PANTIP.COM : X12591118 ชั่วกัปชั่วกัลป์{แตกประเด็นจาก X12590182} [วิทยาศาสตร์]

ชั่วกัปชั่วกัลป์{แตกประเด็นจาก X12590182}

ในศาสนาพุทธมีนิยามของกัปป์ไว้ว่า

กัป หรือ กัลป์ (บาลี: กปฺป; สันสกฤต: कल्प กลฺป) มีความหมายหลายทาง ได้แก่ กาล, เวลา, สมัย, อายุ, กำหนด, วัด, ประมาณ เป็นคำบอกถึงช่วงเวลาที่ยาวนานที่ใช้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก [1]
คำว่ากัปนั้นมิได้มีเวลาเฉพาะ โดยจากการค้นคว้าข้อมูลเปรียบเทียบในพระไตรปิฎก ก็มีการให้เปรียบเทียบโดยระยะเวลาไว้ใน สาสปสูตร [2] ว่า

ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล

ในเวบวิชาธรรม [3] ได้มีการทำคำนวณเปรียบเทียบว่าระยะเวลาดังกล่าวนั้น จะยาวนานถึง 3.3 x 10²⁴ ปี โดยสมมุติเมล็ดผักกาด มีขนาดประมาณ 0.5 mm และก็ยังไม่ถึงเวลาสิ้นกัป และยังมีพบว่า โดยนิยามของกัปนั้น ต้องครอบคลุมถึงอายุขัยของทุกสิ่งทั้งในโลกของนรกและสวรรค์ ถ้าเราจะนับอายุของสัตว์นรก อายุ 1 ปทุมมะ นั้นก็ยาวนานถึง 2.6 x 10²⁶ ปี ดังนั้น กัป ต้องเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั้น

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:15:53

ความคิดเห็นที่ 1

ประวัติศาสตร์ของดวงดาว กาแลคซี่ และจักรวาล

จักรวาลที่เราอยู่นั้นมีอายุขัยประมาณ 15,000,000 ,000 ปี นับจากการเกิด Singularity สำหรับอายุขัยของระบบสุริยะที่เราอยู่นี้ เกิดมาได้เพียง 4,500,000,000 ปี และน่าจะดำรงอยู่ได้ประมาณ 14,000,000,000 ปีก่อนดวงอาทิตย์จะดับสลาย[4] อายุของสิ่งมีชีวิตนั้น สั้นยิ่งกว่า โดยสิ่งมีชิวิตบนโลกนี้ ที่พัฒนาจนถึงระดับของการเป็นเซลล์ก็เพียงในช่วงยุค Cambrian เมื่อ 500,000,000 ปีก่อน[5] ในยุคก่อนนั้น ที่มีก็เป็น Protocell ที่เป็นเพียงโมเลกุลที่เพิ่มจำนวนตัวเองได้ ซึ่งหาอ่านต่อได้ในบทความ ทฤษฎีวิวัฒนาการ การกำเนิดของเซลล์แรก ในคลังกระทู้ครับ

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/03/X11800285/X11800285.html
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 00:11:40

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:17:50

ความคิดเห็นที่ 2

ส่วนนับจากปัจจุบันไป สิ่งมีชีวิตบนโลก ก็อาจดำรงอยู่ได้อีกประมาณ 500,000,000 ปี เพราะ ณ ตอนนั้น ดวงอาทิตย์จะมีการปล่อยพลังงานออกมามากขึ้น และจะทำให้ความร้อนสัมผัสบนผิวโลกมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้[6] และเมื่อบีบ Scope ลงมาอีกนิด สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์นั้น ก็เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ 1-2 ล้านปีที่ผ่านมานี้เอง และที่เป็นมนุษย์จริงๆก็เพิ่งจะแค่ 100,000 ปีที่แล้ว [7]

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:18:25

ความคิดเห็นที่ 3

ถ้าพูดถึงกรอบของอารยธรรม อารยธรรมมนุษย์ที่เป็นเมืองนั้น มีอยู่ไม่เกินเพียง 10,000 ปีที่แล้ว [8] สิ่งที่บ่งชี้ได้ก็คือ มันไม่มีเมืองหรืออะไรที่มีอารยธรรมสูงส่งมาก่อนยุคของเรา ภายใต้ขอบเขตนี้ พุทธกาลก่อนของพระกัสสปะพุทธเจ้า ย่อมไม่สามารถกำเนิดอยู่ในดาวดวงนี้อย่างแน่นอน เพราะอายุขัยของท่านคือ 20,000 ปี [9] แต่หากถ้าเรื่องราวนี้เป็นจริงได้ ก็อาจเกิดขึ้นนอกสุริยจักรวาลนี้ เพราะ มันก็ยังมีช่วงเวลาถึง 15,000,000,000 ปี ตั้งแต่กำเนิดของจักรวาล และ มันก็อาจถูกต้องกว่าถ้าจะคิดว่า สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาที่จะสูงถึง 20 ศอก หรือ 10 เมตร มันน่าจะเกิดบนดาวดวงอื่นที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลก

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:18:56

ความคิดเห็นที่ 4

อายุขัยของจักรวาล เทียบกับกัป

อายุขัยของจักรวาลยังเป็นปริศนา เพราะในทางวิทยาศาสตร์ โมเดลของจักรวาลก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่า มันจะขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด และศักย์ภาพการทำงานจะถูกใช้ จนไม่เหลือศักย์พลังงานใดๆจะให้กำเนิดดวงดาว และสิ่งมีชีวิตใหม่ๆได้ หรือว่ามันจะหดตัวแล้วย้อนเริ่มกระบวนการ Big Bang ใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวแปรสัดส่วนความถ่วงจำเพาะต่อความถ่วงจำเพาะวิกฤติของจักรวาลนี้ Ω [10] โดยโมเดลทางวิทยาศาสตร์นั้น ถ้า Ω มากกว่า 1 นั่นคือจักรวาลเปิด และไม่มีการย้อนกลับ ถ้าน้อยกว่า 1 นั่นคือจักรวาลปิด และมีทางหดตัวย้อนกลับ [11] และเพราะเรากำลังเทียบกับโมเดลของพุทธ เราจึงจะให้ความสำคัญกับโมเดลของจักรวาลที่มีทางหดตัวย้อนกลับมากกว่า แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบันจะยังไม่ปรากฏการชะลอตัวที่ว่า แต่อย่างน้อย ก็ไม่มีหลักฐานค้านว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

สำหรับจักรวาลที่เราอยู่นี้ อยู่ในช่วงของการขยายตัว ซึ่ง ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ในห้วงจักรวาลนี้ การเกิดและดับของดวงดาว และกาแลคซี่ ยังอาจเกิดต่อไปได้อีกประมาณ 10¹⁴ ปี จึงจะเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมถอย และในช่วงของการเสื่อมถอยจนไปถึงจุดสุดท้ายของจักรวาลที่กลายเป็นหลุมดำ และค่อยๆระเหิดหายไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hawking Radiation ระยะเวลานั้น ก็จะอยู่ในช่วง 10¹⁰⁰ ปี [12] และรวมไปถึงกระบวนการ Big Crunch ที่จะต้องตามความเชื่อของชาวพุทธที่เรายังไม่พบหลักฐานว่ามันจะยาวนานแค่ไหน และความยาวนานนั่นอาจเป็นขอบเขตของเวลาของกัป ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงว่า มันสุดประมาณ และ นอกจากว่า มันยาวนานมากๆ ระยะเวลาของแต่ละ Cycle มันอาจสั้นยาวไม่เท่ากันด้วยซ้ำ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:20:30

ความคิดเห็นที่ 5

วิทยาศาสตร์แบบแปลกๆของชาวพุทธ

ชาวพุทธในประเทศไทย จะมีอะไรบางอย่างเพี้ยนๆ จากการพยายามตีความวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับศาสนาโดยพระบ้าง นักเขียนบ้าง ชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าโลก หรือ ภพนี้ จำกัดอยู่แค่ดาวที่ชื่อว่าโลก และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อนต้องเกิดบนดาวดวงนี้ โดยอ้างไปว่านักวิทยาศาสตร์ทำนายอายุผิดบ้าง และยังพยายามหาโยงถึงวัตถุเกินโบราณที่แสดงถึงอารยธรรมในยุคเกิน 1,000,000,000 ปี เช่นกรณีของ เหม ญาณวีโร กับหนังสือ “บางสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าเห็น แต่จากบทความนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะจับสังเกตถึงความยาวนานของขัยของอารยธรรม ของดวงดาว ของระบบสุริยะ และของจักรวาลได้

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราจินตนาการถึงห้วงเวลาอันแสนยาวนานของจักรวาลไม่ออกด้วยการอ่านแค่ตำราทางศาสนา และไม่เปิดใจถึงความน่าจะเป็นแบบต่างๆ มนุษย์คนนั้นก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากว่า สิ่งในตำนานที่เราบูชาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกจากมนุษย์ ว่ากันจริงๆ คนที่เขียนรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่า ของจริงเป็นอย่างไรก็ได้แต่จินตนาการเอา พระพุทธเจ้าองค์ก่อน แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว อาจมีหน้าตาอย่างอุลตร้าแมน ก็ยังได้ และมันก็จะดูสวยงามเป็นปรกติของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ตำนานที่บันทึกสืบกันมา มันก็แค่เป็นการต่อความตีความเท่าที่ขีดความสามารถของมนุษย์จะรับออกมาได้เท่านั้นเอง กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่จะโยงมาถึงกฏทางเคมีในกัปที่ต่างๆกันอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเลย เพราะกฏทางฟิสิกส์ที่มีอยู่ ก็จำกัดเฉพาะในกัปนี้ ความรังเกียจที่เรามีอยู่ต่อรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ก็เป็นอคติที่เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์แค่นั้นเอง

ผมคิดว่าโลกตะกวดพูดได้ เช่นใน โคธชาดก บางทีมันน่าจะคล้ายๆกับอย่างนี้มากกว่า

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:24:05

ความคิดเห็นที่ 6

อ้างอิง
[1] http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B
[2] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=4850&Z=4868&pagebreak=0
[3] http://www.vichadham.com/kup.html
[4] http://en.wikipedia.org/wiki/Solar_System
[5] http://en.wikipedia.org/wiki/Cambrian
[6] http://en.wikipedia.org/wiki/Future_of_the_Earth
[7] http://en.wikipedia.org/wiki/Human_evolution
[8] http://en.wikipedia.org/wiki/Human_history
[9] http://th.wikipedia.org/wiki/พระกัสสปะพุทธเจ้า
[10] http://en.wikipedia.org/wiki/Friedmann_equations
[11] http://en.wikipedia.org/wiki/Ultimate_fate_of_the_universe
[12] http://en.wikipedia.org/wiki/Future_of_an_expanding_universe

ปล. สำหรับช่วงเวลาของกัป และ ยุคยังมีตำนานของฝั่งพราหมณ์และฮินดูให้ค้นต่อไปได้อีก และการตีความก็ยังแตกต่างออกไปได้มาก ถ้าเทียบกับความเชื่อของพุทธแบบเถรวาทในไทย ซึ่งสามารถลองค้นอ่านต่อได้ ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.oration.com/~mm9n/articles/dev/13Ages.htm

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:26:02

ความคิดเห็นที่ 7

รู้สึกว่าปัญญามนุษย์อย่างผมนี่ น้อยนิดเกินจะเข้าใจจริงๆ

ไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมพระจึงนั่งสมาธิ

เหมือนจะเข้าใจมาแว๊บนึง ว่าสมาธิทำให้เกิดปัญญายังไง แต่ก็ไม่เข้าใจเพราะไม่มีสมาธิ

จากคุณ : ช่างบ้านนอก

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:43:35

ความคิดเห็นที่ 8

มองให้เป็นคณิตละกัน ไม่อยากินบะหมี่เส้น

มีศัพท์อีกตัวนึง เรียกว่า พุทธันดร หรือช่วงรอยต่อของศาสนาพระพุทธเจ้าแต่ละองค์
โดยมีประมาณว่า ภูเขาสูงขึ้น 1 โยชน์จากระดับเดิม

แต่เราไม่มองขนาดนั้น 16 กม.มากไป

เอาว่า เรารู้ว่า เทือกเขาหิมาลัย แม้แต่ยอดเอเวอเรสต์ เคยอยูใต้ทะเลลึก
ก็เลยอยากทราบว่า ใครมีตัวเลขบ้างไหมว่า เพลตอินเดียที่ถูกดันเปลี่ยนจากก้นทะเลลึกมาเป็นยอดเขาสูง 8000 เมตร จากระดับน้ำทะเล นี่ มันกี่ร้อยล้านปี

อย่างภูกระดึงจากทะเลมาเป็นยอดเขาแบบนี้มันประมาณ 60-120 ล้านปี เป็นต้น

จะได้กะเวลาเกิดใหม่ถูก :)

จากคุณ : bbiggy

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:14:22

ความคิดเห็นที่ 9

อยากให้รวมเวลาเรื่อง พระพุทธเจ้า500ชาติ ด้วยนะครับ

คือ แต่ละคนก็มีพื้นเพต่างกันไป และก็ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเชื่อ ยึดถือ
ความเป็นไปได้จากวิทย์ มากกว่าทางอื่น

ผู้ข้องแวะทางวิทย์ ก็คงจะเห็นว่า
เวลาในปิฎกเกิน จากเวลาโลกมนุษย์

สรุป ร้อยเรื่องราวตรรกะมา ก็คือ เรื่องราวนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบนมิติพื้นโลก

ส่วนตัวผม จะไม่เกิดที่ดาวนาแม็กซ์ หรือเกิดในมิติภายใตสตริงอีกที
มิติคู่ขนาน หรืออื่นๆ
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

คนที่ได้ยิน ความเป็นมาอย่างหนึ่ง ก็ประมาณการณ์ไปได้แบบนึง

อย่างน้อยๆก็น่าจะโอเค ที่เค้ายังใช้ตตรกะ ยังรับฟังตัวเลขประจักษ์จริง

ไม่ได้ใช่การหลัหูหลับตา เชื่อเอง คิดเองหมด

สมมติ มีสิ่งที่เราเองเชื่อถือ อยู่2อย่าง
จับมันมาเสริมกัน ก็เพื่อประโยชน์อย่างนึง
จับมันมาแย้งกัน ก็เพื่อประโยชน์อกอย่างนึง

ก็น่าจะดีกว่า เชื่อไปอยู่สิ่งเดียว

แต่ละเครื่องมือ ก็มีประโยชน์ของมัน

ก็จับมันมาใช้ประโยชน์ ได้มากที่สุดดีกว่า

อะไรจะยืนยันว่า สิ่งนี้ๆนั้น จะเป็นยาวิเศษ รักษาสารพัดโลกได้

จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:14:29

ความคิดเห็นที่ 10

แต่คุณเทียด ผมว่าการที่เราค้นพบดาวเคราะห์ในระบบอื่น แล้วมีธาตุต่างๆคล้ายๆกับระบบสุริยะ

แปลว่า ถ้าในทางช้างเผือก ดาว 1 แสนล้านดวง โดยมาก น่าจะมีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายคลึง
ต่างในรายละเอียดปลีกย่อยแค่ธาตุหายากนิดๆหน่อยๆ ตามอายุของ supernova ต้นกำเนิด

ดังนั้น เราพอจะเหมาๆว่า รูปลักษณะสิ่งมีชิวิต ที่มี Carbon เป้นองค์ประกอบหลักแบบเรา
มันเป้นลักษณะสามัญของระบบ galaxy ทางช้างเผือก คือระบบดาวไหนๆ มันก็แบบนี้ ต่างแค่น้ำมาก น้ำน้อย
ร้อนมาก ร้อนน้อย เท่านั้น

จะโมเมแบบนั้นได้ไหม

จากคุณ : bbiggy

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:20:35

ความคิดเห็นที่ 11

ตามเจ้าของกระทู้

สิ่งนั้น อยู่ใน คำอธิบาย พุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในอดีตแล้วมั้งครับ

เรียกว่า พระพุทธฉัพพรรณรังสี ของแต่ละองค์

อาจเทียบได้กับ อารยธรรมของสิ่งทรงภูมิปัญญา ที่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ก็ได้
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 17:25:00

จากคุณ : ..... (@Ble)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:24:05

ความคิดเห็นที่ 12

มันก็น่าจะได้นั่นละ คือไอ้ชีวิตอย่างอื่นรูปแบบอื่นจะมีได้ไหม เราไม่รู้ แต่เรารู้ละว่า ระบบ C-H-N-O นี่เวิร์คชัวร์

สำหรับทางช้างเผือกเรา องค์ประกอบ มันก็ไม่จำเป็นต้องคล้ายกัน หรือต่อให้คล้ายกัน ด้วยสมดุลพลังงานที่แตกต่างกัน แรงโน้มถ่วงที่แตกต่างกัน การแข่งขันของชิ้นส่วนจาก Silicon มันก็อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำ (มั๊ง)

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:26:50

ความคิดเห็นที่ 13

ด้วยแรงดึงดูดแล้ว สิ่งมีชีวิตจาก S น่าจะมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ C
มันจะ crack ซะก่อน เดินๆอยู่ หักกร๊อบ ไม่สนุกมั้ง

จากคุณ : bbiggy

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:32:27

ความคิดเห็นที่ 14

S นี่ Valence 6 เน้อ หรือตกตัว i หว่า

ตรงนี้ ซิลิโคน ก็ซิลิคอนนะครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 17:35:34

ความคิดเห็นที่ 15

Si สิ
ข้าพเจ้า้บลอ

จากคุณ : เขียนบนคุณซัมซุง (bbiggy)

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 18:26:27

ความคิดเห็นที่ 16

ว่าแล้วก็คิดถึงตาซัมๆนะ เอ หรือว่ายาย

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 19:58:33

ความคิดเห็นที่ 17

ได้แต่คาดเดาหรืออนุมานเอาต่างๆนานา เป็นจริงหรือไม่จริง ไม่มีใครรู้100% พระพูทธเจ้าท่านย้อนระลึกชาติไปหลายๆชาติ ยังหาที่กำเนิดไม่ได้ แต่ท่านหาที่สิ้นสุดได้นั้นคือศูนยตา

จากคุณ : artandsun

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:35:05

ความคิดเห็นที่ 18

ส่วนตัวไม่เคยสนใจเลยครับว่า พระพุทธเจ้าท่านจะเป็นอย่างไรในอดีตชาติ

สิ่งที่เดียวที่ทราบก็คือ พระองค์ได้เกิดมาในชาติภพนี้ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งได้ศึกษาหาความรู้จนเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง และนำมาสั่งสอนให้มนุษย์ได้รู้จักและทำความเข้าใจในวิถีแห่งธรรมชาติ รวมถึงวิธีการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเป็นสุข

จากคุณ : เกียรตินำ

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 22:16:31

ความคิดเห็นที่ 19

สมแล้วที่พระองค์เรียกว่า อจินไตย

คิดไปก็ปวดหัว หาข้อสรุปไม่ได้

แต่ก็เป็นการฝึกให้คิดหาเหตุผลที่ดีมาก ว่าอย่าเชื่อก่อนพิสูจน์
เหมาะกับผู้เจริญแล้ว

สำหรับข้ออจินไตย เดาเอาว่าสำหรับเรียกศรัทธา
จากผู้ว่างเปล่า ให้ผุดจากน้ำ
พอเกิดปัญญา คิดไปคิดมาได้ ก็ได้ข้อสรุปว่า
คิดไปก็หาคำตอบไม่ได้

จากคุณ : apollo14

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 22:41:45

ความคิดเห็นที่ 20

เรื่องอจินไตย มันก็คงแล้วแต่คน และก็อาจแล้วแต่กาลด้วย ณ ตอนนี้ สิ่งที่เรียกว่าจักรวาลไม่ได้อยู่นอกความสามารถของคนทุกคน ผมเชื่อว่าแม้คำอธิบายแบบง่ายๆปราศจากสมการอย่างกระทู้นี้ก็อาจเป็นเรื่องเกินวิสัยของคนเมื่อ 2-300 ปีก่อนครับ

อย่างไรเสีย ก็อย่าไปห้ามคนถกคนคิดกันนะครับ คำว่าอจินไตยควรเป็นเรื่องใช้รู้ตัว ไม่ใช่ห้ามการคิดครับ ผมเชื่อว่า อย่างน้อย การที่มนุษย์จะคิดเลยกรอบที่เรียกว่าประเทศหรือโลกได้ มันน่าจะทำให้มนุษย์รู้สึกถึงความกะจ้อยร่อยของตัวเอง และได้เห็นว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของเราดูเล็กไปถนัดตา ไม่ว่าจะสีเสื้อหรือการเมืองครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 23:08:39

ความคิดเห็นที่ 21

ขออนุญาตเพิ่มเิติม

ในพระพุทธศาสนา สอนเรื่องระบบสุริยะจักรวาลไว้อย่างน่าสนใจ เพราะในพระสูตร พระพุทธองค์แสดงถึงจำนวนจักรวาล ดวงอาทิตย์ และดาวโลก ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ระบบสุริยจักรวาลนอกจากของเรา มีนับแสนแสนล้าน

"ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ
สว่างไสวรุ่งโรจน์ (คือระยะีที่รัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ส่องแสง) โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน

ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน (ทรงอธิบายว่า ในแต่ละระบบสุริยจักรวาล ประกอบด้วยดาวโลกมนุษย์ ระบบละสี่ดวง - ทวีป=ดาวโลก)

มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล

โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ
อย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้าน
จักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์
ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้
ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ"

โดยตรงจากพระไตรปิฎก
จูฬนีสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5985&Z=6056&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=520

เพิ่มเติม พระไตรปิฎกบทที่อ่านแล้วเจ็บ

ปิยชาติกสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=8452&Z=8627&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=535

จากคุณ : Serene_Angelic

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 00:26:12

ความคิดเห็นที่ 22

"ชาวพุทธในประเทศไทย จะมีอะไรบางอย่างเพี้ยนๆ จากการพยายามตีความวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับศาสนาโดยพระบ้าง นักเขียนบ้าง ชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าโลก หรือ ภพนี้ จำกัดอยู่แค่ดาวที่ชื่อว่าโลก และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อนต้องเกิดบนดาวดวงนี้ โดยอ้างไปว่านักวิทยาศาสตร์ทำนายอายุผิดบ้าง และยังพยายามหาโยงถึงวัตถุเกินโบราณที่แสดงถึงอารยธรรมในยุคเกิน 1,000,000,000 ปี เช่นกรณีของ เหม ญาณวีโร กับหนังสือ “บางสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าเห็น แต่จากบทความนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะจับสังเกตถึงความยาวนานของขัยของอารยธรรม ของดวงดาว ของระบบสุริยะ และของจักรวาลได้

