ความคิดเห็นที่ 1 คำตอบแบบรวม ๆ ของทั้งหมดคือ เพราะคนญี่ปุ่น คือคนญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพัฒนาได้เพราะนิสัยคนล้วน ๆ ลองมองเดินหน้ามาอีกหน่อยสิ ตอนโดนนิวเครียล์ไปสองลูก  เศรษฐกิจตามหลังไทยตั้งเท่าไหร่  แล้วมองมาปัจจุบันสิ จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:27:59

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าย้อนไปสมัยสุโขทัย อยุธยา เค้าก็พัฒนาไปไกลกว่าบ้านเราครับ ไม่งั้นพวกทหารญี่ปุ่นอาสาจะมาถึงกรุงสยามได้อย่างไร ภาพสงครามทางเรือระหว่างแคว้นในญี่ปุ่นช่วงสุโขทัยตอนต้น จากคุณ : คุณก้อง เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:32:57

ความคิดเห็นที่ 3 1หาเรื่องของ ซาก้าโมโต้  เรียวม่า ผู้พลิกญี่ปุ่น มาอ่านดูครับ หรือไม่ก็ หาอ่านจาอากู๋ได้เลย คับ 2หาดูความสัมพันธ์ระหว่าง จอมพล ป. กับญี่ปุ่น ในโรงเรียนทหาร ที่เยอรมัน 3ดูยุคปลายของราชวงค์ชิงดู ซูสีไทเฮา จักรพรรดิ์ ผู่อี้   ดร.ซุน  ประธานเหมา  และเจียงไคเช็ค เอาเป็นว่าเป็นยุคผลัดแผ่นดินละกัน มันเกี่ยวเนื่องกันหมดครับ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 20:35:08 จากคุณ : himajin006 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:34:04

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้า จขกท ดูซีรีย์เรื่อง เรียวมะ ทาง TPBS ตอนบ่าย ส-อ จะเข้าใจญี่ปุ่นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคเอโดะและยุคเมจิมากยิ่งขึ้น และ ขจกท จะรู้ด้วยว่าเพื่อนของเรียวมะจากซามูไรขายกรงนกจะกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งมิตซูบิชิ ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนากองทัพแบบสมัยใหม่พร้อมเรา (ช่วงรัชกาลที่5) โดยช่วงเริ่มต้นได้ยึดแบบมาจากเยอรมัน (เหมือนกันเลยสองประเทศ) แต่ไทยพัฒนาอยู่กับที่ แต่ญี่ปุ่นพัฒนาไปไกลถึงขนาดถีบเยอรมันทิ้ง แล้วก็พัฒนากองทัพด้วยตัวเอง เพื่อแข่งกับจีน เมื่อเหนือจีนแล้ว ทีนี้ญี่ปุ่นต้องกร่างใหญ่มหาอำนาจของโลกนั่นคือ รัสเซีย ซึ่งมันก็ได้ผลดีเกินคาด ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจักรวรรดิรัสเซียได้อย่างเด็ดขาด และสามารถยึดครองคาบสมุทรเหลียวตง เกาหลีและแมนจูเรียได้เป็นผลสำเร็จ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงปลาย รัชกาลที่5 พูดง่ายๆ ก็คือ กองทัพไทยยังอยู่กับที่ ส่งทหารไปเรียนที่เยอรมัน รัสเซียจนถึงสมัย รัชกาลที่ 6 แต่ญี่ปุ่นพัฒนากองทัพด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 5 และกลายเป็นมหาอำนาจทางทหารในเอเชียช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ห่างกันไม่กี่สิบปีเอง    มันเกิดอะไรขึ้น? ลืมบอกไปครับ ราชวงศ์ชิงของจีนถูกโค่นล้ม หลังญี่ปุ่นชนะรัสเซียไปแล้ว 5 ปี แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 21:11:48 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 20:40:55 จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:39:35

ความคิดเห็นที่ 5 อันที่จริงคำถามนี้ มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ มากกว่า 50% สมควรไปอยู่ห้องสมุดเป็นอย่างยิ่ง (เดี๋ยวจะมีกระทู้เดาตามมาในห้องนี้) จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:42:30

ความคิดเห็นที่ 6 ญี่ปุ่นปิดประเทศมากว่า200ปีครับ    ทำให้เกิดยุคสมัยสันติอันยาวนาน    ประชากรเพิ่มจำนวนขึ้น     การค้าภายในเจริญรุ่งเรืองดี ต่างจากไทยที่ต้องทำสงครามตลอด    ประชากรล้มตายไปไม่ใช่น้อย การค้าเองก็ไม่เจริญเท่าไหร่    เพราะสามัญชนไม่นิยมการค้า     ของใช้ที่จำเป็นสามารถหาได้จากธรรมชาติรึผลิตเองได้ไม่ยาก และประการสำคัญคือเงินครับ     ญี่ปุ่นสามารถหารายได้เข้าประเทศได้มากกว่าไทย สาเหตุหนึ่งที่ไทยเราหารายได้ได้น้อยมาจากระบบไพร่ที่ใช้กันมานาน ไพร่ทำงานให้มูลนายในสังกัด    มูลนายก็ได้ผลประโยชน์ต่างๆ     และแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งส่งให้ราชสำนัก ราชสำนักไม่สามารถเก็บฤชาอากรจากประชาชนได้โดยตรง     หลักๆรายได้ของราชสำนักคือเป็นผู้ขายสินค้าให้ต่างชาติและรับรายได้ต่างๆจากมูลนาย สภาพแบบนั้นจากรายได้ทั้งแผ่นดิน100%    ราชสำนักน่าจะได้ไม่เกิน20-30% แถมรายได้นั่นมาจากดินแดนหลักของอาณาจักรคือภาคกลาง     ดินแดนส่วนประเทศราชไม่ได้ส่งรายได้เข้ามาให้ด้วย    เก็บไว้ใช้จ่ายเอง     ที่ต้องจ่ายให้ราชสำนักก็แค่บรรณาการเท่านั้น ทำให้ราชสำนักขาดแคลนเงินทองในการใช้จ่ายมาก จนกระทั่งรัชกาลที่5ปฏิรูปการปกครอง     ยกเลิกระบบไพร่     ยกเลิกหัวเมือง   ยกเลิกการกินเมือง    ยกเลิกประเทศราช รายได้ทั้งหมดในแผ่นดินต้องเข้ามาที่พระคลังเท่านั้น      รายได้ของสยามจึงพุ่งแบบก้าวกระโดดอย่างมาก จากช่วงรศ.112เงินเพียง2ล้านบาทในพระคลังเรายังหามาจ่ายให้ฝรั่งเศสได้ไม่พอ    ต้องไปเอาเงินถุงแดงกับขอให้เจ้านาย-ขุนนางช่วยกันเรี่ยไรมาจ่าย ปลายรัชกาลที่5งบประมาณแผ่นดินไทยพุ่งไปเกิน50ล้านบาท จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:43:52

