ความคิดเห็นที่ 1 นอกจากนี้ซีดียังเป็นการบันทึกเสียงแบบดิจิตอลที่ได้รับความนิยมมากโดยเปลี่ยนการใช้สัญญาณ analog มาเป็นแบบ 0 1 แทน วงการเพลงได้ประกาศให้การบันทึกเสียงแบบดิจิตอลเป็นการบันทึกเสียงที่มีคุณภาพจากอนาคตเลยทีเดียว แต่ว่าทางวงการอาจจะลืมนึกไปอย่างนึงว่า ถึงแม้ว่าการบันทึกเสียงแบบนี้และแผ่นซีดีพลาสติกขนาดกระทัดรัดจะได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานกว่ายี่สิบกว่าปีในยุคของซีดี แต่ว่าในยุคของอินเตอร์เน็ตที่มีฮาร์ดไดร์ฟที่ทั้งเล็กกว่าและถูกกว่า และการที่จะส่งข้อมูลตรงมายังคอมพิวเตอร์ของทุกคนก็ง่ายกว่าการจะออกไปร้านขายซีดีเป็นไหนๆ ถึงแม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีซีดีจะถือได้ว่าเป็นตัวกอบกู้วงการเพลง แต่การบันทึกแบบดิจิตอลก็มาถึงจุดจบของมันแล้วเช่นกัน จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 11:50:56

ความคิดเห็นที่ 2 Sony CDP-101 เครื่องเล่นซีดีตัวแรก วางจำหน่ายวันที่ 1 ตุลาคม 1982 ตอนนั้นราคา 1000 เหรียญ ในปี 1982 (คิดเป็นเงินตอนนี้ก็ประมาณ 2230 เหรียญ หรือประมาณ 66900 บาทไทย) จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 11:54:09

ความคิดเห็นที่ 3 Norio Ohga ผู้บริหารคนเก่าของโซนี่ที่มีบทบาทในการพัฒนาซีดี ว่ากันว่าสาเหตุที่ซีดีสามารถเก็บเพลงได้ 74 นาที เป็นเพราะว่า Ohga ยืนยันว่าเพราะว่ามันสามารถจัดเก็บซิมโฟนี หมายเลข 9 ของ บีโธเฟ่น ได้ทั้งเพลง จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 11:58:13

ความคิดเห็นที่ 4 Sony D-5/D-50 เครื่องเล่นซีดีแบบพกพาตัวแรกของโลก หลังๆถูกเรียกว่า Disman ราคาประมาณ 300 เหรียญตอนที่ออกมาใหม่ๆในเดือนพฤศจิการยน 1984 D-5 (หรือ D-50 ที่เป็นชื่อเรียกในตลาดต่างประเทศ) ไม่มีเทคโนโลยีการ buffer เพราะฉะนั้นถ้าไปเคลื่อนมันมากๆ แผ่นก็จะกระโดดเอง ทำให้คำว่า "พกพา"ในที่นี้เป็นได้แค่ชื่อเรียกทางทฤษฎีเท่านั้น จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 12:03:31

ความคิดเห็นที่ 5 . จากคุณ : Adung เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 12:24:17

ความคิดเห็นที่ 6 รอชมอยู่นะครับ จากคุณ : kiewchantuek เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 12:52:41

ความคิดเห็นที่ 7 Sony CDX-5 เครื่องเล่นซีดีตัวแรกที่สามารถติดตั้งในรถ โซนี CDX-5 (ไม่ใช่ตัวในภาพ) ราคา 600 เหรียญ ตอนที่วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิการยน 1984 เจ้า CDX-5 ตัวนี้ยังไม่มีวิทยุ AM/FM ถ้าอยากได้วิทยุด้วยต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 100 เหรียญ จะได้ตัว CDX-700 แก้คำผิด** แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 13:21:37 จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 13:20:41

ความคิดเห็นที่ 8 . จากคุณ : profess79 เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 13:25:57

ความคิดเห็นที่ 9 Becker Mexico Compact Disc ถึงแม้ว่าโซนี่จะพัฒนาเครื่องเล่นซีดีที่สามารถนำมาติดตั้งในรถได้เป็นเจ้าแรก แต่ Beckerโรงงานผลิตเครื่องเสียงสำหรับรถยนต์เชื้อสายเยอรมันต่างหากที่เป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นซีดีในรถแบบที่ติดตั้งมาจากโรงงานเป็นเจ้าแรก รถคันแรกที่ว่าคือ เบนซ์ เอสคลาส ปี 1985 ซึ่งเจ้ารถคนนี้ยังมีนวัตกรรมอื่นๆอีก เช่น แอร์แบก รูปนี้คือ เบนซ์ 450 SEL จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 13:30:29

ความคิดเห็นที่ 10 CD Longbox จริงๆแล้วแผ่นซีดีก็ไม่ได้กินพื้นที่มากนัก นอกจากว่าคุณจะเปิดร้านขายแผ่นเสียง ร้านขาย แผ่นเสียงจะบรรจุซีดีไว้ใน กล่องยาว หรือซองกระดาษแข็งยาวพิเศษที่จะทำให้สามารถเก็บกล่องซีดีไว้บนชั้นเดิมที่เคยใช้เก็บแผ่นเสียงที่เคยขายกันก่อนหน้านี้ได้ บรรดาศิลปิน เช่น  David Byrne Peter Gabriel และ Sting เห็นว่าการใช้วัสดุที่มากขึ้นเพื่อที่จะทำให้แพกเกจซีดีสามารถบรรจุอยู่บนชั้นแผ่นเสียงเดิมได้ถือเป็นการสิ้นเปลือง กล่องซีดียาวๆจึงเลิกผลิตไปในฤดูใบไม้ผลิ 1993 ของ Business Week จบแล้วค่ะ จะลองแปลของที่อื่นมาเพิ่มดูค่ะ ติดตามด้านล่าง แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 14:25:09 จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 13:46:11

ความคิดเห็นที่ 11  มี CD แผ่นแรก เป็น Sound Track จากเรื่องนี้ จากคุณ : โควี เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:16:15

ความคิดเห็นที่ 12 สมัยก่อนCDไม่กว้างขวาง  ดูCDโป๊ทีมากันสิบกว่าคน ซื้อกับแกล้มมานั่งกินอีก แล้วพากษ์กันมันปาก กลายเป็นหนังฮา จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:33:28