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราจินตนาการถึงห้วงเวลาอันแสนยาวนานของจักรวาลไม่ออกด้วยการอ่านแค่ตำราทางศาสนา และไม่เปิดใจถึงความน่าจะเป็นแบบต่างๆ มนุษย์คนนั้นก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากว่า สิ่งในตำนานที่เราบูชาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกจากมนุษย์ ว่ากันจริงๆ คนที่เขียนรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่า ของจริงเป็นอย่างไรก็ได้แต่จินตนาการเอา พระพุทธเจ้าองค์ก่อน แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว "

ตามประัวัติจริงจากพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้า 21 พระองค์ก่อนหน้าพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน อุบัติที่ดาวโลกดวงอื่น เว้นแต่พระพุทธเจ้าสามพระองค์หลัง อุบัติที่ดาวโลกของเรา

ไม่ใช่ความเพี้ยนของตำราในประเทศไทย แต่เป็นข้อมูลที่สืบมาจากการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกหลังพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน

ตำราจริง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%BE%D8%B7%B8%C7%A7&book=9&bookZ=33

จากคุณ : Serene_Angelic

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 00:29:04

ความคิดเห็นที่ 23

อจิณไตยไม่ใช่เรื่องของการห้ามคิด แต่เป้นเรื่องที่ปุถุชน ไม่ควรคิด ไม่ควรหาคำตอบ
เพราะเป็นทางไปสุ่ความบ้า ความฟุ้งซ่าน เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ปุถุชนในทาง
พุทธเสียก่อนด้วยว่าเป้นอย่างไร

ปุถุชน(บุถุชน),บุคคลธรรมดา คนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส ยังไม่เป็นอริยบุคคลหรือพระ
อริยะ

ก็เหมือนสอนเด็กอนุบาลให้คิดแคลคูลัสหรือคณิตศาสตร์ชั้นสูง โดยไม่มีพื้นความรุ้มาก่อน
ย่อใคิดไม่ได้จิตนาการไม่ถึงว่าต้องทำอย่างไรนั่นแหละ

โดยส่วนตัวเรามองว่าศาสนาพุทธสอนแค่ 2 สิ่ง ทุกข์คืออะไร และทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์
นั้นได้อย่างสนิทโดยไม่มทีทางเกิดได้อีก ธรรมมะทั้งหลายทั้งปวงย่อมประชุมลงจุดมุ่ง
หมายเดียวคือการดับทุกข์ในที่สุด

หากต้องการพิสูทธิ๋เรื่องของศาสนาทพุทธ จึงต้องพิทสูทธิ์ที่เรื่องนี้ว่าทุกข์นั้นคืออย่างไร
แล้วทำตามพุทธโอวาทแล้วดับทุกข์ได้จริงไหมว่า

สันทิฏฐิโก หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง
ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำ บอกเล่าของผู้
อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้

อกาลิโก หมายถึง ไม่ประกอบด้วยกาล
ผู้ปฏิบัติไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา พร้อมเมื่อใดบรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใดเห็นผลได้ทันที นั่น
คือ ให้ผลในลำดับแห่งการบรรลุ ไม่เหมือนผลไม้อันให้ผลตามฤดูกาล

เอหิปัสสิโก หมายถึง ควรเรียกให้มาดู
พระธรรมเป็นคุณอัศจรรย์ดุจของประหลาดที่ควรเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์ หรือท้าทาย
ต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายถึง อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
ผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ทุกคนที่น้อมนำมาปฏิบัติ จะรู้ซึ้งถึงผลแห่ง พระธรรมนั้น
ด้วยตนเอง ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ในใจ ของตนเอง

เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ของศาสนาพุทธทำแล้วเป้นตามข้างบนจราิง ก็คือจริงเพราะนี่
คือจุดมุ่งหมายหลักของศาสนาพุทธแล้ว ส่วนเรื่องต้องเอามาเทียบเคียงวิทยาศาสตร์ เรื่อง
อิทธิปาฎิหารย์บลูไม่เคยเอามาใส่ใจให้รกสมอง ในเมื่อแก่นแท้ของพุทธคือเรื่องอะไร ก็ไม่
รุ็จะไปหลงเปลือกให้เสียเวลาทำไมอีก

จากคุณ : บลูดานูป

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 00:39:32

ความคิดเห็นที่ 24

คห 22 ถ้าเช่นนั้น ก็คือตำราผิดนะครับ แต่ผมมองในแง่ดีคือคนตีความรู้ไม่จริงมากกว่าคำสอนดั้งเดิมผิด ก็นั่นละ อย่าเชื่อจากตำราไม่ใช่เฉพาะคนพุทธกล่าวออกไป แต่ต้องทบทวนตัวเองด้วย

แก้ข้อความ ทบทวนดู ปัญหาประเด็นอยู่ที่การตีความโลกอย่างแคบๆ โดยไม่รู้ตัวจึงจำกัดลงบนดาวนี้ครับ ตำราไม่ได้ผิด ไม่สามารถบ่งชี้ความเป็นดาวได้ คนแปลว่าเป็นดาวดวงนี้คือแปลไปเองครับ

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 01:48:59

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 01:12:38

ความคิดเห็นที่ 25

คห 23 นั่นคือการปิดกั้นผู้อื่น วิทยาศาสตร์จะติเตียน ตัวเองไม่อยู่ในวิสัยก็ปล่อยวางเองนะครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 01:14:53

ความคิดเห็นที่ 26

ที่ผมคิดนะ จะหลุดพ้นไปเพื่ออะไร การอรหันต์นี่มันดีขนาดที่ว่าเอาตำแหน่องราชาแห่งโลกมาแลกได้นี่แสดงว่าการหลุดพ้นนี่ต้องมีแดนหรืออะไรที่รองรับ สิ่งที่ดีกว่าการเป็นบุคล การมีชีวิต ผมว่าการหลุดพ้นนี่ต้องเป็นการเข้าไปสู่จิตสำนึกร่วมแน่เลย ไปสู่ที่ที่เป็นหนึ่งเดียว ไร้รูปร่าง ก้อนจิตที่ครอบคลุมทั้งจักรวาล

ถ้ามันไม่ดีจริงผู้สูงส่งทั้งหลายคงไม่ดิ้นรนเป็นร้อยเป็นพันรอบ เพื่อให้ได้ไปถึง

บางทีระบบมันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้

บิ๊กแบ๊ง > เกิดจักรวาล > เกิดจิตสำนึกขนาดใหญ่ > จิตที่สงสัยในตัวเอง หรืออยากมีประสบการใหม่มาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต > ใช้ชีวิตไปจนหลุดพ้นแล้วไปรวมที่จิตสำนึกรวมใหม่พร้อมถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้มา

จากคุณ : jackmaster

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 04:30:58

ความคิดเห็นที่ 27

ผมมองว่ามันเป็นแค่จินตนาการของมนุษย์ ที่สร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อตอบคำถามที่ปัญญายังคิดไม่ออก

ก็ไม่ต่างกับผมบอกว่า ผมมีเงินพันล้านอยู่กับตัวตอนนี้
แต่ต้องเป็นคนที่เข้าถึงนะ ถึงจะมองเห็นเงินของผมที่กองอยู่ตรงนี้

จะไปพิสูจน์ได้ยังไง ในเมื่อมันเป็น จินตนาการ จะพูดอะไรให้มาก ใหญ่ เยอะ ยังไงก็ได้ ไม่มีขอบเขตการพูดอยู่แล้ว เท่าที่ปัญญาของคนพูดจะคิดอะไรออกมาบอกคนอื่น

จากคุณ : กบกินกะลา

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 08:17:12

ความคิดเห็นที่ 28

คห 26 กรณีนี้นี่รวมข้ามศาสนาเลยกระมังแล้วนะครับน่ะ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 11:22:04

ความคิดเห็นที่ 29

#26ที่พูดคือ อาตมัน ของฮินดู
พุทธเถรวาทคือนิพพาน คือการดับ มหายานแยกอีกแต่นิยม แดนสุขาวดี

จขกท.วิเคราะห์ได้ดี แต่ข้อมูลอายุช่วงสำริดของจีนมีถึง5000-7000 แต่ไม่เป็นรูปอาณาจักร เป็นชนเผ่า รบพุ่งกันอยู่ บางเผ่ามีชื่อหัวเผ่าเดียวกัน ใครขึ้นมาก็ชื่อเดิม

เรื่องเสริมแต่ง ในคัมภีร์มีมากจนแยกยากว่าอันไหนก่อน หลังและถูกใส่จนเป็นเรื่องในพุทธกาลทั้งๆที่ในพระสูตร พระวินัย ไม่ได้กล่าวถึง แค่ประเด็นกว่านาค เป็นคน หรือเผ่านากะ ที่คนอารยันไม่ยอมรับว่าเป็นคน ยังยุติไม่ได้เลย

ไมเคิล ไรท์ ให้ความเห็นเรื่องเขาพระสุเมรุว่ามาจาก ซิกกุรัต (Ziggurat)
หอที่สูงทีสุดจนเรียกว่าหอบาเบล ชื่อเอเทเมนอันกิ หรือหอฟ้าดิน ยังมีฐานรากปรากฏอยู่

Etemenanki (Sumerian É.TEMEN.AN.KI "temple of the foundation of heaven and earth") ภาษาไม่กระดิกเท่าไร คงต้องอ่านเอง

http://www.livius.org/es-ez/etemenanki/etemenanki.html

แผนที่ดาวเทียม

http://asherah-archaeology.buzznet.com/user/photos/babylon-etemenanki-esagila/?id=4525208

แบบจำลอง

http://interreligioso.mforos.com/1651397/8745627-la-torre-de-babel-es-el-zigurat-etemenanki-en-irak/

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12585568/Y12585568.html

อาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตตุรัส ตั้งเป็นศูนย์กลางเมือง ระดับชั้นที่สูงขึ้นมีระเบียงโดยรอบ คล้ายกับมหานทีสีทันดร ในไตรภูมิ ไม่ใช่โลกทิพย์อะไร
แบบที่กองเรือมหาสมบัติของต้าหมิงไปเรือแตกบางเกาะ และชนพื้นเมืองวาดรูปไว้เป็นคนหัวยาว(สวมหมวก) ชุดคลุมถึงเท้า ขี่ม้า ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีการขี่สัตว์แต่อย่างใด และมีนิทานเล่าถึงผู้มาเยือนด้วย

ในบรรดาชาดกเชื่อกันว่าเป็นเรื่องแต่งชั้นหลัง มีภูริทัตชาดกมีเนื้อหาที่ต่อต้านระบบวรรณะอย่างรุนแรง ไม่เชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผี เพราะเป็นเรื่องคนหลอกคนด้วยกัน แถมพูดถึงคนสองเผ่า โดยที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนาค อ่านยังไงก็เป็นชาวนากะ อยู่ริมน้ำ ล่องแพ มากกว่าเป็นนาคเทวดา เพราะมีเรื่องส่วยที่ต้องจ่ายให้ราชาด้วย เป็นมุมมองของบุคคลที่สาม ที่มีต่อระบบสังคมที่คนสองเผ่าประสบ

ภูเขามาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัศน์ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้และภูเขาใหญ่อื่นๆที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ที่กล่าวกันว่าพวกพราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา อิฐเช่นนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่างอื่น ไม่หวั่นไหว เห็นได้ชัดๆ ว่าเป็นหินไม่ใช่อิฐเป็นหินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ...

...มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้นผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้ แม่น้ำพัดเอาพราหมณ์ผู้เรียนเวท ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมีรสไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ ที่เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่ใช่เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นดื่มไม่ได้ เป็นน้ำรู้รสสองอย่าง

ครั้นครั้งดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ปฐมกัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้นก่อน โดยธรรมแม้นั้นใครๆ ไม่เลวไปกว่าใคร ท่านกล่าวจำแนกส่วนไว้อย่างนี้

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=28&A=4328&Z=4760

ปุณณาเถรีคาถา การลอยบาปเป็นเรื่องไร้ผล

ข้าพเจ้าเป็นหญิงแบกหม้อน้ำ กลัวเจ้านายลงโทษ กลัววาจาและโทสะเจ้านายคุกคาม จึงลงตักน้ำทุกเมื่อ แม้แต่หน้าหนาว.ท่านพราหมณ์ ท่านกลัวอะไร จึงลงอาบน้ำทุกเมื่อ ท่านมีตัวสั่นเทา ประสบความหนาวเย็นอย่างหนัก.

พราหมณ์ตอบว่า
ดูก่อนแม่ปุณณาผู้จำเริญ เจ้ารู้ว่าเรากำลังทำกุศลกรรม อันปิดซึ่งบาปกรรม ยังจะสอบถามอยู่หรือหนอ ก็ผู้ใดไม่ว่าแก่หรือหนุ่ม ประกอบกรรมที่เป็นบาป แม้ผู้นั้น ก็จะหลุดพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบน้ำ.

ข้าพเจ้ากล่าวว่าใครหนอช่างไม่รู้มาบอกกับท่าน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตนจะหลุดพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบน้ำพวกกบ เต่า งู จระเข้และสัตว์อื่นๆ ที่สัญจรอยู่ในน้ำทั้งหมด ก็คงจักพากันไปสวรรค์แน่แท้

คนฆ่าแพะ คนฆ่าสุกร คนฆ่าปลา คนล่าเนื้อพวกโจร พวกเพชฌฆาต และคนทำบาปกรรมอื่นแม้คนทั้งนั้น จะหลุดพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบน้ำ

ถ้าหากว่า แม่น้ำเหล่านี้จะพึงนำบาปที่ท่านทำมาแต่ก่อนไปได้ไซร้ แม่น้ำเหล่านี้ก็จะพึงนำแม้บุญของท่านไปด้วย ท่านก็จะพึงเหินห่างจากบุญนั้นไป.

ท่านพราหมณ์ ท่านกลัวบาปกรรมอันใดจึงลงอาบน้ำทุกเมื่อ ท่านพราหมณ์ ท่านก็อย่าทำบาปกรรมอันนั้น ขอความหนาวเย็นอย่าทำลายผิวของท่านเลย...

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=466

อย่างชาดกเรื่อง ฤาษีลวงตะกวด เป็นนิทานที่เสียดสีสังคม เพราะแกงตะกวดอร่อย คนไทยมีวิธีจับตะกวดที่ง่ายจนนึกไม่ถึง แต่ของแขกตะกวดฉลาด รู้ทันพวกหากินกับความเชื่อของคน

เนื้อหาในคัมภีร์สายเถรวาท จำเป็นต้องพิจารณาเป็นส่วนๆไป จะยึดถือทั้งหมดไม่ได้ เพราะกว่าจะเริ่มจารลงใบลานก็ผ่านมาไม่ต่ำกว่า300ปีหลังพุทธกาล และมีสามส่วนซึ่งสมัยพุทธกาลมีสองส่วน และมีความพยายามรวบรวมตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ส่วนอรรถกถาเป็นงานชั้นหลังแน่นอน
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 21:37:55
แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 14:10:47

จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 14:08:16

ความคิดเห็นที่ 30

มันให้สงสัยอยู่ว่า หนึ่งนาที ของบิ๊กแบง มันเท่ากับหนึ่งนาทีในตอนนี้หรือไม่. หนึ่งปีหลังเกิดบิ๊กแบง มีเวลาเท่ากับ 360 วันหรือไม่

บางทีอะไรๆ มันอาจจะเกิดได้ภายในสองนาทีก็เป็นได้ แบบเคยดูสารคดีภูเขาไฟ จากพื้นเรียบๆ กลายเป็นภูเขาสูงๆได้ในเวลาแค่สองอาทิตย์ แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่า อยู่มันก็โตช้าลงปีละสอง ซม. คนยุคหลังกเลยเอาปีละ2 ซม หารด้วยความสูง ได้ผล ออกมาว่าเขาลูกนี้ใช้เวลานับพันๆปี ทั้งที่มันเกิดได้เมื่อสองปีที่ผ่านมานี่เอง

ว่าแต่ว่า เวลาของเราตรงกันหรือไม่

จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 14:51:06

ความคิดเห็นที่ 31

ในเรื่องของเวลา มันขึ้นอยู่กับจุดสังเกตการณ์น่ะครับ โอเค ในช่วงการเกิดบิ๊กแบง การขยายตัวมีความเร็วสูงมาก เวลาอาจเดินช้ามากเมื่อเทียบกับปัจจุบันแต่ในจุดสังเกตการณ์ มันก็จะพบว่าเวลาเดินเท่ากัน และเราคงต้องใช้เวลา 3 นาทีในการชงบะหมี่ถ้วยเท่ากันนะครับตาหน้าไม้

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 16:23:54

ความคิดเห็นที่ 32

เป็นกระทู้ที่ผสานกันระหว่างวิทยศาสตร์กับศาสนาได้อย่างประเทืองปัญญาดีแหะ หายากมาก ๆ

#31
เรื่องกรณีของเวลา ในทางความเชื่อศาสนา เขาเชื่อว่า สวรรค์ โลก นรก ล้วนแต่มีเวลาที่ไม่ตรงกันนิ
เวลาของสวรรค์ช้ากว่า เวลาของโลกรองลงมา ส่วนเวลาของนรกเคลื่อนไปเร็วสุด
ตรงจุดนี้ก็อาจจะเป็นประเด็นให้คิดด้วยเช่นกัน
ว่าเวลาที่ศาสนานำมากล่าวถึง หมายถึงเวลาของที่ใด
แม้จะเป็นเวลาของภพภูมิโลกมนุษย์เองก็เช่นกัน แต่ละส่วนของจักรวาลดำเนินไปด้วยความเร็วเท่ากันหรือไม่ ?
ถ้าไม่ แล้วเป็นไปได้หรือเปล่าว่าเวลาในความเชื่อต่าง ๆ ที่อ้างอิงมา จะใช้เวลาที่ไม่ตรงกับโลกเราในปัจจุบันนี้ ?

แต่ถึงไม่พูดเรื่องเวลาที่ดำเนินไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่และภพภูมิ
ขนาดเรื่องของ "วัน" ยังไม่เท่ากันเลย แค่เพียงเปลี่ยนไปอยู่ยังอีกดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเดียวกันเท่ากัน

จากคุณ : ซ่อนนาม

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 20:58:31

ความคิดเห็นที่ 33

เรื่องจักรวาล ดาราศาสตร์ ท่านก็เจ๋งจริงนะ
รู้ว่ามีกาแลคซี่เยอะมหาศาลก่อนกล้องฮับเบิ้ลถ่ายมาได้เสียอีก ^^

เรื่องเวลา ท่านก็เปรียบเทียบได้ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ยุคนี้มาก

จากคุณ : music&lyric and cats

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 22:08:29

ความคิดเห็นที่ 34

มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่มีมิติอื่น ๆ ซ่อนอยู่จากการเหลื่อมล้ำของเวลา

จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 22:08:33

ความคิดเห็นที่ 35

จขกท เขียนได้ดีมากครับ

ส่วนตัวปีนี้เจอเรื่องแปลกๆหลายอย่าง เลยค่อนข้างมั่นใจว่า มีภพภูมิอื่นอยู่จริงๆนะ แต่ยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งพุทธนั้นอธิบายไว้ว่า แต่ละภพนั้นมิติเวลไม่เท่ากัน เป็นไปได้มั้ยว่า มันซ้อนทับกันอยู่แต่คนละมิติที่4คือเวลา คล้ายๆกับมดที่ไม่มีมิติที่3จะมองไม่เห็นกันถ้าอยู่คนละชั้น

===========================================
#21 ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ

1โลก ประกอบด้วย 1ดวงอาทิตย์ + 1ดวงจันทร์ + 4ทวีป + 4มหาสมุทร (ในมิติเวลาเดียวกัน)

1โลกธาตุ ประกอบด้วย 1โลก + 6เทวโลก + พรหมโลก +นรกภูมิ (ในมิติเวลาต่างกัน)

1จักรวาล ประกอบด้วย แสนโกฎิโลกธาตุ

ปล.ไม่รู้ผมเข้าใจผิดรึป่าวครับ
===========================================

จากคุณ : เกียดเกียด

เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 23:10:35

ความคิดเห็นที่ 36

E = mc2

จากคุณ : ^KaNoM_MaNiA^

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 01:53:55

ความคิดเห็นที่ 37

ผมก็ไม่เชื่อว่าในพระไตรปิฎกจะถูกไปหมด แต่ว่า

1 หน่วยสมัยโบราณ มันไม่ได้มาตรฐาน จะเทียบตรง ๆ ไม่ได้หรอก ขนาด ออนซ์ ยังมีหลายแบบมากเลย
ว่าแต่บิกแบง ยังเถียงกันอยู่เลยว่านานเท่าใหร่แล้ว ลองดูตามนี้
http://www.guardian.co.uk/science/2006/may/05/spaceexploration.universe

2 เราจะรู้ได้ไงว่า บิ๊กแบงมีครั้งเดียว กัป อาจหมายถึงชั้วจักรวาลเกิดถึงดับก็ได้ หรือ เวลาระหว่างบิกแบงแต่ละครั้ง
ทำไมบางคนวัดอายุของ วัตถุบางอย่างเช่น ดวงอาทิตย์บางดวง หลุมดำ ได้เก่ากว่าบิกแบง
http://www.angelfire.com/az/BIGBANGisWRONG/index.html
http://www.geekosystem.com/big-bang-blackholes/
หรือ จักรวาลมีอยู่แล้ว แล้วมีบิกแบง เกิดขึ้น เรื่อย ๆ

ผิดถูกเรายังไม่รู้หรอก แต่แนวคิด(ในศาสนาพุทธ)มันน่าทึ่งใช่มั้ยล่ะ
มันไม่ใช่เรียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนศาสนาอื่น มีโลก มีสวรรค มีนรก จบ
แนวคิดอินเดีย ต่อความใหญ่ของจักรวาล ทั้งในแง่ มีติ และเวลา ยิ่งใหญ่ ใกล้เคัยงกับของจริงที่เรารู้ทุวันนี้

จากคุณ : Ao+

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 02:35:28

ความคิดเห็นที่ 38

มู้เมพ

จากคุณ : tanakeme

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 09:36:15

ความคิดเห็นที่ 39

สำหรับเรื่องอายุของดาวที่แก่กว่า bigbang ตรงนี้เข้าใจว่าเป็น error ของการตรวจวัดน่ะครับ แต่ประเด็นนี้น่าสนใจนะ ยังไม่เคยมีใครทำกระทู้เรื่องข้อสันนิฐานนี้เลย และก็เลยไม่รู้กันเรื่องความเบี่ยงเบนของการตรวจวัดแบบต่างๆ

http://www.astro.ucla.edu/~wright/cosmology_faq.html#age

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 11:17:51

ความคิดเห็นที่ 40

เรื่องการกำเนิด ตั้งอยู่ และดับไป ของจักรวาล

เป็นเรื่องที่มองมุมนึงก็ธรรมด้าาา ธรรมดา ปกติมั่กๆ

มองอีกมุมก็น่าตื่นเต้ล ตื่ลตาล์ ตื่ลจายล์

จากคุณ : tanakeme

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 11:34:33

ความคิดเห็นที่ 41

เมื่อโลกนี้ไม่มีมนุษย์?