ความคิดเห็นที่ 7 อืมๆ  ต้องไปหาตามมาดู .... เรียวมะผมไม่ได้ดูเลยครับ  เคยดูแต่ เจ้าหญิงอัตสึที่ฝลั่งเริ่มเข้ามาครับ     ส่วนจีนนี่คงยุคไร้กษัตริย์แล้วสินะครับ จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:45:26

ความคิดเห็นที่ 8 แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า    ฐานรายได้ของเราน้อยกว่าญี่ปุ่นมาก    ช่วงสงครามโลกครั้งที่2ญี่ปุ่นมีประชากร60กว่าล้านคน    ในขณะที่ไทยมีแค่14ล้านคน     รายได้ของไทยจึงต่ำกว่าญี่ปุ่นมาก      ทำอะไรจึงไม่สะดวก    ติดขัดเพราะขาดเงิน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:46:42

ความคิดเห็นที่ 9 กะว่าตั้งกระทู้ถามทางการทหารในเรื่องกองกำลัง อาวุธ การทหาร  ... พิมพ์ไปมาดันไปเรื่องประวัติศาสตร์  ขออภัยครับ - * - " จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:49:17

ความคิดเห็นที่ 10 โห .....  ประชากรญี่ปุ่นช่วงนั้นมากกว่าไทยขนาดนี้ ให้ตายสิ ผมคิดว่าไม่น่าเยอ่ะขนาดนั้นนึกว่าน้อยด้วยซ้ำ  สงสัยต้องหาหนังสืออ่านรอบใหญ่  ^ ^ " จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 20:50:58

ความคิดเห็นที่ 11 ก่อนที่จะมีการปฏิรูปเมจิ (ปลายรัชกาลที่ 4) ญี่ปุ่นล้าหลังกว่าไทยมาก กองทัพก็อ่อนแอ เพราะมีการแบ่งอำนาจให้ไดเมียวของแต่ละแคว้นมีอำนาจเป็นของตัวเอง และมีกองกำลังเป็นของตัวเองได้ บางแคว้นมีอำนาจมากถึงขั้นต่อรองกับรัฐบาลบาคุฟุ (รัฐบาลโชกุน) ได้ ทำให้ญี่ปุ่นไม่เป็นเอกภาพ อีกทั้งยังต่อต้านชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก ไม่ยอมคบค้ากับชาติฝรั่งใดๆเลย ยกเว้นฮอลแลนด์เพียงชาติเดียว ต่อมาเมื่ออเมริกาส่งเรือรบมาขู่ญี่ปุ่นให้เปิดประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมเปิดประเทศ และนั่นทำให้มีกลุ่มซามูไรบางส่วนรู้แล้วว่าญี่ปุ่นกำลังเป็นเบี้ยล่างของฝรั่ง ดังนั้นจึงมีซามูไรรวมตัวกัน (โดยเฉพาะระดับล่าง) เพื่อต่อต้านอำนาจโชกุน และให้จักรพรรดิกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีการเคลื่อนไหวระหว่างแคว้น เพื่อนัดแนะเป็นพันธมิตร (ผู้ที่เป็นคนกลางคือเรียวมะ) แคว้นที่ได้ตกลงที่จะร่วมต่อต้านระบอบโชกุนก็มี แคว้นซัตสึมะ แคว้นโจชู แคว้นซะงะ แคว้นโทซะ เมื่อทุกอย่างพร้อมจึงมีการร่างฎีกาถวายจักรพรรดิเพื่อบังคับให้โชกุนลงจากอำนาจแต่โดยดี ซึ่งมันก็เป็นไปอย่างที่คาด แต่ก็มีซามูไรบางส่วนที่ยังจงรักภักดีโชกุนคิดต่อต้าน จึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา ผลคือฝ่ายโชกุนแพ้ ฝ่ายปฏิรูปชนะ ดังนั้นฝ่ายปฏิรูปจึงมีการจัดตั้งรัฐบาลสมัยใหม่ขึ้นมา มีการร่างรัฐธรรมนูญเมจิ (หลายมาตราเกี่ยวข้องกับชาตินิยมและการทหาร) และเอาคนของคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นซามูไรระดับล่างมาเป็นสมาชิกรัฐบาล ภายหลังมีการยกเลิกชนชั้นซามูไร จนทำให้ซามูไรหลายคนไม่พอใจหนีไปตั้งสาธารณรัฐอิโซที่เกาะฮอกไกโด นับแต่นั้นมาญี่ปุ่นก็เริ่มต้นพัฒนาประเทศ โดยเริ่มต้นจากการสร้างประเทศให้เป็นชาติอุตสาหกรรมหนัก นั่นทำให้ญี่ปุ่นก้าวข้ามจากประเทศด้อยพัฒนากลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วโดยใช้เวลาเพียง 25 ปี และเนื่องด้วยญี่ปุ่นฝังใจมาโดยตลอดว่าสักวันหนึ่ง จะต้องล้มจีนให้ได้ ดังนั้นการพัฒนาประเทศจึงควบคู่กับการพัฒนากองทัพด้วย งบประมาณส่วนใหญ่ไปอยู่ที่กองทัพแทบทั้งหมด และเมื่อญี่ปุ่นมีอำนาจเหนือจีนแล้ว สิ่งที่จะนำมาพัฒนาญี่ปุ่นให้ก้าวหน้าไปอีกนั่นคือ เหล็ก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีอยู่ในเกาหลีเหนือและแมนจูเรีย ดังนั้นญี่ปุ่นจึงต้องต้องดินแดนเหล่านี้เพื่อกอบโกยทรัพยากร และเป็นฐานที่มั่นบนทวีปใหญ่ด้วย (และเพราะการใช้เงินไปกับการพัฒนากองทัพ ทำให้ญี่ปุ่นเกิดสภาวะเงินเฟ้อช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ) จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:08:37

