ความคิดเห็นที่ 1 ที่ถือว่า ไม่มีสวรรค์ ไม่มีความหลุดพ้น (โมกษะ) ไม่มีวิญญาณใด ๆ อยู่ในโลกอื่น ไม่มีการกระทำหรือกรรมของใครในวรรณะทั้ง ๔ ที่จะก่อให้เกิดผล อันนี้เป็นเซตความเชื่อนะครับ ไม่ใช่กระบวนการหาข้อเท็จจริง วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการค้นหาความจริง โดยวิทยาศาสตร์สรุปภายใต้ข้อเท็จจริง จารวากดูแล้วจึงเห็นว่าเป็นเซตความเชื่อทางศาสนา ทั้งนี้ สิ่งที่ใกล้เคียงกับความเชื่อข้างต้นคือกลุ่ม Atheist แบบไม่เชื่อการมีอยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ว่าใกล้เคียง แต่ไม่ใช่เสียทีเดียว ก็เพราะ Atheist มักจะยืนยันชัดแจ้งว่าพร้อมจะเชื่อในโลกหน้า หรือเทพเทวา สวรรค์นรก ขอแค่มีหลักฐาน ซึ่งก็คือไม่ได้มีความถือมั่นว่า โลกนี้ไม่มีสวรรค์ ไม่มีความหลุดพ้น แค่เป็นการไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ ไม่เชื่อว่ามีความหลุดพ้น ตัว จารวาก เป็นการเชื่อว่าไม่มี แต่ Atheist เป็นการไม่เชื่อว่ามีครับ และเทียบๆไป ผมไม่แน่ใจว่า มันจะคล้ายกับ Anti-Theist หรือไม่ Anti-Theist จะเป็นการเชื่อว่านรกสวรรค์ ความหลุดพ้นชาตินี้ชาติหน้า ฯลฯ ไม่มี โดยมีการแสดงการต่อต้านศาสนาอย่างชัดแจ้ง ถ้าจารวากมิได้ต้านศาสนาอื่น มันก็จะแค่คล้ายแต่ไม่ใช่ Anti-Theist อีกนั่นละ สำหรับตัวนักวิทยาศาสตร์ ไม่จำเป็นจะต้องมีความเชื่อแบบ จารวาก, Atheist หรือ Anti-Theist นักวิทยาศาสตร์ นับถือศาสนาได้ นับถิอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ จะไม่สรุปเกินเลยไปจากความเชื่อ คืออย่างมากที่สุด "นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง" แต่จะไม่กลายเป็น "นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าพระเจ้ามีจริง" ซึ่งถ้าเทียบแล้ว นักวิทยาศาสตร์ จะมีแนวทางคล้ายกับ Atheist ในส่วนที่ "เชื่อ หรือยอมรับด้วยหลักฐาน" มากกว่าจารวาก ที่สรุปความเชื่อไปแล้วว่าไม่มีครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 11:24:21

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าเป็นวิธีคิดที่ไม่ได้ใช้ความคิด ถ้าเราตัดเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด, นรก , สวรรค์ ฯลฯ ทิ้งไป และวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เจ้าลัทธิจารวากพร่ำสอน โดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า 1. ความสุขทางเนื้อหนัง หรือความสุขทางกามารมณ์เป็นความสุขสูงสุด คุณธรรมไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะคนดีคนชั่วก็จบลงด้วยความตายเท่ากัน 2. แสวงหาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน กินให้เป็นสุข สนุกให้เต็มอิ่ม ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ แค่สองข้อนี้ ... สังคมก็บรรลัยแล้วครับ การฉกฉวยแย่งชิง การปล้นฆ่าเพื่อให้ได้มา การข่มขืนชำเรา มันจะกระจายไปทุกหย่อมหญ้าของสังคม ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครอยากได้อะไรก็ได้ เสพ .. ตาย ...จบ การที่บอกว่าตัวเองไม่เชื่อในนรก, สวรรค์ หรือการเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะชี้ได้ว่านั่นเป็นความเชื่อ ในแบบวิทยาศาสตร์ การหาเหตุผล + ข้อเท็จจริง มาอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ให้ถูกต้องได้ต่างหากที่เป็น วิทยาศาสตร์ อะไรที่พิสูจน์ได้แล้วว่ามีอยู่จริง-เกิดขึ้นได้จริงก็ต้องบอกว่ามันจริง อะไรที่พิสูจน์แล้วว่า มันไม่มีเหตุผล มันเกิดขึ้นจริงไม่ได้เพราะปราศจากเหตุปัจจัยก็ต้องบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ส่วนอะไรที่ ยังพิสูจน์ไม่ได้-ทดลองไม่ได้ ก็ตั้งเป็นทฤษฎีด้วยสมมติฐานต่าง ๆ เอาไว้ก่อนแล้วค่อยหาหรือออกแบบ การทดลองออกมาเพื่อจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงของทฤษฎีนั้น ๆ นั่นต่างหากครับที่เป็นวิทยาศาสตร์ จารวากนั้น อย่าว่าแต่ความเป็นวิทยาศาสตร์เลยครับ ไม่ว่าศาสตร์ไหนก็เป็นไม่ได้ทั้งนั้น มันเป็นแค่เพียง หลักการของสัญฃาติญาณสัตว์เท่านั้น จากคุณ : ไปๆมาๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 11:25:23 A:124.120.45.78 X: TicketID:344019