ความคิดเห็นที่ 13 เครื่องเล่นซีดีของโซนี่เปิดตัวพร้อมๆกับแผ่นซีดีเพลงคลาสสิกและเพลงป๊อปรวมๆ 50 แผ่นด้วยกัน จาก CBS Records ซีดีที่ว่านี้ก็อย่างเช่น  Mozart Tchaikovsky และ Schubert (คลาสสิก) รวมถึงนักร้องสมัยใหม่(ในสมัยนั้น) เช่น  Billy Joel Pink Floyd และ Journey ตอนนั้นซีดีแผ่นละประมาณ 14-15.25 เหรียญ (หรือประมาณ 33-35 เหรียญ ถ้าคิดเป็นเงินในปี 2012 หรือประมาณเก้าร้อยถึงหนึ่งพันกว่าบาทในราคาบ้านเรา)ซึ่งราคาของแผ่นคลาสสิกจะแพงกว่า ** เหมายเหตุ(ในนี้บอกว่าเครื่องเล่นราคาแรกเริ่มประมาณ 674 เหรียญ ในปี 1982 และเทียบเท่า 1609 ในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่ตรงกับของ Business Week) จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:36:04

ความคิดเห็นที่ 14 ผมยังมีเกือบ 500แผ่นแน่ะ  และยังหาสะสมมาเรื่อยๆ  แม้ว่า digital file จะมาแรง  แต่ก็ยังสู้ความน่าสนใจเวลาสัมผัสแผ่น ไม่ได้ จากคุณ : Night_Angel เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:37:03

ความคิดเห็นที่ 15 จำได้สมัยแรกๆแผ่นละเกือบ700เป็น cd ไมเคิลแจ๊คสัน แล้วมาสะสมตอนสมัย vcdออกใหม่ๆเล่นเอาลืม vdo ไปเลย จากคุณ : ทัพยั้ง327 (popvcd1) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:39:27

ความคิดเห็นที่ 16 คุณโควีมี "OST" ของหนังแอ็คชั่นในตำนานด้วยหรือครับ? (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 14:40:37

ความคิดเห็นที่ 17 ในช่วงสิบปีแรกที่ซีดีออกวางขาย สำหรับผู้บริโภคแล้วซีดีเปรียบเสมือนลิงค์เชื่อมต่อของอนาคตเลยก็ว่าได้ ซีดีถือเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยคือ เลเซอร์ กับดิจิตัลคอมพิวเตอร์ ที่รวมกันออกมาแล้วยังมีราคาถูกและมีประสิทธิภาพที่เมื่อทศวรรษที่แล้วไม่สามารถจินตนาการได้เลย ในปี 1984 หนึ่งปีหลังจากที่ซีดีได้เปิดตัวในสหรัฐฯ ครอบครัวอเมริกันแค่ 7.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มี PC (จากงานวิจัยของ UC Irvine) ภายในปี 2012 ตัวเลขได้พุ่งสูงถึง 77 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เกมส์คอนโซลมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เข้าถึงผู้บริโภคได้น้อยกว่าพวกอุปกรณ์เครื่องเสียง เช่น พวกวิทยุหรือเทิร์นเทเบิ้ล สำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก แผ่นซีดีถือเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกที่พวกเขาได้เป็นเจ้าของ ซีดีจึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงยุคดิจิตอลสำหรับผู้บริโภคโดยเฉลี่ย จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 15:10:42

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นกระทู้เยี่ยมยอดครับ...โหวตแล้วครับ จากคุณ : ขวัญชัยอิศรา (kwanchaiisra) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 15:28:30

ความคิดเห็นที่ 19 ก่อนหน้า CD ผมเคยเห็นเป็นแบบแผ่นใหญ่ๆ ร้านคาราโอเกะสมัยก่อนใช้แล้วมีเครื่องเล่นเหมือนเครื่องเล่นวีดีโอเทปนับ10เครื่อง เอาไว้เปิดคาราโอเกะให้ห้อง VIP น่ะครับ ไม่รู้ว่าเรียกเลเซอร์ดิสก์หรือเปล่า จากคุณ : ปอมปอม มิยาโตวิช เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 15:58:10

ความคิดเห็นที่ 20 จำได้เพียงว่าตอนที่คนเริ่มนิยมเริ่มมีเครือง VCD ขายตามห้างประมาณหมื่นกว่าเกือบสองหมื่น แล้วหันไปเห็นเครื่องเล่น DVD ราคาสี่หมื่นกว่า ส่วนแผ่นเลเซอร์ใหญ่ๆที่คิดว่าดีที่สุดในยุคก่อนนั้นเริ่มลดความนิยมลง แต่ไม่มีเงินซื้อได้แค่ซื้อแท่นเครื่องเล่นเทปใบ้คลาสเซต ราคาแปดพันกว่าๆเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 16:13:44 จากคุณ : march_k เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:11:19

ความคิดเห็นที่ 21 มาช่วยเพิ่มข้อมูลฝั่ง Philips นะครับ ในรูปประมาณปี 1974 Bouwhuis,Kramer,Compaan กำลังคุยกันเรื่อง ทฤษฏี จากคุณ : ESD เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:33:21

ความคิดเห็นที่ 22 ทีมวิจัยร่วม Sony-Philips จากคุณ : ESD เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:35:04

ความคิดเห็นที่ 23 เครื่อง Prototype จากคุณ : ESD เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:38:19