ความคิดเห็นที่ 12 เพราะระบบทางการเมืองครับ ญี่ปุ่นจากระบบโชกุน ไปเป็นประชาธิปไตย(เผด็จการ) แต่ของไทยยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชอยู่ ซึ่งการที่มีกำลังทหารเยอะๆสำหรับไทยมันไม่ปลอดภัยครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:09:38

ความคิดเห็นที่ 13 อืมมม เป็นเรื่องการทหาร แต่คำตอบมันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์อยู่ดีละครับ สังคมญี่ปุ่นกับสังคมไทยในช่วงประมาณ ร.5 จริงๆ ญี่ปุ่นก็นำไทยไปค่อนข้างเยอะอยู่นะครับ จำนวนประชากรญี่ปุ่นมากกว่า เทียบต่อพื้นที่ก็ยิ่งมากกว่า การเข้าถึงทรัพยากรง่ายกว่า หมายความง่ายๆ ว่า ญี่ปุ่นมีทรัพยากรไว้ทำอุตสาหกรรม และมีแรงงานล้นเหลือไงครับ จำนวนคนอ่านออกเขียนได้ก็เยอะ เพราะเดิมทีสังคมเขาบ้าความรู้กันมาก เทียบกับไทยซึ่งยังมีที่ป่าโล่งว่างอีกเยอะมาก คนส่วนมากเห็นว่าบุกถางไร่นาดีกว่า ยิ่งดูแนวทางการพัฒนาจะเห็นชัดมาก อย่างกรณีรถไฟ ไทยจะเน้นไปที่การวางรางและการบริหาร แต่ญี่ปุ่นจะเน้นไปที่การผลิต ยิ่งสมัยร.6 ร.7 จะเห็นชัดมากว่าเราต่างกันเยอะมากกกกกๆๆๆ ครับ จากคุณ : thumbsup เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:18:01

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆช่วงนี้ก็มีเรื่องสนุกมากเลยนะ ใครกล้าคุ้ย เรื่องเศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงของสยาม ได้เป็น รูปธรรมที่แตกต่าง  จะยิ่งเห็นอะไรเด่นชัดขึ้นอีกครับ จากคุณ : himajin006 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:20:19

ความคิดเห็นที่ 15 เอาจริงๆผมคิดว่าสภาพสังคมและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นมีความพร้อมในการปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือเริ่มต้นอุตสาหกรรมมากกว่าไทยครับ ตอนเริ่มเปิดประเทศในสมัยเมจิ ญี่ปุ่นมีประชากร 30 ล้านคนแล้ว และมีประชากรอาศัยในเขตเมืองเกือบ 9% ของประชากรทั้งหมด (ซึ่งถือว่าเยอะมาก ตามมาตรฐานอาณาจักรที่อยู่นอกยุโรป) อีกทั้งญี่ปุ่นขาดแคลนที่ดินทำกินครับ ทำให้ญี่ปุ่นมีแรงงานล้นเหลือ ที่พร้อมจะอพยพเข้าสู่สังคมเมืองกลายเป็นกรรมกรในโรงงานอุคสาหกรรม อีกทั้งในช่วงปิดประเทศ 200 กว่าปีนั้น ญี่ปุ่นมีการพัฒนาระบบบริษัทหรือกลุ่มทุนโดยพวกพ่อค้าและขุนนางขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งครับ และพวกกลุ่มทุนนี้แลที่ช่วยขับเคลือนตลาดหรือเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงเปิดประเทศได้ พร้อมกับแรงงานจำนวนมากที่พร้อมเข้ามาเป็นทั้งผู้ผลิต-ผู้บริโภค ลำพังขนาดเศรษฐกิจหรือตลาด ญี่ปุ่นในช่วงปี 1870 ก็ใหญ่กว่าอาณาจักรสยาม 5-6 เท่าตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่ไทยเราตอนต้นรัชกาลที่ 5 นั้นยังอยู่ในช่วงยุคกึ่งระบบศักดินา กึ่งระบบทาสอยู่เลยครับ ประชากรก็มีแค่ 5-6 ล้านคน ประชากรในเขตเมืองไม่เคยมีการเก็บสถิติ แต่คาดว่าไม่เกิน 2% ของประชากรทั้งหมดครับ จะเห็นว่าปัจจัยการผลิตสำคัญของไทยยังติดอยู่กับแรงงานคน ที่ขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง (เราต้องนำเข้าแรงงานจากจีนหรือดินแดนอื่นๆ มาขับเคลื่อนพลวัตรของเศรษฐกิจในช่วงรัชกาลที่ 6-8) กลุ่มทุนนั้น ไทยเราไม่มีกลุ่มทุนที่ยืนยาวและสะสมทรัพย์สินมายาวนานแบบญี่ปุ่นเลยครับ เนื่องจากระบบการเมืองเราที่ไม่ค่อยนิ่ง กลุ่มผลประโยชน์หรือขุนนางนั้นเปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนแปลงมา พร้อมๆกับการเปลี่ยนรัชสมัย อย่างตอนที่อยุธยาล่มสลาย กลุ่มขุนนางเก่าที่สะสมทุนมาแต่ยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวงก็หดตัวลง กลายเป็นกลุ่มขุนนางสายทหารที่ติดตามสมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้นอำนาจแทน แต่พอสิ้นแผ่นดินพระเจ้าตากสิน กลุ่มทุนเก่าจากราชวงศ์บ้านพลูหลวงบางส่วน กลุ่มขุนนางมอญ กลุ่มขุนนางใหม่ท้องถิ่น ก็ได้รับอานิสงฆ์จากการเปลี่ยนราชวงศ์ ขึ้นมาเป็นกลุ่มทุนใหม่แทน แต่ทว่า กลุ่มทุนหรือขั้วอำนาจตั้งแต่รัชกาลที่ 1-4 ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีกนั่นแล และแตกออกเป็นฝ่ายวังหลวงกับวังหน้า หรือแม้แต่กลุ่มสมเด็จเจ้าพระยาฟากธนบุรี ตรงนี้ทำให้ไม่มีความต่อเนื่องในการสะสมทุนมากเพียงพอครับ พอรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบการปกครองเพื่อรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง ปลดปล่อยเหล่าทาสไพร่สู่ระบบเศรษฐกิจการผลิตแบบใหม่ พวกกลุ่มเจ้าศักดินาทั้งหลายก็ปรับตัวกันไม่ได้ พวกเขาจึงไม่อาจจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทุนที่มีครับ ดังจะเห็นได้ว่า กิจการหลักๆในสมัยรัชกาลที่ 5-7 นั้น มักจะมาจากหลวงเป็นผู้ร่วมลงทุนกับเอกชนต่างชาติ หรือไม่ก็เป็นกลุ่มขุนนางใหม่ที่เอาทุนมาลงทั้งสิ้นเลย ขุนนางจำนวนมากไม่อาจจะพัฒนาเป็นนายทุนได้ ส่วนชนชั้นพ่อค้าของไทยก็ยังมีขนาดเล็กเกินไปในยุตนั้น ไม่อาจจะเป็นพลวัตรขัลเคลื่อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ เหมือนกับกลุ่มทุนของญี่ปุ่นหน่ะครับ อีกทั้งตลาดของสยามเราก็มีขนาดเล็กมาก แม้จะมีการเพิ่มพลเมืองและนำเข้ากำลังคนจากต่างแดนอยู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัชกาลที่ 5-8 เราก็ยังขาดแคลนแรงงานคนอยู่ดี แถมจำนวนที่นาต่อประชากรนั้น ของเราถือว่าค่อนข้างสูงมากครับ ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ประชาชนในชนบทอพยพเข้าสู่เมือง ไม่อาจจะยกระดับการผลิตจากระบบเลี้ยงชีพเป็นระบบผลิตเพื่อการค้าได้อย่างรวดเร็วนัก (เพราะขาดแคลนแรงงาน) เช่นเดียวกับที่ไม่อาจจะขยายขนาดของตลาดให้รองรับขนาดการผลิตได้ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:20:56

