ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เชื่อจ๊ะ.....เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว  อยากทำอะไรต้องรีบทำก่อนตาย จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 19:47:19

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเชื่อครับ ไม่มีเหตุผลอะไร จากคุณ : ไม่ได้กลัวแต่เกรงใจ เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 19:56:34

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เชื่อครับ ประเด็นนี้ผมไม่เคยมองในมุมอื่นเลย ผมมองในทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น เรื่อง "จิต" (soul , spirit) นั้นผมไม่เคยสนใจ เพราะนิยามมันช่างรูปธรรมเหลือเกิน ไม่เคยพิสูจน์ได้ ไม่สมเหตผล แต่ "สติ" (Consciousness) นั้น เป็นเรื่องจริง เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาครับ และเมื่อปัญญาเกิด เราก็สามารถพิจารณาเหตผลของเรื่องพวกนี้ได้ และต่อจากนี้ไปก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านแล้ว เมื่อมนุษย์ตายลงไป สติก็จะหมดไป ทุกอย่างจบสิ้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่ครับ ...ไม่มีพลังงาน วิญญาณ ฯลฯ ทั้งสิ้น เมื่อตาย ร่างกายก็หยุดทำงาน metabolism ก็หมดไป พลังงานเดียวของร่างกายก็หมดไป ไม่มีอะไรอีก จากคุณ : Vladivostok เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 19:58:44

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เชื่อครับ ตายแล้วคือตายไปเลย ไม่มีอะไรเป็นอมตะในเอกภพนี้ แม้แต่ดวงอาทิตย์ยังมีอายุขัย เรื่องความเชื่อทางศาสนา พุทธ - ตายแล้ว ทำดี(มากๆ) ไม่ต้องไปเกิดใหม่ อยู่บนทรวงสวรรค์เป็นอมตะ ทำชั่วตกนรกก่อน แล้วค่อยมาเกิดใหม่ใช้กรรมเก่า (ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้าเป็นอเทวะศาสนา) ศริสต์ - ตายแล้ว ทำดีก็ไปสู่บ้านของพระเจ้าไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ / ทำชั่ว ลงนรกไปอยู่กับลูซิเฟอร์ อิสลาม - อันนี้ไม่รู้ เหมือนคริสต์หรือเปล่า ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ทุกศาสนาก็มนุษย์นี่ล่ะตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนทำความดี ถ้าทำดีแล้วเหมือนๆจะมีชีวิตเป็นอมตะนะ การเป็นมนุษย์แค่เป็นจุดเริ่มหรือส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ทางเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่แน่นะในอนาคตอาจจะมีการเคลื่อนย้ายความจำหรือความรูของมนุษย์ที่สั่งมมาตลอดชีวิตลงในอะไรซักอย่าง แล้วก็สร้างแอนดรอย์หรือไซบอร์กเป็นร่างกายแทนร่างมนุษย์ที่เสื่อมตามอายุขัย ใครจะรู้ จากคุณ : Nenko เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:14:11

ความคิดเห็นที่ 5 เชื่อครับ เพราะ ศึกษามาแล้วจึง รู้ว่า ทั้งหมดคือ ศัพท์บัญญัติ ที่ใช้อธิบาย "สิ่งๆหนึ่ง"ที่มีอยู่ในธรรมชาติ   แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 20:52:43 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 20:38:00 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 20:37:33 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 20:36:34 จากคุณ : rightthink เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:29:20

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ครับ ผมเชื่อในวัฎจักรที่ิยิ่งใหญ่กว่ามาก และพิสูจน์ได้ชัดเจนด้วยว่ามีอยู่จริง นั่นคือ "วัฎจักรการหมุนเวียนพลังงานและมวลสารในระบบนิเวศน์" จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:34:41

ความคิดเห็นที่ 7 เชื่อเรื่อง อนัตตา การไม่มีตัวตน ที่หมายรวมถึงทั้งกายและจิตครับ ไม่เชื่อเรื่องชาติภพแบบที่ตายแล้วเกิดใหม่ แต่เชื่อเรื่องชาติภพในแบบการเปลี่ยนรูปอารมณ์ของคน ไม่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดๆเป็นระยะเวลานาน แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 20:38:22 จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:37:54