ความคิดเห็นที่ 24 ต้นกำเนิดแผ่นซีดี Hans Peek หนึ่งในวิศวกรที่ออกแบบแผ่นซีดีกล่าวว่า การบันทึกข้อมูลบนซีดีเริ่มต้นจากความรำคาญแผ่นเสียงแบบเดิม เพราะแผ่นเสียงเป็นรอยง่าย แล้วก็เสื่อมสภาพลงทุกครั้งที่เล่นแผ่น ทำให้ยิ่งเล่นเสียงก็ยิ่งคุณภาพแย่ลงเรื่อยๆ นอกจากนั้นก็ยังแผ่นใหญ่เทอะทะ ในปี 1972 ฟิลลิปส์ นำแผ่นซีดีบันทึกวิดีโอออกสู่สื่อ เขาเรียกเทคโนโลยีอันนี้ว่า Video Long Play หรือ VLP ซึ่งปรากฎคัวออกมาหลังจากทำวิจัยอยู่เป็นปี ซีดีนี้ดูคล้ายๆกับแผ่นซีดีขนาดใหญ่แต่จะบันทึกทั้งเสียงและภาพเอาไว้ในแผ่นในรูปแบบ analog (หลังจากนั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ LaserDisc) เมื่อเหล่าวิศวกรของ ฟิลลิปส์ ได้พัฒนาสิ่งที่มาแทนที่แผ่นเสียงในปี 1974 พวกเขาตัดสินในที่จะยึดรูปแบบ VLP จึงได้สร้างแผ่นบันทึกเพลงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ เรียกว่า Audio Long Play หรือ ALP ต่อมาเหล่าวิศวกรของ ฟิลลิปส์ พบว่าเสียงที่บันทึกในรูปแบบ analog บนแผ่นซีดีชอบหยุดเล่นกลางคัน และคุณภาพเสียงก็ยังไม่ดีเท่าที่ต้องการ พวกเขาจึงกระโดดไปหาการบันทึกเสียงด้วยสัญญาณดิจิตอลแทน จากนั้นสองสามปี ALP ก็เล็กลงเป็นแผ่นซีดีขนาด 11.5 เซ็นติเมตรที่สามารถบันทึกเสียงสเตียรีโอได้ 60 นาที หลังจากนั้นไม่นาน ฟิลลิปส์ ก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อโปรเจ็ค เป็น Compact Disc ให้เข้ากับชื่อ Compact Cassette ของเขา วันที่ 8 มีนาคม 1979 ฟิลลิปส์ ก็จัดงานแถลงข่าวออกสื่อที่เนเธอร์แลนด์ นักข่าวต่างก็มาสัมผัสกับเสียงเพลงแบบติจิตอลกันที่นั่น ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่ ฟิลลิปส์ ยังรู้สึกได้ถึงอิเล็กทรอนิกส์ยักใหญ่ของเอเชียที่กำลังหายใจรดต้นคอเขาอยู่ บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งได้เสนอโปรโตไทป์ของแผ่นซีดีแบบดิจิตอลไปเมื่อสองสามปีก่อนหน้านั้นแล้ว และ ฟิลลิปส์ เองก็รู้ว่าเขาต้องการพาร์ทเนอร์เป็นคนเอเชียมาช่วยให้งานนี้สำเร็จ ฟิลลิปส์  เสนอไปที่บริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัท และสุดท้ายโซนี่ก็เซย์เยสกลับมา โซนี่เข้ามาร่วมมือกับ ฟิลลิปส์ ในการพัฒนามาตรฐาน และสร้างไลน์ของเครื่องเล่นซีดีของตัวเอง หนึ่งปีถัดมา ฟิลลิปส์  และ โซนี่ก็สรุปรายละเอียดของแผนการออกมา ขนาดของแผ่นซีดีเปลี่ยนเป็น 12 เซ็นติเมตร เพราะโซนี่ยืนยันว่าซีดีหนึ่งแผ่นจะต้องบรรจุเพลงได้ 74 นาที เพื่อให้สามารถเล่นเพลง ซิมโฟนี หมายเลข 9 ในดีไมเนอร์ ที่โด่งดังของบีโธเฟ่นได้ เรื่องตลกอีกอย่างนึงก็คือทางบริษัททั้งสองใช้เหรียญของดัชเป็นขนาดรูตรงกลางของซีดี ในเดือน มิถุนายน 1980 โซนี่และ ฟิลลิปส์ ก็ได้ประกาศว่าพวกเขาได้มาตรฐานของแผ่นซีดีออกมาเรียบร้อยแล้ว และได้เชิญบริษัทอีเล็กทรอนิกส์อื่นๆมาเพื่อจะออกใบอนุญาต ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นชอบด้วย วงการอิเล็กซ์ทรอนิกส์ทั้งวงการใช้เวลาสองปีถัดมาในการแข่งขันที่จะลดขนาดของเครื่องเล่นซีดีให้มีขนาดเล็กลงเพื่อให้พอดีกับขนาด hi-fi แล้วก็เป็นโซนี่ที่วางจำหน่ายโมเดลแรกก่อนใครเพื่อน ภายในหกเดือนได้วางจำหน่ายเครื่องเล่นซีดีถึงสิบรุ่น แก้รูปก่อนใหญ่เกิน T_T แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 16:47:48 จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:47:10

ความคิดเห็นที่ 25 รูปฟิลลิปส์จ้า จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:48:46

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนเปิดแถลงข่าวแนะนำ Compact disc ครับ จาก ซ้ายไปขวา Morita จาก Sony Karajan conductor วง symphony Joop van Tilburg จาก Philips จากคุณ : ESD เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:55:15

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นปาดกันแล้วขอปาดด้วยคนครับ สมัยซีดีมาใหม่ๆผมก็ยังว่าไม่ชัดเท่าวีดีโอแต่เก็บง่ายกว่ามากไม่ต้องซื้อเครื่องกรอ บ้านผมตอนนั้นเป็นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าตอนขายวีซีดีใหม่ๆใช้วิธีแทร๊คแผ่นเอเลี่ยน เฉพาะตอนบู๊ๆพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็เริ่มใหม่เอาซะดื้อๆถ้าอยาดูจบต้องซื้อเครื่องไปจะแถมแผ่นให้ นอกจากเอเลี่ยนแล้วก็มีสงครามหมื่นขาล่าล้างจักรวาฬ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 18:10:55

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นกระทู้ที่น่าติดตามและให้ความรู้มากครับ จากคุณ : หมอพเนจร เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 18:27:32

ความคิดเห็นที่ 29 ผมเคยเห็น Laser Disc ที่สะพานเหล็ก ประมาณปี 2535 แผ่นบะเร่อ ตอนนั้นเทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์ ยังไม่มีด้วย จากคุณ : ปลาๆงูๆ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 18:31:25

