว่าคุณเองฉลาดอยู่แล้วตามทฤษฎีครับ พูดง่ายๆ ทฤษฎีนี้กล่าวว่า คือถ้าคุณสามารถชกมวยเป็นแชมป์โลกได้ คุณก็มีโอกาสสูงที่จะมาเรียนวิทยาศาสตร์แล้วเป็นนักวิจัยได้ ถ้าคุณเกิดมาฉลาด คุณเลือกฉลาดด้านใดก็ได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทฤษฎีนี้มองตรงข้ามและขัดกับความรู้สึกคือ ทฤษฎีนี้กล่าวว่าถ้าคุณไม่ฉลาด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ลำบาก พื้นฐานไม่ดี ตรงข้ามกับความรู้สึกของคนทั่วไปที่มักจะเชื่อว่าทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่อาจจะยังหาไม่เจอ ทฤษฎีนี้บอกว่าอาจจะไม่มีสิ่งที่คุณถนัดเลย ซึ่งไม่ได้ขัดอะไรกับเรื่องปัจเจกชนที่เลือกฉลาดนะครับ คนที่เลือกได้เค้าก็ต้องเลือกอยู่แล้ว จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 23:26:24

ความคิดเห็นที่ 85 กิ๊ฟหมดแล้ว #83 คุณเข้าใจถูกแล้วครับ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มันก็มีเพิ่มมาเรื่อยๆ สิ่งที่คุณพูดถูกแล้วคือความฉลาดมันขึ้นต่อกันพอสมควร ซึ่งมันขัดต่อทฤษฏี พหุปัญญาเต็มๆ เลย(ทฤษฏีนี้ทำทายว่าความฉลาดแต่ละอย่างขึ้นต่อกันน้อยมาก #75 สิ่งที่ผมต้องการในกระทู้นี้ คือนำเสนอหลักฐานจำนวนมากซึ่งไม่สนับสนุนทฤษฏีพหุปัญญาครับ จะพูดยังไงดี คือผมเชื่อว่ามันไม่ถูกต้อง และผมมีหลักฐาน ผมเลยนำเสนอ แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 55 00:48:48 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 00:43:00

ความคิดเห็นที่ 86 ผมแค่อยากรู้จริงๆว่า หนูดีจะได้ผัวแบบไหน..ไม่ได้กวนนะ แกมาพลาดตอนด่าปูนี่แหละ ดันไม่ใช้สิ่งที่ตัวเองสอนคนอื่น แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 55 01:06:47 จากคุณ : ดินสอปากกา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 01:03:05