ความคิดเห็นที่ 3 ปรัชญาการดำเนินชีวิตของจารวาก         คติการดำเนินชีวิตของพวกจารวากมีปรัชญาชีวิตว่า กิน ดื่ม และรื่นเริงสำราญ มีความสุขทางเนื้อหนังเป็นจุดหมายปลายทาง มนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว ไม่มีโลกหน้า ไม่มีการเกิดใหม่ หลังจากตายแล้ว คนดีคนชั่วมีจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างเดียวกันคือความตาย ดังนั้น มนุษย์จึงควรรีบตักตวงแสวงหาความสุขเสียให้เต็มที่ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ กินให้เป็นสุข ดื่มให้เป็นสุข และสนุกเสียให้เต็มอิ่ม ตายแล้วก็สิ้นสุดกัน จะดื่มสนุกสนานอะไรไม่ได้อีกแล้ว ลัทธินี้สอนตรงกับความต้องการกิเลสของปุถุชนทั่ว ๆ ไป พวกนี้ยอมรับเอาหลักปรัชญาชีวิตของจารวากมาปฏิบัติได้โดยไม่รู้สึกตัวและง่ายดาย จารวากยังสอนให้คนเราแสวงหาทรัพย์ เพราะว่าทรัพย์สมบัติทำให้เราสามารถแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินในชีวิตได้อย่างเต็มที่ ความสุขทางเนื้อหนัง หรือความสุขทางกามารมณ์เป็นความสุขสูงสุด คุณธรรมไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะคนดีคนชั่วก็จบลงด้วยความตายเท่ากัน แบบนี้มีให้เห็นเยอะในสมัยปัจจุบัน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 11:55:27

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ถือว่าเป้นวิทยาศาสตร์ครับ  เป็นเรื่องของความเชื่อในหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่ง จากคุณ : jikkoromantic เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 12:00:42

ความคิดเห็นที่ 5 แต่ผู้ใช้วิทยาศาสตร์มากมาย เผลอ ๆ เกินครึ่งขึ้นไป ก็กลับมีแนวทางเดียวกับ จารวาก เป๊ะ ๆ เลย ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่บล๊อคความเจริญในการแสวงหาความรู้เป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ซีอิ๊วขาว เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 12:12:57 A:118.172.128.250 X: TicketID:169669

ความคิดเห็นที่ 6 ปรัชญาและหลักศาสนาไม่ว่าจะอันไหนก็ตาม "ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" เพราะมันมาจากแนวคิดคนไม่ได้ผ่านกระบวนการทดสอบ ทุกปรัชญาและศาสนามีจุดบอดเดียวกันคือ "ไ่ม่ปรับปรุงตัวเอง" ทำให้หลักการที่ไม่ถูกต้องก็ยังคงไม่ถูกต้องต่อไป อ่านๆดูผมโอเคกับครึ่งแรกของหลักนี้นะ เพราะมีความใกล้เคียงกับปรัชญาชีวิตผม แต่พอถึงเป้าหมายชีวิตช่วงหลัง... มันอะไรฟระ ไม่ไหวเลย จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 12:40:55