จากคุณ : I'm westie

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 12:42:30

ความคิดเห็นที่ 42

ยากจะคิด อย่างเรื่อง รูปนามฟังง่ายๆ แต่เข้าใจจริงๆยากมาก

แต่ถ้ารู้ว่าไร้สาระ เกิดแล้วดับทั้งสิ้นทั้งจักรวาลก็วางลง แค่นั้น

จากคุณ : lostman

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 13:50:04

ความคิดเห็นที่ 43

หลายๆคนบอกว่าวิทยาศาตร์เป็นส่วนหนึ่งของพุทธ และหลายๆคนยอกว่าพุทธคือวิทยาศาตร์
แต่ผมมองว่าวิทยาศาตร์ก็คือวิทยาศาตร์ พุทธคือพุทธ แต่ลักษณะการเฝ้ามองคล้ายกัน
คือใช้เหตุผลในการพิจารณาเหมือนกัน ผลมาจากเหตุ
แต่มาถึงจุดนึงที่พุทธมีข้อมูลที่นอกเหตุเหนือผล
เข้าเรื่องเวลากันครับ พุทธได้กำหนดเวลาในภพภูมิต่างๆไม่เท่ากัน อันนี้เป็นความเชื่อในส่วนตัว
คือ เวลาฝันที่ไม่เกียวกับการฝันแบบความทรงจำในชีวิตประจำวันนะครับ หากฝันเป็นนิมิตรนึงจะใช้เวลาแค่น้อยนิดมากบางครั้งแค่ 10 นาทีเรากลับนอนไป8-9 ชั่วโมงเลย
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 55 19:48:09

จากคุณ : กะจังวา

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 18:47:53

ความคิดเห็นที่ 44

ผมยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ตอนนี้ผมกำลังพยามกระทำตามคำสอนพระพุธทเจ้าครับ
ทำไมผมถึงทำตามพระพุทธเจ้าสอน? ก็เพราะผมอยากพิศูจน์พุทธ ว่าจริงแค่ไหน
แต่สิ่งที่ผมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิตและได้ผลจริงคือ กาลามาสูตร 10 ข้อ และพิศูจน์ ยืนยัน เป็นพยาน ด้วยตัวเอง คือ ปัตจัตตัง
สองข้อนี้ยอมรับสุุดขั้วเลยครับ และผมกำลังกระทำการพิศูจน์อยู่ แต่ในเบื้องต้นต้องยอมรับวิธีการของพุทธด้วยใจก่อน เพื่อเข้าถึงตรงจุดนั้น

ครูบาร์อาจารย์บอกว่าคนฉลาดมักไม่มีปัญญา ปัญญาในที่นี้หมายถึง ไม่เปิดใจให้กว้างรับข้อมูลที่ตัวเองคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีปัญญาเพราะคิดว่าตัวเองฉลาด

ยุคนึง คนฉลาดคิดว่า โลกแบน และยุคนึงคนฉลาดคิดว่าเหล็กยังไงก็ลอยน้ำไม่ได้
แต่มายุคนี้เป็นยุคหูทิพย์ตาทิพย์ อยู่ไกลขนาดไหนเราก็สื่อสารกันได้ เพราะด้วยเทคโนโนยีแบบ versual หรือ virtual ซึ่งใช้การเคลื่อนที่ด้วยพลังงานรูปแบบไฟฟ้าเป็นหลัก
แต่มีพลังงานหลายๆอย่างบนโลกนี้ที่เรายังไม่รู้จัก สิ่งที่ผมปราถนาในตอนนี้คือ รู้จัก ธรรม = สิ่ง = ธรรมชาติ = สรรพสิ่ง คือจุดสูงสุด ของความรู้
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 55 20:13:04
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 55 20:09:29

จากคุณ : กะจังวา

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:07:55

ความคิดเห็นที่ 45

ได้ยินมาว่า
คัมภีร์ ยุคหลังๆถูกแต่งเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะตอบคำถามว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เรื่องของจักรวาล หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งพระพุทธองค์ไม่เคยได้ตรัสสอนไว้ แต่ถูกเพิ่มขึ้นมาในภายหลังจะได้ดูว่าศาสนาพุทธตอบได้ทุกเรื่อง

ที่ใช้อ่านๆ กันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าอันไหนมาจากการสังคายนาครั้งแรกบ้าง
อันไหนแต่ง เพิ่ม ขยาย เปลี่ยนแปลงบ้าง

อย่างเรื่องหน่วย เรื่องจำนวน เช่นบริมาณคน จำนวนทอง จำนวนสมบัติ บางทีดูเยอะจนงง

แต่ก่อนผมก็เคยพยายามคิดหาคำตอบแบบท่าน จขกท นะครับ
เมื่อซักสิบปีที่แล้วยังเคยตั้งกระทู้ถามคนในนี้เลย -_-'
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 55 22:47:28

จากคุณ : chaos_r

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 22:37:39

ความคิดเห็นที่ 46

ศาสนาพุทธ กะ วิดยาสาด

มีจุดเหมือนกัน บางจุด มีจุดต่างกันบางจุด

ที่เหมือนสำคันๆคือ

-เป็นศาสตร์เพื่อศึกษาความจริง เหมือนกัน
-เป็นการศึกษาความจริง มีผลคือ ยิ่งจะทำให้รู้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ

ที่ต่างกันสำคันๆคือ

-ศาสนาพุทธ ศึกษาความจริงเรื่อง ทุกข์ เพื่อการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ทุกข์คืออะไร
ทุกข์เกิดได้ยังไง
ความดับทุกข์คืออะไร
จะทำยังไงให้ไปถึงความดับทุกข์

เป็นการศึกษาชนิดที่มีจุดจบ เมื่อสามารถทำได้ตามเป้าหมายแล้วก็คือเสร็จกิจ

-วิดยาสร๊าด เป็นสาดจับฉ่ายใส่หมูสิบบาท

ศึกษาความจริงทุกเรื่องที่มีให้ศึกษา

ยิ่งสึกสาก็ยิ่งรู้ยิ่งมัน ยิ่งรู้ยิ่งมันก็ยิ่งสึกสา

เป็นการศึกษาชนิดไม่มีจุดจบสึสาไปเรื่อยๆ

จุดเหมือนอีกอย่างที่สำคันมั่ก
ทั้ง2ศาสตร์ ก็เป็นศาสตร์ที่ให้คุณประโยชน์ด้วยกัน^0^

จากคุณ : tanakeme

เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 23:21:06

ความคิดเห็นที่ 47

เข้ามาดู กระทู้หว้ากอแท้ๆ

ไม่ใช่แบบ กัลป์ สู้กับ อสงไขย ใครชนะ

หรือไม่ก็ประเทศเพื่อนบ้าน มี.....แล้ว เราจะสู้ได้รึเปล่า ?

จากคุณ : Mikoyan

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:29:07

ความคิดเห็นที่ 48

1) อจินไตยคือห้ามคิด เพราะเขาเตือนว่าคิดแล้วจะเป็นบ้า ยกเว้นใช้ฌานหรือญาณในการพิจารณารู้ตามเท่านั้น

2) สิ่งที่พระพุทธเจ้านำมาสอน ก็เกิดจากกระบวนการทำงานของสมอง เกิดการหยั่งรู้จากปัญญาญาณล้วนๆ ไม่มีเครื่องมือใดๆ เช่นกล้องส่องดาวแบบปัจจุบัน

3) พระพุทธเจ้าตรัสว่า ระบบสุริยจักรวาลนอกจากของเรา มีนับแสนแสนล้าน
"ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ
สว่างไสวรุ่งโรจน์ (คือระยะีที่รัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ส่องแสง) โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน

เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้ค้นพบด้วยญาณปัญญา และถูกพิสูจน์ต่อมาอีกหลายพันปีด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง

4) เรื่องตะกวดพูดได้ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องอดีตชาติ ตะกวดคุยกับฤาษี ตีความได้สองอย่าง ตะกวดพูดด้วยภาษาสัตว์ แต่พระพุทธเจ้าอ่านความคิดของสัตว์ได้ หรือ ฤาษีมีความสามารถพิเศษอ่านความคิดของสัตว์ได้

5) ข้อมูลที่ถูกกล่าวหาว่าถูกแต่งขึ้นภายหลังสามารถสืบได้จากภาษาโบราณดั้งเดิมครับ ว่ามีภาษานั้นหรือไม่ ภาษามคธ

6) กระบวนการได้มาซึ่งสัจจธรรมความรู้หรือธรรมะนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผล มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำซ้ำได้ บนเงื่อนไขที่ต้องควบคุมตัวแปรได้ใกล้เคียงกับสภาวะนั้นๆ แต่อุปสรรคสำคัญคือ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า กิเลส นี่แหละคือตัวสำตัญที่ทำให้รู้ตามได้ยาก เพราะวิทย์ไม่เคยนิยามคำว่ากิเลส

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:44:21

ความคิดเห็นที่ 49

เรื่องเกี่ยวกับเวลาที่แตกต่างกันเคยคิดเล่นๆ เกี่ยวกับเวลาของสวรรค์ มนุษย์ นรกภูมิ
ผมเคยจินตนาการว่า หากเปรียบระบบสุริยะคือ 1 จักรวาล นรกคือพื้นที่มิติหนึ่งที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ จังหวะการโคจรรอบดวงอาทิตย์สั้น พื้นที่ในนรกจึงเต็มไปด้วยความร้อนสูง
ส่วนภูมิของเทวดา เวลาเดินช้า ยิ่งเทวดาชั้นสูงขึ้น หรือสูงขึ้นถึงระดับพรหม หรืออรูปพรหม ยิ่งอยู่ไกลออกจากดวงอาทิตย์ขึ้นไปอีก ระยะเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์จึงนานเวลาของภูมิสูงๆ จึงเดินช้าไปด้วย และมีอุณหภูมิเย็นกว่าภูมิของมนุษย์ (จินตนาการส่วนตัวนะครับ)

จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 09:54:41

ความคิดเห็นที่ 50

ในพระไตรปิฏกบันทึกเหตุการณ์ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ที่ไม่่น่าจะเกิดขึ้นบนโลกของเราดวงนี้ ลองอ่านพระสูตร ดูนะครับ (ผมเขียนคำอธิบายไว้ใน pantip ตั้งแต่ปี 50 โน่น ลองอ่านดูนะครับ

คัดจากพระไตรปิฎก เล่ม 33

" ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระนายกพระนามว่าวิปัสสีผู้มีพระเนตร
งาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มีจิต
ขัดเคือง ได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้น ผู้สิ้นอาสวะ
ทั้งปวงแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ และเราจับสลากแล้ว
ถวายข้าวสุกที่หุงด้วยน้ำนม แก่พระเถระทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอัน
ใหญ่ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่านรชนพระองค์นั้นแหละ ใน
ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของพรหม มีพระยศใหญ่
ประเสริฐกว่านักปราชญ์ พระนามว่ากัสสป ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย
ทรงแนะนำเวไนยสัตว์แล้ว เสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก
ครั้นเมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อ
พระศาสนธรรม กำลังจะสิ้นศูนย์อันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พา
กันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า ดวงตาคือธรรมจัก
ดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง
พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย ครั้งนั้น พื้นปฐพี
ทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำร้องอย่างน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต
อันน่ากลัวตกลงไปรอบๆ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ
เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง หมู่มฤคร้องครวญครางอย่างน่า
สงสาร ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็น
ความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึง
เกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมี
ชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้วจะบำเพ็ญเพียรตาม
คำสอนของพระชินสีห์เจ้า ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน
ป่าสูงลิ่ว เราไต่มันขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย
ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหา
ได้ยาก อีกประการหนึ่ง ความเชื่อที่บุคคลได้ไว้ ก็หาได้ยาก
และพระศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย
จะต้องตกลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น
พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอดเวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่
เถิด ดังนี้ ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระ
ได้เป็นพระอนาคามี พวกเราที่เหลือจากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ประกอบความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก องค์ที่ข้ามสงสารไปได้
ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส เราทั้งหลาย
คือ ตัวเรา ๑ พระปุกกุสาติ ๑ พระสภิยะ ๑ พระพาหิยะ ๑
พระกุมารกัสสป ๑ เกิดในที่นั้นๆ อันพระโคดมบรมศาสดา ทรง
อนุเคราะห์ จึงหลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำ คือสงสารวัฏได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คำอธิบาย

สงสัยเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นบนดาวดวงอื่นอันไกลโพ้นนะครับ เพราะในพระไตรปิฏกเล่ม 10 บอกว่า

พระพุทธเจ้ากัสสปะ ท่านมีอายุขัยถึง 20000 ปี (มนุษย์ยุคเรา อยู่ในสมัยพระพุทธธเจ้าโคดม มีอายุขัยเพียง 100 ปี)
ซึ่งต่างจากมนุษย์โลกปัจจุบันมาก

และสันนิษฐานต่อไปว่ามนุษย์ดาวดวงนี้คงสูญพันธ์เพราะดาวหางชนโลก
เพราะท่านบรรยายเหตุการณ์ให้เห็นภาพอย่างนั้น

ดาวหางนี่ถ้าอยู่ในอวกาศจะมีสภาพเป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก จะเห็นหางฝุ่นสีขาวสีเย็นตา
แต่ในพระไตรปิฏกบรรยายกาศวันพระศาสนธรรม กำลังจะสิ้นศูนย์อันตรธาน ว่า "ดาวหางปรากฏ
เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง" ตามคำบรรยายนี่แสดงว่า ดาวหางได้พุ่งเข้าสู่บรรยากาศโลกแล้วล่ะครับ
ด้วยความเร็วสูง ดาวหางจึงลุกเป็นเปลวไฟพวยพุ่งอย่างนั้น

และ ก่อนที่ดาวหางจะมาถึง คงมีอุกกาบาตเศษเล็กเศษน้อย พุ่งลงมาก่อน ตามคำบรรยายที่ท่านบอกว่า
" ....อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า"

เมื่อดาวหางกระทบ deep impact แล้ว จึงเกิด shock wave เสียงกึกก้องกัมปนาท ตามคำบรรยายที่ว่า
".....อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต
อันน่ากลัวตกลงไปรอบๆ"

เกิดแผ่นดินไหว ตามคำบรรยายที่ว่า
"ครั้งนั้น พื้นปฐพี
ทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสะเทือน"

เกิดคลื่นสึนามิ น้ำท่วมโลก จนพระภิกษุ 5 รูปต้องปีนหนี ขึ้นไปบนภูเขาสูง เพื่อปฏิบัติธรรมครั้งสุดท้าย
ตามคำบรรยายที่ว่า

"...สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำร้องอย่างน่าสงสาร " (คงเป็นเสียงคลื่นยักษ์สึนามิ น่ะครับ)

"ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็น
ความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึง
เกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมี
ชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้วจะบำเพ็ญเพียรตาม
คำสอนของพระชินสีห์เจ้า ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน
ป่าสูงลิ่ว เราไต่มันขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย"

( ปีนขึ้นเขาสูงลิ่วด้วยกระไดที่ทำด้วยลำไม้ไผ่ (พะอง) เพื่อหนีน้ำท่วมโลก
ผลักกระไดทิ้ง เพราะไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป คือ ไม่ต้องลงไปไหนอีกแล้ว ยอมตายบนยอดเขา เพื่อปฏิบัติธรรมจนวินาทีสุดท้าย)

หนึ่งในพระภิกษุ 7 รูปนั้น รูปหนึ่งได้บรรลุอรหันต์ อีกรูปหนึ่งได้ไปเกิดบนสวรรค์
ชั้นสุทธาวาส ส่วนอีก 5 รูปได้มาเกิดบนโลกมนุษย์เรา คือในสมัยพระพุทธเจ้าโคดม น่ะครับ

จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:23:30

ความคิดเห็นที่ 51

ถ้าเลิกสนใจเปลือกก็จะเจอแก่น

จากคุณ : Kloster60D

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:37:26

ความคิดเห็นที่ 52

พระพุทธเจ้า พระเจ้า พระเยซู เป็น มนุษย์ต่างเดียว แหงๆ อย่างนี้

จากคุณ : tum911

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:40:25

ความคิดเห็นที่ 53

กาลครั้งนึงนานมาแล้ว ณ จักรวาลอันไกลโพ้น การกลับชาติมาเกิด ไม่เร็วพอสำหรับอายุของกาลเวลา!

จากคุณ : เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว (โควี)

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:00:50

ความคิดเห็นที่ 54

ศาสนาพุทธให้ละเว้นการคิด ในแนวทางการเจริญสติแล้วความคิดไม่สามารถทำให้เข้าถึงสภาวะธรรมได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์มาอธิบายการเข้าถึงสภาวะที่เกิดจากการภาวนาไม่ได้......นอกจากต้องหยุดคิดแล้วภาวนาด้วยตนเอง ......( คำสอนท่านอาจารย์ )

จากคุณ : FMT

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:06:05

ความคิดเห็นที่ 55

ผมว่าอีเรื่องย้อนอดีตชาตินี่มันเหลวไหล เห็นมีชาติก่อนเป็นนกบ้าง เป็นแมว เป็นนาค เป็นตะกวด บลาๆ

ทีนี้ก็เลยยาวไปถึง นกคุ่มโพธิสัตว์ พญาช้างโพธิสัตว์ พญานาคโพธิสัตว์ ฯลฯ ถ้าเรื่องย้อนอดีตชาติมีจริง ทำไมไม่เห็นเคยมีบันทึกทำนองว่า

"ในครั้งนั้น ไทรันโนซอรัสโพธิสัตว์ ได้ทำการพิจารณาสังขารซากของเหยื่อ แล้วกล่าวคาถา ฯลฯ"

เพ้อไปเรื่อยน่ะเรื่องเนี้ย
แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 11:39:22

จากคุณ : เทาทองวอร์ริเออร์

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:38:54

ความคิดเห็นที่ 56

ท่านก็พูดถึงสัตว์มันเนื่องด้วยมนุษย์ หรือสัตว์ในลักษณะที่มนุษย์ในสมัยท่านจะเก็ตตามได้ เพราะท่านสอนมีสาระสำคัญไปที่เรื่องการดับทุกข์ ไม่ได้มาสอน เอนไซโคลพิเดียอาณาจักรสัตว์ จะไปพูดทำไมกับสัตว์ที่มันไกลตัวมนุษย์สมัยนั้น ไม่ใช่แค่ทีเร็กซ์ที่ท่านไม่พูดถึง สัตว์ยุคของเราอย่าง เพนกวิน ยีราฟ ตัวสล็อต ฯลฯ ท่านก็ไม่พูดแล้ว ท่านก็ยกเฉพาะสัตว์พื้นถิ่น เป็นอันชาวบ้านเข้าใจก็พอ อย่างที่บอกท่านไม่ได้มาสอนสะเปะสะปะกับความรู้รอบตัว ไม่จำเป็นต้องอธิบายแยกย่อยไฟลั่ม สปีชีส์ อะไร เป็นแค่เรื่องประกอบเพื่อตะล่อมมาโฟกัสเรื่องทุกข์

และสัตว์ที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครั้งอดีตกาลนาน ๆ จักรวาลก่อน ๆ สมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เช่น นกบ้าง ช้างบ้าง ลิงบ้าง ท่านใช้ศัพท์เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจ แต่ ลิง ช้าง นก พวกนั้น อาจไม่ใช่สัตว์หน้าตาแบบเดียวกับที่เราเห็นก็ได้ อาจมีรูปร่างหน้าตาพิลึกพิลั่นแบบที่เราไม่เคยเห็นก็เป็นได้ เพียงแต่มีพฤติกรรมเดียวกัน ท่านก็ใช้ชื่อที่ชาวบ้านรู้จักไป จะไปตั้งชื่อใหม่ทำไม เพื่อไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร

จากคุณ : ซีอิ๊วขาว

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 14:09:54 A:180.183.200.140 X: TicketID:169669

ความคิดเห็นที่ 57

ไม่เห็นจะมีประเด็นอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลจากทั้งสองแหล่งนี้ใครถูก อย่างมากก็แค่เปรียบเทียบว่า ตามตำรา พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ และอีกมุมหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันว่าอย่างนี้ แค่นั้น

แต่ผมเห็นด้วยกับทุกคนที่แขวะ หรือตำหนิ คนที่เอาพุทธศาสนา มาอิงกระแสวิทย์ ไม่เห็นจำเป็นเลย

จากคุณ : AnotherPractitioner

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:11:22

ความคิดเห็นที่ 58

เรื่องตัวเลขความยาวนานของกัปที่เปรียบเทียบในคัมภีร์นั้น
เป็นแต่เพียงการบรรยายคร่าวๆ ว่า "ยาวนานนนนน มากกกกก"
ให้คนสมัยนั้นพอจะเข้าใจถึงความยาวนานได้บ้าง

ไม่ได้เจาะจงหรือว่าจะให้คำนวณออกมาเป๊ะๆ อะไรอย่างนั้น

ส่วนตายแล้วเกิดไม่หรือไม่เกิด เกิดเป็นอะไร ไปไหน โลกนี้โลกหน้ามีไหม ฯลฯ...
เถียงไปก็คงหาคำตอบไม่ได้ รอให้ตายก่อนแล้วจะเถียงไม่ออก wink

จากคุณ : Edna Mode

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 22:01:13

ความคิดเห็นที่ 59

#56

ฮ่าฮ่าฮ่า

จากคุณ : kodindy

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 23:30:43

ความคิดเห็นที่ 60

.."หยุดคิด"..สิ่งนี้..จินตนาการไม่ออก..........จริงๆ

จากคุณ : ABCD

เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 23:44:10 A:124.121.26.241 X: TicketID:336999

ความคิดเห็นที่ 61

ความจริงในพุทธ ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้
เช่น สัมพัทธภาพ ควอนตัมหรือนิวตัน
เพราะความจริงในพุทธก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เช่น การวิเคราะห์มนุษย์ออกเป็นขันธ์ 5
เรื่องกฎไตรลักษณ์ เรื่องอริยสัจ เรื่องสติปัฏฐานสูตร
เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องเวลาที่ต่างกันของผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ในฌาน
กับเวลาของคนปกติ เรื่องเหล่านี้พิสูจน์กันได้จนเป็นเรื่องปกติ
-ส่วนเรื่องเวลาตามจขกท เสนอ คงต้องจินตนาการกันต่อไป
จนเหนื่อย ก็หยุดเองละครับ....

