ความคิดเห็นที่ 1 เกิดอะไรขึ้นในร่างกายของคนที่มีกิจกรรมทางการเมือง จุดแรกที่เราจะดูกันคือส่วนสมองค่ะ  จากงานวิจัยที่ดิฉันลองอ่านดูพบว่าการศึกษาแบ่งเป็นสองแบบคือ - - ดูการทำงานของสมองขณะมีกิจกรรมทางการเมือง- - เปรียบเทียบการทำงานของสมองในผู้ที่มีความเชื่อต่างกัน เกิดอะไรขึ้นในสมองของเราขณะที่มีกิจกรรมทางการเมือง? สมองส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองมีหลายบริเวณ จากการแสกนการทำงานของสมองของคนที่สนใจทางการเมืองเทียบกับคนที่ไม่สนใจทางการเมือง  เมื่อกระตุ้นด้วยการถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น เด็กเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันควรได้ทุนการศึกษาเยอะกว่าหรือไม่ หรือกฏหมายการอพยพเข้าเมืองควรเข้มงวดกว่านี้หรือไม พบว่าคนที่สนใจการเมืองมีการทำงานสมอง 2 บริเวณนี้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่สนใจการเมือง ได้แก่ - สมองส่วน Amygdala ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ และความก้าวร้าว - สมองส่วน Ventral striatum สมองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับระบบสมองที่ทำให้รู้สึกเป็นสุขราวกับได้รางวัล (reward system)  ภาพที่ได้จากการแสกนสมองค่ะ a) ตำแหน่งของสมองส่วน Amygdala b) ตำแหน่งของสมองส่วน Ventral striatum แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 20:07:51 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:38:11

ความคิดเห็นที่ 2 สมองส่วน Amygdala ค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 19:39:40 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:39:02

ความคิดเห็นที่ 3 การตัดสินใจในคูหาเลือกตั้งยังขึ้นอยู่กับส่วน Amygdala ด้วย จากการแสกนสมองของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกัน และญี่ปุ่น เพื่อตัดปัญหาความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่อาจมีผลต่อการทดลอง กระตุ้นด้วยการฉายภาพของผู้สมัครที่ตั้งใจจะเลือก เทียบกับภาพของผู้สมัครที่ไม่คิดว่าจะเลือก พบว่าเมื่อเห็นภาพของผู้สมัครที่ตั้งใจว่าจะเลือก สมองส่วน Amygdala ของทั้งชาวอเมริกันและญี่ปุ่นทำงานมากขึ้น เทียบกับการดูภาพของผู้สมัครที่ไม่คิดว่าจะเลือก ดังนั้นผลการเลือกตั้งของทั้งเอเชีย และฝรั่งจะมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วยนะคะ ภาพ a) แสดงภาพของสมองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวญี่ปุ่น และอเมริกัน  b) ตัวแปรที่แสดงระดับการทำงานของสมอง สีน้ำเงินเป็นค่าที่ได้เมือเห็นหน้าผู้ที่จะโหวตให้ สีเหลืองเป็นค่าที่ได้เมือเห็นหน้าผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจจะโหวตให้ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:41:57

ความคิดเห็นที่ 4 นอกจาก Amygdala แล้ว การตัดสินใจขณะเลือกตั้งยังใช้สมองอีกหลายส่วนค่ะ เช่น ventromedial prefrontal cortex, anterior cingulate cortex, posterior cingulate cortex, insular cortex, และ lateral orbital cortex สมองบริเวณต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีเหตุผล อย่างไรก็ตามเรายังไม่ทราบวงจรของสมอง และปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวกับการตัดสินใจเลือก หรือไม่เลือกผู้นำค่ะ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:48:20

ความคิดเห็นที่ 5 ทัศนคติทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย  นอกจากสมองแล้ว กิจกรรมทางการเมืองยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายด้วย  การทดลองนี้ใช้คนที่สนใจทางการเมือง 46 คนมาถามความคิดเห็นที่เกี่ยวกับการเมือง จากนั้นจะให้คะแนนแล้วแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม high support เป็นกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางสังคมของตนเองสูงกว่ากลุ่ม low support จากการทดสอบด้วยการทดสอบ Skin conductance ซึ่งเป็นการทดสอบความตื่นตัว และระบบประสาทซิมพาเธติก พบว่าเมื่อถูกทำให้ตกใจด้วยเสียงดังแบบ random กลุ่ม high support จะมีค่า skin conductance สูงกว่า แสดงว่ามีการตื่นตัวสูงกว่า มีระบบประสาทซิมพาเธติกทำงานมากกว่ากลุ่ม low support เมื่อลองแยกคนที่มีปฎิกิริยาต่อการทดสอบการตอบสนองต่อร่างกายเมื่อตกใจ มาถามคำถามทางการเมือง พบว่า - คนที่ไวต่อการกระตุ้น จะสนับสนุนนโยบายที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ สนับสนุนลงโทษด้วยการประหารชีวิต การรักชาติ สงครามอิรัก - คนที่ไวต่อการกระตุ้นน้อยกว่า จะสนับสนุนนโยบายที่เกี่ยวกับนโยบายการบริจาคเงินให้ประเทศที่ยากจน การอพยพเข้าเมือง นโยบายส่งเสริมสันติภาพ และการควบคุมการใช้ปืน การทดลองนี้อาจสรุปได้ว่ากลุ่มคนที่มีรสนิยมทางการเมือง หรือสนับสนุนแนวคิดคล้ายกัน อาจมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกัน กราฟที่ได้จากการทดสอบ Skin conductance เมื่อให้ตัวกระตุ้นที่ทำให้ตกใจ ได้แก่เสียงดังแบบ random พบว่ากลุ่ม high support (กราฟแท่งสีน้ำเงิน คนที่มีแนวโน้มจะกังวลกับสังคมของตัวเอง) จะไวต่อการกระตุ้นมากกว่ากลุ่ม low support (กราฟแท่งสีแดง) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 21:44:23 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:53:20

ความคิดเห็นที่ 6 สมองของคนที่มีความเชื่อทางการเมืองต่างกัน จะทำงานต่างกันหรือไม่? จากการทดลองในคน 3 กลุ่ม ได้แก่ - พวกปัจจเจกนิยม (Individualism) - พวกอนุรักษ์นิยม (Conservatism) - พวกหัวรุนแรง (Radicalism) พบว่าเมื่อกระตุ้นด้วยคำถามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจะมีการทำงานของสมองที่เพิ่มขึ้น แต่ต่างบริเวณได้แก่ - พวกปัจจเจกนิยม (Individualism) --medial prefrontal cortex และ temperoparietal junction เป็นสมองส่วนที่เกี่ยวกับการยับยั้งชั่งใจ และการประเมิณความสัมพันธ์ในสังคม - พวกอนุรักษ์นิยม (Conservatism) -dorsolateral prefrontal cortex เป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประเมิณด้วยศีลธรรม (moral judgmen) การตัดสินใจเมื่อต้องประเมิณความซับซ้อนในสังคม (decision-making in complex social evaluations) - พวกหัวรุนแรง (Radicalism) -ventral striatum และ posterior cingulate ผู้ทดลองสรุปว่าสมองสองส่วนนี้อาจทำหน้าที่เกี่ยวกับความสุขยามได้ปฎิสัมพันธ์กับคนที่มีความคิดแบบเดียวกัน (ventral striatum ) และ การจดจำปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น (posterior cingulate ) ภาพแสกนสมองของกลุ่มปัจเจกนิยม (Individualism) จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:57:16