ความคิดเห็นที่ 30 กระทู้นี้ ได้ความรู้จริงๆ สมัยเด็กๆไม่มีเงิน ชาวบ้านเค้าฟัง CD ดูหนัง CD เราฟังเทป ดู vdo เพราะไม่มีตังซื้อเครื่องเล่น พอโตมามีงานทำ ไม่ซื้อเครื่องเล่น CD ข้ามไป DVD ซะเลย มาตอนนี้เค้าหนีไป blue ray เทคโนโลยีมันวิ่งเร็วจริงๆ จากคุณ : ความจำสั้นสันหลังยาว เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 18:56:46

ความคิดเห็นที่ 31 แล้ว MD ล่ะครับ จากคุณ : เด็กน้อยกลิ่นวนิลา เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 19:48:07

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ :D จากคุณ : spyboy007 (spyboy007_forall) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 20:06:15

ความคิดเห็นที่ 33 แผ่นซีดีเพลง ทันทีหลังจากที่เริ่มวางจำหน่าย บรรดานักเขียนรีวิวต่างก็ชื่นชมระบบซีดีเพราะความคมชัด อัตราส่วนของนอยส์ที่ต่ำ ฯลฯ ในขณะที่บรรดาผู้คลั่งใคล้เสียงเพลงรุ่นเก่าก็ยังคงยึดติดกับแผ่นเสียงแบบเดิม พร้อมประกาศจุดจบของการผลิตงานเพลงที่มีคุณภาพ สำหรับผู้บริโภคแล้วคุณภาพของเสียงจากแผ่นซีดีก็เป็นตัวตัดสินที่ชัดเจนด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว และมันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาและราคาเท่านั้นก่อนที่ซีดีจะได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป และหลังจากนั้นซีดีก็กลายเป็นทางเลือกหลักไปในที่สุด ในปี 1988 ซีดีมียอดวางขายอยู่ตามตัวแทนจำหน่ายมากกว่าแผ่นเสียงเป็นครั้งแรก จากนั้นก็มียอดนำเทปคลาสเซ็ทในปี 1992 นับจากจุดนั้นเครื่องเล่นซีดีก็ลดราคาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ซีดีก็ยังถือเป็นแพลทฟอร์มเสียงที่พกพาสะดวกอีกด้วย เครื่องเล่นซีดีในรถก็ได้กลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานบนรถยนต์อย่างรวดเร็วภายในช่วงต้นๆของยุค 1990s (โซนี่เปิดตัวเครื่องเล่นซีดีในรถครั้งแรกในปี 1984) และเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาก็มีการป้องกันแผ่นกระโดดและมีการใส่แบตเตอร์รี่เพื่อใช้งาน เหล่าศิลปินต่างก็หลงรักซีดี ตั้งแต่แรกเริ่มพวกเราก็ยกย่องในความสามารถของซีดีที่สามารถสร้างเสียงดิจิตอลให้เหมือนกับเสียงต้นฉบับในสตูดิโอได้อย่างถูกต้องแม่นยำเรียกได้ว่าไม่มีการสูญเสียคุณภาพจากเพลงดั้งเดิมเลย หลังจากนั้นไม่นานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้มองเห็นศักยภาพของซีดีซึ่งเป็นได้มากกว่าสื่อกลางของเพลง เหล่าบริษัททั้งหลายจึงปรับเปลี่ยนและพัฒนาซีดีให้เป็น กราฟิควีดีโอภาพนิ่ง (CD+G) วิดีโอ analog และเสียงดิจิตอลไฮบริด (CD Video) ดิจิตอลวิดีโอ (Video CD) ส่วนประกอบแบบ interactive (CD-i) ซีดีเก็บรูปภาพ (Photo CD) และอื่นๆอีกมากมาย จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 20:14:20

ความคิดเห็นที่ 34 ซีดีในแง่ของ ซีดีรอม ตอนที่มีซีดีมาขายในตลาดใหม่ๆ ผู้บริโภคต่างมองสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้จากมุมมองด้านการใช้งาน เช่น เล็กกระทัดรัด เป็นสื่อที่ใช้ฟังเพลงแบบไม่มีเสียงรบกวน มีความทนทาน แต่วิศวกรคอมพิวเตอร์กลับมองเทคโนโลยีชิ้นเดียวกันนี้ต่างออกไป พวกเขามองเห็นแผ่นซีดีขนาด 4.7 นิ้วที่สามารถบรรจุข้อมูลได้ถึง 6.3 พันล้านบิทอย่างน่ามหัศจรรย์ แทบจะทันทีเลยทีเดียวที่บริษัทสื่อทางคอมพิวเตอร์จำนวนมากต่างก็แข่งขันกันนำเสนอให้ซีดีเป็นสื่อของซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ สาเหตุก็คือ ในปี 1982 ฟลอปปี้ดิสก์สองด้านแบบมาตรฐานของ IBM สามารถบรรจุข้อมูลได้ 360 กิโลไบท์ หรือประมาณ 2.6 ล้านบิท หรือถ้าคำนวณดูแล้ว แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ถึง 2390 แผ่นถึงจะบรรจุข้อมูลดิจิตอลได้เท่ากับแผ่นซีดีเพียงแค่แผ่นเดียว โปรโตไทป์ของไดร์ฟซีดีที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทสื่อคอมพิวเตอร์หลายบริษัทมีออกมาให้เห็นในช่วง 1983 และต่อไปจนถึงปลายปี 1984 โซนี่และฟิลลิปส์ก็พยายามจะสร้างตัวมาตรฐานขึ้นมา ซึ่งพวกเขาเรียกว่า CD-ROM (ย่อมาจาก Compact Disc Read-Only Memory) สเป็กของซีดีรอม (ลบจำนวนบิท error correction ออกแล้ว) ก็ยังเหลือพื้นที่ถึง 650 ล้านไบท์ต่อหนึ่งแผ่น ในปี 1985 CD-Rom ไดร์ฟ ที่ออกสู่ตลาดตัวแรกอยู่ในตลาดที่ไม่ใช่สำหรับผู้บริโภค แต่ก็ยังคงมีคำถามอยู่ดีว่า คนจะเอาพื้นของซีดีมากขนาดนั้นไปใช้ทำอะไร สิ่งแรกๆ ที่เทคโนโลยีซีดีรอมถูกนำมาใช้ คือ การนำมันมาเป็นสื่อในการบันทึกข้อมูลจำนวนมากๆ ซึ่งถ้าพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ คงจำเป็นต้องใช้หลายเล่มหนาๆ ถึงจะบันทึกได้หมด ฐานข้อมูลของรัฐบาล การแพทย์ และสถิติประชากรบุกเบิกการใช้งาน CD-Rom เป็นครั้งแรกในปี 1985 และตามมาด้วยสารานุกรมหลังจากนั้นไม่นาน จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 20:40:08