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณ คห 80 พวกคุณว่าไง เราก็ว่าตามนั้นละกัน ไม่คิดเอาชนะคะคานใคร แต่น่าสนุกดี ** กลับมาอ่านอีกที เห็นจุดบกพร่องในหลักฐานโต้แย้งของ จขกท แต่ออกตัวก่อนว่า ไม่เชี่ยวชาญ ท.พหุปัญญา เริ่มเลยละกัน 1. correlation ใน #5 ไม่ครอบคลุม ท. พหุปัญญาทั้ง 9 ด้าน จะเห็นจากตารางได้ว่า ตัวแปรที่นำมาวัดยังเกาะกลุ่มในปัญญาด้านภาษา และด้านความเข้าใจตรรกะเท่านั้น ยังขาดด้านอื่น ๆ ที่ใช้สมองคนละส่วน เช่น ด้านความเคลื่อนไหว, ด้านเข้าใจมนุษย์, ฯลฯ ทำให้ยังสรุป ไม่ได้ว่า คนที่ฉลาดอย่างน้อย 1 ด้าน มาจากความฉลาดแบบเป็นองค์รวมเป็นทุนอยู่แล้ว 2. แบบวัดที่ใช้กับนักเรียนในรายวิชาของ สเปียร์แมน ไม่ใช่แบบทดสอบสติปัญญา แต่เป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งนี้ "ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน" เป็นผลมาจาก สติปัญญา + ประสบการณ์ + การเรียนรู้ + ปัจจัยแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ความขยัน ก็เลยทำให้ไม่สามารถสรุปได้เต็มที่ว่า แบบวัดนี้จะนำมาอธิบายเรื่องของพหุปัญญาได้ทั้งหมด 3. ใน #6 กล่าวเรื่อง g load อย่างน้อยที่สุด คุณต้องระบุถึงกลุ่มตัวอย่างด้วยว่าข้อมูลไปเก็บในคนกลุ่มไหน - กลุ่มคนโคดฉลาดในแต่ละด้านตามทฤษฎีพุหปัญญา หรือ - กลุ่มคนทั่วไปที่ไม่ได้โดดเด่นด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อดูความสามารถในการ generalized ข้อมูล 4. ใน #9 อันที่จริงการ์ดเนอร์ขยายความ multiple intelligence ไว้ด้วยว่า "เป็นความสามารถในการแก้ปัญหา หรือการสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าต่อสังคม" เพราะงั้น ความสามารถของเธอคนนี้ในตัวอย่าง #9 เป็นอันตกไป เนื่องจากไม่ได้แสดงถึงไหวพริบในการแก้ปัญหา และไม่ได้สร้างผลผลิตที่มีคุณค่าต่อสังคม (ขำๆนะ) 5. ใน # 14 ที่ว่า "ทฤษฏีนี้ไม่สามารถแยกแยะคำว่า smart และ talent ได้อย่างชัดเจน " ถูกต้องแล้ว เพราะ ท.ของการ์เนอร์ มีรากฐานมาจาก ท.การเรียนรู้ และการ์ดเนอร์เป็นนักการศึกษา เขาจึงยังให้ความสำคัญกับความฉลาดที่มาจาก พันธุกรรม + สังคม 6. g load ใน # 17 ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกด้านของพหุปัญญานะ และถ้าคุณเคยเห็นแบบทดสอบ WAIS คุณจะรู้ว่าทำไมถึงเอามายันในการโต้แย้ง ท.พหุปัญญาไม่ได้ (แบบทดสอบ WAIS ให้ความสำคัญกับปัญญาเพียง 2 ด้าน คือ ด้านภาษา กับด้านความคิดเชื่อมโยง - ส่วนมากเน้นที่ความจำด้วยซ้ำ) 7. การทำงานของสมองใน # 18 ปัจจุบัน ค้นพบแล้วว่า สมองแต่ละส่วนทำงานคาบเกี่ยวกันก็จริง แต่ยังบอกได้ไม่หมดว่า สมองส่วนไหนทำหน้าที่ใดเป็นหลักโดยละเอียด ตรงนี้เป็นข้อจำกัด ในการนำหลักฐานด้าน physical ไปช่วยอ้างอิง ท. สุดท้าย ท.ของการ์เนอร์ ถูกพัฒนามาในช่วง Humanistic เฟื่องฟู นั่นหมายถึง ท.พหุปัญญา ให้ความสำคัญกับ "ปัญญาของปัจเจกชน" มากกว่าจะนำปัญญาของแต่ละคนมาเทียบกัน ว่าใครฉลาดกว่าใคร (ซึ่งเป็นข้อแตกต่างของ ท. นี้ กับ ท. ปัญญาของคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา) เพราะฉะนั้นใน ท.นี้จึงไม่ได้จัดระดับ Intelligence ในแต่ละด้านเอาไว้ และที่สำคัญ... ท.พหุปัญญาของการ์ดเนอร์ เค้าแค่จะบอกว่า ทุกคนมีความฉลาดในตัวอยู่แล้ว อย่างน้อยด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าคุณพัฒนาความฉลาดนั้นให้ตรงจุด คุณก็เป็นอัจริยะในแบบของคุณได้ (โดยไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับใคร) เท่านั้นแหละ เป็นการให้กำลังใจตามแบบนักการศึกษาน่ะ จากคุณ : จิตหรรษา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 02:06:17