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ลัทธิจารวาก นี้หรือลัทธิอื่นๆ หรือศาสนาอื่นๆ บอกว่า คำสอนในลัทธิของตนมีสิทธิที่จะผิดได้ เมื่อนั้นลัทธิหรือศาสนานั้น ถึงจะเริ่มเข้าสู่แนวทางวิทยาศาสตร์ครับ จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 13:01:34

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าทำอย่างน้นคงเห็นผลในชาตินี้ ชีวิตคงเละ จากคุณ : สะพานเหล็ก เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 15:17:42

ความคิดเห็นที่ 10 ลัทธินี้ มองการณ์ใกล้ ไม่มองการไกล มองเห็นแค่ "ตัวเอง" ไม่ได้มองการไกล ว่า สังคมจะเป็นอย่างไร ไม่ได้มอง คนรอบข้าง คนรัก ลูกหลาน ว่าจะอยู่ในสังคมแบบนั้นอย่างไร ถ้าเปลี่ยนมุมมองจากความสุขของตนเอง เป็นความสุขของสังคม น่าจะดีกว่านี้ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 15:42:53

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านเป็นลักธิ จาวา. กำลังจะมาลุยด้วยลักธิ์แอนดรอ์ย แล้วจะแนะให้ย้ายไปมาบุญครอง   ฮ่าๆ ผิดคิว จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 16:46:58

ความคิดเห็นที่ 12 เค้ามองว่าสัตว์ทั่วไปมันก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องมีคุณธรรม จริยธรรมใด ๆ มาข้องเกี่ยวนะคะะ จากคุณ : i love my boss เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 17:32:26

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าลัทธินี้ เป็นลัทธิสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเข้าไปสนทนาธรรมด้วยมั้งครับ คงเพราะมีจุดดีที่เข้ากันได้กับพุทธ มากกว่าลัทธิ ศาสนาอื่น แต่ยังโง่เขลา เพราะพุทธนั้วิเคราะห์และสังเคราะห์ชีวิตได้ จนจับกิเลสได้ ลัทธิจารวาก ก็เหมือนกับ ......... รู้จักใช้ชีวิต แต่ไม่รู้จักชีวิต......... แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 18:54:06 จากคุณ : ............ (@Ble) เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 18:50:17

ความคิดเห็นที่ 14 งั้นพอวิทย์ไปถึงจุดที่สุดแห่งความรู้ ก็จะไม่มีวิทย์อีกต่อไป ?? /// จริงๆ ปรัชญา กับวิทย์ จะเป็นคนละลำดับขั้นกัน แต่ปัญหาคือ นักวิทย์ หลายคน ก็อาจจะ ดำเนินชีวิต ตามปรัชญานี้อยู่ **** ไม่ต้องมองรวมไปทั้งตัว พุทธ ขอแค่ว่า คุณมองว่า การเบียดเบียนเป็นทุกข์ หรือ การเบียดเบียนเป็นสุข ก็พอ ปล. จริงๆผมก็เบื่อ เวลาเจอคนบอกว่า นั่นไม่มี นี่ไม่มี (แถมด่าอีกฝั่งว่าปญอ อีก) ไม่รู้ว่าเป็นนักวิทย์ลัทธิ์ไหน --- ปัญหาที่ผมยังไม่ได้คำตอบคือ ลัทธิ์จำพวกนี้ มีบางส่วนที่ทำลายเบียดเบียนสังคมอยู่ ผู้เผยแผ่ปรัชญานี้ มีส่วนรับผิดชอบ หรือคิดว่าควรจะแก้ไขปรับปรุงอะไร อย่างไร หรือไม่ หรือนี่คือ สิ่งที่ถูกต้อง เป็นปกติ เป็นที่สุด สำหรับสังคมมนุษย์เราแล้ว +++ ขออีกหน่อยแล้วกัน ที่วิทย์ชอบโจมตีทางศาสนา คำถามคือ กลุ่มศาสนาที่ท่านโจมตีอยู่นั่น ได้ไปเบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย สังคม ส่วนไหน อย่างไรบ้าง ขอระบุแยกแยะมาเป็นส่วนๆนะครับ ไม่ควรจะเหมารวม จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:02:09