ความคิดเห็นที่ 8 หลักอนัตตา ไม่เกี่ยวกับชาติภพ นะครับ ไม่ว่าจะมีชาติภพหรือไม่ หลักอนัตตาก็เป็นจริง อนัตตา หมายถึง ไม่มีสิ่งใดอยู่จริงๆ เป็นการประชุมกันของธาตุ ไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่้ได้ เช่น ร่างกายนี้ เราควบคุมไม่ให้มันเจ็บไม่ได้ ไม่ให้มันโกรธไม่ได้ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:43:48

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับเรื่องจิต เคยคิดไหมว่า ทำไมต้องมีคำว่าใจ เมื่อโกรธในจะหนักๆ แน่นในอก เมื่อมีสิ่งดีๆ ใจจะเบาสบาย จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:45:36

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เชื่อครับ เรื่องชาติภพ ผมธรรมชาตินิยม แต่ก็ศึกษาธรรมมะพอควร ในส่วนที่สนใจ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ จิตกับใจ ต้องไปศึกษาครับ จะเข้าใจและค่อยๆแยกมันออก (มันอยู่ที่นิยาม) บุญบาป ผมมองเป็น ผลต่อสังคม บุญ ก็คือสิ่งที่กระทำ แล้วส่งผลให้เราได้สังคมดีๆ (ดูที่ผลของการกระทำ) จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:54:28

ความคิดเห็นที่ 11 เชื่อครับ เพราะผมต้องการความอยู่รอด การคงอยู่ หรือไม่ได้ก็ได้สืบทอด ไม่ว่าจะด้วย DNA หรือเจตนารมย์ หรือบุคคลิกหรือจิตวิญญาน หรือผลงาน ความเชื่อเรื่องชาติภพจึงตอบโจทย์ผมได้ค่อนข้างดี จากคุณ : ชาวโลก เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:00:51 A:115.67.65.120 X: TicketID:276814

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่เชื่อคับ จากคุณ : คนหัวฟู เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:13:17

ความคิดเห็นที่ 13 ในทางพุทธ .. จิต = มโน = วิญญาณ เมื่อกายแตก ... สิ่งที่เวียนว่ายไปหาภพเพื่อหยั่งลงเกิดใหม่นั้นไม่ใช่จิตครับ แต่เป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่เป็นผู้อยาก ซึ่งยังติดหนึบอยู่กับ "อวิชชา" หรือความไม่รู้ไม่เข้าใจในอริยสัจ เรียกกันว่าสัตตานัง สัตตานังต่างหากที่เวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ จริง ๆ แล้วจิตมันเกิดดับอยู่เองแล้วตลอดเวลาเหมือนการกระพริบ ติดดับของแสงจากหลอดไฟซึ่งเร็วมากจนสังเกตุการณ์แทบไม่ได้ การทำสมาธิหรือการทำอานาปานสติจึงเป็น วิธีหนึ่งที่ช่วยให้สังเกตรู้ถึงการเกิด-ดับของจิตได้คล้ายกับการที่เราดูหนังแบบ Slowmotion ถ้าพอมีเวลาว่างบ้าง ลอง Search ดูคำว่า "ปฏิจจสมุปบาท" เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงของปรัชญา ก็ไม่เลวนะครับ แต่ต้องขอย้ำไว้ก่อนนะครับว่าเรื่องของปรัชญาและนามธรรม ไม่เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหารย์อะไรทั้งนั้น และในทางพุทธเอง ก็ไม่เคยส่งเสริมเรื่องอวดฤทธิ์หรือสร้างปาฏิหารย์เลย หนำซ้ำยังขนานชื่อให้ด้วยว่า เป็นวิชาของ "เดรัจฉาน" พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ก่อนที่ผมจะทำเจตนารมณ์ของหว้ากอให้เพี้ยนไปมากกว่านี้ครับ จากคุณ : ไปๆมาๆ เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:27:20 A:171.99.180.64 X: TicketID:344019

ความคิดเห็นที่ 14 ตายก็ตาย หายไปเลยครับ นั้นความคิดผม คนอื่นแล้วแต่ครับ จากคุณ : lyonheartz เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:30:34