ความคิดเห็นที่ 88 #75 ถ้าคนอื่นเขาวิจัยมาแล้ว แต่คนทั่วไปยังไม่รู้หรือยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย การที่เอาผลงานที่คนอื่นวิจัยมาแล้วมาเผยแพร่เพื่อให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นข้อมูลใหม่ๆไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกตรงไหน ยกตัวอย่าง Sandia Lab วิจัยมานานแล้วว่า GT-200 (และไม้หาระเบิดอื่นๆ) ทดสอบแล้วทำงานไม่ได้ผลตามหลักสถิติ แต่คนไทยหลายคนก็ยังไม่รู้ ยังไม่เคยอ่านผลการวิจัยนี้ การเอาผลงานวิจัยนี้มาเผยแพร่ตามสื่อต่างๆเพื่อเตือนไม่ให้คนหลงผิดมันผิดตรงไหน? ถ้าทฤษฎีมันผิดมันก็คือผิด จะไปอ้างว่ามันเป็นแค่การให้กำลังใจไม่ได้ ผิดก็ผิดถูกก็ถูก การอ้างว่ามันเป็นแค่การให้กำลังใจไม่ได้ทำให้ Fact ของมันเปลี่ยนไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็น argumentum ad misericordiam ไป จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 08:23:18

ความคิดเห็นที่ 89 #  88 คุณไปอ่านใน # 75 ใหม่ ไม่มีใครบอกว่าทฤษฎีนี้ถูก หรือได้รับการยอมรับเลย ก็บอกแล้วว่า มันมีจุดอ่อนในเชิงการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ (เพราะเจ้าของทฤษฎีเค้าไม่เน้นการวัด การพิสูจน์มาตั้งแต่แรก) ก็คล้าย ๆ ทฤษฎีทางจิตวิทยาอื่นนั่นแหละ ที่พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ยาก (เพราะฐานของจิตวิทยามันเป็น ศาสตร์ + ศิลป์) แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าหลักการโต้แย้งของเจ้าของกระทู้ถูกเหมือนกัน จริง ๆ ก็ยินดีนะที่มีคนเอาความรู้มาเผยแพร่กัน แต่อยากให้เหตุผลมีน้ำหนัก และมีแรงกระตุ้นในการพัฒนาเชิงองค์ความรู้มากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่มุ่งแค่ดิสเครดิตทฤษฎี หรือเจ้าของทฤษฎี หรือผู้เผยแพร่ ส่วนที่ว่า "เป็นการให้กำลังใจของนักการศึกษา" น่ะ แค่โจ๊กเฉย ๆ เรียนทฤษฎีน่ะ เรียนให้สนุก อย่าไปเครียดกับชีวิตมาก เดี๋ยวจะเรียนไม่มีความสุขเอา (ตอบ pantip ทีไร เหนื่อยทุกที เรื่องความคิดนี่เถียงกันไม่จบไม่สิ้น) จากคุณ : จิตหรรษา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 09:57:00

ความคิดเห็นที่ 90 #89 ทฤษฎีที่วัดผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มันจะไปต่างอะไรกับการบอกว่าผีมีจริงล่ะครับ ทฤษฎี multiple intelligence วัดผลทางสถิติได้ไม่ยากด้วยครับ มันอยู่ที่เจ้าของคิดจะทำหรือเปล่า หรือใครคิดจะลองทำดูหรือเปล่า ส่วน single dominance เป็นทฤษฎีที่โหดร้ายครับ เหมือนบอกว่า "ถ้าคุณเกิดมาไม่ฉลาด ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะไม่ฉลาดไปซะหมด ไม่มีทางเก่งอะไรได้เลยซักอย่าง" แต่ในแง่ความรู้ ตัวทฤษฎี single dominance เองเป็นองก์ความรู้แน่นอนครับ แต่เป็นองก์ความรู้ที่โหดร้ายและไม่จรรโลงโลกเท่านั้นเอง คุณจะปฏิเสธได้หรือว่า Fact ที่บอกว่า "คนเราเกิดมาไม่เก่ง ก็ต้องไม่เก่งตลอดไป ไม่มีวันเก่งอะไรได้เลย" ถ้าพิสูจน์ได้จริง ข้อความนี้มันไม่ใช่ Fact ไม่ใช่องก์ความรู้หรือครับ แน่นอนมันต้องเป็นองก์ความรู้แน่ๆ เพียงแต่มันโหดร้าย ไม่จรรโลงใจและ Racist มากๆ เท่านั้นเอง (สมมติในกรณีที่พิสูจน์ได้นะครับ) แต่จริงๆ ผมก็ไม่เชื่อ single dominance แบบ extreme เหมือนกันครับ เพราะก็เห็นได้ชัดว่าค่าใน #5 ตัว Correlation Factor เองไม่ได้สูงถึงขั้นจะเรียกได้ว่าทุกๆ ความฉลาดขึ้นกับกันหมด บอกได้แต่เพียงแนวโน้มเท่านั้น ผมยังเชื่อว่าปัญญาของมนุษย์คล้ายๆ ระบบเศรษฐกิจ มีทั้งปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยอิสระผสมควบรวมกัน จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 11:21:11