จากคุณ : สมาธิเล็ก (สมาธิเล็ก)

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 00:46:08

ความคิดเห็นที่ 62

อาจจะไม่เกี่ยวกับประเด็นหลักของกระทู้นี้นะคะ
แต่เราอยากให้นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยนั่งสมาธิ ลองหาเวลาไปนั่งดูค่ะ
เราไม่แน่ใจว่าศัพท์เฉพาะเรียกว่าอะไรนะคะ วิปัสนากรรมฐานรึเปล่า ที่เป็นโสฬสญาณ 16 ขั้นน่ะค่ะ

คือว่าเราก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ค่ะ เรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ทั้งตรีและโท
แต่ครั้งหนึ่ง ตอนอยู่ป.ตรี เคยไปนั่งสมาธิที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี อยู่ 7 วัน
ปฏิบัติแบบเคร่งครัดเลย แล้วเราก็ได้พบอะไรที่เป็นความมหัศจรรย์ทางจิตหลายอย่าง
จะเรียกว่ามหัศจรรย์อาจจะไม่ถูก ควรเรียกว่าเป็นธรรมชาติของจิตมากกว่า
ทุกคนที่ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ผลก็จะออกมาแบบเดียวกัน เหมือนเป็นสมการคณิตศาสตร์เลยก็ว่าได้ แต่จะไปได้ไกลแค่ไหน ได้กี่ขั้น ก็แล้วแต่บุคคลค่ะว่าจิตจะนิ่งแค่ไหน

ขอเล่าถึงผลของการปฏิบัติสักหน่อยนะคะ
เบื้องต้นก็คือเรื่องความจำ
ปกติเราเป็นคนขี้ลืม สมาธิสั้น จะชอบหาของไม่เจอ เช่น เมื่อกี๊เพิ่งถือปากกาอยู่แหม็บๆ แต่แป๊บเดียวไม่รู้เอาไปวางไว้ตรงไหนแล้ว เป็นต้น เรากลุ้มใจกับชีวิตมาก มันเป็นอุปสรรคกับการเรียนด้วย แล้วเพื่อนก็เลยชวนไปนั่งสมาธิ เราก็ตัดสินใจไปค่ะ

วันแรกๆที่ไปนั่งสมาธิ ตอนจะขึ้นศาลาจะต้องถอดรองเท้าก่อน ทีนี้ศาลาจะเป็นศาลาใหญ่ จะมีบันไดทางขึ้นหลายทางอยู่รอบศาลา วันแรกๆเรามีปัญหามาก คือจำไม่ได้ว่าเราขึ้นศาลาตรงจุดไหน ถอดรองเท้าวางไว้ตรงจุดไหน คนอื่นเราก็ไม่เห็นว่าเค้ามีปัญหา แต่เราต้องวิ่งวุ่นหารองเท้าตอนลงจากศาลา ทำให้เราเศร้ามากว่าเราเป็นอะไร ทำไมแย่กว่าคนอื่น
(ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันก็แทบไม่ได้เจอกันหรือคุยกันค่ะ เพราะเค้าห้ามคนที่ไปด้วยกันตัวติดกัน ให้แต่ละคนใช้ชีวิตของตัวเองไป ปลีกวิเวก ห้ามคุยกัน จะกินจะนอนก็ต้องแยกคละๆกันไปในจำนวนคนที่ไปเป็นร้อยกว่าคน ก็จะมีบังเอิญเดินมาเจอกันบ้าง แต่ก็พยายามไม่คุยกันมาก เดี๋ยวสมาธิกระเจิง)

ทีนี้หลักการปฏิบัติเบื้องต้นที่เค้าสอนก็คือ สำหรับตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ตอนที่ใช้ชีวิตประจำวันตลอดทั้งวัน ให้กำหนดจิตอยู่ตลอดว่าเรากำลังทำอะไร เช่นขณะกำลังเดิน ให้มีสติตลอดว่าซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ในทุกก้าวที่เราเดินไป ตอนกินข้าวเวลายกช้อนก็ ยกหนอ อะไรอย่างนี้เป็นต้น แล้วเราจะจำได้ทั้งหมดว่าตลอดทั้งวันเราทำอะไรบ้าง
ปรากฏว่าปฏิบัติไปได้ซักสองวัน เราก็จำได้แล้วว่าเราถอดรองเท้าวางไว้ตรงไหน ซึ่งเราดีใจจนน้ำตาซึม

ทีนี้มาถึงตอนที่นั่งสมาธิ พระท่านก็จะสอนให้เรากำหนดจิต คือหลับตาแล้วนึกภาพจิตเราเป็นดวงแก้วกลมๆอยู่ที่หน้าอก แล้วค่อยๆเคลื่อนดวงแก้วนี้ลงไปที่ท้อง เคลื่อนไปที่นู่นที่นี่ เราก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วนะคะ ไม่รู้จำผิดรึเปล่า ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว
ก็ทำไปเรื่อยๆจิตเราจะสงบขึ้นๆ สงบถึงจุดหนึ่งจิตก็จะก้าวสู่ขั้นต่อไป
การนั่งสมาธิเราจะมีปัญหามากคือปวดหลัง ปวดทุกครั้งที่นั่ง นั่งๆไปหลังก็จะค่อยๆงอ พอรู้ตัวก็ยืดขึ้นใหม่ แต่ปวดตลอด เราถามเพื่อน เค้าไม่ปวดเลย เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงปวด นั่งผิดท่ารึเปล่า แต่ท่านั่งมันก็มีอยู่ท่าเดียว เราก็อดทนและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป
แล้วพอซักวันที่สี่หรือห้า เรานั่งๆไปก็รู้สึกเหมือนตัวพองๆเบาสบาย ซึ่งเราชอบมาก มีความสุข แล้วตอนตัวพองนี่จะไม่ปวดหลังเลย อาการปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง (แต่ตอนเริ่มต้นนั่ง ก่อนที่จะรู้สึกตัวพอง ยังปวดหลังอยู่) หลังจากนั้นในการนั่งสมาธิครั้งต่อๆมา เราก็เกิดอาการแบบนี้อีกสองหรือสามครั้ง (คือวันนึงจะนั่งสมาธิเป็นช่วงๆ วันละหลายครั้ง) แต่ก็ไม่ได้เกิดทุกครั้งที่นั่ง อาจจะเพราะบางทีก็หิวหรือง่วง หรือจิตไม่นิ่ง

ระหว่างช่วงการพักนั่งสมาธิก็จะมีช่วงถามตอบ ซึ่งเราก็ได้รู้ว่า อาการแบบนี้มันเป็นขั้นตอนที่ 4 ของการนั่งสมาธิ เรียกอาการนี้ว่า ปีติ จะมีหลายแบบ บางคนรู้สึกตัวพอง บางคนคันยุบยิบ แล้วก็มีอะไรอีกไม่รู้จำไม่ได้แล้ว แต่ของเรารู้สึกตัวพองอย่างเดียว
พอเวลาเกิดอาการปีติ พระท่านจะสอนว่าให้บอกตัวเองว่า หยุดหนอ ไม่เที่ยงหนอ แล้วกำหนดจิตต่อไปเพื่อจะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป แต่เราลองไม่ทำ เราปล่อยให้ตัวพองไปเรื่อยๆ มันสบายดี เราปล่อยให้เป็นอย่างนั้นจนหมดเวลานั่งสมาธิ เวลาเหมือนผ่านไปเร็วมาก ถ้าตอนที่ยังไม่ตัวพองเราจะปวดหลังทรมานและรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก
สุดท้ายครบ 7 วัน เราก็ติดอยู่ที่ขั้นที่ 4 นี่แหละ ในช่วงการถามตอบเล่าประสบการณ์ หลายๆคนเล่าอาการของตัวเอง พระท่านก็จะบอกให้ทราบว่านั่นคือขั้นตอนที่เท่าไหร่แล้ว บางคนก็ไปไกลแล้วเหมือนกัน อาจจะเคยมานั่งหลายทีแล้ว ซึ่งคนที่ไปขั้นตอนไกลๆแล้ว เราก็ได้แต่ฟัง แต่นึกไม่ออกว่ามันจะรู้สึกยังไง เพราะยังไม่ได้ประสบกับตัวเอง แต่บางคนก็บอกว่ายังไม่เกิดอาการปีติเลย
พอเรากลับมาบ้าน เราก็ยังมาปฏิบัติต่อที่บ้าน และเกิดอาการปีติอีกหลายครั้งค่ะ
นี่เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติแล้วเห็นผลจริงกับตัวเอง เราก็บอกครอบครัว บอกเพื่อนฝูงว่ามันดีอย่างไร อยากให้ทุกคนได้เจอกับตัวเอง หลายๆคนก็ดูสนใจและพยายามเข้าใจนะคะ แต่ถ้าไม่ได้ลองเองก็จะไม่รู้หรอกค่ะว่าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร ได้แต่นึกๆตาม

แต่ตอนหลัง เราก็เริ่มขี้เกียจขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเร้ารอบตัว ความบันเทิงต่างๆมันเยอะ จนเลิกปฏิบัติไป แต่ยังจำความรู้สึกตอนที่ไปนั่งสมาธิได้ดีค่ะ
ช่วงที่เลิกไปสักพัก เคยลองกลับมานั่งใหม่ ก็ไม่ได้ผลแล้ว ไม่เกิดปีติเลย คงต้องตั้งต้นจากศูนย์ใหม่ แล้วต้องสลัดความขี้เกียจออกไปด้วยค่ะ ซึ่งยากจังเลย งานก็เยอะด้วย แต่ก็ยังหวังว่าในชีวิตนี้จะได้ลองอีกครั้ง

สุดท้ายนี้อยากบอกว่า คนที่ไม่เคยปฏิบัติก็จะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร คือมันเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัวเองเท่านั้น อธิบายอย่างไรก็อาจนึกไม่ออกถ้าไม่ได้ปฏิบัติเองค่ะ

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 04:09:18

ความคิดเห็นที่ 65

อ่านความเห็นของคุณเล่าสู่กันฟังแล้ว
็มีความคิดเหมือนกันว่าอยากให้คนวิทย์ทดลองปฏิบัติทางธรรมดูบ้าง
วิสัยคนวิทย์เมื่อเกิดข้อสงสัย ตั้งสมติฐาน แล้วทดลองหาคำตอบ

บางสิ่งอธิบายได้ยาก ต้องสัมผัสด้วยตนเองถึงจะเข้าใจ
ซึ่งบางเรื่องเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนที่ไม่เคยสัมผัสจะไม่สามารถ
จินตนาการถึงสิ่งนั้นได้ และจะเข้าใจว่าสิ่งนั่นมันไม่มีอยู่จริง

จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 12:09:03

ความคิดเห็นที่ 67

ทดลองง่ายๆ ด้วยการหยุดคิด แต่ให้ไปอยู่ที่อาการรู้สึกตัวแทน

หรือ "รู้" แทนการ คิดวิเคราะห์ จินตนาการ ปรุงแต่ง

แค่รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ให้ได้ต่อเนื่องนานสัก 30-60 นาที

โดยไม่ให้มีอาการคิดวิเคราะห์ใดๆทั้งสิ้น

แล้วจะค้นพบความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ที่ไม่เคยเจอ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 12:39:57

ความคิดเห็นที่ 69

ความเห็นของนักวิทยาศาสตร์บ่งบอกความรู้แล้วครับ
ความรู้ที่ได้ก็คือ มนุษย์ทั้งหลาย ก็ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ไงครับ
การที่ขี้เกียจ ไม่ได้แปลว่า สมาธิไม่ดี หรือไม่มีคุณภาพ

มันเป็นธรรมดา ที่ในโลกียะแล้ว ผัสสะในชีวิตประจำวันจะกลืนกิน

ถ้าใช้ปัญญาอีกเล็กน้อยก็พบว่า อาการของนิวรณ์ 5 ก็คือศัตรูของสมาธิ
คนที่ไม่เคยฝึกอาจจะตามไม่ทัน
หรือไม่ยอมฝึก ส่วนใหญ่มักจะกอดกิเลสแน่น ปล่อยยากนั่นเอง

ยังไม่เคยค้นพบความสุขที่ประณีต โดยไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุภายนอกใดๆ
ก็ยังติดในสุขแบบ วัตถุนิยม

คุณคนข้างบนอาจจะเพิ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่ถ้าเข้าใจสัจจธรรมอย่างแตกฉานแล้ว
เราทุกคนสามารถปฏิบัติได้ทุกวินาทีที่รู้สึกตัว

ทุกครั้งที่มีลมหายหายใจ ก็ปฏิบัติได้
คนที่จะไม่ปฏิบัติอีกแล้วคือคนที่ไม่มีลมหายใจแล้วนั่นแหละครับ
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 12:46:30

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 12:44:09

ความคิดเห็นที่ 70

ถึงคุณ เล่าสู่กันฟัง

ผิดที่ตัวเราเองค่ะที่ขี้เกียจและรักสบาย
การปฏิบัติเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความอดทนสูง
แต่คนอื่นๆที่มีความอดทนมากกว่าและปฏิบัติต่อเนื่องก็มีอีกมาก

การที่เราไม่ได้ปฏิบัติต่อไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หลักปฏิบัตินั้นไร้ราคาเสียเมื่อไร
กรุณาแยกแยะด้วยค่ะ

ยกตัวอย่าง ถ้าคนเราเรียนปริญญาตรีและปริญญาโทมา แล้วไม่ต่อปริญญาเอก เพราะเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ความอดทนมีแค่นี้ สติปัญญาถึงขีดจำกัดแล้ว
ไม่เรียนต่อแล้ว
จะสรุปว่าปริญญาตรีและโทที่ร่ำเรียนมานั้นไร้ราคารึเปล่าคะ?
วิชาการและหลักการที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดนั้นไร้ราคารึเปล่าคะ?

แต่ไม่แปลกใจหรอกค่ะที่คุณจะคิดแบบนี้ เพราะเจอมาเยอะแล้ว
อย่างที่บอกแหละค่ะว่า ถ้าไม่ลองปฏิบัติ ก็จะไม่รู้หรอก
และถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์แท้ๆ สงสัยอะไรก็ต้องทดลองดู ไม่ใช่ว่ายังไม่ทดลองเลย ก็สรุปแล้วว่าไม่จริง นั่นไม่ใช่วิสัยนักวิทยาศาสตร์ค่ะ

ที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ไม่ได้จะมาอวดอ้างอะไร หรือจะมาบอกว่าพวกคุณต้องเชื่อฉันนะๆๆๆ
ก็บอกไว้อยู่แล้วในความเห็นแรกว่าต้องลองปฏิบัติดูเอง

ปกติแทบไม่ได้ล็อกอินเข้ามาโพสต์อะไรเลย
แต่พอเห็นหัวข้อนี้ ก็อยากเข้ามาแชร์ประสบการณ์ดีๆที่เราเคยประสบมา
ถ้าจะทำให้มีใครบางคนสนใจและลองปฏิบัติดูบ้าง แค่สักคนเดียวก็ดีใจแล้วค่ะ

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 12:47:29

ความคิดเห็นที่ 71

จงมองให้มองทุกข์ และพิจรณาให้แตกเหตุแห่งทุกข์ แล้วท่านจะเข้าใจว่าการเกิดนั้นเป็นต้นเหตุของทั้งมวล
แต่ส่วนตัว ศาสนาก็ืคือศาสนา จะไปให้คำตอบให้ปวดหัวทำไม

จากคุณ : aloha_123

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:01:37

ความคิดเห็นที่ 74

#73

เชื่อแล้ว ว่าคุณไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสมาธิจริงๆเนอะ

ลมหายใจ แปลว่า อานาปานสติ

หรืออาจจะยังเด็กมากๆก้ได้ อยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่มีสังคมในชีวิตจริงหรือเปล่า ???

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:20:22

ความคิดเห็นที่ 75

คุณแน่ใจหรือคะว่าคุณเข้าใจประเด็นและอ่านคำตอบของเราจนเข้าใจดีแล้ว
เราก็ตอบไปแล้วว่าเราผิดเอง ขี้เกียจเอง ปัญหามันอยู่ที่ตัวของเราคนเดียว ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นหรือหลักการ

ถ้าใครบางคนจะทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว และสรุปอะไรตามใจตัวเอง ก็คงไม่มีอะไรจะต้องสนทนาอีกต่อไป เสียเวลาเปล่าค่ะ
เราเชื่อว่ามีหลายคนเข้าใจสิ่งที่เราพูดค่ะ แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว บ๊ายบายค่ะ ^^

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:23:34

ความคิดเห็นที่ 78

75 เข้าใจคุณค่ะ ว่าหมายความอย่างไร แต่บางคนถ้าไม่เชื่อตามเขา ตัวเขายอมรับไม่ได้
จะออกอาการไม่ทดลอง ไม่รับฟัง ลักษณะแบบนี้เรียกว่า "งมงาย"

จากคุณ : อ่านก็งั้นๆนะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:42:10 A:125.24.75.29 X: TicketID:273826

ความคิดเห็นที่ 79

เท่าที่อ่านมา เราเข้าใจคุณ สุวัจนีย่ะ ค่ะ

เราเข้าใจว่ามนุษย์ ยังไงก็เป็นมนุษย์ มีทางดีงามให้เดิน ไม่เดิน กลับเลือกทางแห่งกิเลสตัณหา ตัวเรา ถ้าเผลอก็เป็นเหมือนกัน ขอบคุณที่มาแชร์นะคะ เท่ากับเตือนสติเราได้เลยค่ะ

จากคุณ : เพลงพันทาง

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:48:43

ความคิดเห็นที่ 80

TicketID:326785

ตอบไปแล้วชัดเจนแล้วครับ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12588218/Y12588218.html

และคนที่หมิ่นประมาท ก็กำลังจะรับโทษครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:55:29

ความคิดเห็นที่ 82

คุณ สุวัจนีย่ะ

สำหรับบางคนในนี้ต้องก้าวข้ามไปบ้างครับ กิเลสหนาๆบางทีพระพุทธเจ้า ก้ไม่สอนนะครับ

ท่านให้นึกถึงเรื่องบัวเหล่าต่างๆ บางทีก็ไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว

แต่เพราะแก้วนั้นมีน้ำที่ยังสกปรกอยู่ เติมน้ำเข้าไปได้นิดเดียวก้เต็มแล้ว

ต้องรอเวลาให้เขาเทน้ำทิ้งไปก่อนครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:58:19

ความคิดเห็นที่ 83

ขอบคุณคุณ เพลงพันทาง และคุณ venture ค่ะ
คงต้องมองข้ามบางความเห็นที่ไม่ได้คุยอย่างมีเหตุผลค่ะ ^^

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 14:09:48

ความคิดเห็นที่ 84

อ่านแล้วเคืองคนมีอคตินะ

ผมเข้าใจที่ สุวัจนีย่ะ พยายามจะบอกเพราะผผมก็เป็นเหมือนกัน

คนเราแม้รู้เรื่องที่ถูก เรื่องที่ควร แต่บางครั้งความรักสบายก็บังเกิด

เหมือนคนที่รู้ว่าเหล้าไม่ดี ก็ดื่ม บุหรี่ไม่ดี ก็สูบ รู้ว่ากินผัก มีประโยชน์ก็ไม่กิน

ที่คุณเล่าสู่กันฟังตอบมา เหมือนมาชวนกันตีมากกว่า มีดีแต่ติเตียน แต่กลับหาประโยชน์อะไรไม่ได้

ก็ไม่ต้องไปสนใจ "มัน" หรอกครับ ปวดหัวเปล่าๆ

ส่วนว่าเอาตามกระทู้ สิ่งที่ผมคิดคือ ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ ทั้งเรื่องพระพุทธศาสนา มันเป็นเรื่องเดียวกัน

กล่าวคือเป็นการศึกษาความจริง แต่มีวิธีการไปถึงที่ต่างกัน กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ว่ากันที่ภายนอก

ส่วนพระพุทธว่ากันที่ภายใน ไม่ว่าทางไหนก็ต้องใช้ความพยายามทั้งคู่นั่นแหละครับ

แต่สมัยนี้คนส่วนใหญ่ เข้าทางภายในไม่เป็น เหมือนนักกีฬาที่ต้องหัดว่ายน้ำ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ว่ายน้ำ ดำน้ำ

ไม่เป็นกัน ก็ไม่มีทางไปถึง คนมาเล่าให้ฟังก็ไม่เข้าใจ ลองดำดู ก็ไปได้ไม่ถึงไหน ก็ถอดใจไปก่อน ก็ไม่ได้เห็นอะไร

ก็จะมาบ่นกันปาวๆ ว่าดำน้ำไม่เห็นจะได้รู้อะไรเลย ในน้ำไม่มีอะไร บนบกดีกว่า เป็นแบบนั้นไป

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 14:12:57

ความคิดเห็นที่ 85

คติการดำเนินชีวิตของพวกจารวากมีปรัชญาชีวิตว่า กิน ดื่ม และรื่นเริงสำราญ มีความสุขทางเนื้อหนังเป็นจุดหมายปลายทาง มนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว ไม่มีโลกหน้า ไม่มีการเกิดใหม่ หลังจากตายแล้ว คนดีคนชั่วมีจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างเดียวกันคือความตาย

ดังนั้น มนุษย์จึงควรรีบตักตวงแสวงหาความสุขเสียให้เต็มที่ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ กินให้เป็นสุข ดื่มให้เป็นสุข และสนุกเสียให้เต็มอิ่ม ตายแล้วก็สิ้นสุดกัน จะดื่มสนุกสนานอะไรไม่ได้อีกแล้ว ลัทธินี้สอนตรงกับความต้องการกิเลสของปุถุชนทั่ว ๆ ไป พวกนี้ยอมรับเอาหลักปรัชญาชีวิตของจารวากมาปฏิบัติได้โดยไม่รู้สึกตัวและง่ายดาย

จารวากยังสอนให้คนเราแสวงหาทรัพย์ เพราะว่าทรัพย์สมบัติทำให้เราสามารถแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินในชีวิตได้อย่างเต็มที่ ความสุขทางเนื้อหนัง หรือความสุขทางกามารมณ์เป็นความสุขสูงสุด คุณธรรมไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะคนดีคนชั่วก็จบลงด้วยความตายเท่ากัน

ถ้าเจอคนประเภทนี้ ก็ต้องใจเย็นๆครับ
เขาเลือกที่จะอยู่กับโมหะจริต อยู่กับกิเลส
แต่อ้างว่าเป็นคนที่ยึดหลักวิทย์

พอนักวิทย์ตัวจริง กล้าเข้าไปทดลองแล้ว เอาผลมาให้ดูก็แล้ว
ยังเถียงคอเป็นเอ็น สอนได้ก็สอน บางคนต้องตัดหางปล่อยวัดไปครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 14:34:03

ความคิดเห็นที่ 87

อ่าว.. กำลังจะลงมาพิมพ์ว่า ชอบกระทู้นี้ ดูเป็นการเอาศาสนามาวิเคราะห์ตามแนววิทยาศาสตร์ มีการเอาหลักฐาน เอาตรรกะมาคิด ถึงแม้ผลมันจะออกมาทำให้ศาสนาดูบกพร่องไป

แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์ดี ชอบครับ

.. แต่พอมาหลังๆ ไหงกลับมาเข้าอีหรอบเดิมอีกแล้วล่ะ เห้อ..