ความคิดเห็นที่ 7 ภาพซ้ายเป็นภาพแสกนสมองของกลุ่มอนุรักษ์นิยม (Conservatism) ภาพขวาเป็นของพวกหัวรุนแรง (Radicalism) จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:58:34

ความคิดเห็นที่ 8 ระหว่างกลุ่มเสรีนิยม (Liberalism ) และกลุ่มอนุรักษ์นิยม (Conservatism) ก็พบว่าสมองทำงานต่างกันค่ะ พบว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมมีการทำงานของสมองส่วน Anterior cingulate ทำงานมากกว่าอีกกลุ่ม สมองส่วนนี้ทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไมคนที่มีความเชื่อทางการเมืองจึงมีการทำงานของสมองที่ต่างกัน ต้องรอการพิสูจน์ต่อไปค่ะ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:59:50

ความคิดเห็นที่ 9 วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมทางการเมืองเป็นศาสตร์ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าทำไมสมองและร่างกายของคนที่มีความเชื่อต่างกันจึงทำงานต่างกัน  และยังสรุปไม่ได้ว่าคนเราเกิดมาพร้อมความเชื่อ หรือสิ่งแวดล้อม และความเชื่อทำให้คนเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพไป แต่จากการทดลองที่ดิฉันได้ยกตัวอย่างมาจะเห็นได้ว่า ความแตกต่างทางความเชื่อนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีการทดลองใดที่บอกว่าคนที่นับถือลัทธินี้จะมีสติปัญญาด้อยกว่าคนอื่น ไม่มีผลกาศึกษาใดที่บอกว่าคนที่ชอบพรรคการเมืองนั้นจะมีความเป็นคนด้อยกว่าคนที่ชอบอีกพรรค ไม่ผิดจะมีอุดมการณ์ทางการเมือง แต่การยึดติดกับความเชื่อของตนเองจนไปละเมิดสิทธิและความเชื่อของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งผิด และจากประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมาไม่มีใครเป็นมิตรแท้ ศัตรูถาวร ... ... ไม่ว่าคุณจะใส่เสื้อสีไหน พอตายไปเถ้าถ่านของทุกคนก็เป็นสีขาวอยู่ดี ที่มา (ข้อมูล # 1) Gozzi M, et al. Interest in politics modulates neural activity in the amygdala and ventral striatum. Hum Brain Mapp. 2010 Nov;31(11):1763-71. (รูป # 2) http://neurowiki2012.wikispaces.com/Presynaptic+Mechanisms+of+Synaptic+Plasticity (ข้อมูล # 3) Rule NO, et al. Voting behavior is reflected in amygdala response across cultures. Soc Cogn Affect Neurosci. 2010 Jun;5(2-3):349-55. (ข้อมูล # 4) Westen D, et al. Neural bases of motivated reasoning: an FMRI study of emotional constraints on partisan political judgment in the 2004 U.S. Presidential election. J Cogn Neurosci. 2006 Nov;18(11):1947-58. (ข้อมูล # 5) Oxley DR, et al. Political attitudes vary with physiological traits. Science. 2008 Sep 19;321(5896):1667-70. (ข้อมูล # 6,7) Zamboni G, et al. Individualism, conservatism, and radicalism as criteria for processing political beliefs: a parametric fMRI study.  Social neuroscience 2009, 4 (5), 367-83  (ข้อมูล #8 ) Neurocognitive correlates of liberalism and conservatism. Nat Neurosci. 2007 Oct;10(10):1246-7 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:05:48

ความคิดเห็นที่ 10 จัดไปครับ จริงๆ เท่าที่ผมหาอ่านมา พบปัจจัยที่น่าสนใจคือ 1. คนที่เป็นอนุรักษ์นิยม นีแนวโน้มจะบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่าเสรีนิยม 2. คนที่เป็นเสรีนิยมมีแนวโน้มที่จะมีความกล้าสูงกว่าอนุรักษ์นิยม 3. ผมยังไม่เคยเจองานวิจัยที่เปรียบเทียบ ความสามารถทางสมองของทั้งสองกลุ่ม ps0. หลายๆท่านอ่านบทความนี้กรณาอ่านำไปเทียบกับ jusci เพราะเว็บนั้นคนเขียนข้างเลือกข้างครับ (เฉพาะเรื่องการเมือง) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 20:45:45 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:44:21

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ทราบเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ครับ แต่ตามปกติแล้ว สิ่งใดก็ตามที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นหรือความศรัทธาในตัวบุคคลหรือสถาบันใดแล้ว จะกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดความแตกแยกได้ง่ายที่สุดครับ เพราะเมื่อความศรัทธารุนแรงมากไป มีอุปาทานเหนียวแน่นในสิ่งหนึ่งมากเกินไปจนปิดกั้นตัวเองจากสิ่งอื่น เหตุผลและพรหมวิหารก็จะหายไป อารมณ์จะเข้ามาครอบงำแทน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น เรื่องศาสนาก็อย่างหนึ่ง หรือในปัจจุบันก็มีแม้กระทั่งเรื่องดารานักร้อง หรือกีฬาก็เป็นไปด้วย จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 21:36:20

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเคยทำแบบทดสอบเล่นๆ กลายเป็นออกมาเป็น individualist anachism ... ผมมักบอกใครต่อใครว่าผมเป็นมนุษย์ต่างดาว ... สงสัยว่าการอาศัยอยู่ในกลุ่มลิเ้บอรัล กับคอนเซอร์เวทีฟ แล้วก็เรซิซึ่ม มันคงจะยากลำบากพอสมควร เพราะว่าชอบมีคนมา จัดอันดับเข้ากลุ่มอะไรแถมติดป้ายให้เสร็จสรรพ แถมประดิษฐ์คำต่างๆมาใช้เรียกกันด้วย บางทีพวกปัจเจกอนาฯ นี่คงอยู่ได้ยากสินะ ฮ่าๆ อาจต้องหาซื้อที่สักไร่นึงครับ เอาแบบอยู่ในหุบเขาลึก นานๆพอฝึกวิชาเสร็จแล้ว ค่อยเข้ามาซื้ออาหารในเมืองทีหนึ่ง จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 21:56:20