ความคิดเห็นที่ 35 ต่อ การใช้ CD-Rom มาจัดจำหน่ายโปรแกรมคอมพิวเตอร์เก่าๆธรรมดาก็ดูจะไม่เข้าท่าในตอนแรก ก็ใครจะมาอธิบายให้ฟังล่ะว่าทำไมจะต้องผลิตซีดีที่จุได้ 550-650 เมกกะไบท์ เพื่อมาใส่โปรแกรมแค่ 200 กิโลไบท์ คำตอบคือการเอาซีดีมาจัดจำหน่ายแบบเน้นปริมาณ PC Special Interest Group of Sunnyvale, California (หนึ่งในองค์กรแรกๆที่จัดจำหน่ายซอฟท์แวร์บนซีดี) จัดทำแผ่นซีดีที่มีพับบลิคโดเมน และแชร์แวร์ 4000 รายการ ในปี 1986 ที่ตลกก็คือทั้งหมดนี้ก็ยังกินพื้นที่เพียงแค่หนึ่งในหกของความจุซีดี แต่ CD-ROM จะเป็นตัวกลางในการส่งภาพและวิดีโอดิจิตอลที่มีศักยภาพไปไม่ได้จนกว่าระบบกราฟิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิคระดับคอมพิวเตอร์จะตามทัน หรือจนกว่าที่คอมพิวเตอร์จะเร็วพอที่จะแสดงผลสีที่จะใช้ประโยชน์ได้มากพอเท่ากับจำนวนความจุของ CD-ROM ที่นำมาใช้เพื่อความบันเทิง สุดท้ายคอมพิวเตอร์ก็ตามทันซีดีรอมในต้นๆยุค 1990s ที่เริ่มเข้ายุกมัลติมีเดียแล้ว เกมส์ Myst (1993) ของ Mac ออกมาเป็นตัวแรก วีดีโอเกมส์คอนโซลก็เริ่มจะได้ซีดีรอมในการบรรจุเกมส์แล้วในช่วงนั้น (จริงๆครั้งแรกจะอยู่ในปี 1988 เป็นเกม์ PC Engine console ของญี่ปุ่น)ซึ่งทำให้เพลย์สเตชั่นของโซนี่ชิงมงกุฎเกมส์คอนโซลจากนินเทนโดไปครองแทน ในช่วงท้ายของบุค 1990s เกมส์คอมพิวเตอร์ก็อยู่ในขนาดซีดีรอมไดร์ฟทั้งนั้น ราคาก็ลดลง แล้วซีดีก็มุ่งหน้าไปสู่การจัดจำหน่ายซอฟท์แวร์ที่ป๊อปที่สุด ใครจะลืมบทบาทของ CD-R ที่เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มที่สุดแสนจะแพงในปี 1989 ได้ลง แต่แค่หนึ่งทศวรรษผ่านไปกลับกลายเป็นวิธีที่ไวที่สุดในการเคลื่อนย้ายข้อมูล และการก็อปปี้เพลง เวลาผ่านไป CD-ROM ก็ถูกแย่งชิงตำแหน่งด้วย DVD-ROM และเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลอื่นๆ ความนิยมก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ แต่สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้ CD-ROM ต้องมาถึงจุดจบในฐานะการแจกจ่ายซอฟท์แวร์ที่ป๊อปที่สุดนั้นไม่มีรูปร่างและขนาดที่แน่นอน และที่ขัดแย้งที่สุดเลยก็คือเจ้าสิ่งประดิษฐ์ที่จะทำให้ซีดีเพลงสูญพันธ์นั้นก็คือ อินเตอร์เน็ต นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 21:08:24 จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 21:05:06

ความคิดเห็นที่ 36 # 12 อืม...หนังสือ โป๊มั้ยพี่ เล่าประวัติหนังโป๊ซึ่งคือประวัติ media ของหนัง 40-50 ปีก่อนชายไทยดูหนังโป๊กันด้วยเครื่องฉายหนัง 8-16 มม. กว่าจะได้ดูที ต้องรอส่งจากเมืองนอกทางเรือ รู้สึกเป็นหนังฝรั่ง ราว 2526 มั้งถึงได้ดูวิดิโอเทป VHS มีหนังใหญ่ หนัง X ก็มี เล่นเทปกันอยู่หลายปีกว่าจะมีซีดีหนัง ราคาถูกที่เล่นแพร่หลาย ซีดีหนัง X เปลี่ยนไปเป็น DVD 3 แผ่นร้อย และแล้วการมาถึงของเนท DVD จึงขายกันยากเย็น พี่..พี่..โป๊มั๊ยพี่.. -สัญฐลักษณ์ พงษ์'สุวรรณ จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 21:20:56

ความคิดเห็นที่ 37 พูดเรื่องโป๊  ราวๆ10ปีก่อน ที่ห้างพันดิ๊บ แหล่งซอฟแวร์ผีเขามีแผ่นซีดีมัลติมีเดียโป๊ออกมาเป็น รายวอลลุ่มด้วยนา ....ฮิฮิ ภายในบรรจุ ภาพสแกนจากหนังสือ ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และมีคลิปวีดีโอสั้นๆให้ดูด้วย จากคุณ : pommm เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 22:16:17

ความคิดเห็นที่ 38 สนุกมาก ได้รำลึกความหลัง หลายอย่างลืมไปแล้ว อุ้ย อายุมากแล้วรึนี่เรา จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 22:23:10

ความคิดเห็นที่ 39 นึกถึง CD-ROM 2X ของ CREATIVE  เป็นกล่องชุดใหญ๋ ราคาประมาณ 3 หมื่น จากคุณ : ชาวบางนา เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 22:45:15

ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อก่อนมัธยมเดินเล่นพาต้ากับเพื่อน แชร์กันซื้อ สลับอาทิตย์ แผ่นแวมพาย กับหนังแผ่นAV อิอิ จากคุณ : หางแหลม เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 23:24:40