ความคิดเห็นที่ 15 #14 เลขสวย ความคิดสวย บรรยายสวยงามมากครับ ชื่นชมครับ "ปกติ" กับ "ไม่ปกติ" มันต่างกันแค่ "ดี" กับ "ไม่ดี" จริงๆแล้ว ถ้าไม่พูดคำว่า "ชั่ว" เราจะได้ยินแต่เรื่องดีๆครับ สมอง คิดอย่างตรึกตรองและเป็นเหตุเป็นผล จะดีที่สุด ผมชอบแนวคิดนะ ให้ผ่าน ครับ จากคุณ : ยังมีวันพรุ่งนี้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 14:53:27

ความคิดเห็นที่ 16 #7, JD300, ``ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ลัทธิจารวาก นี้หรือลัทธิอื่นๆ หรือศาสนาอื่นๆ บอกว่า คำสอนในลัทธิของตนมีสิทธิที่จะผิดได้ เมื่อนั้นลัทธิหรือศาสนานั้น ถึงจะเริ่มเข้าสู่แนวทางวิทยาศาสตร์ครับ'' ขอถามคุณ JD300 หน่อยครับ, A. "ลัทธิใดบอกว่า คำสอนในลัทธิของตนมีสิทธิที่จะผิดได้ เมื่อนั้นลัทธิหรือศาสนานั้น ถึงจะเริ่มเข้าสู่แนวทางวิทยาศาสตร์ครับ" B. ท่านเชื่อว่าประโยค A เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ครับ? C. ท่านเชื่อว่าประโยค A มีสิทธิที่จะผิดได้ไหมครับ? D. ถ้าท่านเชื่อว่าประโยค A เป็นวิทยาศาสตร์ก็หมายความว่าประโยค A มีสิทธิที่จะผิดได้ใช่ไหมครับ? E. แต่ถ้าประโยค A "ไม่เป็น"วิทยาศาสตร์ ก็หมายความว่าท่านเชื่อในสิ่งอื่นที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วย ใช่ไหมครับ? F. ถ้าท่านเชื่อว่าประโยค A ก็มีสิทธิที่จะผิดได้ ก็หมายความว่า เป็นไปได้ที่จะพบในภายหลังว่า A ผิด, และเมื่อถึงเวลานั้น ก็หมายความว่า, เมื่อนั้นอาจจะมีศาสนาที่ไม่เชื่อว่าตนเองผิดได้ แต่ศาสนานั้นก็ยังมีโอกาสถูกเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ใช่หรือไม่ครับ? จากคุณ : อานนท์ ศรีเจริญชัย เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 21:16:19

ความคิดเห็นที่ 17 @JD300, ขอถามอีกเรื่องนึงครับ, พอดีค้นเจอจาก google แต่ได้ข้อมูลไม่ครบ. เห็น อ. เคยพูดเกี่ยวกับปรัชญาวิทยาศาสตร์ไว้ประมาณว่า "สิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริง ให้นับว่าไม่มี ..." ``หว้ากอจะออกแบบการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจหาผีกัน ... - Pantip www.pantip.com/cafe/pda/readtopic.php?url=/cafe/wahkor/topic/... 22 พ.ค. 2012 ... ปรัชญาวิทยาศาสตร์ บอกว่า "สิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริง ให้นับว่าไม่มี .... จนกว่าวันใดพิสูจน์ ได้ว่ามี ค่อนเปลี่ยนไปเชื่อว่ามี". จากคุณ : JD300 [22 พ.ค. 55 17:33:19 ] ... เฉกเช่นเดียว กับเรื่องโลกกลม หรือทฤษฎี Spherical Earth ซึ่งก็เป็นสมมติฐานมาก่อน ...'''' ผมอยากจะทราบความเห็นเต็มๆ ของ อ. อีกครั้ง เกี่ยวกับประโยคนี้ ได้รึเปล่าครับ. เพราะผมคิดว่า ตรรกะนี้ไม่น่าจะถูกต้องครับ. แล้วก็มีแหล่งอ้างอิงของปรัชญาที่ว่าไหมครับ, ผมพยายามค้น google แล้ว, แต่ไม่เจอแหล่งอ้างอิงเลย. แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 19:29:30 จากคุณ : อานนท์ ศรีเจริญชัย เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 09:32:56