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านแล้วงงๆ วิธีการแบ่ง ปัจจเจกนิยม (Individualism) อนุรักษ์นิยม (Conservatism) หัวรุนแรง (Radicalism) เนื่องจากเท่าที่ค้นดู มันเป็นการแบ่งคนละแบบกัน เลยงงตอนเอามาเทียบกัน คือ ปัจจเจกนิยมหัวรุนแรง ก็ได้ จะเป็น อนุรักษ์นิยมปัจจเจกนิยม ก็ได้ จะเป็น อนุรักษ์นิยมหัวรุนแรง ก็ได้เหมือนกัน แล้วทำไมการทดลองมันแบ่งสามอันนี้ (มันคนละแบบกัน) เท่าที่ค้น ปัจเจกนิยม - มนุษย์มีฐานะปัจเจกบุคคลสำคัญที่สุดมากกว่ากลุ่มสังคม แนวคิดทางการเมืองออกแนวเพิ่มพูนเสรีภาพของบุคคลให้มากที่สุด โดยเฉพาะเสรีภาพความคิดเห็นและการแสวงหาความสุข สังคมนิยม - ก็ตรงข้ามกับ ปัจเจกนิยม คือเน้นสังคม ทุกคนควรได้รับการตอบแทนเท่าๆกัน ไม่ให้เหลื่อมล้ำกัน ปัจเจกนิยม เป็นส่วนหนึ่งในเสรีนิยม อนุรักษ์นิยม - ปรัชญาทางการเมืองที่ยึดถือเอาสิ่งดีงามในอดีตมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานในปัจจุบัน โดยนิยมการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ปฏิวัติ ปฏิรูป - ก็ตรงข้ามกับอนุรักษ์ ค้นไปค้นมายังมีแบ่งอีกเพียบเลย งงไปกันใหญ่ สำหรับเรื่องนี้ ผมมองว่า สมองทำงานต่างกัน เพราะ เริ่มคิดด้วยหลักการที่ต่างกัน น่าสนใจมากครับ คล้ายกับคนเรา บางคนฉลาดปรับปรุงพัฒนาเก่ง  บางคนเชื่อมโยงอะไรๆเก่ง   น่าจะมาจากเริ่มคิดด้วยหลักการที่ต่างกัน ปล ปัจเจกนิยมเต็มเหนี่ยว ผมว่าก็บรรลัยนะ คือเห็นแก่ตัวเต็มที่ ยกตัวอย่าง ก็ไอ้โรงงานที่ขนขยะอุตสาหกรรมไปทิ่งไว้ในบ่อกุ้ง ตอนนี้น้ำใต้ดินแถวนั้นปนเปื้อนหมด คนใช้น้ำป่วยกันหมด สังคมนิยมเต็มเหนี่ยวก็แย่เหมือนกัน เพราะในเมื่อทุกคนได้รับผลตอบแทนเท่ากัน คนก็จะมีแนวโน้มที่จะเลือกทำอะไรที่สบายที่สุดอย่างแน่นอน คนเก่ง คนฉลาด ก็ไม่ได้รับโอกาสที่เหมาะสม (รวยกว่า สบายกว่า มีของที่อยากได้เป็นต้น) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 22:43:44 จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 22:40:06

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบคุณ GreenEyes เนื่องจากมีหลายนิยาม ตัวงานวิจัยเองก็ไม่ได้ระบุนิยามของอุดมการณ์ทางการเมืองแน่ชัดค่ะ แต่ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มรสนิยมทางการเมืองโดยใช้การให้คะแนนการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในการจำแนกคนน่ะค่ะ ยกตัวอย่างคำถาม เช่น ควรให้สิทธิ์คนรักร่วมเพศแต่งงานไหม หรือ เด็กทุกคนควรได้เรียนเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการไหม คำถามพวกนี้จะใช้ให้คะแนนการเป็น Conservatism หรือคำถามประเภท สิทธิในการแสดงออก หรือ คำถามที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในการต่อรองรัฐบาล คำถามพวกนี้จะใช้ให้คะแนนการเป็น Radicalism จากนั้นจะมีการให้คะแนนแล้วนำมาผ่านการวิเคราะห์ แล้วแยกกลุ่มผู้ร่วมทดลองค่ะ ภาพนี้เป็นกราฟที่ได้จากการตอบคำถามค่ะ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 00:52:34

ความคิดเห็นที่ 15 :A: ผมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมล่ะ ประมาณว่าถ้าไม่เจ๋งจริง  ผมไม่เปลี่ยน ใครเป็นบ้างครับ ปล.ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ^^ จากคุณ : sillfai เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 04:44:09

ความคิดเห็นที่ 16 #12 ทำไมต้องเข้ามาซื้ออาหารในเมือง ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์เองไปเล้ย จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:07:48

ความคิดเห็นที่ 17 จาก "คห.9 ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าทำไมสมองและร่างกายของคนที่มีความเชื่อต่างกันจึงทำงานต่างกัน  และยังสรุปไม่ได้ว่าคนเราเกิดมาพร้อมความเชื่อ หรือสิ่งแวดล้อม" เราสนใจตรงความเชื่อ ซึ่งรวมทั้งความเชื่อทางการเมือง ศาสนา หรือเรื่องอื่นๆ  ถาม จขกท. ว่ามีคนเกิดมาพร้อมความเชื่อนี่ยังไงอะคะ  เพราะส่วนใหญ่จะเข้าใจว่ามาจากการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อม    เรื่องศรัทธา ความเชื่อ เป็นอะไรที่น่างงมาก เพราะบางทีเราว่ามันไม่น่าเชื่อไปได้แต่คนที่เชื่อกลับเป็นคนที่มีการศึกษา มีไอคิวสูง   ทำให้สงสัยว่าหรือบางมุมบางเรื่องเขาเห็นอย่างนั้นจริง คนอื่นเข้าไม่ถึง  เช่นการเชื่อเรื่องผี เรื่องทางศาสนา   อย่างศาสนาพุทธก็มีระบบการป้องกันการพิสูจน์หรือสื่อสารกับคนอื่นด้วยคำว่า ปัตจัตตัง หรือ สัณทิฏฐิโก   แม้ว่ามันจะจริงก็จะต้องจัดอยู่ในความเชื่อสำหรับคนทั่วไปอยู่ดี จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:49:51

ความคิดเห็นที่ 18 ก็น่าสนอยู่นะ ทำที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร มีระบบฟาร์มอัตโนมัติ อยากรวยกว่านี้จัง จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:31:30

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนนี้ผมกำลังสนใจเรื่องโรงเพาะเห็ด .. อ่า เดี๋ยวไว้ชวนคุยกระทู้อื่นดีกว่า จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:32:05