ความคิดเห็นที่ 41 นึกถึงเครื่องไรท์ 4x เครื่องแรกที่ได้ครอบครอง (จำยี่ห้อไม่ได้) ราคาเป็นหมื่น ขนาดซื้อมือสองนะนั่น - -" จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 23:24:51

ความคิดเห็นที่ 42 จุดจบของซีดี วิศวกรผู้ออกแบบซีดีไม่ได้คิดว่าก่อนเลยว่าวันนึงเราจะส่งข้อมูลของซีดีเพลงเป็นพันๆแผ่นข้ามไปยังอีกฝากของโลกได้ภายในไม่กี่นาที การกำเนิดของการ rip แผ่นซีดี และการแชร์ไฟล์เพลงแสดงให้เห็นว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวซีดีเองนั้นไม่ใช่ประเด็นเลย ตัวข้อมูลที่อยู่ในแผ่นซีดีต่างหากที่เป็นประเด็น ข้อมูลในนั้นต้องการที่จะเป็นอิสระ และภายในช่วงหลังของยุค 1990s เสียงในรูปแบบดิจิตอลก็หาทางออกมาจากกรงของมันได้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังได้ปลดปล่อยเพลงออกมาจากแผ่นซีดีและเอามันไปวางไว้บนสื่อที่ยืดหยุ่นกว่าซึ่งก็คือการไม่มีสื่อใดๆเลย ทุกวันนี้ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ และ bandwidth ที่ใช้ทรานสเฟอร์ข้อมูล ดนตรีดิจิตอลสามารถไปซ่อนอยู่ในฮาร์ดไดร์ฟและแฟลชไดร์ฟ จากนั้นก็ไหลไปสู่คอมพิวเตอร์เครื่องนึง และถูกส่งต่อไปเรื่อยๆด้วยสายแลนและอินเตอร์เน็ต ดนตรีเดี๋ยวนี้เล่นอยู่บนรีโมทเซอร์เวอร์ในดินแดนอันแสนใกล้ และรอให้มีคนมาสตรีมบนมือถือและเน็ตบุค ซึ่งนำให้เราเข้าสู่อีกประเด็นนึงที่หลายคนมองข้าม นั่นก็คือในช่วงที่ซีดียังรุ่งโรจน์อยู่นั้น มันไม่ได้มีคุณค่าเพียงแค่เป็นที่เก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการทรานสเฟอร์ข้อมูลชั้นเยี่ยมอีกด้วย กว่าหลายสิบปีผู้บริโภคได้ใช้ซีดีในการเก็บข้อมูลจำนวนมากมาจากที่อื่น แล้วนำกลับมาใส่คอมฯที่บ้านโดยที่เร็วกว่าการที่จะมานั่งดาวน์โหลดไฟล์เพลงหรือซอฟท์แวร์ขนาดตั้ง 650 เมกกะไบท์ผ่านอินเตอร์เน็ตเฉื่อยๆในยุคนั้น แต่ ณ ตอนนี้เน็ตเวิร์คความไวแสงอยู่ตรงนี้แล้วและพื้นที่เก็บข้อมูลก็มากมาย ด้วยลักษณะสองอย่างนี้เองทำให้ซีดีกลายเป็นของล้าสมัย คุณค่าของซีดีจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาหนึ่งซีดีถือเป็นสื่อทางดนตรีที่สำคัญที่สุด และมันก็จะเป็นเช่นนั้นไปตลอด มันคือรุ่นล่าสุดของสื่อประเภทนี้แล้ว ในปี 2011 ยอดขายเพลงดีจิตอลนั้นมากกว่ายอดขายเพลงบนแผ่นเป็นครั้งแรก ดนตรีได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะไม่อยากกลับเข้าไปที่เดิมของมัน ถึงแม้ว่าจะผ่านมาสามสิบปีแล้วและซีดีก็เริ่มจะหมดยุค แต่สำหรับหลายๆคนซีดีก็ยังเป็นสิงประดิษฐ์แห่งอนาคตอยู่ดี จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 23:52:50

ความคิดเห็นที่ 43 จบแล้วค่ะ ลากันไปด้วย Timeline ชีวิตของซีดี สามารถอ่านข้อมูลต้นฉบับได้ที่ http://images.businessweek.com/slideshows/2012-10-01/play-pause-a-look-at-30-years-of-the-compact-disc#slide1 http://www.techhive.com/article/2010810/the-cd-player-turns-30.html อาจจะแปลไม่ครบถ้วน ข้ามไปบ้าง แปลผิดๆถูกๆ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆที่ช่วยเข้ามาเพิ่มเติม และพูดคุยเป็นเพื่อนกันทุกท่านจ้ะ จากคุณ : kypsan เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 23:57:14

ความคิดเห็นที่ 44 หิหิ SONY จากคุณ : John Locke เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 01:24:48

ความคิดเห็นที่ 45 SONY เพิ่งประกาศยุบฝ่าย Bluray ไป ทั้งๆ ที่เพิ่งชนะ HD-DVD อย่างเหนื่อยล้ามาได้แค่ไม่กี่ปี อินเตอร์เน็ตนี่มันน่ากลัวจริงๆ จากคุณ : เด็กวัดสะพานใหม่ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:18:30

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับ อ่านเพลินเลย จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:24:43

ความคิดเห็นที่ 47 ตอนปี 37 ไปห้างพันติบ เห็นเครื่อง CD-RW 2X เครื่องละ 89,000.- วางอยู่ในตู้กระจก แผ่นเปล่าแผ่นละ สามร้อยมั้ง จากคุณ : than.tham เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:34:35

ความคิดเห็นที่ 48 ขอชมจขกท.ครับแปลแล้วอ่านสนุกดี CD, DVD, Blu-Ray รวมเป็น Optical disc แผ่นขนาด 12 ซม. มีพื้นกับรู เอามอเตอร์หมุนแผ่น ยิงแสงเลเซ่อร์ไปอ่าน ความยาวคลื่นยิ่งสั้น แผ่นยิ่งมีความจุมาก ข้อเสียมีอะไรที่หมุนๆ media เก็บข้อมูล flash drive, ext. HDD ไม่มีอะไรหมุนๆ ไม่เป็นกลไก หนังไฮเดฟกลายเป็นไฟล์ avi เก็บใน flash drive, ext. HDD ดูผ่านคอมฯ/ทีวีก็ได้ ผมเชื่อว่าต่อไปคนอาจเลิกใช้ Optical disc หันมาใช้ flash drive, ext. HDD บางที  Blu-Ray อาจเป็นสิ่งไม่จำเป็นต่อการดูหนัง และตายก่อนวัยอันควร จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:45:56