ความคิดเห็นที่ 15 จขกท จะเอาผลโหวตไปทำอะไรเหรอครับ ศาสนา เป็นเรื่อง ของความเชื่อ ศรัทธา วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของเหตุผลนะครับ จขกท ถามว่า "ชาวหว้ากอเชื่อเรื่อง ชาติภพ การไม่มีตัวตน อนัตตา เมื่อตายแล้วจิตต้องไปหาร่างอื่นอยู่ไหมครับ" ผมถามคุณ จขกท ซีเรียสเหมือนกันครับว่า คุณอยากได้เหตุผลเชิง วิทยาศาสตร์ ใช่หรือไม่ครับถึงได้ตั้งคำถามห้องนี้ และผมเชื่อว่าคนในห้องนี้ส่วนใหญ่เชื่อในหลักเหตุผล ส่วนตัวผมรักและชื่นชอบในวิทยาศาสตร์นะครับ และก็ไม่อยากให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไปทำลายความเชื่อทางศาสนาที่สอนให้คนทำดีครับ ถ้าผมเข้าใจเจตนา จขกท ผิดก็ขอ อภัยด้วยนะครับ จากคุณ : อยากรู้จึงถาม เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:30:38 A:171.99.73.195 X: TicketID:368154

ความคิดเห็นที่ 16 ม่ายเชื่ออ่ะ ผมว่าจิตถูกสมองสร้างขึ้นมา ตาย สมองเน่า ก็ไม่มีจิต จากคุณ : Transcendence เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:33:17

ความคิดเห็นที่ 17 คุยไปคุยมาชักเลอะเทอะ ไปทางศาสนา WM มัวทำไรอยู่ ถึงไม่รีบจัดการ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:33:18

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องนี้พิสูจน์กันยาก ถกกันยาว โดยส่วนตัว ไม่เชื่อ ครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:33:55

ความคิดเห็นที่ 19 #17 #18 ใช่เรื่องมันถกกันยาวจิงๆ ผมเลยอยากรู้ว่า จขกท ต้องการอะไร เล่นมาตั้ง เรื่อง ศาสนาในห้อง วิทยาศาสตร์ ผมไม่เข้าใจเจตนา จขกท จิงๆ จากคุณ : อยากรู้จึงถาม เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:36:19 A:171.99.73.209 X: TicketID:368154

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าตายแล้วต้องไปหาร่างอื่นอยู่  อย่างนี้ประชากรโลกก็ต้องมีจำนวนเท่าเดิมมาตลอดสิครับ  แล้วไอ้ที่ประชากรล้นโลกทุกวันนี้มาจากไหนกันล่ะครับ  อย่าบอกนะว่าหมาแมวมันทำดีได้เกิดเป็นคน - -* จากคุณ : ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะซ้ำใคร เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:40:51

ความคิดเห็นที่ 21 เพิ่งจะเชื่อปีนี้แหละครับ ตอนยายผมเสียผมคิดว่าตายแล้วสูญ  แต่ไปๆมาๆผมค่อนข้างมั่นใจละว่ามีภพชาติจริงๆ เพราะผมและครอบครัวเจอเรื่องแปลกๆเยอะมากครับ จากคุณ : เกียดเกียด เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:51:37

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อหลายวันก่อน สตีฟโย คลองสาม นั่งทางใน  เห็นสตีฟจอบ ไปเกิดใหม่ เป็นเปรต  เป็น ข่าวที่ยืนยันได้ว่า ตายเเล้วไม่ หายไปไหน แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 22:03:53 จากคุณ : cathen เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:57:45

ความคิดเห็นที่ 23 ผมเชื่อครับ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ผมเข้าใจคนเดียว ถ้าชาติที่แล้วไม่มีจริง ชาตินี้ก็ไม่จำเป็นต้องมี จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 21:58:07

ความคิดเห็นที่ 24 อืม  มีข้อสงสัย2 ข้อครับ - ถ้าการเกิดใหม่ไม่มีจริง ชาดกที่เล่าต่อๆมา ก็เป็นเรื่องไม่จริงหรือครับ เมื่อชาดกไม่ใช่เรื่องจริง ปรัชญาแห่งพุทธ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จริงหรือครับ แบบงงอะครับ -ถ้าสามารถที่จะถ่ายข้อมูลลงใน DNA แล้วทำยังไงถึงจะสามารถรักษาสภาพความนึกคิด อารมณ์ และจิตใจ ให้เหมือนต้นแบบได้ละครับ เป็นสิ่งที่สงสัยอยู่เสมอครับ จากคุณ : Finzel เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:04:28