ความคิดเห็นที่ 20 มันขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามคำว่า  การเมือง อย่างไร เพราะอะไรๆ  ทุกๆอย่างเราก็สามารถจัดเข้าสู่หมวดหมู่ของการเมืองได้ทั้งนั้น ตั้งแต่การเก็บเปลือกลูกอมใส่กระเป๋า(สำนึกสาธารณะ)  จนถึง การสนับสนุนการhijack ประเด็นต่อมา ตามไอเดียเราเองนะ ถ้้าการเมืองเป็นแบบแผนหนึ่งที่ควบคุมทุกอย่างของชีวิต  มันก็ไม่น่าแปลกที่ระบบประสาทอาจจะ ได้รับการฝึกฝนมาจนการทำงานเข้าระบบเดียวกัน  จนกลายเป็นแบบแผนของโครงสร้่างความคิดของสมอง(แน่นอนว่าสัมพัทธ์กับสังคม) และในสังคมเดียวกัน  สมองที่ถูกฝึกฝนมาตรงข้ามกับแบบเมื่อกี้  ก็จะมีอีกโครงสร้างความคิดหนึ่งตามการฝึกฝนในชีวิตประจำวันบนสังคมเดียวกัน ระบบการทำงานของสมองที่แตกต่างบนโครงสร้างสังคมเดียวกันนี่เอง  ที่ทำให้ตรรกะและเหตุผลของอีกฝ่ายerror  เพราะhardwareของอีกฝ่ายมันไม่รับ แต่ข้อเขียนที่ จขกท เขียนมา มันหักล้างความคิดของเราออก  ตามที่เราเข้าใจมันคล้ายๆกับว่า สมองของบางคนถูกโปรแกรมให้ท้าทายหรือนิยมความรุนแรงมาจากพันธุกรรม แล้วพอมารวมกับปัจจัยเอื้อหนุนทางสังคมก็จะออกมาเป็น(ตามความเข้าใจของเรานะ) ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ มีครอบครัวนึงเป็นอนุรักษ์นิยมแท้ๆตามแบบจารีตเลย  แล้วก็จะมีลูกสาวที่ชอบหักคอมดเล่นด้วยความสนุก คือรักความรุนแรงแต่ไม่ไปไล่ฆ่าคนเล่นเพราะไม่สามารถจินตนาการถึงการไล่ฆ่าคนได้ เพราะเธอมีปัจจัยการใช้ชีวิตในสังคมเมืองแบบจารีตนิยมกดไว้อยู่ แต่สำหรับเธอนั้นการบี้มดเป็นอะไรที่ซื้ดซ้าดและท้าทาย สารเคมีในสมองพุ่งมากๆราวกับได้กดปุ่มยิงระเบิดนิวเคลียร์(เพราะเทียบกับฐานคิดแบบจารีตนิยมสุดๆ ยุงกัดไม่ตบ อะไรประมาณนั้น) สรุปว่า  ไอ้hardwareของสมองที่หลากหลายนี่เอง ที่ทำให้"อุดมคติทางความคิด" (คือทุกคนคิดเหมือนกัน)  "ไม่สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้"(ถ้าอยากเห็นจริงๆ เชิญที่นิพพานเลยจ้า) เพราะฉะนั้น  "แดง" อย่างเราจะขอสรุปว่า มันไม่มี "คนดี"  หรืออุดมคติที่บริสุทธิ์(เพราะโครงสร้างสมองมันไม่เหมือนกัน) ดังนั้น  เรามาตรวจสอบ คนดี  กันเถอะ  โดยเฉพาะคนดีที่มีอำนาจ และที่ต้องตรวจที่สุดคือ  คนดีที่พ้นจากการตรวจสอบ ตรวจสอบบนฐานคิดของการอยู่ร่วมกันในแบบที่  ตัวเราก็มีสิทธิบนตัวเรา  และตัวเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม         การถกปรัชญาทำให้ความคิดแบบอุดมคติตกไปนานแล้ว  แต่นี่เป็นก้าวใหม่ของการทำลายความคิดเชิงอุดมคติ คือการทำลายตั้งแต่โครงสร้างทางชีววิทยาก่อนจะออกมาพบโลกพบสังคมเลยทีเดียว ปล. ถ้าอยากให้โลกสงบสุขจริงๆ ให้เมืองไทยเป็นแผ่นดินทอง คงจะต้องเอาคนไปดัดแปลงพันธุกรรมให้หมดแล้วแหละเนอะ~  เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันแล้วเลิกไล่คนที่ไม่เห็นด้วยออกนอกประเทศซักทีเถอะ ปล.2 เป็นไงล่ะ  "แดง"มั้ยล่ะ  ^^ จากคุณ : PCHREX เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:33:08

ความคิดเห็นที่ 21 ใช่ครับ และในทางกลับกัน มันก็ตีกลับไปเหมือนกันว่า แดงไม่สามารถโวยวายได้ว่า ทำไมคนบางกลุ่มบ้าคนดีนัก เพราะ ฮาร์ดแวร์ สมองเขาล็อคมาแบบนั้น :) ในอีกทางหนึ่ง สิ่งที่กระทู้นี้ชี้จริงๆก็คือ ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ และ อุดมคติว่า ทุกคนจะไม่มีความคิดเชิงอุดมคติ ก็จะไม่เป็นจริง เช่นเดียวกับอุดมคติอื่นๆ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจรับมัน การยึดอุดมคติอันเกินเลย จึงเป็นความเพ้อฝัน และบรรดาสีๆ หัวรุนแรงทั้งหลายก็ควรเข้าใจ (แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าอุดมคติว่าทุกคนจะเข้าใจ นั้นไม่เป็นจริง ดังนั้นต้องมีบรรดาหัวรุนแรงที่ยึดอุดมคติ อยู่เสมอ) จากคุณ : panote_saechiew เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:55:38

ความคิดเห็นที่ 22 พยายามเอาชีวะวิทยามาอธิบายสังคมวิทยา ยากนะนี้ การเมืองสำหรับผมคือ อย่าไปละเมิดคนอื่น และอย่าให้คนอื่นละเมิดตนเอง แต่ละคนควรได้รับในสิ่งที่ตนควรได้จากการทำงาน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำให้สังคมปั่นป่วน ก็คือการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ไม่ให้รายได้เหลื่อมล้ำกันเกินไปโดยมีรัฐคอยกำกับดูแล จากจุดนี้ก็แตกแขนงไปสู่หลักปฎิบัติทางการเมืองอีกมากมาย ฯลฯ ปล.ขอให้เพื่อนๆถกเถียงกันด้วยเหตุผลนะครับ กระทู้จะร้อนแรงขึ้นด้วยการเสียดสีเล็กๆ จะลามไปสู่การเสียดสีใหญ่ๆจนไฟลุกแล้วก็จบชีวิตกระทู้นี้ลง จากคุณ : มาช้าแต่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 22:29:44

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบคุณ จันทร์สุขสดใส กระทู้นี้ดิฉันได้ยกตัวอย่างการทดลองที่บอกว่ากลุ่มที่มีรสนิยมทางการเมืองต่างกันจะมีสมองทำงานต่างกัน สมมติว่าคนที่ชอบระบบอบการปกครอง A จะมีสมองส่วน B ทำงานดีเป็นพิเศษ   ตอนนี้เรายังสรุปไม่ได้ว่าเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาในนครอบครัวที่ชอบระบอบ A จะมียีนที่ทำให้เกิดมาพร้อมสมองส่วน B ที่ทำงานดีกว่าปรกติตั้งแต่ต้น หรือ เด็กคนนั้นเกิดมาด้วยสมองที่เหมือนเด็กทั่วไป แต่ถูกเลี้ยงดูและมีกิจกรรมทางการเมืองที่ทำให้ชอบระบอบ A อย่างต่อเนื่องทำให้โครงสร้างของสมองเปลี่ยนไป เรื่องของยีนและพันธุกรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมการเมืองมีงานวิจัยอยู่ แต่ยังมีข้อโต้แย้งมากค่ะ ดิฉันจึงยังไม่เอามาใส่ในกระทู้นี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธุกรรมและการเมืองคุณอาจลองเข้าไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ http://en.wikipedia.org/wiki/Genopolitics จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 00:40:34