ความคิดเห็นที่ 16 -ยุคสมัยปฏิรูปประเทศ ญี่ปุ่นใช้เวลา 40 ปีในความพยายามที่จะพัฒนาการผลิตเหล็กเริ่มจากให้ฝรั่งมาสอนส่งคนไปเรียนอ่านจากตำราจนในที่สุดมีเทคโนโลยีผลิตเหล้กของตัวเอง ช่วงนั้นไทยก็พยายามผลิตเหล็กเหมือนกันแต่ผลิตออกมาแล้วพบว่าคุณภาพต่ำจึงเลิกและหันมาซื้อเขาใช้ดีกว่าถูกกว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา -การไม่บุกยึดไทยด้วยกำลังเพราะถือหลักชนะโดยไม่ต้องรบ ไม่ต้องเสียลูกกระสุน -จีนมีปัญหาภายใน มีความขัดแย้งและต่อสู้กันเองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ จากคุณ : ตอบโจทย์ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:21:22 A:124.122.79.62 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนข้อที่ 3 เพราะจีนทนงตัวเองมาตลอดว่า ตัวเองยังยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าตลอดนิรันกาล โดยไม่เหลียวมองชาติตะวันตกเลยว่า เขาพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ขนาดสมัยพระนางซูสีไทเฮา จีนยังคงดูถูกพวกฝรั่งว่าต่ำต้อย ไม่มีทางมาต่อกรกับจีนได้หรอก จนกระทั้งเกิดเหตุการณ์กองทหารต่างชาติ 8 ชาติ บุกยึดพระราชวังต้องห้าม จีนถึงรู้ว่าตัวเองตามหลังชาติตะวันตกไปเป็นร้อยก้าว จริงๆ จักรวรรดิจีนเริ่มเสื่อมตั้งแต่หลังสงครามฝิ่นกับอังกฤษแล้ว และเริ่มเสื่อมลงมาเรื่อยๆ คนจีนใช่ว่าจะจงรักภักดีราชวงศ์ชิง เพราะราชวงศ์ชิงเป็นพวกคนเถื่อนนอกด่านชาวแมนจู ซึ่งคนจีนทั้งประเทศลึกๆ แล้วต้อต้านราชวงศ์นี้มาโดยตลอด เพียงแต่รอโอกาสเท่านั้น และโอกาสที่แรกที่มาถึงนั่นก็คือ การเกิดกบฏไท่ผิง ซึ่งกลายมาเป็นสงครามกลางเมืองที่สร้างความเสียหายให้กับจีนอย่างแสนสาหัส (มีหนังที่เจ็ตลี หลิวเต้อหัวแสดงด้วย) นั่นทำให้กองทัพจีนเสื่อมลงจนกู่ไม่กลับ จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:22:47

ความคิดเห็นที่ 18 อืม ไทยเราทุกวันนี้ยังคงไม่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่เลย  T T   แต่ทางทหารปัจจุบันน่าจะโอเคอยู่   ญี่ปุ่นไปเร็วมาก จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:24:38