ความคิดเห็นที่ 49 หลังจากยุคของการเช่าม้วนเทปวิดีโอ ระบบ VHF ตลับใหญ่ๆ ก่อนถึงยุค Video CD จะมีช่วงนึง แผ่นหนังแผ่นใหญ่ๆเท่าแผ่นเสียง เขาเรียก LD มั้ง  ภาพคมชัด ไม่มีการพากย์ภาษาไทย ถ้าจะดู Subtitle ภาษาไทย ต้องเช่าแผ่น ควบกับตลับเสี่ยง เอามาเสียบที่เครื่องเล่น  ก็จะได้อ่านภาษาไทยครับ จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ะ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:12:56

ความคิดเห็นที่ 50 ผมว่า Bluray ก็จะยังอยู่ต่อไปได้แหละครับ ไม่ได้ตายจากไปไหน เพียงแต่ขนาดตลาดมันจะลดน้อยลง ที่มันอยู่ต่อได้ เพราะมันเป็นต้นน้ำของทั้งหมดครับ ถ้าไม่มี Bluray เราก็หาต้นฉบับมา rip มาลง media อื่นๆไม่ได้ ก็จะไม่มี .avi, .MP4, .mkv ตามมา "จนกว่า" เทคโนโลยีอินเทอร์เนทจะพัฒนาไปไกลกว่านี้ครอบคลุมทุกพื้นที่กว่านี้  เช่นทุกบ้านมี FTTx หมด เพราะหนังที่ใส่ใน Bluray แบบไม่ถูก Rip ไม่ถูกลดคุณภาพลงจะมี Bitrate อยู่ที่ราวๆ 40-50 Mbps เท่ากับว่าเราต้องใช้อินเทอร์เนทความเร็ว 40-50 Mbps ขึ้นไปเช่นกัน ถึงจุดนั้นเมื่อไร ค่ายหนังคงเลิกขายแผ่น แล้วขายหนัง Streaming ล้วนๆ แต่ระหว่างนั้น "แผ่น" ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ครับ จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:25:55

ความคิดเห็นที่ 51 คุณเจไดทำผมโดนด่าในออฟฟิสเพราะหยุดความฮาไม่ได้ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:16:03

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นแล้วนึกถึงโซนี่ อดีตเจ้านวัตกรรม วอล์คแมน ซีดี เพลย์สเตชั่น กล้องดิจิตอล ไตรนิตรอน ที่เสียแชมป์ให้เจ้าอื่นไปหมดแล้ว คิดแล้วต่อไปแอปเปิลคงเช่นกัน จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:17:59

ความคิดเห็นที่ 53 จะว่าไปเพราะซีดีเข้ามาเลยทำให้วงการเพลงตายไปหลายคนหลายวง และค่ายเพลงปรับตัวกันยกใหญ่ ป.ล.คุณอากงลองอ่านเรื่องย่อหลังปกดูจะฮากว่านี้ครับ^^ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:28:46

ความคิดเห็นที่ 54 ตอนเด็กๆบ้านผมยังไม่มีตังซื้อเครื่องเล่นvdo พ่อผมก็อยากให้ผมดูหนังเลยซื้อสายไปต่อพ่วงมาจากข้างบ้าน เวลาเค้าจะเปิด vdo เค้าก็จะเดินมาบอกเราด้วย 555 จากคุณ : Kloster60D เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:50:14

ความคิดเห็นที่ 55 เข้ามาเสพความรู้ จากคุณ : คิกขุแมน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 13:48:37

ความคิดเห็นที่ 56 แสดงว่า การอยากได้ของฟรี ไม่เสียเงิน มันก็เป็นการกระตุ้นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางอ้อม ด้วยใช่ปะ จากคุณ : chan ty เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 15:04:54

ความคิดเห็นที่ 57 คคห.42  "จุดจบของซีดี" อ่านแล้วรู้สึกใจหายเหมือนกันนะ แต่ชอบคำบรรยายที่ จขกท. แปลมามากเลย จากคุณ : kanada เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 15:08:43

ความคิดเห็นที่ 58 บ้านเพื่อนมี LD เรื่อง predator ด้วยล่ะ จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 15:22:46

ความคิดเห็นที่ 59 CD writer เครื่องแรก ผมซื้อจากโกดัก ..  วันท่เข้าไปซื้อ คุณนครินทร์ยังทึ่งว่าร้านเล็กๆจะเอาเครื่องนี้ไปทำไม หมื่นแปด คือค่าตัวหลังลดสุดๆแล้ว ... 2X คือความเร็วที่คุยว่าเร็วกว่าเดิม 2 เท่า  (ฮา) 500.-  คือราคาที่รับcopy ไฟล์รูปต่อแผ่น (สมัยนั้นเป็นไฟล์จากฟิล์มสแกน  สไลด์สแกน นานๆจะมีไฟล์จากกล้องดิจิทัล คาสิโอ QV-10 ) ตอนนี้ มันยังอยู่ในซากคอมฯ ที่ผมทิ้งไม่ลง ...  อยู่เลย ... จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 17:39:19