ความคิดเห็นที่ 25 #20  สงสัยเหมือนผมเลยครับ  แต่ผมไปหาคำตอบที่พุทธเค้าอธิบายมา ได้ตามนี้ครับ "โลกแตกดับมาแล้วเป็นแสนล้านรอบ นานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้   จำนวนคนในโลกเท่าหยิบมือ ที่อยู่ในภพมิติอื่นนั้นมากกว่ามหาสมุทร  และมีในจักรวาลอื่นๆนับไม่ถ้วน" ซึ่งจะพิสูจน์ยังไงนั้นก็ไม่ทราบนะครับ 555+ จากคุณ : เกียดเกียด เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:08:34

ความคิดเห็นที่ 26 คือ ถ้าตายแล้วไม่จบ จะตายทำไมหละ ถ้าไม่จบ ทำพินัยกรรมสิ ยกมรดกให้ตัวเองในภพหน้า ระบุวิธีพิสุจน์ไว้ด้วย ถ้าไม่จบ ก็กล้าให้คนยืมเงินสิ โดยไม่ต้องทวง เดี๋ยวชาติหน้าเขาก็จะมาชดใช้ให้เรา ด้วยกฎแห่งกรรม แล้วชาติก่อน พวกคุณเป็นอะไรมาก่อน คุณจำได้ป่าว มันไม่มีี หรือคุณจำไม่ได้ คุณจำไม่ได้ ก็เท่ากับมันไม่มีี หรือถึงมันมี แต่คุณจำไม่ได้ ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เชื่อมโยงกันไม่ได้ ผมว่ามันจบแน่ครับ คนเราถึงให้ความสำคัญกับการตายไง มันเป็นเรื่องใหญ่ ตายแล้วมันตายเลย เอากลับมาไม่ได้ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:13:12

ความคิดเห็นที่ 27 ค.ห.26 ถ้าอย่างนั้นแล้วเพราะอะไร พุทธะ จึงบัญญัติ คำ "เวียน ว่าย ตาย เกิด" ละครับ ขออภัยนะครับไม่ได้ต้องการโต้เถียงนะครับ เพียงแค่สงสัยอะครับ จากคุณ : Finzel เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:21:09

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเชื่อว่า เมื่อ จิต สามารถกำเนิดความเป็นตัวตนของเรา มาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งต่อไป   และ  ต่อๆไป  ไม่ว่าตอนตาย จิต จะรับรู้  หรือ ไท่รับรู้ก็ตาม แต่เชื่อว่า การเกิดจะไม่มีเพียง หนเดียวแน่นอน เหมือน แลนด้อมตีวเลข  โดยกำหนดตัวเลขชุดหนึ่งว่าเป็นเรา  แลนดอม ไปเรื่อยๆ ซักล้านครัง  จะมีเลขของเราปรากฎ ขึ้นมากี่ครั้ง   ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่า มีหนเดียว จากคุณ : แคมปัส เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:26:28

ความคิดเห็นที่ 29 อนัตตาเป็นหนึ่งในสามของไตรลักษณ์ครับ คือสัจธรรมที่มองเห็นว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นการประกอบขึ้นของธาตุ 4 และรอวันเวลาเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ถ้าตอบจากความรู้ที่เรียนสอนกันในแวดวงของวิทยาศาสตร์จะตอบว่า ตายแล้วสูญครับ เพราะมันมีองค์ความรู้แค่นั้นว่า สมองทำงาน สมองตายก็จบ ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ แต่ก็มีนักวิจัยทำเรื่อง การระลึกชาติ การมีอยู่จริงของการเกิดตายข้ามภพข้ามชาติ ถ้าตอบตามคำสอนพุทธศาสนา และคนที่พิสูจน์เรื่องเห็นการเกิดดับของดวงจิตแล้วจะเข้าใจไตรลักษณ์ได้ชัดแจ้ง หมดข้อสงสัยใดๆว่าตายแล้วไม่สูญ กรรมทั้งหลายถูกบันทึกลงในจิตและสิ่งนี้คือวิบาก หรือเชื้อแห่งการเกิดในภพชาติใหม่ ศาสนาพุทธพิสูจน์เรื่องภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด จากความรู้ญาณปัญญา ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ คนที่จะยอมรับสัจธรรมตรงนี้ได้ ต้องละสักกายทิฏฐิได้ก่อน ถ้าเชื่อกันว่าพลังงานไม่มีสูญหายไปไหน แต่สามารถเปลี่ยนสภาพได้ จิตก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ที่ยังไม่มีนิยาม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:01:18