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องเงินๆทองๆ ผมก็ยังเห็นว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะยุคเริ่มต้นครับ (แน่นอนว่ามีเงินอย่างเดียวไม่พอ แต่ถ้าไม่มีมันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน) ลองเทียบพลวัตรทางเศรษฐกิจดูก็ได้ครับ ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น แม้เราจะทุ่มเทงบประมาณทางทหารไปมากถึง 25% ของ GDP แล้ว แต่ก็ยังสร้างได้เพียงกองทัพขนาดเล็กเท่านั้น ดังที่เสนาธิการในสมัยนั้นเคยกล่าวเอาไว้ว่า "กองทัพสยามเรามีขนาดเล็กมาก รบกับอังกฤษได้แค่ 4 วัน ก็แพ้แล้ว" เรียกว่าในตอนนั้น มี่กำลังพลไม่เกิน 2 กองพลด้วยซ้ำไปครับ (รัชกาลที่ 6 เลยทรงเคยดำริว่าจะไม่ตั้งยศนายพล เพราะกองกำลังของเรามีไม่พอ) แต่ไปดูจีนในยุคก่อนหน้านั้นเล็กน้อย เพียงแค่หลี่หงจางเอาภาษี 10 ปี จากมณฑลอานฮุยมาสะสมกัน ก็ซื้อกองเรือเป่ยหยาง ที่มีระวางขับน้ำรวมกันมากที่สุดในเอเชียได้ (และเป็นกองทัพเรือที่มีระวางขับน้ำมากเป็นอันดับ 8 ของโลกในปี 1890) จึงเห็นได้ว่า งบประมาณการทหารของสยามในยุคนั้น ยังน้อยกว่างบประมาณทหารของมณฑลอานฮุยเสียอย่างเทียบกันไม่ติด นี่ก็เพราะขนาดเศรษฐกิจและทุนที่น้อยของเรานั่นเอง และเป็นขีดจำกัดที่เหนื่อยยากในการขยับตัวทำอะไรก็ตามอย่างมากครับ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 22:22:14 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 21:33:34 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:28:41

ความคิดเห็นที่ 20 คห.ที่1มั่วมากญี่ปุ่นคือญี่ปุ่นอะไร จากคุณ : khonneinet เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:40:34

ความคิดเห็นที่ 21 อย่างเรือธงติ้งหย่วนของกองทัพเป่ยหยาง สั่งต่อด้วยงบประมาณ 6.2 ล้านมาร์กครับ หรือ 1.7 ล้านตำลึงครับ (ตอนปี 1890 1 ปอนด์อังกฤษ มีค่าราวๆ 2.4 มาร์ก) หรือคิดเป็นเงิน 2.58 ล้านปอนด์อังกฤษ ถ้าเทียบในอีก 13 ปีต่อมา เรากู้เงินอังกฤษ 4 ล้านปอนด์เพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ทั้งเส้นครับ เรียกว่าเรือธงของกองทัพเป่ยหยาง 1 ลำ มีมูลค่าเทียบเท่าทางรถไฟระยะทางจาก เพชรบุรีไปทุ่งสงเลย ปี 1890 ราชสำนักต้าชิงมีรายได้แผ่นดินปีละราว 120 ล้านตำลึง หรือคิดเป็น 437 ล้านมาร์ก หรือ 182 ล้านปอนด์อังกฤษ ปี 1902 รัฐบาลสยามกำหนดให้ 17 บาท มีค่าเท่ากับ 1 ปอนด์อังกฤษ ตอนนั้นเรามีรายได้แผ่นดินปีละ 30 ล้านบาท หรือก็คือราว 1.76 ล้านปอนด์อังกฤษครับ จะเห็นว่า สยามในปี 1902 กับต้าชิงในปี 1890 มีรายได้แผ่นดินต่างกัน 100 เท่าตัว นี่เป็นข้อจำกัดที่รุนแรงมากใ นการขยับตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือขับดันพลวัตรของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมครับ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 21:51:28 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:45:46

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ สุดท้ายเรือลำนั้นเละเป็นโจ๊กครับ จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:53:52

ความคิดเห็นที่ 23 ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่พอมาลองศึกษาจริงๆก็ขำตัวเอง สงสัยโดนแม่พลอย สี่แผ่นดินปั่นหัวเอาจนเคลิ้มไปกับความซาบซึ้ง ความงดงามวิจิตรของสำนวนภาษา การปฏิรูปเมจิ กับการปฏิรูปสยามสมัยร.5มองเผินๆอาจจะคิดว่าพัฒนามาแนวทางใกล้เคียงกันในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่แท้จริงถ้ามองรายละเอียดจะพบว่าสถาบันช่วงนั้นต้องทำการต่อสู้ชิงอำนาจ กำลังพลคืนมาจากขุนนาง รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง จะเห็นว่ามีเจ้านาย(โอรสของพระองค์)จำนวนมากแต่งตั้งไปประจำตำแหน่งสำคัญๆในทางราชการ ทำให้สถาบันมีอำนาจเบ็ดเสร็จและมั่นคงที่สุดเท่าที่มีมา ต่อมาสมัยร.6นี่สยามออกแนวไปทางลัทธิจักรวรรดินิยมแบบตะวันตกเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้ามองในแง่การพัฒนาการสังคมและการเมืองโดยให้ความสำคัญการมีส่วนร่วมภาคประชาชน น่าจะเอาไปเปรียบกับสมัยอภิวัฒน์สยามของคณะราษฎร์น่าจะเหมาะสมกว่า จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเราตามหลังญี่ปุ่นมาหลายร้อยปี แถมยังสะดุดหัวทิ่มโดนบอนไซกลางครรภ์ซะอีก ขนาดเกาหลีใต้ที่ไทยเคยส่งทหารไปกู้ชาติเก็บแผ่นดินให้ ผ่านขั้นตอนการปกครองแบบเผด็จการทหารมาหลายสิบปี ยังแซงไทยไปแบบไม่เห็นฝุ่นเลย จากคุณ : Kuroro Lucifer เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:56:08

ความคิดเห็นที่ 24 พึ่งนึกได้ว่าเคยตั้งถามไว้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/05/K12050251/K12050251.html จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:56:33