ความคิดเห็นที่ 91 # 90 ที่คุณว่ามานั้นถูกแล้ว เราเห็นด้วย ทฤษฎีทางจิตวิทยาส่วนใหญ่ จำพวกที่ไม่ได้มีฐานมาจากวิทยาศาสตร์ ก็คล้ายความเห็นที่คุณว่า ผีมีจริงหรือเปล่านั่นแหละ คือ มันอาจจะมี แต่พิสูจน์ยาก ส่วน multiple intelligence ปัจจุบันก็ยังพิสูจน์กันอยู่ แต่มีข้อจำกัด 1. แผนที่สมอง ยังระบุหน้าที่ได้ไม่ครบ 2. พหุปัญญา ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า "พหุ" คือมันเยอะมาก ในปัจจุบันการ์ดเนอร์กำหนดไว้ 9 ด้าน ถ้าจะพิสูจน์กันจริง ให้ครบ ต้องพิสูจน์กันทีละคู่ของแต่ละด้าน ว่ามีคู่ไหนสัมพันธ์กันหรือไม่สัมพันธ์กันบ้าง แล้วแต่ละด้านมันก็มีหลายองค์ประกอบ ให้ละเอียดเข้าไปอีก ต้องพิสูจน์กันรายองค์ประกอบเลยทีเดียว ว่าคู่ไหนมีตัวแปรแฝง ที่ทำงานร่วมกันบ้าง ถึงแม้ว่านักวิจัยจะยังพิสูจน์กันอยู่ แต่ก็ไม่เป็นที่แพร่หลาย ต้องพูดตรง ๆ ว่านักวิจัยด้านนี้มีน้อยกว่าทฤษฎีที่รอการพิสูจน์ มันก็เลยไม่ค่อยได้รับการต่อยอดในการวิจัยอย่างเป็นระบบเท่าไหร่ เรายังสงสัยว่าการ์ดเนอร์คงต้องใช้ทั้งชีวิตเชียวแหละ ถ้าจะทดสอบให้ครบ เพราะงั้น คำตอบของทฤษฎีนี้ คงยังกล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นจริงทั้งหมด เพราะมีบางส่วนจริง บางส่วนไม่จริง และบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ บางทีการ์ดเนอร์อาจจะรอคุณทั้งหลาย ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ต่อจากหนูดี เพื่อไปทดลองร่วมกับเค้าก็เป็นได้ ป.ล. คุณ Mariel ทิ้งท้ายเรื่อง correlation ไว้ ก็ว่าจะทักอยู่เหมือนกัน แต่คุณทักไปแล้ว ก็ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : จิตหรรษา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 12:17:02

ความคิดเห็นที่ 92 ในปัจจุบันการ์ดเนอร์กำหนดไว้ 9 ด้าน 9 ค้านของการ์ดเนอร์ บางด้านไม่นับเป็นความสามารถด้านปัญญา(Mental) นะครับ แถมด้วยนิยามที่ไม่ชัดเจน จึงไม่รู้ต่อไปจะมีเพิ่มอีกหรือเปล่า ข้ออ้างของการ์ดเนอร์ที่บอก การวัดผลแบบ Multiple Intelligence  นั้นเหมาะกับชีวิตจริงมากกว่า อันนี้ก็มีงานวิจัยในปี 2004 มาบอกว่า ค่า g สัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการทำงาน แถมยังสามารถที่จะทำนายความประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วย (ผมกลั้นใจพิมพ์ประโยคนี้จริงๆนะ รู้สึกแย่ที่พิมพ์ สนใจไปอ่านงาน g and the measurement of Multiple Intelligences:A response to Gardner เป็นงานวิจัยปี 2006 แล้วไล่ไปตาม reference ) และใช่ครับ ค่า g เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม และอัตตราการ metabolism แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 55 12:57:29 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 55 12:55:04 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 12:54:18