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่าการปลูกฝังก็มีส่วนเช่น -อนุรักษ์นิยม จะมีสมองส่วน A ทำงานเป็นพิเศษ -เสรีนิยมจะมีสมองส่วน B ทำงานเป็นพิเศษ มีเด็กคนนึงเกิดมากลางๆ แต่ในครอบครัวเขาเป็นอนุรักษ์นิยม เขาก็ได้แนวคิดอนุรักษ์นิยมมาทำให้สมองส่วน A ทำงานพิเศษ ส่วน B ก็ฝ่อลงไปประมาณนี้ แต่สมมติว่าเด็กคนนี้มีสมองส่วน B ที่มากเป็นพิเศษ  ถึงจะได้รับการปลูกฝังอย่างไรก็อาจจะไม่เปลี่ยน เหมือนคำที่ว่า ลูกไม้ไกลต้น - แหกคอก - ผ่าเหล่าผ่ากอ  อะไรแบบนั้น ผมเข้าใจแบบนี้ถูกไหมครับ.. !? . แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 03:53:00 จากคุณ : pencilboy เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 01:39:48

ความคิดเห็นที่ 25 แน่นอนค่ะ นอกจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อมมีส่วนต่อพฤติกรรมมนุษย์อย่างมาก รวมทั้งปัจจัยอื่นๆด้วย จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 02:25:40

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าหมายถึงกระทู้ในห้องสมุดนั่นคือ เขาบอกว่าตัวเองเป็นกลาง แต่โจมตีแต่ฝ่ายสีแดงครับ ถ้าจะโจมตีแต่ฝ่ายสีแดง ก็อย่าอ้างตัวเองเป็นกลาง แล้วก็ไปเขียนในห้องราชดำเนิน คนที่แจ้งลบกระทู้นั้นคือผมเอง กระทู้นี้เท่าที่เห็นยังไม่มีเรื่องแบบนั้น ถ้าคนตั้งกระทู้โจมตีฝ่ายสีแดงผมก็แจ้งลบเช่นกันครับ แต่ถ้าโจมตีฝ่ายสีอื่นผมไม่แจ้งลบครับ เชื่อว่าสีอื่นคงแจ้งลบเอง จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 14:32:21

ความคิดเห็นที่ 27 เกี่ยวกับ ตรรกะ เหตุผลอะไรพวกนี้มีมั้ยครับ เท่าที่ดูเนื้อหาในกระทู้นี้จะเป็นสมองในส่วนของอารมณ์ซะเยอะ ใกล้ๆแถวๆ limbic system ว่าแต่ ใครมี cache กระทู้เก่าบ้างครับ จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 20:25:15

ความคิดเห็นที่ 28 การตัดสินใจทางการเมืองมองตามพื้นที่สมองที่ใช้เป็นเรื่องของทั้งอารมณ์ (เช่น amygdala) และเหตุผล กับความยับยั้งชั่งใจ มาประกอบการตัดสินใจ (เช่น บรรดาสมองส่วนหน้าทั้งหลาย อย่าง prefrontal cortex)  ส่วนใครจะแสดงพฤติกรรมโดยใช้สมองส่วนไหนเป็นใหญ่ก็แล้วแต่คนล่ะ   ส่วนพวกเหตุผลทางจิตวิทยาการเมืองก็มีงานด้านนี้ให้อ่านเยอะอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้เอามาใส่ในกระทู้ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 20:50:41

ความคิดเห็นที่ 29 ถาม จขกท ว่าอย่าง #26 นี่น่าจะเป็นเพราะการทำงานของสมองส่วนไหนมากเป็นพิเศษครับ จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 20:58:26

ความคิดเห็นที่ 30 ปมด้อยทางจิตใจ สังคมที่ไม่เท่าเทียม คิดถึงแต่ความแตกต่างด้านสังคมที่ไม่เป็นธรรม เลยอยากล้มล้างสิ่งที่มีมาตั้งนาน แต่ถ้าทำไม่ได้อยู่ๆไปหรือมีสถานะทางสังคมที่ดีขึ้น อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างก็ได้ คนที่ชีวิตดีอยู่แล้วก็ไม่อยากเปลี่ยน คนที่ยังไม่ดีก็อยากเปลี่ยนเป็นธรรมดา แต่ที่ทุกท่านพยามยามจะเปลี่ยนมันไม่ใช่สิ่งของหรืออะไหล่รถ มันคือสังคมมันกระทบทุกๆคน และมันจะทำให้ทุกๆคนเริ่มที่จะเรียนรู้ว่าการเมืองเรื่องใกล้ตัว ถ้าไม่มีอะไรมาขวางกั้นมาหยุดหรือแปลงภาพสังคมว่ามันเรียบร้อย ปล่อยให้คนเรียนรู้แล้วจะดีเอง นี่เป็นช่องว่างอย่างหนึ่งที่บางพรรคการเมืองใช้ เพราะเขามองสังคมออก มองเห็นถึงสิ่งที่คนส่วนล่างทุกคนต้องการ ซึ่งมันเป็นคนส่วนใหญ่ซะด้วย จากคุณ : monsterchef เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 21:34:56

ความคิดเห็นที่ 31 จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ กระทู้นี้จึงเขียนมาด้วยความคิดที่ว่า ความรู้ไม่ควรถูกขัดขวางด้วยความขัดแย้งทางการเมือง ดิฉันไม่สนใจว่าคนที่เข้ามาอ่านจะนับถือนโยบายทางการเมืองไหน แต่ดิฉันจะขอบคุณมาก หาคุณผู้อ่านจะมีมารยาท  ไม่ต่อล้อต่อเถียงกันในกระทู้นี้ หากต้องการจะเถียงกันขอความกรุณาแลกเบอร์โทรศัพท์นัดคุยกันเลย จะได้เคลียร์ปัญหากันเสีย เป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและอายุของกระทู้นี้ และกระทู้ความรู้อื่นๆ ที่อาจจะมีในอนาคตค่ะ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 22:06:30

ความคิดเห็นที่ 32 เป็นไปได้ไหมว่า พอได้อำนาจหรือได้เป็นใหญ่ สัณชาตญาณมนุษย์เริ่มทำงาน  อาจจะลึกกว่า subconcious หรือ unconcious หรืออาจจะไปถึง spinal cord เลย(อันหลังนี้ล้อเล่น)   และส่งผลมายังการเปลี่ยนแปลงของสมอง      เคยอ่านเรื่อง Animal farm ของ George Orwell แต่อันนั้นมันเป็นนิยายที่เสียดสีการเมืองไม่ใช่งานวิจัย จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 22:31:42