ความคิดเห็นที่ 25 เอาตรงๆ นะครับ สมัยต้นรัชกาลที่ 5 บ้านเมืองญี่ปุ่นก็มีชนชั้น บ้านเมืองไทยก็ยังมีชนชั้นอยู่ รัชกาลที่ 5 ทรงมีวิสัยทรรศ์ก็จริง อต่พระบรมวงศ์บางองค์ก็ไม่ใช่ ต่อให้เลิกทาสแล้ว แต่ประชากรไทยกับญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมต่างกันมาก วัฒนธรรมญี่ปุ่นยกย่องชาวนา ช่างฝีมือ หรือผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ และคนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยมาตั้งแต่โบราณ ขณะที่ไทยเอง ต่อให้เลิกทาสแล้ว ก็ยังรักสบายเป็นหลัก (ญี่ปุ่นทำงานหนัก ถูกยกย่อง - ไทย ทำงานหนัก คือคนชั้นล่างของสังคม) การพัฒนาของญี่ปุ่นหลังหมดยุคโชกุน จึงเหมือนระเบิดทางความเจริญ ความมุ่งมั่น มันแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว ส่วนของไทยเอง หลังสิ้นรัชกาลที่ 5 ยิ่งพัฒนาช้าลงมาก เพราะ รัชกาลที่ 6 เอง ไม่ได้มีวสัยทรรศ์และเก่งเท่ารัชกาลก่อน เน้นไปเรื่องละคร ความบันเทิงแบบที่พระองค์ชอบมากกว่า การพัฒนาประเทศในยุครัชกาลที่ 6 เองแทบหยุดชะงัก เพราะทรงคัดเลือกผู้ที่ทรงพอพระทัยมาบริหารบ้านเมือง มากกว่าดูความสามารถจริงๆ อีกทั้งยังทรงตัดทอนอำนาจ พระบรมวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ลงด้วยเหตุขัดพระทัยหลายๆ อย่าง พอมายุครัชกาลที่ 7 ประเทศไทยก็ทรุดลงไปมากแล้วครับ พอมาเจอเรื่องเศรษฐกิจโลกตกต่ำอีก รัชกาลที่ 7 เองก็ไม่ได้ทรงบริหารงานได้สะดวกมากนัก ผู้ที่บริหารงานต่างๆ ของประเทศมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็ยังยึดติดกับระบอบเดิมๆ อยู่ ไม่ได้พัฒนาอะไร ทั้งสุขภาพของรัชกาลที่ 7 ก็ไม่ได้ดีมากนัก หลังจากการล้มล้างการปกครอง ไทยเองก็อยู่ในยุคมืดมาอีกหลายสิบปี แม้แต่ตอนหลังจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 21:58:21 A:27.130.25.51 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 26 แจ่มๆ  จำนวนคน + งบประมาณ  เราจนด้วยนี่เอง แถมคนน้อยสุดๆ   - * - "   ไม่คิดมาก่อนว่าญี่ปุ่นคนมากมายขนาดนี้  ทั้งๆที่สงครามแคว้นมากมาย ตีกันไปกันมา แต่คนมากมายยิ่งนัก  คิดว่าบ้านเมืองเราสมัยก่อน  ชาวบ้านมีลุกกันเยอ่ะมาก นึกว่าคนเราจะเยอ่ะด้วย   แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 55 22:14:41 จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 22:13:24

ความคิดเห็นที่ 27 เพราะการทุ่มเทเปิดประเทศ ปฏิวัติอุตสาหกรรม จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 22:24:50

ความคิดเห็นที่ 28 อย่างไรก็ตาม ทุนและปัจจัยการผลิตก็เป็นการมองเพียงมิติเดียวครับ ซึ่งปัจจัยอื่นๆก็สำคัญเช่นกัน แต่ในฐานะที่ผมชอบทฤษฎีขจงค่ายสังคมนิยมสายมาร์กซ์เป็นพิเศษ  ผมเลยมองว่า ทุนและปัจจัยการผลิต เป็นช่องว่างสำคัญที่จะก่อให้เกิดโอกาสและความสามารถในการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน ผลลัพธ์มันเลยออกมาต่างกัน จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 22:26:33

ความคิดเห็นที่ 29 ประเทศญี่ปุ่นก่อนสงครามนั้น เป็นประเทศอุตสาหกรรมหนักแล้ว มิสซูบิชิ โตโยต้า  นิสสัน และคาวาซากิ เป็นบริษัทอุตสาหกรรมหนัก ที่ผลิตยานยนต์ เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ก่อนสงครามตั้งนาน บริษัทเหล่านี้ ได้รับวัตถุดิบจาก การค้า การยึดครองดินแดน ยาง น้ำมันจาก บ. ดัตท์ อีส อินเดีย เหล็กกล้า ถ่านหินจากดินแดนยึดครองใน มองโกเลีย ทางด้านวิทยาศาสตร์ ชาวญี่ปุ่นได้เรียนรู้และสำเร็จการศึกษาจาก อเมริกากลับมาพัฒนาประเทศมากมาย  (นายพล ยามาโมโต้ จบการศึกษาจากเยล) นักศึกษาญี่ปุ่นยุคนั้น สนใจนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ของเมกามากมาย (พวกเขาได้เรียน ตำรายุทธการการรบแบบใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน โดย Billy Mitchell, การศึกษาวิชายุทธวิธีใช้ ตอบิโดจู่โจม จากกองทัพเรืออังกฤษ) จากคุณ : jo guevara เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 22:29:14

ความคิดเห็นที่ 30 ที่ผมเข้าใจ อย่างแรก ก่อนยุคเมจิ แต่ล่ะแคว้นก็เปรียบเหมือนประเทศหนึ่ง หลังจากเปิดประเทศก็มีการค้าขายกับต่างชาติไม่น้อยเลย เพราะสามารถหาเงินมาซื้อปืนไฟ ปืนใหญ่ เรือกลไฟมาได้ นอกจากนี้อย่าลืมว่ามี นางาซากิเป็นเมืองท่าที่มีความเจริญมากเนื่องจากติดต่อค้าขายกับต่างชาติมาตั้งแต่สมัยก่อนรัฐบาลบาคุฟุของโตกุกาว่าน่ะครับ อย่างสอง ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องวรรณะอยู่โดยเฉพาะแคว้นโทสะ มีซามูไรชั้นสูง ชั้นต่ำ ที่ชั้นต่ำยังโดนชาวนาดูถูก ส่วนเรื่องการศึกษา ชาวนาทั่วไปคงไม่รู้หนังสือแน่ๆ อย่างที่สาม การปฎิรูปเมจิก็เป็นการปฎิรูปอย่างแท้จริงมิใช่ยังแค่เปลี่ยนขั้วอำนาจ มีการเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากไทยมาก อย่างสุดท้าย เหล่าผู้ขับเคลื่อนการปฎิรูปเมจิ เขามีเป้าหมายอย่างชัดเจนและมุ่งหมั่นจะพาชาติเขาไปถึงจุดนั้น ไม่เหมือนของไทยที่เป็นกลุ่มน้่อยๆน่ะครับ จากคุณ : รักหวานในวันวาน เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 22:46:11