ความคิดเห็นที่ 30 พุทธปรัชญายอมรับในการมีของ "ความอยาก" (กิเลส) วิทยาศาสตร์ยอมรับในการมีของ "วิวัฒนาการ" วิวัฒนาการเกิดขึ้นจากความอยาก จากคุณ : ชาวโลก เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:05:02 A:110.171.116.98 X: TicketID:276814

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเชื่อครับ มีคำถามหลายอย่างสงสัยมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ ตลอดชีวิตว่างๆ จะหาข้อมูลรวมถึงพิสูจน์เชิงประจักษ์และไปนั่งคุยกะพวกที่ตายแล้วฟิ้นอยู่เป็นประจำถ้ามีโอกาส ทั้งกรณีศึกษาของ พุทธ คริสต์ แต่อิสลามไม่เคยมีเพื่อนที่ตายแล้วฟื้น ทว่าใครอยากลองศึกษาลองอ่านผลงานวิจัยของ ศาสตราจารย์นายแพทย์. เอียน สตีเวนสันก็ได้นะครับเพราะท่านรวบรวมหลักฐานเอาไว้ตามระเบียบวิธีวิจัยทางการแพทย์ในกรณีศึกษาทั้งไทยและเทศ จากคุณ : คนที่รักเธอ (คนที่รักเธอ) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:08:11

ความคิดเห็นที่ 32 #26 ถ้าคิดแบบนั้นจริงๆคุณจะอยู่บนโลกนี้ทำไมละครับ ตรรกะคุณ ในคำตอบของคุณมันขัดกันเองป่ะครับ งั้นคุณจะมีชีวิตไปทำไม ไม่ไปตายๆไปเลยละครับ ก็ตายแล้วมันจบนี่จะแคร์อะไรจริงมั๊ย ผมเชื่อในวิทยาศาสตร์นะครับ แต่ถ้าคนเชื่อใน"วิทยาศาสตร์"แล้วเป็นแบบคุณ ไปกิน "กายาสารท" แทนเถอะครับ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97 จากคุณ : อยากรู้จึงถาม เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:22:18 A:171.99.73.193 X: TicketID:368154

ความคิดเห็นที่ 33 คุณปลาๆงูๆ ความเห็น23 ครับผมคิดแบบเดียวกับคุณเป๊ะเลยครับ นึกว่ามีผมคิดแบบนี้คนเดียวซะอีก สำหรับคนทั่วไปที่คิดว่าเรื่อง ชาติหน้าเป็นไปไม่ได้มันมหัศจรรย์เกินไป หรือไร้สาระเกินไปนะครับ ผมให้ข้อคิดอย่างนึง เริ่มจากความว่างเปล่าในจักรวาลจนมีสิ่งมีชีวิตและมีอารยธรรมและมีเราอยู่ในชาตินี้แล้วเนี่ยคุณว่ามันมหัศจรรย์มั้ยครับ และมันมีจริงมั้ย แล้วถ้าชาติภพมีจริงล่ะมันจะทำให้ความมหัสจรรย์ของธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นยกกำลังสองหรือเปล่า สมมุติว่าคุณอยู่เหนือธรรมชาติและมองมันด้วยใจเป็นกลางแล้วการมีชาติหน้าหรือชาติที่แล้วไม่ทำให้เป็นการเพิ่มความมหัศจรรย์ของธรรมชาติิอันยิ่งใหญ่นี้แม้แต่นิดเดียว แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 23:41:21 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 23:38:08 จากคุณ : Johny เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:33:24