จากคุณ : กาลครั้งหนึ่งบนดวงดาวสีน้ำเงิน

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 15:07:07

ความคิดเห็นที่ 88

พระอาจารย์ที่เก่งทางด้านไสยศาสตร์ พร้อมลูกศิษย์กว่า 10 คน

......มองดีๆสิครับ เป็นวิทยาศาสตร์ชัดๆ
เหมือนกับหมอ จ่ายยาที่เป็นแป้งให้คนไข้กิน แล้วก็หายได้
ก็ในเมื่อชาวบ้านป่วยที่ความคิด เขาก็ต้องรักษากัน ที่ความคิด

การเอาเหตุผลไปอธิบายคนไข้ว่าไม่ต้องกินยาก็ได้นะ
แต่คนไข้ก็ไม่หายป่วย แต่เมื่อหมอฉลาดก็หาทางจ่ายแป้งให้กินแทน
ในที่สุดคนไข้ก็แข็งแรงกลับบ้านได้

แปลกใจนะทำไม ยังมีคนที่อ้างว่ายึดหลักวิทย์
ชอบยกตัวอย่างให้เข้าใจผิดว่า การรปราบผีปอป เป็นเรื่องคำสอนในศาสนาพุทธได้ยังไงครับ ในข่าวเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไสย ซึ่งแปลว่ามืด
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 15:25:19

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 15:22:40

ความคิดเห็นที่ 90

พิสูจน์เชิงประจักษ์ ได้เฉพาะคนที่ทำกิเลสให้ลดลงในระดับเท่ากันครับ

เหมือนกับสถานที่บางแห่ง ก็สามารถเข้าได้เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติเท่านั้น

เปรียบเหมือนความรู้สึกของคนที่ขับรถด้วยความเร็วสูง 200-300 km/hr

ถึงแม้จะไปขอนั่งข้างคนขับ ยังไงก็รับรู้ความรู้สึกแบบเป็นคนขับนั้นไม่ได้แน่นอนครับ

เพราะฉะนั้นต้องสรุปว่า ความรู้สัจธรรมของพุทธเป็นเรื่องที่ทำซ้ำได้

มีหลักฐานเชิงประจักษ์บนเงื่อนไขของคนที่ทำกิเลสให้ลดลงในระดับเดียวกันครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 15:29:54

ความคิดเห็นที่ 91

คุณก็ต้องนิยามคำว่า ผีปอป มาสิครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 15:32:36

ความคิดเห็นที่ 93

พระอาจารย์ที่เก่งทางด้านไสยศาสตร์ ไม่ได้เก่งพุทธศาสตร์นะจ๊ะ

ก็ต้องถามกลับว่า นิยามผีปอบของคุณคืออะไร

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 15:40:23

ความคิดเห็นที่ 94

เล่าสู่กันฟัง - มีแต่ตั้งคำถาม อ่านแล้วน่าเบื่อ ไม่ได้สาระความรู้อะไรเลย
สุวัจนีย่ะ - เอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟัง จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็ถือว่าได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่อง

จากคุณ : Worraps

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 19:06:49

ความคิดเห็นที่ 95

อโหสิล่วงหน้า ^ ^

จากคุณ : Worraps

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 19:11:40

ความคิดเห็นที่ 96

ขอตอบผุ้ที่บอกว่าการทำสมาธิคือ จิตนาการ นะครับ
ผมเองทีแรกก็บอกว่าการทำสมาธิคือการ จิตนาการเหมือนกัน ตัวเบา เห็นแสง ทีแรกผมก็เข้าใจแบบนี้
แต่บังเอิญว่าผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามี กาลามะสูตร 10 ข้อที่บอกให้อย่าเพิ่งเชื่อ
และมีอีกคำ ปัจจัตตัง คือ รู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้หมายถึงว่ารู้เพราะคนอื่นบอกให้รู้
รู้เพราะคนอื่นบอกให้รู้แล้วเชื่อเขา ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการโฆษนาแล้วเชื่อโฆษนาหรอกครับ
นี่คือสิ่งที่แตกต่างครับ

ผมได้เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าการทำสมาธิ แล้วสงบแล้วเห็นโน่นเห็นนี่มันไม่ใช่หลับและไม่ใช่จิตนาการ
มันต้องเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ที่เราทำสมาธิกันเพื่อให้หมด อุปทาน ไม่ใช่ให้มีอุปทาน
จินตนาการกับอุปทาน มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละครับ
ไม่ทราบว่าครูบาอาจารย์ที่ผมศึกษากับท่านมาได้บอกแบบเดียวกับที่คุณศึกษามาหรือไม่ครับ ?

คุณ สุวัจนีย่ะ ครับ
การทำสมาธิไม่จำเป็นต้องใช้เวลาว่าง เพราะเป็นการฝึกทางจิตไม่ใช่ทางกาย
แม้แต่เวลานั่งขรี้ หรือกินข้าว ก็สามารถฝึกสมาธิได้ครับ
การใช้สติเฝ้าดูจิต เช่นตอนกินข้าวให้เรากำหนดรับรู้รสขณะที่เราเคี้ยวและรุ้สึกเมื่อข้าวผ่านลงลำคอ รู้แล้วก็ปล่อยมันไปไม่ยึดติดมัน มันก็เพียงแค่นั้น
นี่คือการฝึกสมาธิและตั้งสติเฝ้ามองจิต
จิต = ตัวรับรู้อารมณ์ ที่ได้มาจาก หู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 21:39:09
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 21:37:03

จากคุณ : กะจังวา

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 19:43:01

ความคิดเห็นที่ 97

อีกนิดนะครับ
ผมกลับมองว่าวิทยาศาตร์ และ ศาสนาพุทธ เป็นคนละเรื่องคนละฝั่งแต่เดินในรูปแบบเดียวกัน
วิทยาศาตร์ พัฒนาและเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
พุทธศาสนา พัฒนาและเฝ้ามองเพื่อให้รู้และเข้าใจทางด้านของจิต

ผมเห็นด้วยครับว่าประเทศไทยได้ใช้พุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือในการปกครองจึงทำให้ศาสนาพุทธในไทยส่วนใหญ 90% มีแต่พุทธเพี้ยนและรู้แบบเปลือกนอก
พุทธแบบเปลือกนอกผมหมายถึงมีการเรียนการสวดมนต์สวดได้จำได้ แล้วให้ขั้นให้ยศ ให้ตำแหน่ง
ซึ่งขัดกับแก่นแท้ของพุทธศาสนาคือ ปฏิบัติ ให้หมดกิเลส แต่ไทยเรากลับชอบเอากิเลสมาให้พระ
ธรรม = สิ่ง
ธรรมะ = ธรรมชาติ = สรรพสิ่ง
พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด ธรรมมะ มันก็มีอยู่ของมัน แก่นแท้ของพุทธ คือ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ให้รู้จักสรรพสิ่ง เท่านั้น ให้รู้ว่าธรรม หรือสิ่ง มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน
ตถตา
การเข้าถึงพระพุทธเจ้าคือการ เข้าถึง รู้จัก รู้แจ้ง ธรรมชาติ หรือ พระพุทธเจ้าก็คือ สัจจะธรรม หรือ ธรรมชาติ หรือ สรรพสิ่ง
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา นั่นคือการรู้จักสรรพสิ่งโดย ไม่สงสัยแล้ว เป็นพยานให้ตัวเองได้ยืนยันได้มั่นใจ เป็น ปัจจัตตัง
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 20:46:38

จากคุณ : กะจังวา

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 20:03:20

ความคิดเห็นที่ 98

ไม่ได้เข้ามาดูนึกว่าประเด็นตกแล้ว เกรียนอจินไตยโผล่มาเพียบ สงสัยแจ้งลบไม่พอคงต้องแจ้งตรง WM กันแล้วอย่างนี้ เฮ้อ เมื่อตัวเองหยุดจะคิดไม่ศึกษาต่อใยจึงเอาเท้าราน้ำกันอย่างนี้
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 23:29:39

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 23:21:23

ความคิดเห็นที่ 99

หยา่บคายจริงๆ คนเขาเอาความรู้ที่ถูกต้องมาสอน
ตนเองความรู้ไม่พอจะตอบด้วยเหตุผล ที่มีน้ำหนัก
ก็ใช้วิธีปิดปาก ทำตัวเป็นนักเลงปากซอย เกรียนเสียเอง

คำว่าอจินไตย คนเขามาเตือนด้วยความหวังดีว่ามีคนเป็นบ้ามาเยอะแล้ว
เขาไม่ได้ห้ามแต่เขาแนะนำให้ถูกต้องว่า ชาตินี้ก็หาคำตอบไม่ได้
ตราบใดที่ยังกอดกิเลสหนาแน่น เพราะเขาพิสูจน์มาเยอะหลายพันปีแล้วว่า บ้าฟุ้งซ่าน

บางคนก็แก่เกินกว่าจะดัด ต้องตัดทิ้งแล้วมั๊ง
ไหน จขกท ลองแสดงปัญญาที่มีสิครับ แล้วมาโหวตกันว่า ในนี้ใครไม่ใช่เหตุผลบ้าง
ความรู้ที่อ้างอิงก็ อ้างกันแบบผิดๆ เผยแพร่กันผิดๆ ไม่อายบ้างเหรอ
นักวิทยาศาสตร์หญิงท่านนั้น เขามาแนะนำดีๆ ก็ไปตำหนิเขา

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 23:46:02

ความคิดเห็นที่ 100

เกรงว่าหลายคนไม่เข้าใจอาการ หยุดคิดในแบบสมาธิ
ในกระทู้นี้มีคนพูดเรื่อง หยุดคิด หยุดจินตนาการ
เพราะความรู้ที่เป็นเรื่อง พุทธวิสัย หรือ ฌานวิสัย ที่ได้จากความรู้ในพุทธะนั้น
มาจากการหยุดคิด แล้วเจริญสติ ไปอยู่ที่ตัวรู้ เมื่อหยุดปรุงแต่งความคิด หยุดจินตนาการ จะเห็นความจริงที่เรียกว่า ตรัสรู้ หรือ การหยั่งรู้ โดยญาณปัญญา

แต่ถ้าจะเชื่อมโยงความรู้ในแบบที่จับต้องได้ในมุมของ science สามารถทำได้ เท่าที่ข้อมูลมีมาให้ตามบันทึก

ถ้าอยากรู้ที่มาขององค์ความรู้นั้น ในอดีตมีคนเป็นบ้าสติฟั่นเฟือนด้วยเรื่อง อจินไตย มาเยอะแล้ว พระพุทธเ้จ้ามิได้ห้ามรู้ แต่ท่านเตือนด้วยความเมตตา

ในกระทู้มีการพาดพิงถึงความรู้ที่ได้จากศาสนาพุทธ แล้วมาเชื่อมโยงในมุมมองของ science ก็ไม่แปลกถ้าจะมีคนที่เข้าใจลึกซึ้งทั้งสองด้านมาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยน
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 00:05:37

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 00:04:21

ความคิดเห็นที่ 101

ไม่ทราบว่าในความเห็นที่ 98 หมายถึงเรารึเปล่านะคะ

ถ้าใช่ก็ต้องขอเรียนถามว่า ข้อความของเราตรงไหนที่ตรงกับคำว่า "เกรียน"
ข้อความไหนที่ผิดกฎพันทิปจนต้องแจ้งลบหรือแจ้งตรง WM
ข้อความไหนที่เรียกว่า "เอาเท้าราน้ำ"

เราเห็นบางท่านเอ่ยถึงการนั่งสมาธิ
เราจึงเข้ามาแชร์ประสบการณ์ด้วยใจบริสุทธิ์และปรารถนาดีโดยใช้คำพูดที่สุภาพ
ไม่ได้โต้แย้งข้อความของใครหรือตำหนิความเห็นไหนเลย
แค่เข้ามาเล่าเรื่องของตัวเองโดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง

ถึงแม้เราจะได้รับคำพูดเชิงดูถูกเย้ยหยัน แต่เราก็ยังคงตอบด้วยเหตุผล
เราเพียงแต่สงสัยว่า ทำไมนักวิทยาศาสตร์บางท่านจึงต้องใช้คำพูดเย้ยหยันเพียงเพราะคนอื่นคิดต่างจากตน?
วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล แต่ทำไมนักวิทยาศาสตร์บางท่านจึงใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล?
มันบ่งบอกถึงวุฒิภาวะนะคะ

แต่เราก็ไม่ได้ขุ่นข้องใจหรือโกรธเคืองอะไรหรอกนะคะ
เรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด คำพูดเหล่านั้นจึงทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราไม่เก็บเอามาใส่ใจ
ดังข้อความที่ว่า "ไม่มีใครทำร้ายใจเราได้นอกจากใจเราเอง"

ขอยกตัวอย่างคลาสสิกเพื่ออธิบายข้อความดังกล่าวให้เห็นภาพหน่อยนะคะ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว ว่า
หากอยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้มาด่าว่าเราเสียๆหายๆ เราก็อาจจะโกรธ
แต่ต่อมาได้รู้ความจริงว่าคนคนนั้นเป็นคนบ้า คนเสียสติ ความโกรธก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะจะไปถือสาหาความเขาทำไมกันเล่า
นี่แสดงให้เห็นว่าใจของเรานั่นแหละที่คิดไปเอง รู้สึกไปเอง โกรธไปเอง
ถ้าไม่เก็บมาคิด เก็บมาใส่ใจ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่ก็เป็นข้อคิดดีๆที่เราได้มาจากการไปนั่งสมาธิครั้งนั้นนั่นเองค่ะ

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 02:35:57

ความคิดเห็นที่ 102

คุณกะจังวา ความเห็นที่ 96
ขอบคุณมากค่ะที่แนะนำ ^^
เรายังอ่อนด้อยในเรื่องนี้มากค่ะ จะพยายามใฝ่หาความรู้และลองปฏิบัติดูนะคะ

จากคุณ : สุวัจนีย่ะ

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 02:52:28

ความคิดเห็นที่ 103

คห 101 ของคุณ สุวัจนีย่ะ คือนอกเรื่องครับ แต่ยังไม่ได้ก่อปัญหาให้เท่ากับมนุษย์ที่ผมเรียกว่าเกรียน และถ้าผมเรียกคุณว่าเกรียนเมือไหร่ จะไม่มีการตอบโต้หรือตอบคำถามให้ เพราะผมไม่เสวนากับเกรียน ผมโพสแจ้ง WM อย่างเดียวครับ

ที่เรียกว่าเกรียนก็เพราะ ในห้องหว้ากอ เราถกกันเรื่องวิทยาศาสตร์ พื้นฐานคือเป็นไปเพื่อความรู้ทางโลก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนถามเรื่องกำเนิด หรือจุดจบของเอกภพ เกรียนพวกนี้ก็ได้แต่กล่าวคำซ้ำซาก อจินไตยๆๆๆ

ผมขอยกเรื่องคำว่าอจินไตยที่ผมกล่าว ซึ่งน่าจะเรียกว่า กล่าวด้วยความเกรงใจต่อพุทธยิ่งแล้ว
==============================================================
เรื่องอจินไตย มันก็คงแล้วแต่คน และก็อาจแล้วแต่กาลด้วย ณ ตอนนี้ สิ่งที่เรียกว่าจักรวาลไม่ได้อยู่นอกความสามารถของคนทุกคน ผมเชื่อว่าแม้คำอธิบายแบบง่ายๆปราศจากสมการอย่างกระทู้นี้ก็อาจเป็นเรื่องเกินวิสัยของคนเมื่อ 2-300 ปีก่อนครับ

อย่างไรเสีย ก็อย่าไปห้ามคนถกคนคิดกันนะครับ คำว่าอจินไตยควรเป็นเรื่องใช้รู้ตัว ไม่ใช่ห้ามการคิดครับ ผมเชื่อว่า อย่างน้อย การที่มนุษย์จะคิดเลยกรอบที่เรียกว่าประเทศหรือโลกได้ มันน่าจะทำให้มนุษย์รู้สึกถึงความกะจ้อยร่อยของตัวเอง และได้เห็นว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของเราดูเล็กไปถนัดตา ไม่ว่าจะสีเสื้อหรือการเมืองครับ
==============================================================

ปัญหาคือ การกล่าวซ้ำซาก ผิดสถานที่ หรือเรียกว่า ผิดกาละเทศะนี้ เรียกว่าการกล่าวเพ้อเจ้อ (ฟังดูพ้องกับ ชือเกรียนบางตัวชอบกล) มันไม่ได้ช่วยตอบคำถามใคร ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญทางวิทยาศาสตร์ เป็นแค่การอ้างซ้ำๆซากๆว่ารู้ไปก็ไม่เกิดผล ทำไมจะไม่เกิดผลในเมื่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้นี้ ถือเป็นเรื่องของ "วิทยาศาสตร์" ในกระทู้ก่อนหน้า มีคนถามเรื่องกำเนิด จุดจบ ก็มีเกรียนมาโพสซ้ำซาก ยกโควตไร้ความหมาย จนคนขี้เกียจจะถาม ขี้เกียจจะตอบต้องดราม่ากัน

กระทู้นี้ผมก็วัดใจคนหว้ากอละว่า จะช่วยกันหยุดยั้งเกรียนเหล่านี้ไหม ถ้าไม่ช่วยกันหยุดเกรียน สภาวะการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ ก็คงจบลงในห้องนี้ และให้ตายเหอะ ห้องวิทยาศาสตร์นั้น ถูกป่วนด้วยเกรียนศาสนา แถมยังเกรียนการเมือง เกรียน Pseudo Science ยกตัวเองเป็นที่ตั้ง คำสอนไม่รู้จักใช้กับตัวเอง เอาแต่เพ้อเจ้อปาวๆไปวันๆ คนจะรู้ก็ไม่ได้รู้ คนจะตอบก็หมดกำลังใจจะตอบ มันไม่ไหวครับ

ถ้าคุณ สุวัจนีย่ะ จะได้พอเข้าใจ ท่านกรุณาหยุดเป็นส่วนหนึ่งของความปั่นป่วนและสร้างความไม่รู้ในห้องหว้ากอก็จักขอบพระคุณมากครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:08:08

ความคิดเห็นที่ 104

ถึงผู้ดูแล ห้องหว้ากอ

คุณ สุวัจนีย่ะ นำเสนอได้ถูกประเด็นแล้วในมุมจุดกำเนิดขององค์ความรู้ทางศาสนาที่ถูกพาดพิง เพียงแต่เกรียนบางตัวตีความว่าถ้ามีคำศัพท์พุทธศาสนาห้ามเอามาโพส

เกรียนบางตัว ยังไม่เข้าใจความหมายว่าอจินไตย แต่มักจะอ้างผิดๆซ้ำซาก เข้าใจผิดเรื่องหยุดคิด ในกระทู้นี้ คำว่าหยุดคิดมีความหมายสองอย่าง

1)หยุดคิด ในมุมของอจินไตย เป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนเข้าใจตรงกันว่า คิดไม่ได้ คิดไปก้หาคำตอบไม่ได้ว่า พุทธวิสัย ฌานวิสัย มาอย่างไร แต่ที่ถูกต้องคือ ต้องใช้ญาณปัญญาในการรู้ตาม การแสดงความเห็นที่ถูกต้องด้วยความเมตตานั้น เป็นเรื่องที่สังคมควรทำ

ไม่มีใครห้ามในแง่ของการเชื่อมโยงความรู้แบบพุทธศาสนาด้วยมุมของ science

2)หยุดคิดในความหมายที่สอง คือเรื่อง ของการทำสมาธิซึ่งนำไปสู่ความรู้ ที่เรียกว่า ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้สองพันกว่าปีที่ผ่านมา เพราะหยุดคิดจึงตรัสรู้ได้ คุณสุวัจนีย่ะ ได้แนะนำเชิญชวนด้วยถ้อยคำที่สุภาพแล้ว และนี่คือความรู้สำคัญที่จะทำให้เข้าใจความรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้

แต่บางคนกลับตีความว่า จะต้องคิดวิเคราะห์อย่างเดียวเท่านั้น และตีความเรื่องหลักฐานเชิงประจักษ์ในมุมเดียว

และหลายคนก็ไม่ได้ก้าวล่วงไปถึง science แต่อย่างใด ในนี้ยังไม่มีใครใช้คำพูดว่า รู้ไปก็ไม่เกิดผลสักรายเลย

ปล ถ้าสภาวะการถกเถียงไม่อ้างอิงความรู้พุทธศาสตร์แบบผิดๆ ก็คงไม่มีใครมาทักท้วง แต่นี้พาดพิงถึงความรู้ในพุทธศาสตร์ ก็ยกเรื่องคำสอนทั้งหลายที่มีปรากฏที่ไม่ได้มีแต่โลก ตามที่หลายคนหลงเข้าใจผิดไปเอง

ยกตัวเองเป็นที่ตั้ง.........ลองส่องกระจกดูประโยคนี้ว่าหมายถึงใคร
การผิดกั้นการแสดงออกในความเห็นที่แตกต่าง นี่แหละ เรียกว่าเผด็จการทางความคิด
การถกเถียงด้วยเหตุผล การยกเหตุผล สามารถมีได้ในสังคมระดับปัญญาชน

จากประโยคนี้ ก็เป็นเรื่องจินตนาการส่วนตัวของคนๆเดียว
........ผมคิดว่าโลกตะกวดพูดได้ เช่นใน โคธชาดก บางทีมันน่าจะคล้ายๆกับอย่างนี้มากกว่า

.........ทีนี้การจะหาคำตอบว่า จินตนาการนั้นเพ้อเจ้ิอ เป็นการ์ตูนแบบเด็กๆ หรือไม่ ต้องไปเอาหลักฐานทางโบราณคดีที่เล่าเรื่องในชาดกนั้น ตัวตะกวดที่กล่าวถึงในชาดก นั้นมีรูปลักษณะ การบรรยายตรงไปตรงมาเรียกว่า here ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ไม่ยาก ไม่ต้องไปตีความบิดเบือน เพราะในยุดสมัยที่มีฤาษีนั้น ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ฤาษีทำสมาธิ บำเพ็ญตบะจนได้อภิญญาเ็ป็นเรื่องปกติที่จะอ่านใจสัตว์หรือ พูดคุยกับสัตว์ได้