ความคิดเห็นที่ 31 คห.26     ประชากรญี่ปุ่นมากมาแต่โบราณแล้วครับ      บริเวณเกาะฮอนชูค่อนข้างอยู่ได้ง่ายกว่าแถบนี้มาก    สัตว์ร้ายไม่มากเท่า   โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยกว่ามาก เอาว่าช่วงยุคเซนโงคุที่ญี่ปุ่นรบกันไปรบกันมาคนตายไปมากมายน่ะ    ปลายยุคศึกเซคิงาฮาระทัพตะวันตกกับทัพตะวันออกนี่ยังรวมกำลังทหารได้กว่า2แสนคน (นี่ยังขนกันมาไม่หมดด้วยนะ)     ในขณะที่ทางไทยระดมกองทัพได้เกินแสนนี่นับนิ้วได้เลย ศึกเซคิงาฮาระเกิดปี 2143  หลังศึกยุทธหัตถีของไทย8ปี   (2135) จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 23:12:50

ความคิดเห็นที่ 32 ญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลังสงครามโบชิน และยังทำสงครามทำให้ได้พื้นที่และทรัพยากรมากขึ้น ที่เหลือก็อยู่ที่คนญี่ปุ่นเอง จากคุณ : อะไรก็ได้ ง่ายๆ... เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 00:06:37

ความคิดเห็นที่ 33 ไทยกับญี่ปุ่นสมัยนั้นต่างกันที่การศึกษาครับ เคยอ่านเจอมาว่าคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นอ่านหนังสือออกถึง80%(อ่านออกไม่จำเป็นว่าต้องเขียนได้คล่อง) ส่วนคนไทยอ่านหนังสือออกไม่ถึง2% อีกเรื่องหนึ่งก็คือความจงรักภักดีต่อกลุ่มที่สังกัด แข่งกันทำให้กลุ่มของตนดีกว่าคนอื่น ทำให้คนญี่ปุ่นมีวินัยมากกว่าคนไทย จากคุณ : เบื่อเหลือทน เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 00:14:30

ความคิดเห็นที่ 34 พัฒนาเพราะการปฎิวัติเมจินี่ครับ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 00:16:30

ความคิดเห็นที่ 35 อีกข้อ คือ ตะวันออกไกล ไกลไป มหาอำนาจตะวันตก หมดแรงตามไปข่ม ก่อน ฮิๆๆๆ ถ้าลอง จีน ถูกยึดได้ทั้งหมดแบบ อินเดียซิครับ ไม่เหลือทั้ง เอเชีย ญี่ปุ่น ก็ต้องขอบคุณ จีน จีนก็ต้องขอบคุณ อินเดีย นะครับ แนวกันชนมันเยอะมาก กำลังมหาอำนาจยุโรปสมัยนั้น เลยถูกตัดถอนลง และระยะทางไกลด้วย คิดแบบเข้าข้างตัวเองนะ.... ถ้าไม่เป็นเมืองขึ้น ก็ต้องเหมือนถูกเข้ากดหัวไว้ นั่นแหละ โดยเฉพาะไทยแลนด์ เล่นซะรอบเลย แต่รอดมาได้ ก็เรียกว่า สุดยอดในการทูตแล้ว..... ปัญหามันน่าจะอยู่ในยุคปัจจุบันนี้นะ ไม่ยากลำบากกว่าอดีต นับตั้งแต่คอมมิวนิสต์จบไป แต่ ก็ขึ้น ๆ ลง  ๆ หุๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 55 01:52:17 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 55 01:49:46 จากคุณ : ......... (@Ble) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 01:41:26

ความคิดเห็นที่ 36 อืมม....มองในแง่ประวัติศาสตร์..ก้อมีมุมให้มอง.. หรือจะมองในแง่..เทคโนโลยี่...ของญี่ปุ่น..ก้อน่าคิด.... จนมาถึงยุคสมัยนี้....ก้อยังซ้ำรอยเดิม..คือ..เรายังไม่ยอมรับในการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยี่.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..เทคโนโลยี..ประเภทที่จะครองโลกในอนาคต... . . . . ไม่ต้องมองอะไรมาก..แค่พลังงานนิวเคลียร์...หรือ ความสามารถทางการทดลองด้านอะตอม, GMO ,  ไทยเราก้อยังเรียนรู้ได้ไม่ถึงไหน... . ... ... .. . . แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 55 09:18:28 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 55 09:17:05 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 55 09:15:32 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 09:12:24

ความคิดเห็นที่ 37 ในปัจจุบันเอง ถ้าอยากพัฒนา ก็ต้องเน้นพัฒนาเทคโนโลยี่ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทุกวันนี้ หนัง ละคร ก็ดันไปเน้น นำเสนอเศรษฐกิจ พอเพียงในลักษณะแค่พออยู่พอกิน เหลือ ก็ขาย เท่านั้น   แต่ควรเน้นนำเสนอในแง่มุมที่ เศรษฐกิจ พอเพียงคือการพยายามพึ่งพาตนเองมากกว่า เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพา เทคโนโลยี่ของคนอื่น ไม่งั้นประเทศเราก็จะกลายเป็นประเทศ ไม่อยากพัฒนาไป จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 11:18:44