ความคิดเห็นที่ 93 เอ่อ จากเม้นบนผมรู้สึกไม่ค่อยดีว่าผมกำลังพูดถึงงานวิจัยการเหยียดสีผิว ซึ่งผมไม่ได้มีเจตนาอย่านั้น และอันที่จริง ในปัจจุบันก็ยอมรับแล้วว่า g ไมใช่ความฉลาดทั้งหมด แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ของความฉลาด ตามโมเดลเป็น hierarchy จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 13:04:14

ความคิดเห็นที่ 94 อ่อ ไม่ได้เข้ามาวันเดียว ยาวเลยแฮะ ความรู้ทั้งนั้น ถกกันอีกครับ ชอบๆ จากคุณ : เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 14:45:46

ความคิดเห็นที่ 95 ไม่ได้รวมด้านกีฬ่าใช่ไหมครับ สำหรับงานวิจัยเรื่องนี่โดยcorrelation matrix จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 20:12:45

ความคิดเห็นที่ 96 ถ้าจะหาหลักฐานที่ค้านทฤษฎีเรื่อง Single Dominance เราจะใช้เรื่องกลุ่มคนออติสติกได้มั้ยคะ คนกลุ่มนี้สมองบางส่วนเค้ามีปัญหา แต่มันก็ไม่ได้ไปยับยั้งความฉลาดในเรื่องอื่นของเค้า อย่างไอน์สไตน์ นิวตัน โมสาร์ท แวนโก๊ะ http://www.disabled-world.com/artman/publish/article_2086.shtml หรือคนกลุ่มที่สมองมีปัญหาด้านการเขียน อ่าน แต่เก่งกีฬามากๆ อย่าง เมจิก จอห์นสัน http://www.disabled-world.com/artman/publish/article_2130.shtml เราคิดว่า คนๆ นึง ที่ไม่ฉลาดด้านใดด้านนึง อาจมีด้านที่เค้าถนัดอยู่ก็ได้ แบบตัวอย่างด้านบน ไม่จำเป็นที่ความฉลาดต้องเชื่อมโยงกันไปหมด เพราะสมองเอง ก็ไม่ได้ใช้ส่วนเดียวกันในการทำงานทุกด้าน จะมีด้านใดบกพร่องไปบ้าง ส่วนอื่นก็ยังทำงานได้ดี (แบบเคสที่สมองถูกทำลายเพราะเส้นเลือกในสมองแตก บางคนกลายเป็นอัจฉริยะในบางด้าน บางคนสมองส่วนอื่นเรียนรู้ที่จะทำงานแทนส่วนที่เสียหายไป) ความเห็นส่วนตัว เราว่าไม่มีทฤษฎีใดถูกต้อง 100% แต่ถ้าให้มองในฐานะแม่แล้ว ถ้าโลกนี้มีแค่ 2 ทฤษฎี เราชอบทฤษฎีพหุปัญญามากกว่านะคะ นักการศึกษาก็คงรู้สึกเหมือนเรามั้งคะ ^^ จากคุณ : แม่น้องอัณณา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 21:21:05 A:101.108.253.24 X: TicketID:258399

ความคิดเห็นที่ 97 นึกถึง genotype&phenotype ความฉลาดทางด้านX ขึ้นกับการทำงานของกลุ่มเซลล์สมองABC ความฉลาดทางด้านY ขึ้นกับการทำงานของกลุ่มเซลล์สมองABD ความฉลาดทางด้านZ ขึ้นกับการทำงานของกลุ่มเซลล์สมองEFG X vs Y >>>Mr.Spearing X vs Z >>>Mr.Gardner แต่ไอ้ ABCDEFG มันอาจจะ mutually exclusive/inclusive หรือ mutually independent กันอีกนะนั่น แต่ผมว่า2ทฤษฎีนี้มันทางใครทางมันตั้งแต่นิยามที่ต่างกันแล้วน่ะ คนเรามีโลกกันคนละใบ(มากกว่านั้นอีกมั๊ง) คนละกรอบ บางทีก็ซ้อนทับกันได้ บางคนก็ทับกันไม่ได้เลย บางทีโลกของเราทับกับโลกคนอื่นได้หลายคนหลายใบ จนต่างก็ยึดแปลความเอาว่าโลกแบบนี้ซิถูก ถ้าแกนิยามแยกชนิดความฉลาดเพิ่มอีก ก็ได้มาอีกโลกล่ะ ก็เป็นทฤษฎีที่ถูกในกรอบของโลกแกนั่นแหละ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 03:04:57

ความคิดเห็นที่ 98 #96เราเลยต้องดูสถิติหน่ะครับ และก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริง เอาจริงแล้ว นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะหฝายรายเก่งดนตรีมาก อ่านประวัตคนทีไอคิวสูงระดับโลก เค้าเก่งทั้งคำนวน ภาษา นะ แต่เคสของออทิสติคนั้นเป็นเรื่องความสนใจมากกว่า กระทู้นค้ไม่ได้ต้านเรื่องพรแสวงเลย แค่บอกว่าทางสถิติmulti int ควรจะตกไป จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน (ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 07:50:52

ความคิดเห็นที่ 99 #98 คะ เราคิดว่า กลุ่มออทิสติกไม่ใช่เรื่องของความสนใจ แต่เป็นสมองส่วนที่สื่อสารกับผู้อื่นบกพร่อง ถึงเค้าพยายามที่จะเก่งเรื่องการสื่อสารและเข้าใจผู้อื่น แต่เค้าจะไม่สามารถเก่งในด้านนี้ได้ เรายกตัวอย่างกลุ่มนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการจะสื่อว่า สมอง ไม่ได้ทำงานอยู่ก้อนเดียว มันแบ่งเป็นส่วนๆ แต่ล่ะส่วนทำงานอย่างสอดคล้องกัน บางส่วนที่ทำงานไม่ดี ก็อาจไม่เก่งในส่วนนั้นได้ บางส่วนที่ทำงานดี ก็อาจเก่งในเรื่องบางเรื่องเป็นพิเศษ อย่างคนเป็นออทิสติกที่เก่งคณิตศาสตร์ระดับอัจฉริยะ ถ้าพูดกันเรื่องสถิติ ว่ากันตามจริงแล้ว อัจฉริยะรอบด้านอย่างลีโอนาร์โด ดาร์วินชี นี่นับหัวได้เลยนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็น เก่งมากในบางเรื่องและอ่อนในบางเรื่องซะมากกว่า เราคิดเหมือน คห 97 ค่ะ (ในเรื่อง ABCDEFG) จากคุณ : แม่น้องอัณณา เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 19:49:15 A:101.108.249.112 X: TicketID:258399

ความคิดเห็นที่ 100 ขอถามสั้นๆ ฉลาด-เก่ง-ถนัด-คิดเร็ว ความหมายเดียวกันหรือเปล่าครับ แล้วยังมีการแยกสมองซีกซ้าย-ขวารึเปล่าครับ จากคุณ : mkhazard เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:56:10

ความคิดเห็นที่ 101 #99 ส่วนใหญ่จะเป็น เก่งมากในบางเรื่องและอ่อนในบางเรื่องซะมากกว่า ถ้ามีหลักฐานขอผมดูหน่อยครับ จริงๆ คือ ผมหาไม่พบเท่าใหร่ ที่ผมเจอคือ อัจฉริยะมักไปด้วยกัน และ multiple intelligence ใช้ได้ผลใน โรงเรียนบางที่ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 23:52:00 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 23:50:41

ความคิดเห็นที่ 102 ยกตัวอย่างคนเดียวแล้วอ้างสถิติได้ไงเนี่ย งง หรือผมจะด้อยหนัก จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน (ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 02:07:38