ความคิดเห็นที่ 34 คิดว่าตายแล้วก็ืคือตาย ร่างก็เน่าเปื่อยไป ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ ไปเกิดใหม่อะ แต่ยังนับถือศาสนานะ แม้คำสอนบางอย่างขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ก็เหอะ บางทีก็อดคิดว่าบางสิ่งบางอย่างมันก็พิสูจน์ไม่ได้ เอ๊ะ! ตกลงยังไง งงตัวเองเหมือนกัน จากคุณ : A Fairy Secret เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:53:50

ความคิดเห็นที่ 35 จะน่าเชื่อกว่านี้ถ้านักวิทยาศาสตร์ได้ลองศึกษาทางพุทธจริงๆก่อนครับ หากศึกษาทั้งสองศาสตร์แล้วยังไม่เชื่อ ผลโหวตจึงจะมีน้ำหนักครับ แต่ให้นักวิทฯที่ไม่ได้ผ่านการศึกษา บวชเรียนอย่างจริงๆจังๆมาตอบ คำตอบก็ค่อนข้างออกมาแน่อยู่แล้วครับ เพราะว่ามันเป็นกรอบแนวคิดทางวิทย์ที่ว่าพิสูจน์ไม่ได้ก็เชื่อไม่ได้ หรือไม่มีหลักฐานหรือทฤษฎีอะไรที่ค่อนข้างมีแนวโน้มว่าจะเป็นเป็นไป จะบอกให้นักวิทย์เชื่อก็ดูเหมือนจะทำให้คนที่นับถือวิทยาศาสตร์นิยมดูเสื่อมค่าลงไปนะครับ แต่ถามผมผมเชื่อ เพราะประสบการณ์ที่เจออะไรบางอย่างที่วิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ครับ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:09:00

ความคิดเห็นที่ 36 เชื่อค่ะ  เพราะวิญญาณเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง  พลังงานไม่ทางสูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้ จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:38:06

ความคิดเห็นที่ 37 คห.35 แล้วพระที่บวชจนแก่ แต่สุดท้ายก็ยังกล้าทำบาปที่เห็นตามข่าว พวกนี้ถือว่าเชื่อเรื่องพวกนี้ไหม แล้วทำไมถึงยังกล้าทำบาปอยู่ ต้องแยกเป็นเรื่องๆไป ผมไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ไม่เชื่อว่าจะมีคนมาทำโทษเรา แต่การกระทำที่เราทำไม่ดีตอนมีชีวิตจะฝังในจิตใจส่วนลึกเราแม้ตอนนี้จะจำไม่ได้ และจะตามหลอกหลอนตอนเราตาย หรือที่เขาเรียกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ส่วนเรื่องวิญญาณ การกลับมาเกิดใหม่นี่ไม่แน่ใจ แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์เกิดได้ครั้งเดียว ไม่มีชาติหน้า หรือต่อไห้มี สัตว์บนโลกมีเป็นล้านชนิด เราจะแน่ใจได้ไงว่าเราจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก %มันน้อยมากๆ เพราะงั้นก็มีชีวิตไห้มีความสุขที่สุดเพราะชีวิตได้มาครั้งเดียว แต่ก็ไม่ไปเบียดเบียนใครจนมาติดในจิตใจเรา จากคุณ : s เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 06:19:50 A:49.48.108.18 X: TicketID:165031

ความคิดเห็นที่ 38 จิตเป็นอมตะ ร่างกายเป็นแค่ยานพาหนะ จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 08:35:46

ความคิดเห็นที่ 39 เชื่อครับ ได้ปฏิบัติได้ฝึกมาบ้าง แม้ไม่ถึงขั้นลึกซึ้ง ได้เพียงผิวนอก แต่ก็พบความมหัศจรรย์ที่รีเซปเตอร์ต่างๆ ของร่างกายไม่สามารถสัมผัสได้ นักวิทย์เราเชื่อมั่นสัมผัสทางกายมากเกินไป สิ่งใดเกินความสามารถทางการรับรู้ทางกายก็คิดว่ามันไม่มีอยู่จริง ผมโชคดีที่จบวิทย์และได้ศึกษาธรรมมะคู่กันไป เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และเข้าใจด้วยว่าพุทธศาสนาคือกฏธรรมชาติ จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 09:17:53