ทีนี้เข้าใจหรือยังว่า จินตนาการเป็นเรื่องดี แต่ต้องดูข้อเ็ท็จจริงว่า จินตนาการที่ว่ามันเป็นเรื่องการ์ตูนหรือเรื่องจริง อย่าไปกลัวเรื่องจินตนาการ แต่ควรทำการบ้านให้มากๆ พุทธศาสนาสอนให้ศึกษาด้วยปัญญา มิใช่ความเชื่อหรือจินตนาการ

ถ้าจะดูหมิ่น ก็อย่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทแล้วกันนะครับ
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 08:50:13

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:40:26

ความคิดเห็นที่ 105

เรียน คห.ที่ 103 AKA เจ้าของกระทู้

ผมเข้าใจอย่างสุดซึ้งกับคำว่า "การกล่าวซ้ำซาก ผิดสถานที่ หรือเรียกว่า ผิดกาละเทศะนี้ เรียกว่าการกล่าวเพ้อเจ้อ (ฟังดูพ้องกับ ชือเกรียนบางตัวชอบกล) มันไม่ได้ช่วยตอบคำถามใคร ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญทางวิทยาศาสตร์ เป็นแค่การอ้างซ้ำๆซากๆว่ารู้ไปก็ไม่เกิดผล"

อนึ่งในบางความเห็น ไม่ว่าแห่งหนใด ย่อมมีคนชอบดูถูก อ้างอิงความรู้แบบผิดๆ มาเถียง ข้างๆ คูๆ

ผมเองก็ชอบกระทู้นี้นะครับ กล่าวคือ อจินไตย เป็นสิ่งที่เหนือการรับรู้และการเข้าใจ จริงๆ แล้วทุกคนย่อมรู้ว่า

อจินไตย มีความหมายแบบไหน เมื่อคิดไปวันๆ แล้ว ย่อมรู้ว่าความคิดนี้หนอ คิดไปก็มิอาจได้คำตอบได้

ก็จะหยุดคิด แต่ความช่างสงสัยเป็น 1 ในคุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ เรื่องพรรค์นี้อย่างกำเนิดสรรพสิ่ง

ผมเอง ก็เคยเก็บเอามาคิดเป็นนานสองนาน แต่เราไม่มีหลักฐาน ไม่ความรู้พื้นฐาน มีองค์ประกอบไม่พอ

เหมือนจิ๊กซอร์ที่มีตัวต่อไม่ครบ ต่อไปก็ไม่เห็นภาพ เรื่องนี้จริงๆ แล้วต้องรอให้มนุษยชาติเจริญกว่านี้ ถึงจะพิสูจน์

เรื่องกำเนิดสรพพสิ่งออกมาเป็นรูปธรรมได้ครับ

จึงเป็นต้นเหตุที่คนอยากรู้ก่อน ดึงเอาพุทธศาสนามาเป็นตัวเปิดประเด็นถัดมา กล่าวคือองค์พระศาสดานั้น ท่านได้

ล่วงรู้ถึงปัญญาที่เกิดกว่ามนุษยชาติจะล่วงล้ำไปถึง และในทุกยุคทุกสมัย ย่อมมีคนสงสัยในเรื่องนี้ องค์พระศาสดา

ท่านจึงได้มีกล่าวเอาไว้ ถึงคำถามและคำตอบนั้นๆ จึงเป็นที่มาให้คนที่อยากรู้ ปฏิบัติตามเพื่อให้เข้าถึงความรู้นั้น

เพื่อสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง

มนุษยชาติเรา ใช้วิธีตรงในการหาคำตอบ เปรียบเสมือนสัตว์บกที่ใช้เบ็ดตกปลา ในการตกเพื่อเอาปลานั้นขึ้นมากิน

ในขณะที่องค์พระศาสดานั้นสอนให้คนรู้จักวิธีการดำน้ำเพื่อจับปลา ปู กุ้ง หอย ซึ่งเป็นวิธีอันผิดแปลกไปจากธรรมชาติ

ของสัตว์บกนั้นๆ แต่ถึงแม้จะผิดธรรมชาติ ก็ยังสามารถฝึกหัดเพื่อทำได้ จึงกล่าวได้ว่า แม้วิธีจะต่างกัน

แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั้นเอง

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:42:43

ความคิดเห็นที่ 106

คห 105 ถ้ามองอย่างคุณผมเห็นด้วยครับ เพราะตรงนั้นมองใช้กับตัวเอง และจริงๆเรื่องราวทางพุทธนี้เองก็ใช้ต่อยอดได้เยอะ เพราะเรื่องราวที่กว้างมันก็เปิดโลกทรรศน์ได้มาก และต่อยอดไปสู่ความเป็นจริง ถ้าเห็นว่ามันไปต่อไม่ได้ ก็พอ ก็หยุด ตรงนี้ คือ ใช้กับตัวเอง บางคน ก่อนจะไปต่อไม่ได้ ตนเองก็ได้ค้นคว้าและต่อยอดทิ้งความรู้ให้คนรุ่นหลัง การหยุดตรงนี้ มันไม่ควรไปเที่ยวพร่ำบอกให้ใครหยุด มันต้องให้ได้เล่นจนพอด้วยตัวเองนั่นละครับ

แต่ มันก็เป็นปัญหาเหมือนในกระทู้นี้ และกระทู้ก่อนหน้านี้ ที่เกรียนศาสนา พอเจอคำในศาสนา ก็โผล่มาโพส คำว่าอจินไตยๆๆ อยู่นั่น ที่ควรได้ถกได้รู้ก็ไม่ได้ถกไม่ได้รู้ กระทู้นี้ ย้อนการแตกประเด็นไปก็จะเจอการก่อเกรียนของเกรียนศาสนานี้อยู่มากมาย ทั้งที่เขาควรได้ใช้กับตัว ควรที่จะรู้จักกาละเทศะ เขาก็มัวมาอวดน้ำเต็มแก้วอยู่วันยังค่ำ กระทู้นี้ผมเองเขียนไว้นานแล้ว ก็ไม่อยากมาโพสเพราะโพสแล้วก็ต้องมาปากเปียกปากแฉะ ตอนอาทิตย์ที่แล้วนี่ผมก็นึกว่า เออ ห้องหว้ากอนี่ดีนะ เกรียนศาสนาหายไปแล้ว มีคนมาประปรายก็มีเวลาตอบดีๆไป แต่มาอาทิตย์นี้ เกรียนตัวใหญ่โผล่ มันก็เละ และ ก็กดแจ้ง WM ต่อไป

ถ้าหาก มันยังมาได้อย่างนี้เรื่อยๆ และคนในห้องนี้ ถือว่าเกรียนศาสนา มิใช่เกรียน การกล่าวเพ้อเจ้ออจินไตยหยุดการค้นคว้า รบกวนการถกเถียง เป็นการกล่าวที่สมกับห้อง ผมก็คงต้องเลิกเล่นห้องหว้ากอแล้วละครับ เพราะ มันจะกลายเป็นว่า เกรียนพวกนี้ กล่าวได้ถูกกาละเทศะแล้ว

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:57:36

ความคิดเห็นที่ 107

ในขณะที่องค์พระศาสดานั้นสอนให้คนรู้จักวิธีการดำน้ำเพื่อจับปลา ปู กุ้ง หอย ซึ่งเป็นวิธีอันผิดแปลกไปจากธรรมชาติ

..........น่าจะแก้เป็น ซึ่งเป็นวิธีที่ชาญฉลาดจาก มนุษย์ทั่วไปที่ปฏิบัติสืบทอดกันมามากกว่าครับ อุปมานี้ทำให้เห็นอคติเล็กๆนะครับ การจับ ปู กุ้ง หอย ใช้เบ็ดตกปลาได้หรือครับ ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นเบ็ดตกปลา ใช่ไหมครับ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:57:58

ความคิดเห็นที่ 108

การกล่าวเพ้อเจ้ออจินไตยหยุดการค้นคว้า รบกวนการถกเถียง

อันนี้ดูเหมือนว่า คุณเองก็ไม่ยอมรับว่าตนรู้ไม่ถูกต้อง
และในกระทู้นี้ไม่มีใครห้ามการถกเถียง ให้ได้มาซึ่งความรู้ที่ถูกต้อง
การยอมรับว่าตน เข้าใจไม่ถูกต้อง และยอมถอยเพื่อรับความรู้ที่ถูกต้อง
คือคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ที่ดี

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:01:40

ความคิดเห็นที่ 109

เรียน คห.ที่ 107

ที่ใช้คำว่าผิดแปลกไปจากธรรมชาติของสัตว์บก เพราะปกติสัตว์บกไม่ดำน้ำครับ เมื่อเปรียบเทียบกับคนแล้ว

คนทั่วๆ ไป ไม่ค่อยนั่งสมาธิ ไม่ศึกษาพระธรรม เห็นได้ชัดเจนว่าโลกนี้ คนนับถือพุทธแบบจริงๆ จังๆ มีน้อยมาก

จึงเรียกได้ว่าคนที่หาสัจธรรมจากการศึกษาพระพุทธจึงแปลกไปจากปกติ

ซึ่งอันที่จริง การแปลกไปจากปกตินั้น อาจจะดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ก็เป็นได้

ฉะนั้นที่ว่าใช้เบ็ดนั้น ตกได้แต่ปลา ซึ่งเป็นผลเพียงอย่างเดียว แต่การดำน้ำ จับได้ทั้ง ปู กุ้ง และหอย ซึ่งเปรียบ

วิธีที่องค์พระศาสดาใช้ ให้ผลที่ดีกว่าวิธีการที่มนุษย์ทั่วๆ ไปคิดค้นขึ้นมาครับ

จากที่คุณกล่าวมานั้น คุณยังคงอ่านข้อความของผมโดยใช้อคติส่วนหนึ่ง ซึ่งคิดไปว่าผมอาจจะยังไม่ได้รู้จัก

พุทธศาสนาก็เป็นได้ อันที่จริง ผมมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาครับ และมีความอยากรู้อยากเห็นในแบบของนักวิทยาศาสตร์ด้วย

สิ่งที่ผมตอบออกมานั้น เป็นสิ่งที่ผมคิดจากเวลาว่างๆ ไม่ใช่แค่เพิ่งคิด หรือตอบไปโดยไม่คิดครับ

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:23:11

ความคิดเห็นที่ 110

สำหรับเรื่องที่ว่าด้วยอจินไตย ผมคิดว่า อจินไตย ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวครับ

ถ้าจำไม่ผิด อจินไตย จะมีด้วยกัน 4 เรื่อง คือ

1. ปัญญาของพระพุทธเจ้า คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใจได้

เรื่องนี้ผมเคยสงสัย แล้วก็ดับไปในเดี๋ยวนั้น เพราะคิดได้ว่า รู้คือรู้ ถ้าเราอยากจะรู้บ้างคือ

1) ถามองค์พระศาสดาเอง หรือ 2) ปฏิบัติตามทางที่พระองค์แนะแนวเอาไว้

หมายความว่าอจินไตยเรื่องนี้ จะไม่เป็นอจินไตย ถ้าเราพัฒนาตัวเองจนรู้ได้มากขึ้นเท่าเสี้ยงหนึ่งของท่าน

2. ธรรมชาติของฌาน

เรื่องของจิตเป็นสิ่งที่ซับซ้อน และเกินกว่าปัญญาของคนทั่วไปที่ไม่มี จะหยั่งถึงได้

แต่ถ้าเราฝึกฝนจิตของตัวเองได้ แน่นอนว่าเราจะได้รู้ อจินไตยข้อนี้ก็จะถูกคลี่คลายได้

3. เรื่องผลของกรรม

เป็นเรื่องที่ว่าด้วยหลักของเหตุและผลอย่างง่ายๆ แต่สายโซ่ของกฏแห่งกรรม มันอาจจะยาวได้จนเรามองไม่เห็นปลาย

ในบางครั้งกว่ากรรมจะให้ผล เราก็ลืมไปเสียแล้ว เรื่องนี้ง่ายๆ ตายไปเดี๋ยวก็รู้เอง หรือไม่ก็ฝึกฝนจิตให้มากพอ

ก็อาจจะรู้ได้

4. โลกธาตุต่างๆ กำเนิดสรรพสิ่ง

เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการของมนุษย์ เปรียบเหมือนมดตัวน้อย พยายามเดินให้รอบโลก

จะเป็นอจินไตยไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะศึกษามามากพอ มีหลักฐานมาประกอบความคิด

สรุปคือ อจินไตย ก็คือเรื่องที่ไม่ควรคิด หรือผมแปลเองว่า เป็นปัญหาที่ยังไงก็แก้ไม่ตก

แต่สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ตก ถ้ามีเครื่องมือเพียงพอ มีทฤษฎีที่ถูกต้องเพียงพอ

หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีปัจจัยที่ต้องการเพียงพอนั่นเอง

พวกที่เรียกอจินไตยๆ บางคนยังไม่รู้เลย ว่าความหมายของอจินไตยจริงๆ แล้วแปลว่าอะไร มีความหมายยังไง

แล้วเพื่ออะไร

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:44:51

ความคิดเห็นที่ 111

ปกติอ่านอย่างเดียว แต่ครั้งนี้รำคาญพวกเกรียนมาก ทำไมไม่ตั้งกระทู้แยกออกไป
กระทู้ความรู้ดีๆเละเทะหมด

อยากให้ทางเว็บ ให้สิทธิ์กับคุณ Darth Prin ในกระทู้ที่คุณ Darth Prin เป็นคนตั้ง

ให้สามารถกดลบหรือย้าย ความเห็นของเกรียนทั้งหลายออกไปได้ทันที

เราชอบอ่านกระทู้ของคุณ Darth Prin แต่ล่ะกระทู้ให้ความรู้มาก

เราเชื่อว่าคุณ Darth Prin จะไม่กดลบความเห็นแบบมั่วๆ

และถึงพวกเกรียน คุณรู้มั้ยคนเค้าเบื่อพวกคุณมากขนาดไหน
ตอนนี้ความเห็นเป็นร้อยแล้ว แต่ความเห็นดีๆ ที่ช่วยเสริมปัญญา
กลับมีน้อยกว่าความเห็นเกรียนๆซ่ะอีก

จากคุณ : NooNa

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:47:38 A:124.121.38.36 X: TicketID:311395

ความคิดเห็นที่ 112

คุณ lll57 (f_m_p57)
การแปลกไปจากปกตินั้น .... เป็นภาษาที่ไม่ถูกต้องครับ จึงเปลี่ยนเป็นคำว่า ฉลาดกว่าคนทั่วไป ที่ค้นพบวิธีการใหม่ๆ สมาธิเป็นเรื่องที่มีมาก่อนศาสนาพุทธยาวนานมาก จริงๆแล้วการทำสมาธิก็คือการอยู่กับตนเอง อย่างสงบสุข เป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่จะทำในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ และนี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ว่า เพราะหยุดคิด จึงรู้

1) ทราบไหมครับว่า ชาดก ที่ถูกอ้างอิงนี้ มาจากพุทธวิสัย ฌานวิสัย เรื่องการระลึกชาติของพระโพธิสัตว์ และเป็นอจินไตยชัดเจน ลองหาความหมายรากศัพท์ อจินไตยสิครับ แล้วดูความหมายที่แท้จริง

ขอย้ำอีกทีว่า ไม่มีใครห้ามเชื่อมโยงความรู้ทั้งสองศาสตร์เข้าด้วยกันสักคน
ส่วนเรื่องคนนั่งสมาธิเป็นคนกลุ่มน้อยของโลก อันนี้ถ้าตอบเฉพาะสมาธิในรูปแบบนะครับ แต่ถ้าสมาธินอกรูปแบบ หรือที่เรียกว่า จำกัดสิ่งรบกวนทางความคิด จะมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดครับ

TicketID:311395
ให้ความรู้ที่ถูกต้องก็ดีไปครับ แต่ถ้าผสานจินตนาการแล้วบิดเบือนทำให้ คนทั่วไปเข้าใจผิด แล้วยังมีคนหลงผิดตามนี่ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนะครับ คุณเรียกคนที่เห็นแตกต่างจากคุณด้วยเหตุผล ว่า เกรียน ได้หรือครับ ที่นี่ไม่ใช่ห้อง lecture แต่เป็นกระดานที่แสดงความเห็นที่แตกต่างได้ ด้วยเหตุผล มิใช่อารมณ์อคติครับ น่าแปลกใจกระทู้หลังๆได้ความรู้ที่ถูกต้อง แต่กลับมองไม่เห็นความผิดพลาดของ จขกท หลายประเด็น

ข้อความของคุณ สุวัจนีย่ะ ถ้าอยู่ในห้องกลาง จะเป็นหัวข้อนอกเรื่องทันที แต่ลองอ่านดูดีๆว่าเจตนาในกระทู้นี้คืออะไรครับ
=======================================

วิทยาศาสตร์แบบแปลกๆของชาวพุทธ

ชาวพุทธในประเทศไทย จะมีอะไรบางอย่างเพี้ยนๆ จากการพยายามตีความวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับศาสนาโดยพระบ้าง นักเขียนบ้าง ชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าโลก หรือ ภพนี้ จำกัดอยู่แค่ดาวที่ชื่อว่าโลก และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อนต้องเกิดบนดาวดวงนี้ โดยอ้างไปว่านักวิทยาศาสตร์ทำนายอายุผิดบ้าง และยังพยายามหาโยงถึงวัตถุเกินโบราณที่แสดงถึงอารยธรรมในยุคเกิน 1,000,000,000 ปี เช่นกรณีของ เหม ญาณวีโร กับหนังสือ “บางสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าเห็น แต่จากบทความนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะจับสังเกตถึงความยาวนานของขัยของอารยธรรม ของดวงดาว ของระบบสุริยะ และของจักรวาลได้

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราจินตนาการถึงห้วงเวลาอันแสนยาวนานของจักรวาลไม่ออกด้วยการอ่านแค่ตำราทางศาสนา และไม่เปิดใจถึงความน่าจะเป็นแบบต่างๆ มนุษย์คนนั้นก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากว่า สิ่งในตำนานที่เราบูชาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกจากมนุษย์ ว่ากันจริงๆ คนที่เขียนรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่า ของจริงเป็นอย่างไรก็ได้แต่จินตนาการเอา พระพุทธเจ้าองค์ก่อน แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว อาจมีหน้าตาอย่างอุลตร้าแมน ก็ยังได้ และมันก็จะดูสวยงามเป็นปรกติของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ตำนานที่บันทึกสืบกันมา มันก็แค่เป็นการต่อความตีความเท่าที่ขีดความสามารถของมนุษย์จะรับออกมาได้เท่านั้นเอง กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่จะโยงมาถึงกฏทางเคมีในกัปที่ต่างๆกันอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเลย เพราะกฏทางฟิสิกส์ที่มีอยู่ ก็จำกัดเฉพาะในกัปนี้ ความรังเกียจที่เรามีอยู่ต่อรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ก็เป็นอคติที่เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์แค่นั้นเอง

ผมคิดว่าโลกตะกวดพูดได้ เช่นใน โคธชาดก บางทีมันน่าจะคล้ายๆกับอย่างนี้มากกว่า
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 10:26:57
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 10:23:43

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:19:17

ความคิดเห็นที่ 113

จริงๆก็ไม่อยากชำแหละนะครับ

ความมั่วของจขกท ====> แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว อาจมีหน้าตาอย่างอุลตร้าแมน ก็ยังได้

......อันนี้ก็เป็นหนึ่งจินตนาการหลอกด่า คนอื่น ให้เสียหาย ไม่รู้แต่อวดรู้

คุณไปสืบที่มาของอุลตร้าแมนที่ออกแบบโดยคนไทย เราหรือยังครับ ว่านักเขียนคนนั้น เอารูปแบบมาจากพระพุทธรูปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง เพราะคือตัวแทนของฝ่ายคนดี รูปลักษณ์ของพระพุทธเจ้ามีการบันทึกในประวัติ ด้วยคำว่า พุทธลักษณะ มหาบุรุษ มีคำอธิบายโดยละเอียดชัดเจน แต่รูปวาดก็คือรูปวาด

สมโพธิ แสงเดือนฉาย (พฤษภาคม พ.ศ. 2484 — ) เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย ซึ่งเป็นประธานบริษัท ไชโยโปรดักชั่นส์ จำกัด และเป็นบุคคลสำคัญผู้สร้างอุลตร้าแมน สมโพธิเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ เขาเป็นบุตรของชาวจีนโพ้นทะเลมณฑลกวางตุ้ง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทคนิคทางภาพยนตร์ในกรุงเทพ ต่อมาสมโพธิได้รับทุนการศึกษาจากธนาคารออมสิน กับธนาคารมิตซุยไปศึกษาต่อด้านเทคนิคภาพยนตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นในบริษัท โตโฮโปรดักชั่นส์ จำกัด และได้พบกับอาจารย์เอยิ สึบุราย่า
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 10:33:01

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:32:01

ความคิดเห็นที่ 114

===>พระพุทธเจ้า 500 ชาติ

อันนี้ต้องใช้หลักภาษาศาสตร์ในการทำความเข้าใจ ตัวเลขนี้ คำโบราณจะหมายถึง มีความหมายมากๆ ไม่ได้หมายถึง ตัวเลขนับได้ 500 จริงๆ

====>คัมภีร์ ยุคหลังๆถูกแต่งเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะตอบคำถามว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เรื่องของจักรวาล หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งพระพุทธองค์ไม่เคยได้ตรัสสอนไว้ แต่ถูกเพิ่มขึ้นมาในภายหลังจะได้ดูว่าศาสนาพุทธตอบได้ทุกเรื่อง

อันนี้ต้องไปหาต้นฉบับ ว่าใช้ภาษาอะไรครับ

=====> หน่วยสมัยโบราณ มันไม่ได้มาตรฐาน จะเทียบตรง ๆ ไม่ได้หรอก
ที่จริงคำศัพท์ของคนโบราณ จะอ้างอิงจากสิ่งที่คนท้องถิ่นเข้าใจง่าย แล้วจึงบัญญัติศัพท์ เช่นการกำประมาณจากเมล้ดข้าวในยุคสมัยที่พระราชามีอำนาจในอาณาเขตนั้นๆ แต่น่าแปลกใจคนยุคใหม่กลับไปยืมคำศัพท์มาใช้นี่สิ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:39:57

ความคิดเห็นที่ 115

วิธีนับกัป กำหนดกาลว่านานกัปหนึ่งนั้น พึงรู้ด้วยอุปมาประมาณว่า โลกธาตุ (จักรวาล) อุบัติขึ้นมา จากการระเบิดครั้งใหญ่หรือ Big Bang ของอะไรบางอย่างที่มีขนาดเล็กมากๆ) จนกระทั่งโลกธาตุนั้นดับไป

ช่วงเวลาในกัป
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับช่วงเวลาในกัปไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งมี ๔ อสงไขย
๔ อสงไขย เป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
กาลใด กัปเสื่อม. ตลอดกาลนั้นไม่ง่ายเพื่อจะนับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด สังวัฏฏกัปตั้งอยู่
ฯลฯ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด กัปเจริญ
ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด วิวัฏฏกัป
ตั้งอยู่. ตลอดกาลนั้น ไม่ง่ายนักที่จะนับ"