ความคิดเห็นที่ 103 ถ้าบอกว่าคนมีสองประเภทได้ไหม 1. ประเภทที่ฉลาดบางด้าน ไม่เกี่ยวข้องกับความฉลาดอื่นๆเลย แบบที่การ์ดเนอร์บอก ด้านบนก็มีหลายๆตัวอย่างให้เห็น ในชีวิตจริงหลายคนก็คงเคยเห็นคนแบบนี้ 2. คนที่ฉลาดบางด้าน และมีแนวโน้มที่จะฉลาดด้านอื่นๆด้วย แบบที่จขกท.ยกมา ผมอ่านแล้วเห็นภาพตัวเอง ตอนเด็กๆเก่ง คณิต-วิทยาศาสตร์มาก เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งระดับประเทศ แต่ภาษาแย่มากไม่สนใจเลยเพราะไม่ชอบครูผู้สอน พอไปหลังๆก็ยิ่งแย่ เพราะพื้นฐานไม่ดี ตามเพื่อนไม่ทัน จนคิดเอาเองว่าตัวเองไม่สามารถเรียนภาษาได้ พอมาทำงาน จำเป็นต้องใช้ภาษา แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเลย ใช้ฟัง-ดูหนังไม่เปิดซับไทย คุยกับเพื่อนต่างชาติ ก็สามารถใช้ภาษาได้คล่องได้ใน้วลาไม่นาน จากคุณ : เขียนบน iPad (เที่ยวตามใจ) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 10:33:38

ความคิดเห็นที่ 104 ตอบ 101 102 นะคะ สงสัยเราอธิบายไม่ดี ^^ คือ ที่ยกตัวอย่าง ดาร์วินชี คนเดียว เพราะเห็นว่าเป็นตัวอย่างคนที่เก่งไปทุกด้าน ในขณะที่ ไอน์ไสตน์ นิวตัน เอดิสัน เทสลา โมสาร์ท บีโทเฟน ไมเคิลแองเจโล แวนโก๊ะ อยู่ในกลุ่มออทิสติก ถ้าทฤษฎีที่ว่า สมองมีอยู่ก้อนเดียว คนที่เก่งจะเก่งทุกเรื่อง แต่อัจฉริยะกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มตัวอย่างของคนที่ไม่เก่งทุกเรื่อง เนื่องจากเค้าเป็นออทิสติก ดังนั้นการมีอยู่และเป็นอยู่ของคนกลุ่มนี้จึงค้านทฤษฎีนี้ จากประสบการณ์ เราทำงานกับคนที่จบด๊อกเตอร์ด้านวิศวกรรมมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็น่าจะนับเป็นกลุ่มคนเก่งได้ คนกลุ่มนี้ เกือบทั้งหมด เรียบเรียงเรื่องราวและหาข้อสรุปได้ไม่ดีนัก นำทีมมีตติ้งไม่ได้ เพราะจะพาทีมออกนอกประเด็นไปเรื่อยๆ เรื่องการวาดรูปอยู่ในขั้นห่วย แต่จริงที่เค้าเก่งทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มีตรรกกะที่ดี และเก่งภาษาด้วย (หลายคนได้ทั้ง อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน) แต่มันก็เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัว เลยอยากให้มองไปที่กลุ่มออทิสติกที่ยกตัวอย่างไว้มากกว่า เพราะเป็นหลักฐานที่ตรงไปตรงมากว่า ไม่มีไบแอส เราไม่สามารถบอกได้ว่า อัจฉริยะคนอื่นตามประวัติศาสตร์ ไม่เก่งเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งในความเป็นจริง ก็คงไม่มีใครสนใจ ว่าอัจฉริยะจะอ่อนอะไร มีแต่คนมองว่าเค้าเก่งอะไร จริงมั้ยคะ ปล. แต่จากเครื่องแสกน เราก็เห็นได้ว่า เวลาสมองมันทำงาน มันไม่ได้ใช้ส่วนเดียว และเวลามันทำงานในเรื่องต่างกัน มันก็เรียกใช้ส่วนที่แตกต่างไปจากเดิมค่ะ เราจึงคิดว่า ABCDEFG ของ คห 97 น่าจะเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมบางครั้งกลุ่มตัวอย่างถึงได้ให้ผลเชิงบวกกับ G test ในขณะที่อีกบางกลุ่มตัวอย่างก็ตรงกับทฤษฎีของ Gardner ค่ะ จากคุณ : แม่น้องอัณณา เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 19:30:48 A:101.109.238.97 X: TicketID:258399