ความคิดเห็นที่ 38 เพราะญี่ปุ่นแท้ๆที่ไปรบมันก็ส่วนนึง แต่เกาหลีแท้ๆที่ถูกเกณฑ์มารบแทบจะทั้งประเทศ แต่ที่เรามองว่าทำไมญี่ปุ่นถึงเข้มแข็งกว่าประเทศอื่นๆ แต่จริงๆแล้วกำลังพลน้อยกว่าชาวบ้านเขา เพราะความเชื่อไงครับ ไม่ใช่เชื้ออะไรบ้าๆบอๆแบบบ้านเรานะ เขาเชื่อในตัวคนๆเดียวคือองค์จักรพรรดิของเขา และก็ทำทุกอย่างเพื่อให้องค์จักรพรรดิ(ของเขา)ได้เป็นที่หนึ่ง พวกเขาถึงสู้แบบยอมตายไม่ยอมแพ้ กองทัพถึงได้เข้มแข็ง เกรียงไกร ไร้เทียมทาน จนมาเจอเด็กชายสองคน ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิ และหากองค์จักรพรรดิ(ของเขา)ไม่เห็นแก่ประชาชนแล้วไซร้ต่อให้มาลงอีกลูกที่โตเกียวหรือถูกทำให้หายไปทั้งเกาะ ญี่ปุ่นก็ไม่มีวันยอมแพ้หรอกครับ จากคุณ : buta_king เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 11:26:32

ความคิดเห็นที่ 39 คห.23 ผมว่าที่ร.5 พระโอรสได้ตำแหน่งใหญ่ๆ น่าจะเพราะจบมาจากนอกมากกว่านะ สมัยนั้นอย่างนายทหารใครรจบนอกมานี่สบายเลย ตรงนี้เป็นจุดโหว่ที่คนที่ไปเรีนนอกมักเป็นคนีเงิน ขุนนางเก่า แต่ในร.6 ดูเหมือนคนที่พัฒนาประเทศจะเป็นพวกข้าราชการช่วยกันเสนอมากกว่าบางอยางก็สำเร็จ บางอย่างไม่ อย่างพระองค์เจ้าจักรพงศ์ภูวนาถอยากมีกองทัพอากาศอันนี้สำเร็จแถมยังไปซื้อสิทธิบัตรมาผลิตเองได้ แต่อย่างพระบรมราชชนกอยากได้เรือดำน้ำกลับไม่สำเร็จ ต้องรอจนสิ้นพระชนม์ไทยถึงจะมีเรือดำน้ำลำแรก จากคุณ : บัตรผ่านแล้วมีไรป่าว เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 16:01:49 A:124.121.41.180 X: TicketID:324593

ความคิดเห็นที่ 40 มีอีกข้อ คือ ญี่ปุ่นแอบมีฝรั่งช่วยให้พัฒนาไปไว ไม่กั๊กเทคโนโลยี หรือขายราคาแพง เพราะฝรั่งต้องการสกัดกั้น การขยายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออก มองไปมองมาก็ลงที่ญี่ปุ่นนี่แหล่ะ ดูจาก สงครามทางเรือที่รัสเซียแพ้ราบคาบให้กองเรือญี่ปุ่น อังกฤษตีปีกดีอกดีใจด้วย ถึงขนาดจัดส่งปอยผมส่วนนึง ของลอร์ดเนลสัน ให้ญึ่ปุ่น ยกย่องให้เป็นการศึกทางเรือที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าทราฟัลการ์ในอดีต (แบบนี้ อังกฤษ มันแอบหนุนญี่ปุ่นเต็มๆ) พอมาดูรายละเอียด เรือรบของญึ่ปุ่นชุดนั้น ใช้ต้นแบบมาจากเรือประจัญบานชั้นวิคเกอร์ของอังกฤษซะด้วย แต่อังกฤษ มันหารู้ไม่ว่าได้เล่นกับไฟอยู่ ใช้ญี่ปุ่นสกัดรัสเซีย สุดท้าย ญี่ปุ่นขยายแสนยานุภาพจนกลืน เอเชียอาคเนย์ของอังกฤษลงท้องเลย อิๆ จากคุณ : อิิๆ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 18:37:56 A:58.9.215.244 X: TicketID:365239

ความคิดเห็นที่ 41 จขกท.ลองหาเรื่องเรียวมะมาดูสิครับ จะตอบโจทย์ได้เลยครับ แถมยังสนุกได้ข้อคิดเยอะด้วยครับ จากคุณ : CYMG เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 20:41:18

ความคิดเห็นที่ 42 แนะนำอีกเรื่องครับ เป็นซีรีย์ที่จะเข้าใจคนญี่ปุ่นช่วงปฎิวัติได้ดีมากแต่ออกจะดราม่าอยู่ซักหน่อย จากคุณ : CYMG เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 20:47:39

ความคิดเห็นที่ 43 เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ ขอบคุณทุกท่านที่มาตอบคับ จากคุณ : เจ้าชายนิทราในความฝัน เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 23:02:43

ความคิดเห็นที่ 44 อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธ์ุก็เป็นได้ จากคุณ : Pixar เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 00:48:20

ความคิดเห็นที่ 45 เพิม่เติมจาก # 39 นะครับ ผมเห็นด้วย ที่ภาพลักษณ์ของนักเรียนที่จบนอกในยุคนั้นดูดีมาก แต่คิดว่าก็เป็นเพียงส่วนประกอบ อีกหนึ่งเท่านั้น ผมว่าประเด็นที่ 23พูดคือโครง สร้างที่แตกต่างกัน ของ ความเป็นที่นับถือของ เจ้าหัวเมืองญี่ปุ่ นกับเจ้าหัวเมืองสยาม ที่พึ่งถูกส่งไปใหม่ การให้การศิโรราบ นั้นไม่แข็งแกร่งเท่าญี่ปุ่นแน่นอน นั่นคืดสิ่งสำคัญ หรืออย่าง เรื่อง การพัฒนาที่ดูเหมืิอนลดลง  โครงสร้างใหญ่ที่สำคัญที่อยู่ใต้ใบบัว ยังมีอีกครับ  ไม่แปลกใจหรือครับว่า ได้กองทัพมาได้อย่างไร มันคงไม่ใช่ส้มหล่นหรอกครับ ดูใต้ใบบัว อย่าง คดี กษฏ รศ .130 ก็ได้ เพิ่มเติม   ส่วนเรื่องเรือดำน้ำนี่ คงต้องย้อยโยง ไปรุ่นแม่เล็ก แม่กลาง เลยจะพอเริ่มเข้าใจ ว่าอะไรเป็นมูลเหตุที่น่าจะแท้จริง ^^ จากคุณ : himajin006 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 17:46:20