ความคิดเห็นที่ 33 ความสุดขั้วทางการเมืองเทยผมเห็นว่าเป็นประเด็นทางคุณภาพของการศึกษา เราไม่สามารถควบคุม ego ได้ เราไม่มีความพยายามจะเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งตามทฤษฎีของ Paget มนุษย์ควรจะพัฒนาความเข้าใจได้ว่า ด้วยประสบการณืที่เกิดต่างที่ ลำบากมาต่างกัน บทสรุปที่ถูกต้องก็จะต่างกัน โดยไม่ต้องไปยัดเยียดเหตุผลของความต่างว่าโกง โง่ หรือเลว มันถูกได้ทั้งคู่ และการจะอยู่ร่วมกันต้องโอนอ่อน ต่อรอง หาจุดสมดุล การที่ละลายสภาวะ  Egocentric ไม่ได้ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เห็นว่า การศึกษาไทย ล้มเหลวครับ การนับประเด็นเพื่อโต้แย้งเราก็แย่กันมาก ดูได้จากการแถนอกเรื่องเมื่อเถียงแพ้ เราไม่เถียงกันทีละเรื่องให้จบ แถมคนที่ถูกเกรียนใส่ก็มักคุม ego ไม่ได้ นอกเรื่องตาม จริงๆ ในการถกเถียง ถ้ามีใครนอกเรื่องอันนี้ต้องให้หยุด และปรับแพ้ในการถกเถียง และจะต้องไม่ไปเล่นประเด็นใหม่จนกว่าประเด็นเก่าจะสิ้นสุด ครับ ในกระทู้นี้ ใครนอกเรื่องผมจะแจ้งลบ และผมไม่สนด้วย ใครโต้แย้งตามคนนอกเรื่องผมก็จะแจ้งลบเช่นกัน เอาเรื่องประเด็นสมอง และจิตวิทยา เราไม่มาสะสางข้อเท็จจริงมั่วๆทางการเมืองในกระทู้นี้ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 23:07:09

ความคิดเห็นที่ 34 ตอบคุณ จันทร์สุขสดใส ประเด็นเรื่องจิตวิทยาดิฉันไม่ชำนาณนัก แต่ความเห็นส่วนตัวดิฉันเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณความอยากมีอำนาจอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ด้วยการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ชีวิต และปัจจัยอื่นๆจะเป็นตัวปรับแต่งอุปนิสัย ความต้องการอำนาจของคนๆหนึ่ง เรื่องความยาวนานของการครองอำนาจกับการเปลี่ยนแปลงของสมองยังไม่มีงานทดลองค่ะ (แน่ล่ะ เพราะท่านผู้ทรงอำนาจคงไม่ยอมมาให้แสกนสมอง แล้วเราก็พยากรณ์ไม่ได้่ว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจเป็นคนต่อไป) อย่างไรก็ตาม เรามีการทดลองที่ว่าหากคนหรือสัตว์อยู่กับอารมณ์อย่างหนึ่งนานเกินไป เช่น คนที่เครียด ซึมเศร้าเป็นเวลานานๆ (เช่นถูกข่มขืน โดนทารุณกรรม) ฮอร์โมนที่มาจากความเครียด (stress hormones) ถูกหลั่งออกมามากๆเป็นระยะเวลานาน การทำงานและโครงสร้างของสมองอาจจะเปลี่ยนไป จากการทดลองนี้มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าการอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางการเมืองอย่างหนึ่งนานๆ อาจมีผลต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่ายังสรุปไม่ได้ว่าพฤติกรรมทางการเมืองสัมพันธ์อย่างไรกับสมองกันแน่ค่ะ  อีกอย่าง พฤติกรรมของมนุษย์ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทำให้เราต้องมีวิชาจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ประสามวิทยา สังคมศาสตร์ ฯลฯ มาพยายามวิเคราะห์ความแตกต่างของธรรมชาติของคนไงคะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 00:16:22 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 23:34:59 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 23:30:17

ความคิดเห็นที่ 35 งานวิจัยลักษณะนี้ ผมว่าไม่มีประโยชน์ ถ้าไปนำเสนอก็จะมีข้อโต้แย้งมากมาย เพราะความรู้สึกเรื่องการเมืองไม่ใช่ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นจะมีตัวแปรมากมายที่จะมีส่งผลต่อข้อสรุปของงาน ถ้าจะจำกัดวงตัวแปรก็จะกลายเป็นว่า ข้อสรุปอันนี้ก็จะใช้ได้ในวงแคบๆเท่านั้น อย่างงานวิจัยนี้ ข้อจำกัดก็จะเป็นแค่ใช้ได้กับคนวัยเลือกตั้งของสองประเทศเท่านั้น ไม่มีใครรับประกันว่า ถ้าไปทดสอบกับคนประเทศอื่น ผลจะออกมาเหมือนกันหรือไม่ หรือถ้าทดสอบกับคนวัยอื่น เช่นกลุ่มพวกเลือกตั้งครั้งแรก หรือกลุ่มพวกเลือกตั้งมาแล้วหลายหน ผลจะต่างกันไหม แค่ลองเข้าไปอ่านบทคัดย่ออันนึงที่จขกท ยกมา ก็ยังไม่เข้าใจว่างานวิจัยแบบนี้ จะสามารถ extend current knowledge on the neural correlates of the structure of political beliefs, a fundamental aspect of the human ability to coalesce into social entities. ได้จริงหรือ จากคุณ : kakratoo เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 01:55:20 A:125.25.46.193 X: TicketID:350001