ความคิดเห็นที่ 40 คนตั้งคำถามยังรู้ไม่ลึกพอเลยตั้งคำถามที่ออกลูกมั่วพอสมควร และคนตอบส่วนหนึ่งก็พอๆกัน สรุปแล้วผลแบบสอบถามนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 09:57:32

ความคิดเห็นที่ 41 คอมหลายตัว มีดีเฟคต่างๆกัน (อาจจะเป็นที่ระดับทรานซิสเตอร์ และเปรียบเปรยเฉยๆ) ทำให้เมื่อรับอินพุทเดียวกัน กลับแสดง เอาทพุทที่ต่างกันออกมา เมื่อคอม ออกจากสลีปโหมด ก็จะเกิดโพรเซส คืนสภาพกลับมาใหม่ (แต่ก็ยังรัน บนฮาร์ดแวร์ที่มีดีเฟคเดิม) ขณะที่คอมล็อตใหม่ ที่ออกมาเยอะๆ ก็จะมีบางตัว ที่มีดีเฟคเดียวกับตัวนี้ และ ให้เอาท์พุทออกมา เช่นเดียวกัน กับคอมตัวนี้ จงหาความต่างของ โพรเซส ของคอมล็อตใหม่นี้ กับ โพรเซสที่ เกิดขึ้นใหม่ ของคอมล็อตเก่าตัวนั้น ความต่างคือ บนคอมตัวเดียวกันนั่น สามารถดึงความจำมาได้ แต่คอมอีกล็อต มีแค่ดีเฟคเดียวกัน กฎแห่งกรรม คือ การส่งข้อมูลวิบากดีเฟคบางอย่าง เข้าระบบไป แล้วผลจะสะท้อน กับดีเฟคที่เข้าคู่กัน สะท้อนไปมา ระวห่างคู่คอม(หรือดีเฟค) หลายๆเครื่อง และตอบกลับมาได้ ซึ่งผลวิบากที่ตอบกลับมา ก็จะคล้ายๆกัน สำหรับคอมที่ดีเฟคคล้ายๆกัน และรวมถึงตัวคอมล็อตใหม่นั้นด้วย ก็จะมีผลเช่นกัน แต่บางอย่างก็สง่ผลทันที บางอย่างรอสะสมนานหน่อย ในที่นี้ ดีเฟค อาจจะมองว่าคือ ดีเอ็นเอ ไม่ได้บอกว่า ดีหรือไม่ดี กระบวนการพุทธ คือ การกำจัด ดีเฟค หรือตัวตน สายกรรม ออกจากระบบ ให้เหลือแต่นิพพาน ซึ่ง คือ จะมีแต่เอาท์พุทการกระทำ ที่ไม่มีการเบียดเบียน ต่อระบบ ประเดน คือ คอมล็อตใหม่ กับคอมพรุ่งนี้(ที่ดีเฟคตรงกัน) ต้องรับกรรมเหมือนกัน พุทธ เราไม่บอกว่า นั่นคือ ตัวตนเดียวกัน แต่บอกว่า เป็นสายกรรมเดียวกัน ******************************** ดับแล้วต้องเกิดทันทีมั้ย เกิดขึ้นหลายโพรเซสได้ป่าว จับกันเป็นสาย 1ต่อ1มั้ย ******************************** คือ เท่าที่คิดได้เมื่อคืน การมีดีเอ็นเอ ที่ดีเฟคเดียวกัน ยังบังเอิญอยู่ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นทันทีด้วย ถ้าเกิดมีหลายอัน ก็อาจจะเลือกมาต่อสายได้แค่อันเดียว หรือจะมองว่า เกิดการแยกร่างไป ก็ตามแต่ แต่ละร่าง จะมีการตัดสินใจ เกิดสายกรรมใหม่เป็นของตนเองอีก หรือมองว่า ทุกร่างนั้น เป็นสายกรรมเดียวกัน คนที่ประสบเรื่องราวเดียวกัน เข้าใจกันลึกซึ้ง และจากที่มีดีเฟคคล้ายกัน ก็จะเกิดความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ได้อีก เวลาดีใจพร้อมๆกัน ความดีใจนี่เป็นของใคร บางที อาจจะมีการส่งต้อ ผัสสะรู้สึก รอบๆความดีใจนั้นง่ายแก่กันและกันได้ อ้อ ข้ามเรื่องสำคัญไป พุทธ คือ การทำให้โพรเซสว่าง ซึ่งเมื่อว่างโล่ง ไม่ถูกรบกวนวุ่นวาย ทั้งหลายแหล่ ก็จะดีบั๊กพบดีเฟคของตัวตนเราง่ายขึ้น สรุป เรื่องนี้แสดงถึงว่า กฎแห่งกรรมข้ามชาติไปได้ แต่ว่าโพรเซสไหนจะเรียกว่า เป็นตัวตนเดียวกันบ้าง ลองพิจจราณาเอา เรื่องดีเอ็นเอที่ยกว่า เป็นแค่ตัวอย่าง จริงๆอาจจะมีดีเอ็นบีด๊เอ็นซี และการกำเนิดดีเฟคนี้ ตรงนี้ยังหาเหตุเฉพาะเจาะจงให้เกิดตรงเป๊ะ หรือ จุติ ทันทีไม่ได้ แต่บอกว่า ถึงจะสุ่ม ก็ยังมองได้ว่า มีการต่อตัวตนสายกรรม และกฎแห่งกรรมได้อยู่ +++++++++++++++++++++ ตัวอย่างสั้นๆ คือ พอผมด่านักวิทย์ไป แล้วพอนักวิทย์ด่ากลับ คนที่ดีเฟคแบบเดียวกับผม ก็รับวิบากเดียวกันนี่ไปด้วย และแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาฟัง วันหนึ่งผมก็จะได้รับคำด่ากลับมาอยู่ดี จากการสะท้อนไปมาในเครือข่าย ดังนั้น การละการจองเวร และการทำดี ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองคนเดียว แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ สายกรรมดีเฟคเดียวกัน ทั้งสายเราเอง และอีกสายที่เข้าคู่ขั้วกรรมกับเรา ทั้ง2สาย มองง่ายๆ ก็คล้ายๆว่ากรรมตกกับลูกหลานแหละ แต่มองให้ลึกขึ้น ตัวคุณในวันพรุ่งนี้ ก็คือ มารับกรรมเช่นเดียวกับลูกหลาน อีกร้อยปีผ่านไป ก็อาจจะมีคน ที่ค่อนข้างจะเหมือนคุณ(ในแง่ของดีเฟค) ต้องรับกรรมแบบเดียวกัน กับคุณพรุ่งนี้ และตรงยิ่งกว่าที่ลูกหลานรับ (เพราะลูกหลาน แม้จะรับเหตุการณ์เหมือนกัน แต่ก็คนละดีเฟค รู้สึกทุกข์สุข คนละอย่างกัน) จบละครับ เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จเอา ไม่ได้ตั้งใจจะคิด พอดีเมื่อวานคิดค้างอยู่ เมื่อตื่นมา เลยต่อจนจบ พอดีว่าโลกวัตถุ มันต่อสายกรรมเดิม ในชาติภพนี้ และเป็น 1ต่อ1ชัด เดี๋ยวรอให้ถ้าเราโคลนทั้งคน ทั้งจิตได้ แยกร่างออกมาหลายร่างได้ หรือมอง เป็นโลกซอฟต์แวร์ ที่ไปดึงขอโพรเซสจากโพรเซสพูล เกิดโพรเซส มารองรับจับเข้ากับ ความจำ ก็จะเห็นได้ว่า ตัวตนข้ามชาติ มันก็ไม่ได้ต่างเท่าไหร่ ทั้งนี้ ถ้าได้ศึกษา ภวังค์จิต ช่วงสลีปโหมด เหตุการเกิดโพรเซสใหม่ ที่สืบเนื่องจากโพรเซสเดิมมา หรือได้รู้ตัวดีเฟคจริงๆได้ อาจจะเชื่อมโยงได้ดีกว่า ปล.ไม่รู้มีอะไรขัดกับทางพุทธป่าวนะครับ แต่น่าจะโอเค แค่ขาดความเชื่อมโยงไปบ้างบางจุด จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 10:43:33

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่รู้ ไม่คิดว่าเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ  .... รู้แต่ว่าตอนนี้มีชีวิตรอยู่ อยากทำอะไรก็รีบทำ แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่น   เรื่องอื่นช่างมัน จากคุณ : Dek Chan เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 13:01:08