ความคิดเห็นที่ 1 1. ประวัติของ JWST James Webb Space Telescope ตั้งชื่อตาม James E. Webb (1906- 1992) ผู้อำนวยการองค์การ NASA คนที่สอง ผู้ซึ่งมีบทบาทมากในโครงการ Apollo และโครงการย่อยอื่น ๆ อีกกว่า 75 โครงการ ,,ในช่วงเริ่มโครงการ JWST นี้ JWST จะใช้ชื่ว่า Next Generation Space Telescope (NGST) และต่อมาได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ James Webb ในวันที่ 10 กันยายน 2002 โครงการ JWST เริ่มต้นในปี 1996 จากความร่วมมือจาก 17 ประเทศ นำโดย NASA , องค์การอวกาศยุโรป และ องค์การอวกาศแคนาดา มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจจักรวาลในระยะไกลที่เราไม่เคยทำได้ และสำรวจวัตถุที่ไกลที่สุดเพื่อทราบถึงการกำเนิดจักรวาล อีกทั้งสำรวจวัตถุอวกาศทั่วไปเพื่อให้ทราบรายละเอียดมากขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น Spectrum , InfraRed field ซึ่งจะทำให้เรา เข้าใจการกำเนิดดวงดาว แกแลคซี่ และอื่น ๆ ที่เราถุกจำกัดความรู้มาตลอด จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:16:18

ความคิดเห็นที่ 2 2. รายละเอียดของ JWST รายละเอียดของ JWST ปรากฏตามภาพนี้ครับ จะเห็นว่ามีกระจกสะท้อนแสง (Mirror) ขนาดใหญ่ และมีทั้งกระจก primary - secondary โดยจะขยายแสง 2 ขั้นก่อนส่งเข้าไปยังชุดอุปกรณ์ Integrated Science Instrument Module (ISIM) .... และยังมี Sunshield ขนาดใหญ่ถึง 5 ชั้น เพื่อปกป้องอุปกรณ์จากแสงอาทิตย์และรังสีต่าง ๆ ที่อาจทำอันตรายต่ออุปกรณ์ได้ครับ ที่ด้านล่างของ JWST ก็มี Spacecraft Bus ซึ่งเป็นเหมือน control center สำหรับควบคุมตัว JWST ทั้งหมด นี่คือภาพแสดงรายละเอียดของอุปกรณ์ใน JWST จากคุณ : Partita เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:16:48