ความคิดเห็นที่ 36 ต้องขออภัยคุณ จขกท ด้วยที่ผมอดใจไม่ได้เผลอไผลไปตามอารมณ์เวลาได้เห็นคนที่สุดขั้วทางการเมืองตามมาป่วนแม้แต่กระทู้นี้จนอดแขวะไม่ได้  เป็นตัวอย่างที่ดีว่าคนเราไม่สามารถใช้เหตุผลได้ตลอดเวลา  ต่อไปจะปรับปรุงตัวให้นิ่งกว่านี้ครับ เนื่องจากผมไม่ได้รู้เรื่องทางสมอง หรือแม้แต่จิตวิทยา แต่จากการสังเกตุด้วยตัวเองและจากการอ่านประวัติศาสตร์ ผมเชื่อว่าการทำงานของสมองส่วนต่างๆ เมื่อได้รับสิ่งเร้าทางการเมืองนั้น น่าจะมีผลมาจากการปลูกฝังในภายหลังมากกว่าเกิดมาเพื่อเป็นอย่างนั้น ที่ว่าผู้สนใจทางการเมืองมีการทำงานของสมองบางส่วนมากกว่าผู้ไม่สนใจเมื่อถูกกระตุ้นด้วยคำถามทางการเมืองตาม #1  น่าจะต้องเปรียบเทียบด้วยว่าผู้ที่ไม่สนใจทางการเมือง เมื่อถูกกระตุ้นด้วยคำถามอื่นๆ ที่ตัวสนใจ เช่นเรื่องดนตรี กวี วรรณกรรม กีฬา sex  การทำงานของสมองในสองส่วนที่ว่ามีมากขึ้นในลักษณะเดียวกันด้วยหรือไม่ การทำงานของสมองเพิ่มตามสิ่งเร้าที่แต่ละคนสนใจ มากกว่าเพียงเพราะเป็นแค่เรื่องการเมืองหรือเปล่า ส่วนเรื่องลักษณะทางกายภาพในหรือการทำงานของสมองที่แตกต่างกันในคนที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างกัน น่าจะมาจากแนวคิดทางการเมืองแต่ละส่วน ต้องใช้สมองส่วนที่แตกต่างกันมากกว่าอยู่แล้ว เช่นบางแบบต้องอาศัยเรื่องของตรรกะเหตุผลมากกว่าความรู้สึก  คนที่มีแนวคิดการเมืองที่แตกต่างกัน มีการทำงานของสมองที่ต่างกันเพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องใช้สมองส่วนนั้นๆ มากกว่าอยู่แล้ว ถ้าคำถามที่ถามเปลี่ยนไปจากเรื่องการเมือง แต่ต้องใช้แนวคิดหรือตรรกะที่คล้ายกันในแต่ละแบบ ผลการทดลองจะออกมาแบบเดียวกันไหม  เพราะก็เช่นเดียวกันว่าแต่ละคนมีสิ่งเร้าไม่ต่างกัน   อดสงสัยไม่ได้ว่าการทดลองจับที่เรื่องการเมืองมากไปหรือเปล่า ถ้าเป็นคำถามอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเมือง แต่ต้องใช้ logic แบบเดียวกันในการคิดพิจารณา ผลจะออกมาเหมือนกันหรือไม่ แต่ผมก็คิดว่าลักษณะทางสมองบางอย่างถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน เช่นคนที่เกิดมามีสมองส่วนไหนจำชื่อไม่ได้ที่ทำงานควบคุมเรื่องอารมณ์มีความผิดปกติเช่นใหญ่หรือเล็กไป  ทำให้คนพวกนี้มีแนวโน้มที่จะใช้กำลังมากกว่าเหตุผล หรือมีลักษณะแอนตี้สังคมมากกว่าคนทั่วไป หรือบางคนขี้กลัว  บ้างเป็นจิตเภท  และอาจมีแนวโน้มที่จะนิยมแนวคิดทางการเมืองบางแบบได้มากกว่าคนทั่วไป เช่นนิยมอะไรที่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เป็นต้น แนวคิดทางการเมืองที่ต่างกันของแต่ละคน ส่วนหลักๆ น่าจะมาจากการปลูกฝังในภายหลัง โดยอิงกับการใช้เหตุผลของแต่ละคนว่าแบบไหนจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อตนเองมากกว่า ทำให้บางคนเป็นเสรีนิยม บ้างเป็นอนุรักษ์นิยม ฯลฯ จุดอ่อนของคนทั่วไปอย่างหนึ่งคือเราไม่ได้ใช้สมองหรือเหตุผลใคร่ครวญผลดีผลเสียในการตัดสินใจจะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งต่างๆ ทุกครั้ง ปัจจัยอื่นๆ เช่นเรื่องของอารมณ์  ข้อจำกัดของข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจ  สัญชาตญาณทางธรรมชาติ  บวกกับสิ่งแวดล้อมปัจจัยภายนอก เช่นจากคนรอบข้างหรือความไม่ต้องการแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม อาจมีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของคนมากกว่าปัจจัยภายในและการใช้เหตุผลจากสมองตัวเองอย่างมาก   ดังนั้นถ้าจะอธิบายเรื่องพฤติกรรมนมุษย์ที่แสดงออกทางการเมือง ข้อมูลหลักน่าจะมาจากการศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์หรือจิตวิทยามากกว่า การใช้เรื่องการทำงานที่แตกต่างของสมองน่าจะเป็นเพียงข้อมูลเสริม สรุปง่ายๆ ปัจจุบันผมให้นำหนักว่าการทำงานของสมองที่แตกต่างกัน มาจากสิ่งแวดล้อมในภายหลัง มากกว่าเพราะคนคนนั้นเกิดมาเพื่อจะเป็นแบบนั้น เชื่อแบบนั้น จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 04:13:31

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้า จขกท ศึกษามาโดยตรงเรื่องระบบประสาทและสมอง อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือการทำงานของสมองส่วนไหนที่มีผลต่อความรักความชอบในบางเรื่องที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงกับตัวเราเลย เวลาเห็นคนไทย คนที่ไม่ได้เล่นพนันบอล แต่สมมุติตัวเองเป็นแฟนกีฬา เช่นเป็นเด็กผี แฟนหงษ์ อะไรแบบนี้  ทั้งที่ไม่ได้มีความเชื่อมโยงใดๆ กับทีมกีฬาที่ชื่นชอบ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ แต่กลไกใดที่ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์ยามที่ทีมที่ตนชอบชนะหรือแพ้ เป็นแชมป์หรือตกชั้น  กลไกใดทำให้คนเราสามารถเป็นเดือดเป็นร้อนได้กับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับตัวเลย  การปลูกฝังเรื่องชาตินิยมอาจทำให้เราเจ็บแค้นได้ที่แก้วไม่ได้เหรียญทอง แต่ปิศาจแดงแพ้ 2-0 คาบ้าน ทำไมทำให้ไทยที่ไม่ได้พนันบอลบางคนเสียใจมากได้ ทั้งที่มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตตัวเลย กลไกการทำงานของสมองในส่วนนี้ น่าจะเหมือนหรือคล้ายกับกลไกที่ทำให้บางคนรักหรือมีแนวคิดทางการเมืองบางอย่างแบบสุดขั้ว ฝังใจ  น่าแปลกใจว่าทำไมเราสามารถรู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเราได้เลย หรือเดือดร้อนไปกับความล้มเหลวในลักษณะเดียวกัน สมองส่วนไหนควบคุมความรู้สึกเหล่านี้  คนที่สุดขั้วแบบนี้มีการทำงานไหนของสมองมากกว่าคนที่กลางกว่า  และมันทำงานมากกว่าตลอดเวลาหรือไม่ สิ่งเร้ากี่ชนิดมีผลต่อคนประเภทนี้   คนที่เป็นแฟนทีมบอลอังกฤษทีมใดทีมหนึ่งแบบสาวกเต็มขั้น หรือชอบนักร้องคนใดหรือวงใดแบบคลั่งไคล้มากๆ มีแนวโน้มที่จะรักหรือเกลียดพรรคการเมืองใดแบบสุดๆ ด้วยเช่นกันไหม  คนที่เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่นิยมแนวทางใดมากเป็นพิเศษ มีแนวโน้มที่จะไม่ชอบหรือคลั่งไคล้ทีมกีฬา หรือนักร้องใดเป็นพิเศษด้วยอีกหรือไม่   แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 04:37:24 จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 04:32:13