สรุปใจความก็คือ กัปนึงแบ่งเป็น 4 ช่วง แต่ละช่วงยาวนานมากยากจะนับได้ (อสงไขยในที่นี้หมายถึง มากมาย หรือ นับไม่ถ้วน (infinity) ไม่ได้ใช้ในแง่ของการบอกปริมาณว่าเท่ากับ 10140 และไม่ได้หมายถึงอสงไขยกัป)

นอกจากนี้หน่วยนับในการบำเพ็ญบารมีในการสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้นวัดกันเป็น "อสงไขยกัป" ซึ่ง 1 อสงไขย เป็นตัวบ่งปริมาณ (prefix) เช่นเดียวกับคำว่า สิบ, ร้อย, พัน, หมื่น, แสน, ล้าน ฯลฯ โดยที่ อสงไขย คือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 10140 ดังนั้น "อสงไขยกัป" หมายถึงจำนวนกัปทั้งหมด 10 ยกกำลัง 140 กัป (จำนวนครั้งที่จักรวาลเกิดแล้วดับทั้งหมด 1 แล้วตามด้วยเลข 0 ทั้งหมด 140 ตัว ซึ่งนับได้ว่ายาวนานมากๆ)

สาวกสูตร (สังยุตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๔๓๓ หน้า ๒๑๗ บาลีฉบับสยามรัฐ)
อีกคราวหนึ่ง ได้มีพระภิกษุหลายรูปด้วยกัน ได้พากัน เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลถามเรื่องกัปที่ล่วงไปแล้วว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! บรรดากัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มีมากเท่าใดหนอ พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสตอบว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตจะยกอุปมาให้พวกเธอฟัง ยังมีพระพุทธสาวก ๔ รูปในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีอายุยืน ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี หากว่าพระสาวกทั้ง ๔ รูปเหล่านั้น สามารถระลึก ถอยหลังไปได้วันละ ๑๐๐,๐๐๐ กัป และกัปที่พระสาวกเหล่านั้นระลึกไม่ถึงพึงยังมีอยู่อีก พระสาวก ๔ รูปของเราผู้มีอายุยืน ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี พึงทำกาละโดยล่วงไป ๑๐๐ ปีเสียก่อน โดยแท้เลย กัปที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มีจำนวนมากมาย อย่างนี้แหละ ฉะนั้น จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ง่าย ในการที่จะนับจำนวนกัปว่า เท่านี้ร้อยกัป เท่านี้พันกัป เท่านี้แสนกัป ข้อนี้ เป็นเพราะเหตุดังฤๅ? เพราะว่า วัฏสงสาร กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ ในเมื่อเหล่าสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น ถูกตัณหาผูกพันเข้าไว้ ก็ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่โดยที่สุดและเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏเลย"

จากพระสูตรนี้คำนวณได้ว่าพระ 4 องค์ จะระลึกจำนวนกัปที่ผ่านมารวมกันได้แค่ 14,600 ล้านกัป (1.46 × 1010 กัป) ตลอดร้อยปี ในขณะที่เวลาที่พูดถึงจำนวนกัปที่พระโคดมพุทธเจ้าครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้านั้นกินเวลายาวนานถึง 4 อสงไขยกับแสนกัป (4 × 10140 กัป + 100,000 กัป) นับว่า 14,600 ล้านกัป น้อยมากๆ ไม่ถึง 1 ใน 10 ของเวลาที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีหลังจากได้รับพยากรณ์ครั้งแรกจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ 24 ก่อนนี้ (พระทีปังกรพุทธเจ้า)

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:45:48

ความคิดเห็นที่ 116

หน่วยนับในพุทธศาสนา่เกิดพระพุทะเจ้า บอกเล่าความเป็นมา ในอดีตชาติย้อนกลับในในอดีต ซึ่งในยุคสมัยนั้น ผู้คนไม่จำเป็นต้องนับเลขอะไรมากมายเลย มีแต่เรื่องของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จำเป็นต้องสร้างหน่วยนับขึ้นมา

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:51:23

ความคิดเห็นที่ 117

ผมได้แจ้งพฤติกรรมก่อเกรียนไปให้ WM แล้ว จะเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ ถ้า WM เขาจะเห็นเกรียน ไม่ใช่เกรียน ผมก็จะได้เลิกเล่นมันไปเสียทีเวบนี้ ห้องนี้ ไม่ต่อล้อต่อเถียง เพราะเกรียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 11:14:22

ความคิดเห็นที่ 118

หึหึหึ นิยามคำว่าเกรียน คือคนที่เห็นแตกต่างด้วยเหตุผล
ไหนบอกว่าเรียนจบวิศวะ แต่ทำไม ตรรกะการใช้เหตุผลจึงบกพร่อง

ทั้งๆที่ จขกท ก็ใช้จินตนาการส่วนตน เผยแพร่ความรู้ที่ผิดๆ
เจตนาหมิ่นศาสนาพุทธ หลายครั้ง WM ก็ควรใช้กฏเกณฆ์เดียวกันนะครับ

WM สามารถโต้แย้งได้ครับ ตรงไหนที่ผมยกมาแล้วใช้อารมณ์หรือเหตุผล หลักฐานอ้างอิงได้ ก็ได้โปรดพิจารณานะครับ สังคมประชาธิไตย ว่ากันด้วยเหตุผลและหลักฐานครับ ไม่ใช่จินตนาการ

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 11:22:02

ความคิดเห็นที่ 119

ทีเจ้าของกระทู้ยังคิดเห็นไม่เหมือนคนอื่น แล้วทำไมคนอื่นเขาจะคิดเห็นแตกต่างคุณไม่ได้ล่ะ

จากคุณ : 0i

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 11:26:18 A:125.24.7.238 X: TicketID:273826

ความคิดเห็นที่ 120

ลองสังเกตตัวเลขในกระทู้ ตารางหน่วยนับดีๆ

จะพบว่าการสร้างหน่วยนับใหม่จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของเลขยกกำลังเจ็ด

สมัยนั้นไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ว่าด้วยเลขยกกำลังนะครับ

สิบกำลังเจ็ด ก็คือ สิบล้าน

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 11:37:15

ความคิดเห็นที่ 121

เออ... ผมเห็นเป็นกลางๆ นะครับ

เรื่องทุกเรื่อง ทำให้มันมีสาระ ก็มีสาระได้ครับ

ในทางกลับกัน ก็ทำให้มันไร้สาระได้ ผมว่าขอแค่เผยแพร่ความรู้ ผมก็ขอบคุณแล้วครับ

อีกนัยหนึ่ง ถ้าเข้ามาเกรียน โต้แย้งแบบหลักลอยๆ แถมยังดูหมิ่น อันนี้ถึงจะเรียกว่าเกรียนครับ

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 12:15:48

ความคิดเห็นที่ 122

คุณเทียด ใจเย็นๆ
มองข้ามไปเถอะ

มาเสนอประเด็นใหม่ตามคุณเทียด
คือว่า มันมีเคสของเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร ที่รอการอุทิศส่วนกุศลมา 91 กัป

อนุมานว่า วิญญาน วาร์ปไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ที่ดาวนี้
สมมุติให้ว่า ดวงอาทิตย์รุ่นก่อนมันเป็นโนวาแล้วดีดดาวบริวารที่โดนเผาไปหมด แต่
แกนของดาวยังล่องลอยในอวกาศ แล้วโดนดวงอาทิตย์ดวงอื่น ดึงดูดให้มาสังกัดระบบสุริยะใหม่
ดังนั้น ถ้าอย่างนั้น ที่ว่า อายุคนสมัยนั้น 80000 ปี 20000 ปี มันก็อาจจะเกิดที่โลกนี้แหละ
แต่ เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ดวงนี้

ปล. พวกนิยมอจินไตย ถ้าคุณชอบหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น อะไรประมาณนั้น
กระทู้นี้ ก็แบบนั้น อย่าเอาคำว่าอจินไตย ไม่บรรลุธรรม มาเกี่ยวข้องเลย
เพราะอันนี้เราไม่ได้ถามถึงอริยะสัจ 4 อิทัปปัจยะตา คนละโหมด กัน แยกแยะด้วย

จากคุณ : bbiggy

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 13:42:30

ความคิดเห็นที่ 123

โหวตไว้ก่อน
(ยังอ่านไม่ได้)

จากคุณ : เวย์คุง

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 13:53:09

ความคิดเห็นที่ 124

เข้ามาสนทนาใน หว้ากอ ครับ

ปกติผมจะมาโพสข้อมูลใน หว้ากอ นานๆ ครั้ง แต่ก็ได้มาอ่านในบางเรื่อง อยู่บ่อยๆ และเมื่อ จขกท. ได้กล่าวถึงข้อมูลในเว็บ ที่ผมเสนอไว้ จึงขอร่วมแสดงความคิดเห็นครับ.

ตามความจริงแล้ว เรื่องความคิด เรื่องอจินไตย นั้นมีขอบเขต ชัดเจนอยู่แล้ว ในข้อมูลตามหลักฐานต่างๆ

ซึ่งเรื่อง อจินไตย ในพุทธศานานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่พึงควรไปคิด ดังที่คุณ lll57 (f_m_p57) ได้แสดงไว้แล้วใน คคห. 110
ผู้ไม่ถึงพร้อม เมื่อนำไปคิดก็จะทำให้ วิปลาส เป็นที่ตั้งของความสงสัย รังเล ปลงใจลงไม่ได้ จนถึงที่สุดทำให้ บ้าได้

แต่ไม่ได้หมายถึงห้ามทุกรณี เพราะผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัตินั้นๆ พึงน้อมคิดพิจารณาได้ ตามฐานะแห่งตน

และเรื่องที่ไม่ควรคิด หรือควรหยุดคิดเสีย เพื่อไม่เกิดการวิปลาส ก็ไม่ใช่ว่า จะต้องเป็นเรื่องอจินไตยอย่างเดียว คือเรื่องใด ที่มีข้อมูลหลักฐานและแนวคิดที่เป็นหลักเป็นฐานแน่นอนไม่เพียงพอ ตนเองพิจารณาอย่างไร ก็ไม่สามารถได้ข้อสรุปเชื่อมต่อวางใจได้ และทำให้ลำดับความคิดของข้อมูลที่มีอยู่ในความจำ มีความสับสน มีกิเลส คือความสงสัยรังเล พอกพูน ทำให้กิเลสที่เป็น โทสะ หรือ ราคะ เจริญขึ้น ก็ให้วางหรือหยุดคิดเสีย

เมื่อมีข้อมูลมีหลักฐานข้อมูลความคิดพร้อมก็ค่อยนำมาคิดวิเคราะห์ต่อได้.

มาต่อเรื่อง จำนวนตัวเลข อสงไขย ที่เปรียบเทียบ เป็นเลข 10 ยกกำลังนั้น จนถึง 10 ยกกำลัง 140 ผมนี้เองเป็นคนเปรีบบเทียบ น่าจะเป็นคนแรก ในโลกอินเตอร์เน็ต ที่ได้เสนอในเว็บลานธรรม ประมาณ 10 ปีมาแล้ว.

ซึ่งผมจำได้ว่า ผมได้อ่านศึกษา อสงไขย ในหอสมุดมหาลัยเมื่อประมาณ 30 ปีกว่ามาแล้ว จะจบลงอยู่ที่ 10 กำลัง 120 และไม่มีการเ้ปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงเลขคำนวณทั้งแต่เริ่มต้น (อาจจะมีผู้เปรียบเทียบไว้แล้วก็ได้ แต่ผมไมีเคยเจอ)

เมือผมได้พบข้อมูลแท้จริงประมาณปี 2541-2 ที่เป็นเพียงภาษาพูดเทียบเคียง ผมจึงเปรียบเทียบจำนวน อสงไขย กับเลข ที่เป็นแบบ วิทยาศาสตร์ให้ชัดเจน แล้วนำเสนอ สนทนาในอินเตอร์เน็ต ประมาณ 10 ปีมาแล้ว แล้วก็มูลนั้นถูกนำไปใช้กระจายในโลกอินเตอร์เน็ต และในส่วนต่างๆ ในภายนอก แม้แต่ในรายการทีวี ที่คุณปัญญา เป็นพิธีกร จัดรายการ ดังนี้
------------------------------------------------------------------
เรื่องความยายนานของอสงไขย
เรื่องของอสงไขย จากหนังสือสัมภาระโพธิญาณ (จำไม่ค่อยได้) เป็นหนังสือเก่ามากแล้ว เรียบเรียงก่อนที่ผมเกิดเสียอีก เสียดายไม่ได้จดชื่อผู้เรียบเรียง แต่ค่าที่ได้ก็ตรงกับผู้ที่คำนวณไว้ก่อน สามารถนับ 1 อสงไขย และเทียบกับหน่วยนับปัจจุบันได้ดังนี้
สิบ สิบหน เป็น ร้อย 10**2
สิบร้อย เป็น พัน 10**3
สิบพัน เป็น หมื่น 10**4
สิบหมื่น เป็น แสน 10**5
ร้อยแสน เป็น โกฏิ 10**7
ร้อยแสนโกฏิ เป็น ปโกฏิ 10**7 X 10**7 = 10**14
ร้อยแสนปโกฏิ เป็น โกฏิปโกฏิ 10**7 X 10**14 = 10**21
ร้อยแสนโกฏิปโกฏิ เป็น นนุตหนึ่ง 10**7 X 10**21 = 10**28
ร้อยแสนนนุต เป็น นินนนุตหนึ่ง 10**7 X 10**28 = 10**35
ร้อยแสนนินนุต เป็น อักโขภินีหนึ่ง 10**7 X 10**35 = 10**42
ร้อยแสนอักโขภินี เป็น พินทะหนึ่ง 10**7 X 10**42 = 10**49
ร้อยแสนพินทะ เป็น อัพภูทะหนึ่ง 10**7 X 10**49 = 10**56
ร้อยแสนอัพภูทะ เป็น นิรพุทะหนึ่ง 10**7 X 10**56 = 10**63
ร้อยแสนนิรพุทะ เป็น อหนะหนึ่ง 10**7 X 10**63 = 10**70
ร้อยแสนอหนะ เป็น อพพะหนึ่ง 10**7 X 10**70 = 10**77
ร้อยแสนอพพะ เป็น อฏฏะหนึ่ง 10**7 X 10**77 = 10**84
ร้อยแสนอฏฏะ เป็น โสคันธิกะหนึ่ง 10**7 X 10**84 = 10**91
ร้อยแสนโสคันธิกะ เป็น อุปละหนึ่ง 10**7 X 10**91 = 10**98
ร้อยแสนอุปละ เป็น กมุมะหนึ่ง 10**7 X 10**98= 10**105
ร้อยแสนกมุมะ เป็น ปทุมะหนึ่ง 10**7 X 10**105= 10**112
ร้อยแสนปทุมะเป็น ปุณฑริกะหนึ่ง 10**7 X 10**112= 10**119
ร้อยแสนปุณฑริกะ เป็น อกถานหนึ่ง 10**7 X 10**119= 10**126
ร้อยแสนอกถาน เป็น มหากถานหนึ่ง 10**7 X 10**126= 10**133
ร้อยแสนมหากถาน เป็น อสงไขยหนึ่ง10**7 X 10**133= 10**140
ดังนั้น 1 อสงไขย = สิบยกกำลัง หนึ่งร้อยสีสิบ หรือ 1 ตามด้วย 0 จำนวน 140 มหากัป
ข้อสังเกต จำนวนปีของมนุษย์โลกเทียบกับ 1 กัปนั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอีกมากมาย จึงไห้ถือกำหนดเอา โลกจักรวาลรวมทั้งเทพเทวดาและพรหมบางส่วน ในอาณาบริเวณพุทธเขต เมื่อก่อกำเนิดขึ้นจนกระทั้งพังทลายศูนย์หายไป 1 ครั้ง เป็น 1 กัป แต่จำนวน 1 อสงไขยมีกี่กัปนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอน คือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10**140
----------------------------------------------------

จาก http://vichadham.com/kup.html#k05

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 15:36:33

ความคิดเห็นที่ 125

#66
อยากจะฟังให้ชัดว่าสะท้อนอะไร

ผมมองงี้นะครับ

สะท้อนว่า ยังมีกรรม ฉุดดึงมาให้มาติดกับทุกข์บางอย่างอยู่

ผมก็เป็นครับ เข้าปิติได้

มีกรรมหนัก ตัวตนของผมเองบางอย่าง

ดึงให้หลุดออกมา อยู่5-6 ปี

ตอนนี้ ละได้มากขึ้น โล่งขึ้น
ก็เข้าได้ใหม่อีก

ตอนเข้าได้เป็นไง ตอนเข้าไม่ได้เป็นไง

มีสติ เห็นชัดดีครับ ถึงได้เอามาเล่าสู่กันฟัง

ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่หาเรื่องมาแย้งเค้าไปเรื่อย

ตัวอย่าง แบบไปแล้ว ไปเรื่อยทะลุ ก็มี ไม่ยกมา

พอเจอตัวอย่างว่า ไปแล้วถอยกลับมา
กลับยกมาว่า

มันสะท้อนอะไรบางอย่าง
***
ผมว่าข้อนี้ ท่านเล่าแบบ ไม่แฟร์นะครับ

เรื่องที่ถ้าท่านว่า ศาสนาเป็นเซียนหลังเกม
ข้อนี้ ก็ไม่รู้จะพิสูจน์อะไรกันไงดี

ก็สิ่งที่ประจักษ์เห็นได้ ก็ไม่อยากเห็นกัน
เอามาเล่าให้ฟัง ก็โดนด่า

ก็ด่ากันต่อไปเถอะครับ กรรมใครก็กรรมมัน

ขออภัย จขกท นะครับ
ผมคิดว่า มีส่วนที่ ท่านเล่า พาดพิงให้ศาสนาเสียหาย
เลยขอขยายความซักหน่อย

(คือ ท่านเล่า มีความเห็นดีๆ แต่ด้วยกฎของความเห็นที่ตรงข้าม

ท่านเล่าปรปักษ์ต่อพุทธ เป็นความเห็นปกติ

ถ้าเห็นความเห็นที่ท่านเล่าสนับสนุนพุทธ อันนี้ถึงจะน่าสนใจ)

*****
สรุปความ อ่านไปมา เวลาเกินป่าวครับ

พระพุทธเจ้า3องค์บนโลกมนุษย์ ก็ยังเกินเวลาโลกมนุษย์เปล่าครับ

ตัวผมเอง เป็นปรปักษ์ต่อทุกความเห็น รวมถึงความเห็นตัวเอง
(ถ้าไม่มีความเห็น จึงแปลว่าเห็นด้วย
ถ้าความเห็นไร้ที่ติจริงๆ หรือโดนจริงๆ
จึงจะโพสว่า สนับสนุนสุดๆ)

จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 16:13:52

ความคิดเห็นที่ 126

คุณ f_m_p57 เกรียนตัวที่ผมว่านี้ ผมเคยโดนหมาเลียปากมาแล้ว คนๆนี้อคติบังตา Comment ไม่อ่านให้รู้เรื่อง หัวกระทู้เป็นยังไงก็ไม่สน จะด่าอย่างเดียว เกรียนตัวนี้ ผมไม่เสวนาด้วย ไม่เสวนากับเกรียนบ้า และงวดนี้ ก็ร้องเรียนเป็นจริงเป็นจังแล้ว ไม่ได้ผล ก็พอ เลิก

อันนี้กระทู้เก่าที่เกรียนตัวนั้นมันเกรียนใส่
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/05/X9303862/X9303862.html
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/05/X9302933/X9302933.html
คนที่พูดจาไม่รู้เรื่องเหมือนเมายา พูดไปก็เหนื่อยเปล่า แต่ผมกลัวอยู่ว่า บางที มนุษย์พรรค์นี้อาจเป็นคนหมู่มาก ซึ่งผมก็คงต้องทำใจแล้วก็ออกไปเสียเอง

ตา biggy ผมว่าความเป็นไปได้ต่ำ เพราะโลกเราถ้าเย็นตัวลง แกนของมันถ้าแข็งมันก็สร้างสนามแม่เหล็กไม่ได้ โมเดล primodial soup ก็ไม่เกิด หลักฐานทางอารยธรรมในระดับเมืองที่เก่ากว่า 10000 ปีก่อนก็ไม่มี หลักฐานฟอสซิลก็ไม่มี แต่ทั้งนี้ ถ้าเรานับแกนคือตัวกาแลคซี่นี่ ความน่าจะเป็นมันจึงจะมากพอน่ะครับ

คุณ P_vicha ขอบคุณที่เข้ามาครับ ตัวบทความของคุณเป็นบทความที่ดีที่สุดแล้วที่ผมพยายาม review และหานิยามกัป โดยสรุปก็คือมันให้ว่า มากกว่า ค่าๆหนึ่ง แต่ไม่ให้ค่าว่าไม่เกินเท่าไร เมื่อดูแล้ว ความน่าจะเป็นก็คือ ระยะเวลานี้ ไม่แน่นอนเหมือนกับโมเดลที่ทำนายอายุขัยของจักรวาล และยิ่งผนวกกับโมเดล Multiverse ความน่าจะเป็นที่ในเอกภพหนึ่งจะจบลงอย่างรวดเร็ว ก็มีความเป็นไปได้สูงครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 16:21:18

ความคิดเห็นที่ 127

aLITTLEspaceAround7day

ถ้านับเวลาเฉยๆ มันก็ไม่เกินครับ แต่พอเอาหลักฐานแวดล้อมประกอบ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดในดาวดวงนี้

และผมก็ไม่ได้ปฏิปักษ์กับพุทธ ผมปฏิปักษ์กับเกรียนที่เรียนรู้งูๆปลาๆ (ไม่ใช่คุณ งูๆปลาๆ นะครับ) แล้วก็มาแถวิทย์อย่างน่าอนาถ นอกจากนี้ ก็ยังยกธรรมมาอ้างมาข่มผิดกาละเทศะไม่รู้จักใช้กับตัวเอง ก็แค่นั้น แต่เดิม ห้องนี้อยู่กันก็คุยกันดีๆกันเรื่อยมา จนไม่นานมานี้เอง ที่มีทั้งเกรียนอจินไตยกับเกรียนการเมืองโผล่มาให้ตรึม ตอนเกรียนการเมืองก็เหนื่อยพอแล้ว เกรียนศาสนายิ่งแล้วไปใหญ่ มันรบกวนการตั้งกระทู้ถามเรื่องกำเนิดของเอกภพ จุดจบของเอกภพจนกระทู้รวน อีกด้านก็ตั้งตนป่วนกระทู้เรื่องวิวัฒนาการ ท้ายสุด วงการวิทย์ของเราก็คงไม่รอดถ้าตบเกรียนพวกนี้ไม่ลง ธรรม ให้ใช้กับตัวเองก่อน อย่าสาระแนกับผู้อื่น อย่าใช้ผิดกาละเทศะ แค่นี้เอง