ความคิดเห็นที่ 3 3. Integrated Science Instrument Module (ISIM) อุปกรณ์ในส่วน ISIM นี้สำคัญมาก ๆ ครับ เพราะเป็นตัวรับ "ข้อมูล" ที่สะท้อนมาจาก mirror ทั้งสอง โดยคำว่าข้อมูลนี้ หมายถึงแสงที่ตาเรามองเห็น , แสงย่าน InfraRed , รังสี UltraViolet และอื่น ๆ ISIM ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนดังนี้ 3.1 Near-Infrared Camera หรือ NIRCam ส่วนนี้เตรียมการโดย University of Arizona และบริษัท Lockheed Martin ,,เป็นอุปกรณ์กล้องตรวจจับแสงย่าน InfraRed ตัว NIRCam นี้ จะตรวจวิเคราะห์แสงย่าน IR จากดาวฤกษ์กำเนิดใหม่ หรือแกแลคซี่อันไกลโพ้นที่กำลัง form ตัว โดยมีอุปกรณ์สำคัญคือ coronagraphs ซึ่งทำหน้าที่ block แสงอันเจิดจ้าของวัตถุใด ๆ เพื่อตรวจหาวัตถุที่แสงจางกว่านั้นรอบ ๆ ตัวมัน ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการตรวจหาดวงเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ภาพของอุปกรณ์ NIRCam ---> http://gadgetwizz.net/pic/NIRCam.jpg 3.2 Near-Infrared Spectrograph, หรือ NIRSpec เตรียมการโดย European Space Agency (ESA) และพัฒนาอุปกรณ์โดย NASA และ Goddard Space Flight Center (GSFC) อุปกรณ์ตัวนี้ก็กล่าวโดยสรุปเหมือนตัวแรกเลยครับ แต่สามารถวิเคราะห์ได้ละเอียดขึ้นกว่า NIRCam โดยสามารถแยก spectrum ออกมา เพื่อวิเคราะห์อุณหภูมิ มวล องค์ประกอบทางเคมี ของแกแลคซี่หรือวัตถุอวกาศใด ๆ ที่ระยะไกลโพ้นได้ครับ ** ขณะนี้ NIRSpec กำลังทดสอบระบบที่ยุโรป ** รูปภาพ NIRSpec ---> http://gadgetwizz.net/pic/NIRSpec.jpg 3.3 Mid-Infrared Instrument หรือ MIRI เตรียมการโดย European Space Agency (ESA) และ NASA Jet Propulsion Laboratory (JPL) MIRI เป็นอุปกรณ์ที่เป็นทั้งกล้องและ spectrograpth จะตรวจวัดแสงในย่านความยาวคลื่น 5 to 28 microns (ย่าน Mid IR) อุปกรณ์นี้จะตรวจจับปรากฏการณ์ red shift ของแกแลคซี่ไกลโพ้น , ดาวฤกษ์กำเนิดใหม่ และแสงอันอ่อนมากของดาวหาง และวัตถุในบริเวณย่าน Kuiper Belt ** ขณะนี้ MIRI ได้ผ่านการทดลองสมบูรณ์แล้ว กำลังอยู่ในช่วงการประกอบเข้ากับ body ของ JWST ** ภาพของ MIRI ---> http://gadgetwizz.net/pic/MIRI.jpg [b]3.4 Fine Guidance Sensor/ Near InfraRed Imager and Slitless Spectrograph หรือ FGS/NIRISS]/b] เตรียมการโดย Canadian Space Agency ,,อุปกรณ์นี้จะตรวจจับแสงย่านความยาวคลื่น 0.8 to 5.0 microns สำหรับตรวจวิเคราะห์ Exoplanet (ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ) โดยเฉพาะเลยครับ มันสามารถวิเคราะห์ transit spectroscopy ของ Exoplanet ทำให้ทราบถึงระยะทาง การโคจร และชั้นบรรยากาศของ Exoplanet นั้นอย่างละเอียดครับ ภาพของการวิเคราะห์ transit spectroscopy ---> http://gadgetwizz.net/pic/TransitSpectroscopy.jpg ** ขณะนี้อุปกรณ์นี้อยู่ในช่วงทดสอบระบบที่ NASA ** ภาพของ FGS/NIRISS ---> http://gadgetwizz.net/pic/NIRISS.jpg ภาพด้านล่างนี้คือขอบเขตของย่านแสงที่อุปกรณ์ของ JWST ตรวจจับ จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:18:10

ความคิดเห็นที่ 4 4. Sunshield (ฉนวนกั้นความร้อน) JWST จะมี sunshield ขนาดใหญ่ 5 แผ่นซ้อนกันเพื่อการทำงานที่ถูกต้องอุปกรณ์ครับ อุปกรณ์ในด้าน Optic นั้นจะต้อง "เย็นจัด" เท่านั้น โดย NIRCam, NIRSpec, FGS/NIRISS จะทำงานที่ อุณหภูมิ -234 องศา C , MIRI จะทำงานที่อุณหภูมิ -266 องศา C ด้วยการทำความเย็นของฮีเลี่ยม ภาพขณะตรวจสอบ Sunshield ---> http://gadgetwizz.net/pic/Sunshiled%202.jpg ภาพรายละเอียดของ Sunshield จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:19:03

ความคิดเห็นที่ 5 5. Spacecraft Bus Spacecraft Bus นี้คือกล่องควบคุมหลักสำหรับกล้องทั้งหมด ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 6 ส่วน คือ 5.1 ส่วนควบคุมพลังงานไฟฟ้า (Electrical Power Subsystem) JWST ได้พลังงานจาก Solar Cell และใช้ในการขับเคลื่อนระบบทั้งหมด 5.2 ส่วนควบคุมตำแหน่ง (Attitude Control Subsystem) ควบคุมตำแหน่งในการโคจรให้ถูกต้อง และรับคำสั่ง ในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้ชี้ไปในทางที่นักดาราาสตร์ต้องการสำรวจ 5.3 ส่วนสื่อสาร (Communication Subsystem) รับและส่งข้อมูลกับ Operations Control Center (OCC) โดยสื่อสารตรงผ่านเสาอากาศไปยังสถานีบนพื้นโลก 5.4 ส่วนรับคำสั่งและประมวลผลข้อมูล (Command and Data Handling Subsystem) ส่วนนี้เปรียบเสมือนสมองของ JWST จะประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ ประมวลผลข้อมูลจาก sensor ทั้งหมด และส่งกลับผ่านมาที่โลก 5.5 ส่วนขับเคลื่อน (Command and Data Handling Subsystem) ประกอบด้วยถังเชื้อเพลิงสำหรับ thrusters ขนาดเล็ก และทำงานร่วมกับส่วนคุมตำแหน่งเพื่อรักษาตำแหน่งให้ถูกต้องเสมอ 5.6 ส่วนควบคุมอุณหภูมิ (Thermal Control Subsystem) ควบคุมอุณหภูมิในส่วน Spacecraft Bus ให้คงที่เสมอ ภาพนี้แสดงรายละเอียดของ Spacecraft Bus จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:20:01

ความคิดเห็นที่ 6 6. JWST วางตำแหน่งการโคจรอย่างไร ? JWST นั้นเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับย่าน Near IR โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องวางตำแหน่งการโคจรใว้ที่ไกลระยะหนึ่ง และในตำแหน่งหนึ่งที่เหมาะสมที่การแพร่ IR จากดวงอาทิตย์ และโลกจะรบกวนการทำงานได้ ซึ่งก็คือตำแหน่งเรียงตัวระหว่างดวงอาทิตย์ โลก และ JWST เอง ในจุด L2 นี้ จะเห็นว่าเป็นจุดที่มีการเรียงตัวกันตามที่กล่าวมาครับ ,,ตำแหน่ง L2 นั้นมีที่มาการคำนวณ จากสมการของ Joseph-Louis Lagrange นักคณิตศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้ชื่อว่า "five Lagrange points" เพื่อให้เกียรติแก่เขา (สมการนี้ผมขอไม่กล่าวถึงครับ) ซึ่งจากการคำนวณของ NASA สรุปได้ว่าที่จุด L2 นี้ แรงโน้มถ่วงจะหว่าง 3 วัตถุจะสมดุลย์ และส่งผลให้ JWST สามารถคงตำแหน่งแบบนั้นได้ โดยที่แทบจะไม่ต้องปรับแก้ตำแหน่งด้วย thrusters ของมันเลย การวางตัวของ JWST เปรียบเสมือนการโคจรรอบดวงอาทิตย์แบบ tidal lock กับดวงอาทิตย์ครับ มันจะหัน "ตูด" ให้ดวงอาทิตย์และโลกเสมอ ซึ่งด้านตูดนั้นก็มี Solar Cell และเสาอากาศสื่อสารกับโลกอยู่ตลอด รายละเอียดการวางตัวโคจรของ JWST ตามภาพล่างนี้ครับ จากคุณ : Partita เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:21:27

ความคิดเห็นที่ 7 7. เมื่อ JWST ส่งขึ้นไปแล้ว จะได้อะไรบ้าง ? วัตถุประสงค์ในการส่ง JWST คือสำรวจจักรวาลที่ไกลออกไปจากที่เคยทำได้โดยกล้อง Hubble และสามารถตรวจวิเคราะห์วัตถุอวกาศในรูปแบบของภาพ InfraRed ซึ่งจะช่วยไขปริศนาของวัตถุต่าง ๆ และยังสามารถตรวจจับวัตถุขนาดเล็กที่แพร่แสงที่อ่อนมากจนเรา "ไม่เคย" ตรวจจับได้มาก่อน และสุดท้ายคือสามารถมองย้อนอดีตไปได้ไกล และใกล้เคียง Big bang มากขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือภาพนี้ครับ เป็นภาพที่ได้จาก Hubble ห้วงลึก จะเห็นว่ามีจุดวัตถุสีแดงอยู่เหนือแกแลคซี่อันสวยงามนั้น ซึ่งจุดแดงนี้ หากเราสำรวจด้วย JWST เราจะ "เห็น" อะไร ๆ เกี่ยวกับจุดสีแดงนั้นขึ้นอีกมากมาย และที่สำคัญ ภาพอวกาศห้วงลึกที่ได้จาก JWST อาจจะมีข้อมูลที่จะสามารถไขปริศนาต่าง ๆ ได้มากมาย จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:22:31

ความคิดเห็นที่ 8 ในอนาคต เราจะสามารถส่องย้อนอดีตได้ไกลขึ้น ลึกขึ้น และจะได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย จบแล้วครับ จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:24:51

ความคิดเห็นที่ 9 ** ขอเพิ่มภาพรายละเอียด Sunshield อีกภาพนึงครับ ภาพนี้สอดคล้องกับ คห.4 ** จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 19:26:27

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นโปรเจ็คระยะยาวของผมอยู่ เจ้า JWST สุดผลาญงบ (คือมันแด๊กงบไปเกือบ 8 เท่าของที่ตั้งไว้ตอนแรกละ) ดีเลย งั้นผมก็ัตัด "JWST ทายาตทรงพลังแสนแพงของกล้อง Hubble" ออกจากแผนได้ เพราะมีคนทำให้ละ Vote ไปครับ! ยินดีด้วยสำหรับล็อกอิน ปล.อ้อ "Curiosity report:1 month later และอนาคตของการสำรวจดาวแดง (Part3)" ผมกำลังจะเริ่มทำ อย่าเพิ่งแย่งผมนะ ฮ่าๆ อีกอันคือ "ฟ้าผ่าระดับสูง: อีกความลับดำมืดของระบบบรรยากาศดาวเคราะห์โลก" น่าจะเป็นลำดับต่อมา บอกไว้ก่อน จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 20:28:19

ความคิดเห็นที่ 11 โอ้ว .... ไม่แย่งหรอกครับ ท่าน ECOS จริง ๆ แล้วเนื้อหากระทู้ผมก็ไม่เคยละเอียดเท่าคุณ ECOS ครับ ดังนั้น หากมีเนื้อหา Update ของ JWST ท่านก็ตั้งกระทู้เพิ่มได้เลย เพราะมันมีเนื้อหาอีกตั้งครึ่งที่ยังไม่ได้เอาเลง เพราะแม้แต่เว็บ NASA เองก็ยังไม่มีรายละเอียด เช่นระบบ Cooling , Power supply , Communication (frequency) จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 20:38:37

ความคิดเห็นที่ 12 อย่าตีกันๆ อะเอาปืนไป จากคุณ : JackOnell เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:10:51

ความคิดเห็นที่ 13 ยอดๆๆๆๆ จากคุณ : gyl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:56:07 A:110.77.164.213 X: TicketID:293540

ความคิดเห็นที่ 14 โอ้  ในที่สุดก็ให้กีปได้แล้ว  ^^ จากคุณ : Zenmaster_T เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 23:01:29

ความคิดเห็นที่ 15 ตามอ่านจ้ะ สุดหล่อ จากคุณ : บูริน มันบินได้ไง (พ่อศรีเรือนคับผม) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 03:08:24

ความคิดเห็นที่ 16 (^^) จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 10:07:19

ความคิดเห็นที่ 17 ขาประจำ ตามมาอ่าน จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 10:47:29

ความคิดเห็นที่ 18 รอดูอะไรที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:14:04

ความคิดเห็นที่ 19 เป้นแควนประจำของทั้งคุณ Vladivostok และ คุณ ECOS ครับ ชอบ ๆ ๆ ๆ จากคุณ : ไปๆมาๆ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:16:36 A:110.168.124.35 X: TicketID:344019

ความคิดเห็นที่ 20 หว้ากอต้องมีกระทู้คุณภาพแบบนี้และคนคุณภาพแบบนี้ ชอบตรง "หันตูด" ให้โลกเสมอ แอบอยากรู้วิธีสื่อสารกลับมายังโลกว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว จากเดิมส่งด้วยอะไร ปัจจุบันการส่งข้อมูลจากนอกโลกอะไรที่ดีที่สุดเร็วที่สุด ส่งข้อมูลในปริมาณมากที่สุด ถ้า JWST ตัวนี้ใช้งานแล้วจะส่งได้มากกว่า Hubble มากเท่าไหร่ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:19:27

ความคิดเห็นที่ 21 เค้าใช้ 3G ส่งข้อมูลกันหรือเปล่า ? จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:37:15

ความคิดเห็นที่ 22 มันเจ๋งขึ้นเรื่อยๆจาก การรวมแสงและขยายสัญญาณ รวมแสงจก Primary Mirror โดยไม่เกิดแสงซ้อนนี่คงเป็นความท้าทายทาง mechanical setup กับ material มากๆ ช่วยปรับปรุงภาพวาดนี้หน่อยครับ เดี่ยวเราไปทำงาน NASA กัน จากคุณ : nomeny เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 12:23:09

ความคิดเห็นที่ 23 จากรูปใน ค.ห. 6 รูปขวาล่างนี่แปลว่าวงโคจรของ JWST มันไกลกว่าโลก-ดวงจันทร์อีกเหรอครับ แล้วถ้าใช่ มันใช้แรงโน้มถ่องอะไรในการโคจรครับ งงตรงนี้ครับ ขอบตุณครับ จากคุณ : Mesia_82 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:06:23

ความคิดเห็นที่ 24 ^ จุดลากรองไกลแบบนั้นแหละครับ ระยะโลก-ดวงจันทร์ 380,000km ลากรอง L2 ราว 1,500,000km ส่วนไปยังไง ก็ไม่แปลกครับ เรายังยิงยานอวกาศออกไปถึงดาวดวงอื่นได้ ยิงไปแค่ระยะล้านกว่าkm ไม่ได้ยากเท่าไหร่เลย จุดลากรองเป็นจุดที่พิเศษอย่างนึง มันไ้ด้มาจากการแก้สมการปัญหาวัตถุสามชิ้นกรณีจำกัด มันคือจุดที่แรงโน้มถ่วงของระบบ โลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ สมดุลกันพอดีครับ วัตถุที่อยู่ในจุดพวกนี้จะอยู่แบบนี้ไปเืรื่อยๆ โดยมีคาบรอบดวงอาทิตย์ 1 ปีเหมือนโลกเป๊ะ วิ่งไปรอบดวงอาิทิตย์พร้อมกับโลกเลยนั่นเอง จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:20:29

ความคิดเห็นที่ 25 คืออยากให้กล้องมีความละเอียดสูงๆๆๆต่อไปเราจะให้เห็นดาว นอกระบบสุริยะ ว่ามันเป็นยังไง เหมือนเราเห้นดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ไม่ต้องเห็นแต่แสง ฝุ่น แก๊ส... จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:30:37

ความคิดเห็นที่ 27 #24 สมการนั่นเป็นสมการที่เจ๋งจริง ๆ แหะ ถ้ามีใครจะแตกประเด็นนี้ จะขอตามอ่านแน่นอน จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:35:58

ความคิดเห็นที่ 28 Vote +++ จากคุณ : MIGGERS เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 13:44:24

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ไม่ได้ศึกษาด้านนี้ แต่ชอบมาก จากคุณ : หมูนุ่มชุ่มฉ่ำ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 14:04:26

ความคิดเห็นที่ 30 ขอเพิ่มข้อมูลเรื่องการส่ง JWST ขึ้นสู่วงโคจรครับ รายละเอียดตามภาพนี้ จากคุณ : Partita เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 16:03:20

ความคิดเห็นที่ 31 และภาพขั้นตอนการ "แปลงร่าง" ของ JWST ระหว่างการเดินทางไปจุด L2 เพื่อเข้าตำแหน่งประจำการ อันนี้ภาพ Video การแปลงร่างครับ ---> http://music.gadgetwizz.net/Deployment.htm จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 16:06:43

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบคุณ  sillygang ครับ 1. แอบอยากรู้วิธีสื่อสารกลับมายังโลกว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว จากเดิมส่งด้วยอะไร - JWST สื่อสารกลับโลกด้วยคลื่นย่าน KA band ความถี่ 26GHz ครับ โดยส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 8Mbps ตามแผนนั้นจะสื่อสารวันละ 8 ชั่วโมง 2. ปัจจุบันการส่งข้อมูลจากนอกโลกอะไรที่ดีที่สุดเร็วที่สุด ส่งข้อมูลในปริมาณมากที่สุด - หากมากสุด และ เร็วสุดก็เป็น JWST นี่แหละครับ เพราะมีการพัฒนาระบบรับข้อมูล ไปถึงย่าน KA band และความเร็วสูงถึง 8Mbps 3. ถ้า JWST ตัวนี้ใช้งานแล้วจะส่งได้มากกว่า Hubble มากเท่าไหร่ - ได้มากกว่าเยอะเลย เพราะใช้ความถี่สูงกว่า Banwidth กว้างกว่า และส่งตรงมาที่โลกโดยไม่ผ่านดาวเทียม relay อีกทีนึงด้วย รายละเอียดตามภาพนี้ครับ จากคุณ : Partita เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 16:41:13

ความคิดเห็นที่ 33 Over 1000 people in more than 17 countries are developing the James Webb Space Telescope. Shown here are team members in front of the JWST full-scale model at the Goddard Space Flight Center in Greenbelt, Maryland. ชม YouTube ได้ที่ http://www.youtube.com/user/nasawebbtelescope แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 21:37:41 จากคุณ : fantasea เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 21:32:00

ความคิดเห็นที่ 34 ไกลขนาดนี้ หมดสิทธิ์ซ่อม ถ้าเจอเศษอุกกาบาตไปสักชิ้นสองชิ้น เงินสองแสนห้าหมื่นล้านบาท หายวับไปกับตา ดูตารางงบประมาณแล้วกลุ้มแทน มันจะเลื่อนแล้วดูดงบเพิ่มอีกมั้ยเนี่ย จากคุณ : :: AdvanceTactics :: เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 07:45:56

ความคิดเห็นที่ 35 โห...ตื่นเต้นจัง เมื่อไหร่จะส่งขึ้นไปหว่า จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 13:48:56

ความคิดเห็นที่ 36 ถามหน่อย ไอ้เจ้าเสาสามเสาที่ยึดตัวจับภาพไว้ มันจะติดในภาพมั้ย จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 18:07:19

ความคิดเห็นที่ 37 อีกประมาณ 6 ปีครับ ตามแผนคือปี 2018 ผมจะรอวันนั้นอย่างใจจดจ่อ จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 18:07:59

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบคุณ Ao+ ไม่ติดครับ เพราะแสงมันสะท้อนแบบนี้ ตามรูปนี้ จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 18:12:31

ความคิดเห็นที่ 39 ISIM ส่วน Mid-infared ทำให้เรามองเห็นดาวหาง หรือ near Earth asteriod ได้มากขึ้นหรือเปล่าครับ หรือเครือข่ายทั่วโลกในปัจจุบันมีความสามารถที่เพียงพออยู่แล้ว สำหรับคนเดินดินอย่างผม สนใจว่าจะมีอะไรตกใส่หัววันไหน มากกว่าExoplanet ไกลๆ ที่ยังไม่มีปัญญาเดินทางไปได้น่ะ ไม่ได้กวนนะ อิอิ จากคุณ : ด้วยคนจิ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:52:27

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ปล่อยเป็นงานของกล้อง WISE ไปแทนละกันครับ JWST มันไม่ได้สร้างมาเพื่อส่องกวาดท้องฟ้า จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:30:15

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ Vladivostok ครับ แล้วหลักการสะท้อน มันใช้การรับแสง หลายจุดมาสะท้อนที่จุดเดียว เพื่อให้ได้ภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมใช้ไหม เหมือน ถ่าย ภาพ หลายๆภาพในเวลาเดียว มารวมเป็นภาพเดียวกัน จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 00:03:36

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบคุณ joyrisus ครับ หลักการใช้กระจกสะท้อนภาพ 2 บานนั้น เป็นการเพิ่มอัตราขยายทาง Optical ครับ ซึ่งหลักการนี้ใช้ในเลนส์กล้องถ่ายรูปธรรมดา (ในเลนส์ Tele บางรุ่น) , กล้องดูดาว และใช้ในกล้อง Hubble ด้วย แต่ของ Hubble กระจกทั้ง 2 บานจะอยู่ข้างในกระบอก body ของกล้องครับ แต่หลักการของ JWST ไม่ได้ใช้การถ่ายหลายภาพและมารวมเป็นภาพเดียวนะครับ คือจะรวมแสงจากกระสะท้อนทั้ง 2 บาน และส่งตรงเข้า sensor รับภาพ (จุด A ในภาพล่างนี้) เป็นภาพเดียว โดยได้อัตราขยายทาง Optical ที่สูงมาก เพราะกระจกบานหลัก (Primary mirror) นั้นมีขนาดใหญ่ถึง 6.5 เมตร (Hubble มีขนาด 2.4 เมตร) แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 55 11:39:17 จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 11:36:24

ความคิดเห็นที่ 43 ขอถามเกี่ยวกับหลักการถ่ายภาพหน่อยครับ ที่ต้องรวมแสงขนาดนี้ เพื่อที่จะทำอะไรเหรอครับ speed shutter ที่เร็วขึ้น? แล้วระหว่างเอากล้องขึ้นไปส่องเฉยๆ แสงต่างกันกี่ stop เหรอครับ? ถ้ามีlink อะไรเพิ่้มเติมก็ได้นะครับ อยากศึกษาดู ว่าพวก focal length, aperture มันเป็นอย่างไร ขอบคุณครับ จากคุณ : snpt เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 20:11:11

ความคิดเห็นที่ 44 ^ เพราะแสงมันจางโคตรๆครับ กับวัตถุที่ไกลขนาดนั้นแสงมาถึงแค่ไม่กี่โฟตอนต่อวินาทีด้วยซ้ำไป จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 21:55:46

ความคิดเห็นที่ 45 ตอบคุณ snpt ครับ หลักการถ่ายภาพของ Space telescope ก็จะคล้ายกับกล้องถ่ายรูปครับ แต่อุปกรณ์หลักของกล้องคือ primary mirror ก็จะต้องใหญ่มาก ๆ เพื่อจะได้แยกแยะรายละเอียดของวัตถุได้ หากเทียบกับกล้อง SLR ทั่วไป อย่างเลนส์เกรดโปรจะมีหน้าเลนส์ 60 - 70 มม. เพื่อเก็บรายละเอียดของภาพได้ดี Telescope พวกนี้ก็เช่นกัน หน้าเลนส์ (กระจกสะท้อน) จะใหญ่หลายเมตร เช่น Hubble 2.4 เมตร , JWST 6.5 เมตร และระบบ optical ของกล้องแบบนี้จะเป็นเหมือนกับเลนส์ reflex ในกล้อง SLR เพราะต้องเน้นไปที่ optical zoom อย่างมาก หากทำแบบเลนส์ปกติคงจะยากลำบากในการผลิตมากครับ ต่อไปคือ Exposure time (Shutter speed) Exposure time ขณะที่ถ่ายภาพอวกาศจะนานมากทีเดียว อย่างกล้อง Hubble ที่ถ่ายภาพอวกาศห้วงลึก จะต้องใช้เวลาเก็บภาพยาวนานหลายวัน และเป็นการเก็บภาพเล็ก ๆ มาต่อกับเป็นภาพใหญ่ แต่ละภาพเล็กก็มี exposure time นานเฉลี่ย 20 นาที (Minute) เพราะว่าประมาณแสงมันน้อยนิดมากนั่นเอง ส่วนเรื่อง Stop แสง นั้น ในกล้องแบบนี้จะไม่ได้หลักการวัดแสงเป็น Stop แบบกล้อง SLR เพราะว่าแสงมันน้อยมาก น้อยมากจนไม่สามารถวัดค่าก่อนการถ่ายภาพได้ ในการเก็บภาพจึงต้องใช้ Exposure time สูงไปในครั้งเดียว แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 55 22:50:28 จากคุณ : Vladivostok (Partita) เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 22:45:35

ความคิดเห็นที่ 46 - ตอนที่ส่งออกไป จะรู้ได้ไงว่าให้หยุดตรงจุดไหนของ อวกาศ เพราะมันน่าจะไหลไปตามแรงเฉื่อยเรื่อยๆไม่ได้หยุด - ทำไงจะรู้ได้ว่าถ้าดาวเทียมไปจอดอยู่บนอวกาศเฉยๆแล้ว จะไม่มีดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย อะไรต่างๆพุ่งมาชนให้ได้รับความเสียหาย จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 11:50:56

ความคิดเห็นที่ 47 ...ตามความเข้าใจของผม จุด L2 ที่ว่านั้น เปรียบได้กับจุดที่ดาวเทียมสื่อสาร(เช่นไทยคม)โคจรค้างฟ้าในตำแหน่งคงที่เทียบกับผิวพื้นโลก   เพียงแต่ว่าดาวเทียมกล้องJWSTที่อยู่จุดL2จะโคจรค้างฟ้าของดวงอาทิตย์-ไม่ใช่โลก โดยโคจรไปพร้อมโลกรักษาระยะห่างเท่าเดิมตลอด ส่วนกระจกprimary mirrorนั้นทำแยกเป็นหลายชิ้นแต่พอไปต่อรวมกันในวงโคจรแล้วจะเป็นผิวโค้งเดียวกันเหมือนกระจกชิ้นเดียวกัน แต่การที่มีขนาดผ่านศูนย์กลางโตกว่าhubbleมากทำให้รวมแสงได้มากขึ้น ถ้าเป็นกล้องถ่ายรูปก็เหมือนเลนส์โต f-stop ใหญ่กว่ามาก จะลองเปรียบเทียบกัน-สมมติว่ากล้องJWSTมีทางยาวโฟกัสเท่ากับกล้องhubble  ถ้ากล้องhubbleมี f-stop f/8  กล้องJWSTจะมี f-stop f/2.8เลยทีเดียว จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 14:39:22

ความคิดเห็นที่ 48 สงสัยเรื่องเสาสามต้นที่จับ Secondary mirror อยู่เหมือนกันเลยครับ เห็นในรูปมีเงาพาดใส่ primary mirror ด้วย ส่วนตัวคิดว่าอาจติดภาพเสาด้วยนะครับ แต่อาจจะถ่ายเป็นภาพชิ้นเล็กๆมากๆมาปะติดปะต่อกัน ตรงไหนโดนเสาก็ปรับมุมใหม่เพื่อถ่ายภาพหลังเสาแล้วมาต่อกันด้วย software อะไรประมาณนี้ไหมครับ ^^ จากคุณ : AutopilotX เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 15:27:09 A:122.154.22.34 X: TicketID:333226