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบคุณ kakratoo 1. งานวิจัยลักษณะนี้ ผมว่าไม่มีประโยชน์ ถ้าไปนำเสนอก็จะมีข้อโต้แย้งมากมาย ดิฉันคิดว่างานวิจัยที่ศึกษาการทำงานของสมองต่อพฤติกรรมทางการเมืองจะเป็นศาตร์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ..ลองจินตนาการถึงในอนาคต มีประธานาธิบดีเผด็จการที่ยึดมั่นกับระบอบ A ประธานาธิบดีคนนี้มีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสมองและพฤติกรรมการเมืองเป็นอย่างดี ทำให้อาจจะสามารถ .... - หากรู้ว่าคนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีการทำงานของสมองอย่างไรเมื่อต้องดัดสินใจเลือกสส. ประธานาธิบดีคนนั้นอาจออกแบบการหาเสียง หรือกรอกหูประชาชนด้วยสื่อที่สามารถกระตุ้นสมองบริเวณนั้นๆได้ดีกว่าสื่อหาเสียงของพรรคตรงข้าม - หากรู้ว่าคนที่ชอบระบอบการปกครองแบบ A จะมีการทำงานของสมองบริเวณ a, b, c มากกว่าคนที่ชอบอีกระบอบ ประธานาธิบดีคนนั้นอาจสั่งให้นักวิทยาศาสตร์สุ่มแสกนสมองของประชาชน เพื่อดูฐานเสียง แล้วอาจออกแบบสื่อที่จะสามารถกล่อมให้ประชาชนยึดมั่นกับระบบการเมืองนั้นไปนานๆ ตัวอย่างที่ยกให้อาจฟังเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ในอนาคตดิฉันมั่นใจว่าความต้องการเงินและอำนาจจะทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ 2. เพราะความรู้สึกเรื่องการเมืองไม่ใช่ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นจะมีตัวแปรมากมายที่จะมีส่งผลต่อข้อสรุปของงาน แน่นอนว่าพฤติกรรมมนุษย์มีปัจจัยที่มาประกอบหลายอย่าง ดิฉันไม่ได้บอกว่าแค่แสกนสมองก็เอามาอธิบายพฤติกรรมได้ทั้งหมด การทำงานของสมองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เราต้องศึกษาเพื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับศาตร์อื่นๆ (จิตวิทยา สังคมศาตร์ ฯลฯ) งานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์การเมืองเพิ่งเริ่มค่ะ ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกมาก งานด้านชีววิทยาการแพทย์ไม่สามารถทดลองแล้วก้าวกระโดดจนได้ผลการทดลองที่ทำให้ทราบระบบทั้งระบบได้เพียงการทดลองเดียวค่ะ ต้องสั่งสมไปแต่ละการทดลอง 3. ถ้าจะจำกัดวงตัวแปรก็จะกลายเป็นว่า ข้อสรุปอันนี้ก็จะใช้ได้ในวงแคบๆเท่านั้น อย่างงานวิจัยนี้ ข้อจำกัดก็จะเป็นแค่ใช้ได้กับคนวัยเลือกตั้งของสองประเทศเท่านั้น ไม่มีใครรับประกันว่า ถ้าไปทดสอบกับคนประเทศอื่น ผลจะออกมาเหมือนกันหรือไม่ ดิฉันยกการทดลองที่ทำในผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่างเชื่อชาติ วัฒนธรรม (ญี่ปุ่น อเมริกัน) มาให้ดูในคคห.3 ค่ะ อย่างที่บอกว่ายังต้องทดลองอีกมากกว่าจะสามารถอธิบายพฤติกรรมได้ทั้งหมด เปเปอร์ที่ยกมาทั้งหมดทำในปี 2006-2010 ขอเวลาอีกสักหน่อย คิดว่าคงมีงานวิจัยที่ใช้ n เยอะกว่านี้ และใช้ประชากรหลากหลายกว่านี้แน่ค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 08:45:59 จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:18:18

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบคุณประกอบ เรื่องพฤติกรรมคลั่งไคล้ทีมโปรดโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆนั้น ถ้าจะอธิบายโดยประสาทวิทยาวันนิษฐานว่ากลไกหนึ่งมาจากการทำงานของเซลประสาทกระจกเงาค่ะ (Mirror neurons) เซลประสาทเหล่านี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลียนแบบพฤติกรรมของคนอื่นแล้วเรียนรู้พฤติกรรมนั้น เช่น เมื่อเห็นคนทำหน้าเบ้ mirror neuron จะเลียนแบบและจำลองพฤติกรรมนั้นในสมอง แล้วเรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นได้ในภายหลังค่ะ เราเชื่อว่าเมื่อคนดูกีฬา mirror neurons จะทำให้เรารู้สึกคล้ายกับว่าเราเป็นนักกีฬาคนนั้นที่กำลังแข่งอยู่ ดังนั้นการแพ้ของนักกีฬาคนนั้นจึงเหมือนกับเราแพ้ไปด้วย สำหรับความคลั่งไคล้ทางการเมือง ดิฉันยังไม่มีข้อมูลค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง mirror neurons กับกีฬาค่ะ http://www.nytimes.com/2006/01/10/science/10mirr.html?pagewanted=all http://www.pbs.org/wgbh/nova/body/mirror-neurons.html ที่มาภาพ http://www.macalester.edu/psychology/whathap/UBNRP/mirrorneurons08/homepage.htm จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 08:34:54

ความคิดเห็นที่ 40 จากหัวกระทู้นะครับ คนตั้งกระทู้ครับคุณรู้หรือเปล่าครับว่าหลังจากโดนปิดกระทู้ เขาตั้งกระทู้ใหม่โดยตัดข้อความส่วนที่เป็นปัญหาออกไป ถ้าไม่รู้ก็ไปหาดูได้นะครับ ยังอยู่เป็นกระทู้แนะนำ จะได้ไม่ต้องเสียดาย เดี๋ยวจะตกอยู่ในภาวะเสียดายยาวนานเกินไป จนอาจมีผลต่อการทำงานของสมอง ตามที่คุณเขียนไว้ในความเห็น 34 "อย่างไรก็ตาม เรามีการทดลองที่ว่าหากคนหรือสัตว์อยู่กับอารมณ์อย่างหนึ่งนานเกินไป เช่น คนที่เครียด ซึมเศร้าเป็นเวลานานๆ (เช่นถูกข่มขืน โดนทารุณกรรม) ฮอร์โมนที่มาจากความเครียด (stress hormones) ถูกหลั่งออกมามากๆเป็นระยะเวลานาน การทำงานและโครงสร้างของสมองอาจจะเปลี่ยนไป จากการทดลองนี้มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าการอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางการเมืองอย่างหนึ่งนานๆ อาจมีผลต่อการทำงานของสมอง" จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:46:13

ความคิดเห็นที่ 41 โหวตให้ก่อนเดี๋ยวกลับมาอ่านทีหลัง จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 13:47:31

ความคิดเห็นที่ 42 การเมืองผมว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งจริงๆตามคำในภาษาอังกฤษที่ว่า Political Science เลยนะ  เพราะว่าเป็นการโนมน้าวความเชื่อได้มากกว่าศาสนาอีกนะ  เพราะมนุษย์ปุถุชนแสวงหาอำนาจ  เงินตรา ความเป็นอยู่ที่สุขสบาย  จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต่างๆที่ว่ามา  พวกที่มีอำนาจอยู่แล้วหรือถูกขัดผลประโยชน์ก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้  ดูตัวอย่างประเทศไทยซิ  เราท่านทั้งหลายหากมองการเมืองลอยๆก็จะเห็นกลุ่มอยู่ไม่กี่กลุ่มที่ทะเลาะกัน  แต่กลุ่มต่างๆเหล่านี้มีอิทธิพลทางความคิดและกำลังที่จะทำให้คนที่เป็นกลางอย่างเราๆท่านๆไม่กล้าแสดงความคิดเห็นทางการเมืองกันเลยทีเดียว จากคุณ : กบินทร์บุรี เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 17:06:52