ปล. กระทู้นี้ ผมก็รู้อยู่ละว่าจะต้องมีเกรียนพวกนี้มา จึงเขียนไว้แต่ข้างนอก แต่เห็นแก่มีคนถาม แล้วก็ถูกตีรวนไม่ได้คำตอบ จึงเอามาลง แล้วก็ถูกเกรียนป่วนกระทู้แทน มันเหนื่อยจริงๆครับ

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 16:28:54

ความคิดเห็นที่ 128

man ... เข้ามาดู

จากคุณ : Mr. Fusion

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:30:32

ความคิดเห็นที่ 130

อ่านแล้วเข้าใจความหมายของ คห30 เลย เคยคิดเหมือนกันว่า เวลา ของแต่ละอย่างไม่เท่ากัน แต่ละสรรพสิ่งไม่เท่ากัน วันนึงของคน เทีบยก็อาจจะยาวนานหลายปีสำหรับเวลาชีวิตของยุง ช่วงชีวิตคนก็อาจจะสั้นแค่วินาทีของเวลาชีวิตภูเขา มิติเวลามันเหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างไรอยากจะเข้าใจจังเลย

จากคุณ : remy&chanel

เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:55:00

ความคิดเห็นที่ 131

เรียน คห.129

ที่คุณพูดมา ก็ดีมีความรู้ ในหลายเรื่องผมยอมรับในความรู้ที่คุณมี เพียงแต่ถ้าคุณจะเลิกดูถูกดูแคลนคนอื่น

สิ่งที่คุณพูดมาจะน่าฟังขึ้นอีกหลายเท่า

สิ่งที่เรียกเกรียน มันเป็นนิสัย คำพูดคำจา และการกระทำครับ

การแลกเปลี่ยนความรู้ไม่มีผิด จะผิดก็แค่การนำภูมิปัญญามาอวดเบ่งใส่กัน ทับถมกัน เขม่นกัน มันก็แค่นั้น

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 18:42:02

ความคิดเห็นที่ 132

แปลกใจ เกรียนตนนี้จริง ๆ
เหตุผลที่ยกมา แทนที่จะเอาอะไรที่จับต้องได้มาถก หรือเชิงข้อมูลมาถกในประเด็น

กลับจะประกาศศาสนาอยู่ท่าเดียว เชิญชวนคนไปนั่งสะกดจิต เอาจินตนาการเข้ามาถก อะไรที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองจินตนาการ ก็ปิดกั้นด้วยคำว่า อจินไตย

ไอ้ที่คุณว่า เผยแพร่ของเกรียนตนนี้มันถูก แม้แต่คนในห้องศาสนายังบอกว่า "ผิด" เลย
ในห้องตัวเองไม่ได้รับการยอมรับ กลับมาประกาศศาสนาถึงนี่

จากคุณ : j

เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 19:14:03 A:171.7.141.238 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 133

ในห้องศาสนา มีความขัดแย้งกันบ้างในส่วนของพวกพุทธเถรวาททั่วไปกับสายวัดธรรมกาย นั่นคือสิ่งที่ ตา j น่าจะเห็นมา แต่นั่นก็แค่ปรกติ ส่วนที่ผิดปรกติคืออาการเกรียน ที่หาตัวจับยาก (พอมีเทียบได้อยู่ก็ไม่กี่ตัวละ) ตรงนี้อย่าไปถึงเรื่องจะธรรมกายหรืออะไรเลย แค่นี้ก็ปวดตับพอแล้วที่มีเกรียนมาป่วนกระทู้น่ะครับ ศาสนาไม่ใช่ปัญหา การเมืองไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เกรียนนั่นละครับ เกรียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยุดพัฒนาทางความคิดแล้ว ด่าไปก็เท่านั้น ถ้าเป็น facebook ผมบล็อคเตะไอ้นี่ออกจากห้องไปนานละ เพราะถ้าพูดกัน 3 ครั้งไม่รู้เรื่อง (นี่ 3 กระทู้เลยด้วยซ้ำ) ให้ตาย มันก็ไม่มีทางรู้เรื่อง เป็นอจินไตยเหนือภาวะวิสัยใดๆของเกรียนที่จะรู้ได้กระมัง

จากคุณ : Darth Prin

เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 23:56:06

ความคิดเห็นที่ 134

ความเห็น 131 คุณ lll57 (f_m_p57)

อยากทราบว่า ในประเด็นที่คุณพูดถึงนั้น ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อนครับ ?

" ...... เพียงแต่ถ้าคุณจะเลิกดูถูกดูแคลนคนอื่น"

"การแลกเปลี่ยนความรู้ไม่มีผิด จะผิดก็แค่การนำภูมิปัญญามาอวดเบ่งใส่กัน ทับถมกัน เขม่นกัน มันก็แค่นั้น"

หากว่า คุณ venture ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แล้วการจะไปเรียกเขาว่าเกรียน ในขณะที่ฝ่ายเริ่มก่อนกลับไม่ถูกเรียกว่าเกรียน มันเหมาะสมแล้วเหรอครับ ?

จากคุณ : อัสดรวิหค

เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 00:31:51

ความคิดเห็นที่ 135

เรียน คห.134

ผมจำเป็นต้องตอบคำถามนี้กับคุณมั้ยครับ?

ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะตอบ าะนั่นสุดแล้วแต่เขากับคุณจะคิดครับ

ผมอ่านในมุมมองของผม และสรุปในมุมมองของผม เขาจะยอมรับหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เขา

สิ่งที่อยู่บนหน้าเว็บ ก็มีเพียงแต่ตัวหนังสือเท่านั้น

สุดท้ายกระทู้นี้ก็ถูกพาออกนอกประเด็นไปไกลแล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็นผมจะไม่กลับมาต่อล้อต่อเถียงกันในประเด็นนี้อีกแล้ว

เพราะทำไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ทั้งในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เรื่องพรรค์นี้ก็มีแต่บั่นทอนทั้งสติปัญญาและจิตใจ

จากคุณ : lll57 (f_m_p57)

เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 20:19:29

ความคิดเห็นที่ 136

เรียน คห.135 คุณ lll57 (f_m_p57)

ถ้าคุณไม่อยากจะตอบ ก็คงไม่มีใครไปบังคับคุณได้นะครับ

แต่สิ่งที่คุณเลือกทำนั้น ก็คือ การกล่าวหาคนอื่น แต่พอถูกถามถึงหลักฐาน คุณก็กลับบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบในการแสดงหลักฐาน

ลองคิดดูสิครับว่า ถ้าในกระทู้ มีแต่คนที่ทำตัวแบบนี้ คือกล่าวหาคนอื่น โดยที่ไม่สนใจว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ กระทู้ก็ย่อมที่จะวุ่นวายเละเทะอย่างแน่นอน

สำหรับคุณ venture นั้น เขาคงไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อสรุป(ข้อกล่าวหา) ของคุณ เพราะมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

หรือพูดอีกอย่างได้ว่า ข้อสรุปที่คุณไปกล่าวหาคุณ venture นั้น มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในกระทู้นี้ ดังนั้น ไม่มีใครยอมรับได้หรอกนะครับ

จากคุณ : อัสดรวิหค

เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 22:19:34

ความคิดเห็นที่ 137

นี้เราทำอะไรลงไป

จากคุณ : apollo14

เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 23:58:36

ความคิดเห็นที่ 138

แรกๆอ่านสนุก ผมอ่านทั้งวัน แต่พอมาเปิดอ่านอีกที

อะไรกันนี่... หยอกเย้า

จากคุณ : kodindy

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 00:49:45

ความคิดเห็นที่ 139

อ่านแล้วทำให้คิดได้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ขอนิพพาน แต่จะขอเวียนว่ายตายเกิด และเสวยสุขอยู่บนโลกนี้ ทุกชาติไป

จากคุณ : นู๋นัน

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 08:29:06

ความคิดเห็นที่ 144

มีตรรกะของความเชื่อมาเจือปนอีกแล้ว.... ทั้งที่เริ่มต้นมาดีแท้ ๆ

แต่แปลกอยู่อย่าง มีคำสอนนึงของผู้ที่ยึดมั่นในพุทธศาสนาไม่ยอมเชื่อพระพุทธองค์

นั่นคือ "กาลามสูตร"

ทั้งที่เรื่องนี้เป็นคำสอนที่เป็นความจริงสูงสุดในคำสอน สะท้อนสิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการเสนอได้ทั้งหมด
แต่คนที่ยึดมั่นกลับไม่เลือกเชื่อ แล้วดันไปเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อให้ต้องเป็นจริงแทนเสียนี่

ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งปัญญา "กาลามสูตร" คือตัวแทนของจุดนี้ได้ดีที่สุด
และเมื่อทิ้งกาลามสูตรไป ก็เหมือนกับทิ้งปัญญา
ทั้งทางหลุดพ้นของแต่ละบุคคลก็ไม่แน่ไม่นอนสอนให้หลุดพ้นเหมือนกันไม่ได้
เมื่อไม่มีปัญญา ก็จะจมปักอยู่แต่ในคำสอน ซึ่งไม่อาจจะทิ้งมันไปเพื่อหาทางสู่ทางหลุดพ้นของตัวเองได้

ปล. ก่อเกรียน.... เอาคำนี้มาจากไร้สาระนุกรมรึเปล่าเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

จากคุณ : ซ่อนนาม

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 10:02:44

ความคิดเห็นที่ 145

ผมจบเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอ่านหนังสือภาษาไทยม.ต้น ตอนพระนางอะไรซักอย่างเอาข้าวมธุปายาธใส่ถาดทองไปถวายพระพุทธเจ้า
หลังจากฉันเสร็จพระพุทธเจ้าท่านก็นำถาดทองไปลอยน้ำ แล้วถาดมันก็ลอยไปซักพักก่อนจะจมไปซ้อนกับ ถาดของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ครั้งก่อนหน้านั้นพอดี

แสดงว่าเป็นไปได้ว่าจักรวาลนี้เกิดแล้วดับไปแล้วและเกิดขึ้นมาใหม่ และทุกอย่างวนมาเกิดเหมือนเดิมอีกครั้งนึง

ก็เท่านั้นเอง

จากคุณ : แมงแกลบ

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 10:11:04

ความคิดเห็นที่ 146

ฮา # 113 มั่ก ๆ

จากคุณ : น้องจั้ง

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 12:24:59

ความคิดเห็นที่ 147

แล้วถ้าหากว่า เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นบนดาวดวงอื่น

แล้วมามีบันทึกในดาวโลกได้อย่างไร

มันหมายถึง จักรวาลนี้มีการเดินทางข้ามดวงดาวกันมานานแสนนานแล้ว

นึกถึงหนังเรื่องนี้จัง

จากคุณ : ช่างบ้านนอก

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 15:38:20

ความคิดเห็นที่ 148

การปฏิบัติมันมีข้อเสียนะครับ ไม่ใช่มีแต่ข้อดี
แม้จะทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่จะทำให้เข้าใจคนอื่นน้อยลง

เพราะคุยแต่กับตัวเอง ไม่ได้ฝึกทักษะในการแลกเปลี่ยน
ทำให้หลงคิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองเข้าใจคือสิ่งที่ถูก ทั้งที่มันจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้

ผลเป็นยังไงล่ะ?
ก็ทำให้พูดเหตุผลกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เถียงกับใครก็ไม่เคยชนะ
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 08:02:32

จากคุณ : ปลาๆงูๆ

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 08:01:06

ความคิดเห็นที่ 149

สวัสดีครับคุณ ปลาๆงูๆ

การปฏิบัติธรรม ไม่น่ามีข้อเสียนะครับ แต่ต้องใช้เวลา และทุ่มเทอย่างมาก ในการต้องใช้เวลา และทุ่มเทอย่างมาก ถ้าคิดว่าเป็นข้อเสีย ก็คงอยู่ที่มุมมองครับ

แต่ข้อเสียจริงๆ อยู่ที่ตัวบุคคล ไม่ใช่วิธีหรือแนวการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว เพราะปฏิบัติไม่ถูกต้อง วางใจไม่ถูกต้องปัญญาทางธรรมจึงไม่เจริญขึ้น แต่ไปยึดมั่นเป็นตน เป็นอัตตาของตน จึงหลงตน

คำว่า "หลง" เปรียบเทียบคือมืดบอด หรือฟ่าฟางมองไม่ชัด ก็ย่อมทำอะไรไม่ถูกต้อง หรือ คลาดเคลือนอย่างมากสะดุดผิดอยู่เนื่องๆ โดยไม่รู้หรือประมาณไม่ได้ก่อน เพราะขาดแสงสว่างคือปัญญานั้นเอง
และคำว่า "หลง" นั้นก็ยังละเอียดลุ่มลึกลงไปอีก คือ หลง แต่ หลงว่าตนเองไม่ได้หลง หรือไม่รู้ตัวว่า หลง อ้างเหตุผลต่างๆ ตามจินตนาการของตน นี้ก็มี

คุณ ปลาๆงูๆ ลองนำไปพิจารณาดูนะครับ.

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 09:48:38

ความคิดเห็นที่ 150

ขออณุญาตกลับเข้ากระทู้หน่อยละกันครับ

คือถ้าเรายึดว่าเวลาเดินไปตามกรอบของผู้สังเกตการณ์ ที่สงสัยคือเคยมีจุดไหนในพระไตรปิฎกรึเปล่าที่อ้างอิงว่าเวลาอื่นๆ(นรก/สวรรค์) นี่อ้างอิงตามกรอบเราหรือกรอบของแต่ละจุด

เช่นถ้าอ้างอิงตามกรอบของเรา อายุ20,000ปีนี่เป็นสองหมื่นปีของเรา แต่ในกรอบนั้นอาจจะเป็นแค่ 100 ปีหรือ 100,000 ปีก็ได้ ซึ่งอนุมานได้ว่าความเร็วในการเคบื่อนที่ของแต่ละพื้นที่ก็จะไม่เท่ากันไปด้วย

จากคุณ : YF-01

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 12:24:27

ความคิดเห็นที่ 151

ผมเคยตั้งกระทู้คล้ายๆ แบบนี้แหละครับ ในห้องศาสนา เผลอแป๊บเดียว ไม่ถึงวันโดนลบ
และก่อนโดนลบ เจอด่าซะยับก่อน

ผมนับถือพระพุทธเจ้า และใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิตมากกว่าแต่ก่อนซะอีก
ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นคน ธรรมดา
แต่สิ่งทั้งหลายแต่งเติมพระองค์ให้เป็นยิ่งกว่านั้น เพราะพระไตรปิฏก กว่าจะถูกเขียนขึ้นมา ใช้เวลามากกว่า 100 ปี หลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว

คำสอนของพระพุทธเจ้่าอันที่จริงเป็นคำสอนพื้นๆ ที่ลึกซึ้ง แต่เรากลับตีความให้มันดูยิ่งใหญ่ และน่ากลัวในบางครั้ง

และคำทำนายศาสนาพุทธ 5000 ปี ก็มีแค่ในประเทศไทย และอันที่จริงมีคำทำนายที่ 500 ปี สลักไว้บนหินเท่านั้น

จากคุณ : amnakim

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 14:22:43

ความคิดเห็นที่ 152

ลบดีก่า เดี๋ยวไม่จบ
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 14:47:17

จากคุณ : elin

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 14:26:09

ความคิดเห็นที่ 153

ตั้งสมมติฐานก่อนได้ไหมครับ

พระธรรมของพระพุทธเจ้า พุทธวจน นะครับ ท่านสอนแต่เพียงทางพ้นทุกข์ครับ
เรื่องอื่นที่มีปะปนในพระไตรปิฎกก็ดี ในพระสูตรอื่นๆก็ดี อาจไม่ถูกต้องเสมอไปครับ

เดี๋ยวผมกลับมาอธิบายลึกๆอีกที ขอกลับบ้านก่อน ^^

จากคุณ : Herononame

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 18:10:53

ความคิดเห็นที่ 154

ไม่ว่าโลกนี้ โลกหน้า โลกก่อน โลกไหน กุรู้ กุเข้าใจ
อ่านคำสอนของเกรียนทู้นี้แล้วบรรลุเลยว่า บระเจ้า มีจริง 555

จากคุณ : like_that

เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 20:21:01

ความคิดเห็นที่ 155

เข้าใจว่าเจ้าของกระทู้ เขียนเพื่อแปลความหมายของคำนี้

อยู่ที่ว่าใครจะจินตนาการตาม ยังไง อะไร อย่างไร

แต่สำหรับเราคิดว่าดีคะ ได้จินตนาการตามว่ามันนานมว๊ากกๆ

จากคุณ : FirstLadyFern

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:32:59

ความคิดเห็นที่ 156

เหอๆๆๆๆ

มาเสพดราม่า

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านเคยเอ่ยถึงความเร็วแสงไว้บ้างหรือเปล่าครับเนี่ย

ว่าแต่
คนที่ตั้งใจใฝ่ศึกษาใบไม้หนึ่งกำมือ
ใยมาระรานพื้นที่ของคนที่ศึกษาใบไม้ทั้งป่ามิสกวันกันเช่นนี้เล่า
พระองค์ท่านสอนไว้ที่ใด ฤๅ

ปอลิ่ง สังคมแห่งการเรียนรู้ที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตคงเป็นได้แค่ความหวังอันลิบหลี่ของสังคมไทยไปอีก 2445 ปีกระมัง

จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:33:44

ความคิดเห็นที่ 157

ศาสนาพุทธให้เรียนรู้ตัวเอง แต่ไม่ใช่คุยกับตัวเองกับความคิดนะครับ
ตย. เรื่องใกล้ๆคือ ภพชาติจริงๆก็วนเวียนในใจเราตลอด เดี๋ยวจิตใจก็ดีเป็นบุญเป็นกุศล
เดี๋ยวหงุดหงิด บางทีโลภ บางทีมีราคะ แต่ส่วนใหญ่ก็คือเผลอๆหลงๆไม่รู้สึกตัว เปรียบเป็นภพก็สัตว์เดรัจฉาน
เปรียบเทียบเฉยๆนะครับ แต่จริงๆก็เป็นเรื่องใกล้ตัวมากเพราะ เราอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

จากคุณ : lostman

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 16:04:46

ความคิดเห็นที่ 158

^
^
^
การดูจิต เป็นการคุยกับตัวเองอย่างหนึ่งไม่ใช่เหรอ?

^&^'

จากคุณ : nuynui

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 16:30:51

ความคิดเห็นที่ 159

ถ้าสมาธิไม่พอก็ยังดูไม่ถึงจิตครับ

จากคุณ : lostman

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 17:10:55

ความคิดเห็นที่ 160

ชอบความคิดคุณ Jackmaster เป็นความคิดที่มีเนื้อหาแตกต่างจากความคิดอื่นๆในกระทู้และตรงกับความคิดผม

big bang จะเกิด-ยุบ-เกิด-ยุบ... หรือเกิดแล้วขยายไม่สิิ้นสุด. ->ไม่รู้. พระพุทธเจ้าอาจรู้. /วิทยาศาสตร์ต้องหาข้อมูลเพิ่ม

ผมสนใจแต่Product ของBig Bang นั่นคือชีวิต และคำตอบสุดท้ายของProduct คือจิตสำนึก

จากคุณ : ชาวโลก

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 21:12:39 A:115.67.193.190 X: TicketID:276814

ความคิดเห็นที่ 161

ขอนอกเรื่อง คือเรายังอ่านไม่จบหรอก คือเมื่อนานมาแล้วเราเคยอยากรู้ความหมายของนิพพาน ก็ค้นหาอากู๋ เจอนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องเพื่อนรักสองตัว คือ กบกับปลา ปลาเป็นเพื่อนกับกบตั้งแต่สมัยกบยังเป็นลูกอ๊อด สนิทกันมาก แต่ลูกอ๊อดยังซะวันหนึ่งก็ต้องโตเป็นกบ และกบก็สามารถอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ ซึ่งต่างกับปลาจะอาศัยอยู่ได้แต่ในน้ำเท่านั้น เมื่อลูกอ๊อดเจริญเติบโตเป็นกบก็ได้ใช้ชีวิตบนบกบ้างในน้ำบ้าง เวลากลับลงในน้ำเจอเพื่อนปลาก็นำสิ่งที่เจอบนบกมาเล่าให้เพื่อนปลาฟัง บอก "บนบกนะดินแห้งๆ มีลมโชยกระทบผิว บลาๆๆๆ" ปลาก็ถาม "แล้วบนบกมันลึกแค่ไหน" กบตอบ "มันไม่ลึกนะมันมีแต่ความสูง" ปลาถาม "บนบกมีน้ำเยอะไหมแฉะไหมเปียกรึเปล่า" กบก็ตอบ "มันจะเปียกจะแฉะยังไงก็บนบกไม่มีน้ำ" ??? คือจำเขามาแค่นี้อ่ะลองหาอ่านดู คือก็เข้าใจว่านิทานสื่อว่าสิ่งที่เรายังไม่เห็นไม่เคยสัมผัสเองจะเอาคำถามในวงจำกัดที่เรารู้ไปถามคนที่สัมผัสถึงแล้วให้เขาอธิบายให้ฟังมันคงเป็นไปไม่ได้ เหมือนปลาที่อยู่แต่ในน้ำแต่เอาคำถาม เช่น ความลึก ความชื้น ความชุ่มฉ่ำ แฉะ อะไรก็ว่าไป ไปถามตามมาตรวัดที่บนบกไม่มี มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะ

คห. นี้ข้ามไปก็ได้นะ คือบ้าพิมพ์ไม่ได้เข้ากับกระทู้เล้ย

จากคุณ : Sunlasar

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:33:59

ความคิดเห็นที่ 162

จริงๆ "ธรรมมะ" คือ "ธรรมดา" ถ้าคนที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งจะเข้าใจว่ามันคือธรรมชาติบนโลก มีเหตุมีผลรองรับ คนไม่เข้าใจไปตีความผิดๆให้ดูมหัศจรรย์พันลึกกันไปเองค่ะ อีกอย่างคนสมัยร้อยปีพันปีที่แล้วการจะอธิบายหลักธรรมชาตินี่คงยากพอสมควร เลยมีการสร้างเรื่องราวเป็นกุศโลบายไว้สอนลูกหลาน พอเล่าปากต่อปากเรื่องมันเลยเพิ่มความพิศดารเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนวิทยาศาสตร์ค่อนข้างจะได้เปรียบที่เวลาอธิบาย มันมีหลักฐานยืนยันสามารถอ้างอิงมาถกกันได้

จากคุณ : love mom so much

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 17:29:20

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป