ความคิดเห็นที่ 1 กระทรวงศึกษา จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 21:26:47 A:1.4.242.232 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าหลักสูตรก็มีส่วนเยอะ   เด็กไทยสมัยนี้อ่อนประวัติศาสตร์ไทยมาก ไม่รู้จักอยุธยา สุโขทัย  ยิ่งพวกที่เรียนอินเตอร์  ไม่รู้อะไรเลย อันตรายมากสําหรับ อนาคตประเทศไทย จากคุณ : thansri เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 21:31:29

ความคิดเห็นที่ 3 กระทรวงชอบออกนโยบายเอาใจชาวบ้าน เช่น เด็กห้ามตก ห้ามตี ล่าสุดก็ระดมสมองคิดงานออกมาชิ้นนึง "รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด" มันยอดมาก จากคุณ : TARASIN เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 21:44:17

ความคิดเห็นที่ 4 เด็ก ก็คือเด็กครับ พ่อแม่ เพื่อนพาเป็นยังไงก็ยังงั้น จากคุณ : ประกาศิตจอมราชันย์ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 21:45:32 A:119.42.73.4 X: TicketID:363243

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนตัวตัดข้อ 4 ออกก่อนเลยครับ เพราะหน้าที่ของติวเตอร์ไม่ใช่การสอนพื้นฐาน แต่เป็นการสอนเทคนิคการทำข้อสอบเพิ่มเติม ดังนั้นการที่ติวเตอร์สอนสูตรลัดก็ไม่ใช่เรื่องผิด หน้าที่ในการสอนความรู้พื้นฐาน ต้องเป็นของครูในโรงเรียนสายหลักครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:02:38

ความคิดเห็นที่ 6 รัฐบาลทุกๆ รัฐบาล จากคุณ : pigringo เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:04:33

ความคิดเห็นที่ 7 คิดว่าหน่วยงานรัฐค่ะ ทั้งนโยบายกระทรวงศึกษา หลักสูตรที่เรียน วัตถุประสงค์การเรียน วิธีวัดผล มาตรฐานครู นอกจากนี้ยังมีเรื่องค่านิยมหลายๆอย่างที่ถ้าจะรณรงค์กันจริงๆมันดีกว่านี้ได้ เช่น การให้ค่านิยมผู้ปกครองเรื่องการเลี้ยงลูก ค่านิยมเรื่องการเป็นครู ภาพลักษณ์ครูเทียบกับสายอาชีพอื่น การโฆษณาสร้างค่านิยมดีๆให้สังคม จริงๆแทบทุกอย่างมาจากค่านิยมของสังคมและนโยบายใหญ่ ซึ่งภาครัฐสามารถทำได้ดีกว่านี้ถ้าคนที่เข้ามาทำมีความรู้และรู้จักคิดเพื่อพัฒนางานจริงๆ ไม่ใช่ย้ายกันไปๆมาๆ สร้างผลงานฉาบฉวยให้ตัวเองตามKPI จากคุณ : Akrat เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:16:57

ความคิดเห็นที่ 8 ค่านิยมของสังคม คือตัวกำหนดคุณภาพครู  สมัยก่อนเด็กทุนอำเภอ/จังหวัดเรียนครู แต่เพราะครูเงินเดือนน้อย งานหนัก  คนเก่งๆก็เลยหนีไปเรียนอย่างอื่นกันหมด เหลือแต่ที่ไปเรียนอย่างอื่นไม่ได้  ก็เลยเรียนครู  แล้วครูจะมีคุณภาพได้อย่างไร จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:23:55

ความคิดเห็นที่ 9 ทุกอย่างครับ กระทรวงก็บ้าตาม ผมขัดใจกับระบบ ห้ามให้เด็กตก ซ้ำชั้น ฐานรากไม่ดี ชั้นบนมันก็ไปไม่ได้หรอกครับ เราสอนเด็กให้จำ มากกว่าเข้าใจ ซึ่งมันผิดมหันต์ ความเข้าใจจะทำให้เรานำไปประยุกต์ได้ แต่ท่องจำมันได้ใช้แค่แข่งขันวัดคนไม่ได้ครับ   เด็กทุกวันนี้เป็นนกแก้วนกขุนทองหมดแล้ว ผมเชื่อในระบบ ไม้เรียวสร้างคน และ ระบบคัดคนสมัยก่อนครับ เดี๋ยวนี้ มันแบบว่าปล่อยหมดเก่งไม่เก่งไม่รู้ แต่เน้นเอาใจกระแสสังคม เราไปเน้นใบปริญญามากไป จนมันไม่มีความน่าื่อถือไปแล้ว จากคุณ : sayanjo65 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:33:39

ความคิดเห็นที่ 10 โทษตั้งแต่กระทรวงศึกษาลงมาเลย  สุดท้ายผลกรรมอยู่ที่เด็ก จากคุณ : ทานตะวันหันหาแสง เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:38:37

ความคิดเห็นที่ 11 กระทรวงศึกษา อีกเสียง หลักสูตรไม่ดี เงินเดือนครูน้อย คือที่มาของปัญหาตามมาอีกมากมาย จากคุณ : WinandBP เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 22:55:12

ความคิดเห็นที่ 12 ค่านิยมของสังคม และระบบคัดเลือกคนเข้าทำงานครับ ถ้าการคัดเลือกคนเข้าทำงานยังเน้นที่  จบจากไหน  จบอะไรมา  เกรดเท่าไหร่ เป็นที่ตั้ง  ระบบ  เรียนเอาปริญญา  ทำคะแนนให้ดี  เกรดดี  ความรู้ไว้ทีหลัง  ก็จะยังคงมีต่อไปครับ จากคุณ : Triceratops เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 23:00:12

ความคิดเห็นที่ 13 หลักสูตรการศึกษาของเรา ดูแล้วเพี้ยน ๆ การสอบคัดเลือกก็ยิ่งเพี้ยน บางโรงเรียนตอนนี้เด็ก ม.3 เรียนจบหลักสูตรแล้ว เทอมหน้าแทบไม่มีอะไรให้เรียน เด็ก็ไปหา คอร์สตะลุยโจทย์เอา เตรียมสอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ให้โรงเรียนเดิมได้หน้าตา งงจริง ๆ กับความคิดแบบนี้ หลาย ๆ โรงเรียน ม.ปลาย สอนจบไปแล้ว เทอมหน้าไม่มีวิชาเรียน ที่ต้องรีบจบ เพราะการสอบเรียนต่อ มันจะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ผมก็ไม่เข้าใจ ว่า สมัยก่อนก็สอบตอนเมษาได้ ประกาศผลพฤษภา ไปส่องเทียนตามบอร์ด หรืออย่างรุ่นผมก็ประกาศทางวิทยุ ตอนนั้นระบบสื่อสารออนไลน์ก็ยังไม่มี เดี๋ยวนี้ตรวจข้อสอบมีระบบคอมทันสมัย เสร็จเร็วกว่าเมื่อก่อนอีก แต่กลับให้เด็กไปสอบเดือนตุลา ผมละงง เกิดความสูญเปล่ามหาศาลเลย ระบบเราเป็นระบบยัดเยียด เด็กเรียนวิชาเยอะแยะมากมาย ชอบไม่ชอบใช้ไม่ใช้ก็ยัด ๆ เข้าไป ครูก็ไม่ตั้งใจสอน เด็กก็เหมือนถูกทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ โรงเรียนมีไว้เป็นที่ผลิตใบพิมพ์วุฒิการศึกษา สมัยผมเด็กเรียน่อน เรียนไม่ทันถึงต้องไปกวดวิชาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ต้อง สมัยนี้เด็กต้องกวดวิชากระหน่ำ ครูก็สั่งการบ้านเด็กอย่างบ้าคลั่ง บาวงอันผมดูแล้วไม่เห็นเด็กได้ประโยชน์อะไรเลย เด็กที่อยากจะเล่นดนตรี กีฬาก็มักจะผลการเรียนตก เพราะทุกอย่างมันแน่นเอี้ยดไปหมด เทียบกับสมัยผมเป็นนักเรียน ตอนเย็นก็เตะบอล  มีเวลาหาหนังสือที่ชอบอ่าน อ่าน นสพ. ดูโทรทัศน์ได้ การบ้านก็ไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ ก็ทำเพื่อทบทวนเพื่อทดสอบสิ่งที่ครูสอน ไม่ใช่เอะอะก็รายงานหนาเป็นปึก ดูแล้วมันมั่วไปหมด ข้อสอบก็ดูตลก ๆ ผาปูโต๊ะ ออกกำลังกาย เหมือนเอาคนสติไม่ดีมาวางแผนจัดการการศึกษาของประเทศยังไงยังงั้น ยิ่งพัฒนาการศึกษาของเรายิ่งสู้ต่างชาติไม่ได้ เพราะคิดทำโน่นทำนี่กันจนเปรอะไปหมด ทั้งที่แบบเก่าเขาก็โอเคอยู่แล้ว เข้าตำราคนโง่แต่ขยันทำงาน คนฉลาดเอาไปกรอกทรายครับ ประเทศนี้ จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 00:01:35

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขอตอบว่า  "ส่งผลมากเท่ากันทุกส่วน" จากคุณ : Themawin เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 00:07:11

ความคิดเห็นที่ 15 การศึกษาประเทศไทยคือสิ่งที่เค้าอยากให้เรารู้ครับ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรรู้ หรือสิ่่งที่เราอยากรู้ จากคุณ : Air_Force_One เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 00:19:51

ความคิดเห็นที่ 16 "ยิ่งเรียน ยิ่งโง่"  จริงหรือไม่  แรงไปขออภัย จากคุณ : Themawin เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 00:22:21

ความคิดเห็นที่ 17 ครูคนแรกขอลเด็กก็คือพ่อและแม่ ที่บ้านสอนกันมาอย่างไรเด็กก็เป็นอย่างนั้น นโยบายห้ามตี ห้ามตก ห้ามซ้ำชั้น. จุดเริ่มมันก็มาจากพ่อนั้นล่ะ. เด็กอยู่โรงเรียนวันล่ะแปดชั่วโมง ที่เหลืออยู่บ้าน จากคุณ : Maki Roll เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 01:18:32

ความคิดเห็นที่ 18 50% ของปัจจัยสาเหตุทั้งหมด คือเด็กมันโง่เองครับ วันก่อนไปงานเลี้ยงรุ่น (คือห้องผมเรียนเก่ง) ทั้งรุ่น 50 คน อายุ 35 กันแล้ว มีลูกอยู่ไม่ถึง 3 คนทั้งรุ่น อีกมุมหนึ่ง มองไปรอบตัว คนเรียนไม่ค่อยเก่ง ลูกเยอะมากๆ  ไข่ทิ้งบ้าง มีลูกไปเรื่อยๆ ตามประสา จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 02:30:51

ความคิดเห็นที่ 19 ระบบค่ะ แล้วก็ค่านิยมผิดรูปร่าง ทั้งการศึกษาและครอบครัวด้วยค่ะ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ใหญ่เท่านั้นค่ะ มันลอยๆไงก็ไม่รู้ค่ะ อธิบายไม่ถูก แบบผู้ใหญ่เอาตัวเองเป็นตัวกำหนด เอาอนาคตของเด็กไปเกี่ยวข้องกับสังคมกับการได้หน้าได้ตาของตัวเองด้วยค่ะ ไม่มีการใช้จิตวิเคราะห์เกี่ยวกับความสามารถและความเหมาะสมไรเลย ไม่พยายามหาเหตุผลอะไรมาสนับสนุนอนาคตของเด็กในระยะยาวด้วย มองข้ามทิศทางของเด็กไปหมดเลย เหมือนผู้ใหญ่แข่งขันกันแล้วใช้พวกเด็กเป็นเครื่องมือค่ะ คือวงจรชีวิตการศึกษาของแต่ละคน มันน่าจะขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของผู้เรียนนี่หน่า ไม่น่าต้องไปเปรียบเทียบ ไม่ต้องไปเหลียวมองรอบๆหรือข้างบ้านหรือไรหรอก คือแบบว่า หลักการแคบเกิน จากคุณ : ใบแพรว เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 02:32:31 A:69.228.47.123 X: TicketID:189734

ความคิดเห็นที่ 20 เปิดไปดูข้อสอบเลข (ไม่รู้ของปีไหนเหมือนกัน) http://www.eduzones.com/download/onet/Math_onet.pdf อ๊าก ๐ ทำไม่ได้เหมือนกัน คร๊าบบบบบบ เปิดไปดูข้อสอบภาษาอังกฤษ http://www.eduzones.com/download/onet/Eng_onet.pdf อืมค่อยอุ่นใจหน่อย ทำได้เกือบทุกข้อ จากคุณ : ธีรภัทร์2 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 03:08:12

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่อง "ยิ่งเรียน ยิ่งโง่"  ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กหรอกครับ การศึกษาไทยเหมือนทดลองอะไรบางอย่างเด็กปรับตัวไม่ได้และไม่เข้าใจว่าผุ้ใหญ่ต้องการอะไร แถมไปถามครู ครูยังงงเลยว่าหลักสูตรใหม่มันจะเอายังไงกันแน่ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 06:06:35

ความคิดเห็นที่ 22 เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าครับ ปล่อยเด็กโง่เติบโตขึ้นไปผู้ใหญ่มันก็โง่น่ะสิครับ คุณโทษว่าพ่อแม่ของเด็กผิดตรงนี้ข้ามไปได้เลยครับ กระทรวงศึกษาธิการนั่นแหล่ะถูกแล้ว ไม่ว่าจะรัฐบาลกี่ยุคกี่สมัย ถ้าจัดการ "การศึกษา" แบบนี้ก็เน่าครับ ถ้าตัวคุณฉลาดแล้วสอนลูกน่ะจบครับ แต่คุณจะไม่มีวันรู้ว่าลูกคุณจะฉลาดเท่าคุณหรือเปล่า และคนรอบๆ ตัวคุณจะสอนลูกแบบไหนถ้าไม่งั้นเราคงไม่มีปัญหาการศึกษากันอยู่แบบนี้หรอกครับถ้าบอกว่าความรับผิดชอบอยู่ที่พ่อแม่. แน่นอนพ่อแม่มีส่วนมี % แต่หลักสูตรความเอาใจใส่เป็นสิ่งจำเป็น 1 สัปดาห์มี 7 วัน ไปเรียน 5 วัน ลูกอยู่กับโรงเรียนมากกว่าพ่อแม่นะครับ อย่าบอกว่าเวลากลับบ้านก็คุยกับพ่อแม่ เด็กนอนกี่โมงตื่นกี่โมง พ่อแม่ทำงานเลิกกี่โมง กลับบ้านเหนื่อยๆ จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 12:28:09

ความคิดเห็นที่ 23 1. ผู้ปกครอง เอาใจลูกมากเกินไป เข้มงวดมากเกินไป อยากอวด อยากโชว์ลูก ให้เหมือนบ้านอื่น บางคนทิ้งลูกไว้ ไว้ให้ตายาย ปู่ย่าเลี้ยง - เคยได้ยินจากปากบางครอบครัวว่า ก็คนเป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ย่อมตามใจลูกอยู่แล้ว ลูกอยากทำไร อยากได้อะไรก็จัดให้ หาให้ ก็รักลูก อืม..... - ผู้ปกครองบางคนไม่สนใจเด็ก ไม่เคยจะถามลูกเป็นยังไง เรียนหนักไหม หรือแม้แต่ชื่อจริงของเด็กก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ - ผู้ปกครองบางคน ที่ไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ก็เลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ให้โตก็พอ แล้วชอบให้เด็กคิดเอง อยากให้เด็กเป็นคนดี โดยที่ตัวเองก็ไม่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี 2. ตัวเด็กเอง ไปโรงเรียนไม่สนใจเรียน ขอให้ได้อยู่กับเพื่อนพอ กลับบ้านเข้าบ้านดึก ไปอยู่กับเพื่อนก่อน เสาร์ อาทิตย์ อ้างไปเรียนพิเศษ เรียนจริงไหม ไปเที่ยวกับเพื่อนแหละ - เมื่อเด็กได้รับการตามใจ เอาใจมากเป็นพิเศษ ก็มักจะเป็นแบบนี้ ชอบอยู่กับเพื่อนขลุกอยู่กับเพื่อน มากกว่าเรื่องอื่นๆ และเป็นช่วงของวัยนี้ด้วย ที่เริ่มมีเรื่องเพื่อน และการไว้ใจเข้ามาเกี่ยวข้อง - เด็กบางคน บางครอบครัว อาจมองว่า พ่อแม่ ให้ความจริงใจ หรือไว้ใจได้ น้อยกว่าเพื่อนที่มีความจริงใจ ไปไหนไปกัน 3. ครู สอนๆ ไปตามความเป็นครู สอนตามกระทรวงสั่ง สั่งมาไงก็เป็นแบบนั้น ลงโทษเด็กก็ไม่ได้ เดี๋ยวผู้ปกครองฟ้อง บางคนเน้นสอนพิเศษเอาเงิน แจกชีทเด็กที่ไม่ได้เรียนก็ไม่รู้เรื่อง และไม่ยอมสอนเรื่องที่สอนตอนเรียนพิเศษให้เด็กที่ไม่ได้เรียน - ครูเมื่อไม่สามารถลงโทษอะไรเด็กได้ เด็กก็ได้ใจ - ครูบางคนก็มักจะโดนฟ้องร้องจากทางผู้ปกครองเสมอ โยนความผิดให้ครูตลอด ไม่ยอมรับความจริงว่าผิดที่ลูกของตน ..... ผู้ปกครอง > เด็ก > กระทรวง > ครู > ผู้ปกครอง มันก็วนกันแบบนี้แหละ จากคุณ : Art_Cheewapat เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 13:42:27

ความคิดเห็นที่ 24 มันคือทฤษฏีสัมพันธภาพทางการศึกษา มันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก แต่ละส่วนสำคัญไม่เท่ากันแต่ขาดออกจากกันไม่ได้ 1. ครอบครัวนับเป็นจุดเริ่มต้นของเมล็ดพันธุ์ จะปลูกฝังอะไร สอนอะไร ก็อยู่ที่ครอบครัว พฤติกรรมต่าง ๆ ในช่วงนี้จะติดตัวไปจนโต ปัญหาครอบครัวจึงส่งผลเป็นปัญหาของสังคม ครอบครัวจึงสำคัญที่สุด จึงควรจะมีนโยบายโรงเรียนในครอบครัว มีการบังคับใช้เป็นกฏหมายไปเลย เช่น มีแผนการสอนมาให้พ่อแม่ ให้พ่อแม่เตรียมการสอนไว้สอนลูกในวัยก่อนเข้าเรียน มีการนิเทศการสอนจากหน่วยงานของรัฐ มีการสอบวัดและประเมินผล (measurement and evaluation) เพื่อให้เด็กซึ่งเป็นวัตถุดิบของสถานศึกษาเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ทั้งในด้าน พุทธิพิสัย จิตพิสัย ทักษะพิสัย 2. โรงเรียนสถานที่ซึ่งสำคัญรองลงมา ผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านไม่สามารถควบคุมลูกได้จึงคาดหวังให้โรงเรียนช่วยดูแล ซึ่งครูโดยเฉพาะครูประจำชั้นก็ดูแลได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น หลายพฤติกรรมที่ติดมาจากที่บ้านไม่สามารถแก้ได้ในสถานศึกษา 2.1 ครู อาจารย์ผู้สอน ผู้สอนหลาย ๆ ท่านเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ สัมผัสแค่ทฤษฏีในหนังสือ และท่องจำมาจากผู้สอนอีกที ไม่เคยผ่านการเลี้ยงดูใครเพราะฉนั้นครูกลุ่มนี้จึงไม่สามารถควบคุมดูแลผู้เรียนได้ หรือศักยภาพต่ำ รวมไปจนถึงการทำแผนการสอนและนิเทศการสอนอย่างมีคุณภาพ แต่ถ้ามองในมุมตัวผู้สอนเองซึ่งประเทศไทยเราให้ค่าตอบแทน หรือเงินเดือนต่ำมากเช่นเงินเดือนครูของรัฐสอนในระดับ ปฐม-มัธยม 8,700 บาท ซึ่งเงินเดือนครูเอกชนในระดับ ปวช-ปวส. ก็เช่นเดียวกัน เงินเดือนระดับนี้ก็ต้องปากกัดตีนถึบหาอาชีพเสริมกังวลเครียดเรื่องปากท้อง จะมีเวลามานั่งคิดเตรียมการสอนให้ลึกซึ้งมันก็ยาก การปรับแก้ตรงนี้คงต้องมองระบบการศึกษาญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ที่ต้องคัดคนเก่ง ให้เงินเดือนสูง มาทำงาน    จริง ๆ อาชีพครูคือวิชาชีพชั้นสูงที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเช่นเดียวกับหมอ วิศวะ หรืออื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพชีวิตและอนาคตของประชาชน แต่เงินเดือนน้อยที่สุด 2.2 สถานศึกษาไม่ได้เน้นสอนให้เกิดกระบวนการคิด (Contructivism) เน้นแค่ผลสัมฤทธิ์ ที่ได้ผลก็คือแค่ไปเข้าติว ให้สอบผ่านก็ถือว่าสำเร็จการศึกษา แต่คิดไม่เป็น ควรนำ CIPPA MODEL มาประยุกใช้ในการเรียนการสอน C (Construction) คือ ครูจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง I (Interaction) คือ ให้นักเรียนทำกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลและแหล่งความรู้ที่หลากหลาย P (Physical Participation) คือ จัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย P (Process Learning) คือ จัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการทำงานให้สำเร็จ A (Application) คือ การจัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 3. ระดับนโยบายทางการศึกษาของรัฐบาล ปัจจุบัน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแกนกลาง 2551 เขียนไว้ครอบคลุมซึ่งก็ยังนำมาปฏิบัติจริงได้แค่บางส่วน หลักสูตร http://www.curriculum51.net/viewpage.php?t_id=64 ส่วนนโยบายแท็บเล็ตในปัจจุบันดูเหมือนพัฒนายังไม่ตรงจุด ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนและทำอย่างไรจะแก้ปัญหานั้นได้ ได้กล่าวไปแล้วใน ข้อ 1 และ 2 จากคุณ : external (green island) เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 13:49:29

ความคิดเห็นที่ 25 คำถามที่ต้องวนกลับไปดูว่า ถ้าโทษใส่ทางบ้านก่อนเลย แล้วพ่อแม่โง่มันจะสอนลูกอย่างไรครับ ช่วยตอบคำถามนี้ที แล้วปัจจุบันนี้พ่อแม่โง่มันกำลังเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ พ่อแม่โง่ลูกอาจจะไม่โง่ แต่สถาบันการศึกษาไม่ไปไหนเลย ------------------------------------------------------------- เรียนเก่งมากอัจฉริยะ ส่งไปเป็นแพทย์,วิศวะกร เรียนเก่งกลางๆ นักวิจัย,นักวิทยาศาสตร์,คอมพิวเตอร์,ฯลฯ เรียนแย่ๆ พอมีความรู้บ้าง ไปรับราชการเป็นตำรวจ ถือเตารีด เรียนแย่มาก ไปเป็นครูเถอะทำอะไรไม่ได้แล้วก็ เรียนแย่ที่สุด บวชเลยได้เงินดดี จบครับ ฐานพังหมด ถึงแม้รูปแบบที่ผม post ไว้นี้จะมีบางส่วนที่เพี้ยนไปบ้าง แต่ลองมองสังคมไทยจริงๆดีกว่าครับ ตอนนี้ครูของเราคือคนที่มีความรู้ระดับไหน(วะ) แล้วพระของเราคือคนระดับไหน(วะ) เว้นไว้แก๊งนึง แก๊งจานบิน จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 14:46:41

ความคิดเห็นที่ 26 +1 กระทรวงศึกษา จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 15:45:45

ความคิดเห็นที่ 27 อยากโหวตกระทรวงมากกว่า จากคุณ : Zyx เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 01:16:12 A:118.173.34.164 X: TicketID:351705

ความคิดเห็นที่ 28 ผมไม่แน่ใจว่าคุณ kimix จะกลับมาอ่านอยู่หรือไม่นะครับ ผมเพียงแต่จะบอกว่า จริงอยู่ที่ต่อให้กระทรวงศึกษาดี แต่ปัจจัยพวกนี้แย่มันส่งผล.... พ่อแม่น่ะ ทำได้แค่สอนลูกคนเดียว แต่ครูอาจารย์ สอนลูกหลายสิบคนหลายร้อยคน แต่ที่แน่ๆ กระทรวงศึกษาควบคุม หมื่นแสนล้านคน กระทรวงไม่ได้มีหน้าที่แค่เขียนกฏนะครับ แต่มีหน้าที่บังคับใช้กฏข้อนี้กับทุกโรงเรียนในประเทศไทย ไม่ให้มีการแลกเกรด ไม่ให้มีการปล่อยผ่าน ไม่ให้มีควายไปสอนคน จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 10:52:07

ความคิดเห็นที่ 29 ดูกระทู้แนะนำ จะพบว่า  กระทรวงศึกษา จากคุณ : ช้างยิ้ม เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 01:00:42

ความคิดเห็นที่ 30 รมต ทุกกระทรวง ไม่ได้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรงสาย   ส่วนใหญ่จะมาจากการแบ่งเค๊ก..   แล้วมันมีผลงานได้อย่างไร??? เกิดเป็นคนไทยก็ตัวใครตัวมันอย่างนี้แหละ  ลูกใครๆก็ต้องดูแลกันเอาเอง จากคุณ : nokun เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 13:59:00

ความคิดเห็นที่ 31 เพราะ ประเทศนี้ ไม่ได้อยู่กับ "ความจริง" ครับ อันนี้ ไม่ได้ประชดนะครับ ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ สุดท้าย แต่ละคนก็คิดในใจคนละอย่าง แต่พูดออกมาอีกอย่าง ส่วนทำ ก็อาจจะทำอีกอย่าง เพราะ ค่านิยมเราบังคับ ให้แคร์คนอื่นในเรื่องที่ไม่จำเป็น และทำเพื่อตัวเองในเรื่องที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น นักเรียนคิดอย่าง ครูคิดอย่าง หลักสูตรอีกอย่าง ระบบอีกอย่าง ทุกคนต่างเอาตัวรอดกันให้ได้ รอดแล้ว ก็มานั่งด่าระบบการศึกษา จากคุณ : PB เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 02:15:15 A:118.172.15.94 X: TicketID:357480