ความคิดเห็นที่ 60 CD จะตายจริงหรือ? ผู้เขียนไม่เชื่อเช่นนั้น และเชื่อว่า CD จะไม่ตายง่ายๆ  เพียงแค่รอการพัฒนาต่อไป    เพราะข้อได้เปรียบที่มีมากที่สุดของแผ่น  CD  ที่เหนือกว่า  อุปกรณ์ ฮาดร์ดิส   และระบบ อินเตอร์เน็ตนั้นก็คือ   "CD  เป็นตัวเก็บสำรองข้อมูลชั้นยอด" ข้อมูลต่างๆในฮาร์ดดิส สามารถถูกทำให้หายไปได้ ด้วยไวรัส ฮาร์ดิสไหม้  ไฟตก  หรืออุปกรณ์ตกรุ่น หรือถ้าจะอับโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต  แล้วจะหมั่นใจได้แค่ไหน ว่าข้อมูลจะอยู่ตลอดไป อาจจะมีคนเข้าไปแฮ๊กแล้วลบข้อมูลทิ้ง  หรือเผลอลบโดยไม่ต้องใจ  หรือถ้ากรณีร้ายแรงที่สุดคือ เซอร์เวอร์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ไฟไฟม้ การจะฟื้น CD ต้องเอาจุดแข็งของ CD มันมาแข่งขันกับฮาร์ดดิส และอินเตอร์เน็ต  นั่นก็คือ  "CD  เป็นตัวเก็บสำรองข้อมูลชั้นยอด"  เพียงแต่ว่าต้องพัฒนา ให้ CD รุ่นใหม่ เก็บข้อมูลได้นานขึ้น  สัก 100 ปี  หรือ  1000 ปี  หรือตลอดไป จุดแข็งของ CD ตรงนี้ ฮาร์ดดิส และระบบอินเตอร์เน็ตสู้ไม่ได้แน่ การจะฟื้น CD มาสู้กับฮาร์ดดิส และระบบอินเตอร์เน็ตได้มีทั้งนี้ 1.สร้างให้เป็นสื่อสำหรับสำรองข้อมูล ที่ต้องรับประกันกับลูกค้าว่า เก็บได้เป็น 100 ปี หรือ 1000 ปี หรือตลอดไป  (รอการพัฒนา  เพราะปัจจุบัน แผ่น CD ธรรมาดทั่วไป (ปรินส์โก้) เก็บข้อมูลได้แค่ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา) 2.สร้างให้เก็บข้อมูลได้เยอะๆ เอาแค่ 2 ข้อนี้ CD ก็สู้ ฮาร์ดิส และระบบบอินเตอร์เน็ตได้แล้ว  แต่ต้องรอการพัฒนา ตัวอย่างเช่น บริษัทโซนี ระเทศญี่ปุ่น ประกาศขาย CD แบบใหม่   "Forever CD"  ซึ่งเป็น CD ที่มีขนาดเท่า CD ในปัจจุบัน  เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรักษา  ซึ่ง  Forever CD มีความจุของแผ่นอยู่ที่  1 TB   และจากการพัฒนา  Forever CD    บริษัทโซนี่รับประกันการเก็บข้อมูลใน CD   เป็นเวลา 1000 ปี  (จริงๆ เอาสัก 100 ปี ก็ทำการตลาดสบายแล้ว  การสำรองข้อมูลด้วย CD ไม่ต้องมาปวดหัวกับไวรัส    ซึ่งบางครั้งข้อมูล มีค่ากว่า ฮาร์ดิสซะอีก)   ถ้าจะทำการตลาด ก็อาจจะมีคนซื้อเอาไปเก็บข้อมูลเก่าๆ  เช่นเพลงเก่าๆ  รูปเก่าๆ  หนังเก่าๆ  วิดีโอวันแต่งงาน  วันรับปริญา  งานชมรม  ฯลฯ แล้วเก็บใส่ตู้เอาไว้ ปล. รูปนี้คือ เซอร์เวอร์ของ google  ถ้าเกิดวันหนึ่ง ไฟไหม้ขึ้นมา  แล้วดันไม่มีการเก็บสำรองข้อมูล   หรือมีคนเข้าไปแฮ็กแล้วลบข้อมูลทิ้ง  ข้อมูลที่มีค่าพวกนั้น จะอยู่อย่างไร  หายเกลี้ยงเลย จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 17:41:34

ความคิดเห็นที่ 61 ^^ "ถ้าเกิดวันหนึ่ง ไฟไหม้ขึ้นมา  แล้วดันไม่มีการเก็บสำรองข้อมูล   หรือมีคนเข้าไปแฮ็กแล้วลบข้อมูลทิ้ง  ข้อมูลที่มีค่าพวกนั้น จะอยู่อย่างไร  หายเกลี้ยงเลย" ข้อมูลต่างๆเหล่านี้มีสำรองอยู่ในที่ต่างๆทั่วโลกครับ ผมกลับคิดว่าเทคโนโลยีไม่เคยย้อนกลับ ปัญหาของการเก็บสำรองข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะถูกพัฒนาไปข้างหน้าตลอด จากคุณ : Pung-Ping เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 19:08:03

ความคิดเห็นที่ 62 อ้าว 30 ปีแล้วหรอ เหมือนเราได้เอื้อมถึงสัมผัสมันได้อย่างเต็มที่ แค่ 15 ปีที่ผ่านมา นี่เอง  .................... จากคุณ : Lunar_Eclipse (Moonlight-Eclipse) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 19:28:31

ความคิดเห็นที่ 63 เราว่า ซีดีคงไม่ตายไปหรอก แต่อาจแปรสภาพเป็นสื่อแบบคลาสสิค แบบแผ่นเสียงไวนิล ที่ปัจจุบันก็ยังมีการผลิตและใช้กันแต่ไม่แพร่หลาย แค่นั้น จากคุณ : DashSanFranCisco เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 22:46:38

ความคิดเห็นที่ 64 50 ปีก็นานเกินไปแล้วสำหรับสื่อ optical นานขนาดนั้นแผ่นอาจะะยังสภาพดี แต่ตัวอ่านอาจสูญพันธุ์ไปหมดแล้วก็ได้ จากคุณ : เฮียมี่ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 00:34:49

ความคิดเห็นที่ 65 ลืม Minidisc ไปรึเปล่าเอ่ย... จากคุณ : Muyan เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 01:20:22

ความคิดเห็นที่ 66 ขำ คห.60 แล้ว CD จะไม่มีวันหัก ไม่มีวันพัง ไม่มีวันถูกขโมย? และถ้าทำได้จริง ทำไมไม่เอาเวลาคิดเทคโนโลยีนั้นไปใช้กับ HDD หรือการบรรจุที่ใหญ่กว่า? HDD หลักการพื้นฐานมันก็คือ CD หลายๆ อันซ้อนกัน แค่บังคับให้มันอ่านได้ ถ้ามันอ่านไม่ได้ มันก็คือ CD น่ะแหล่ะ แล้วการที่ผู้ผลิตต้องทำให้มันอ่านไม่ได้ แทนที่จะให้ผู้เช่าเซิร์ฟเวอร์ซื้อ HDD ไว้ Backup ผมว่าเค้าคงมีปัญหาด้านการตลาดแล้วล่ะ? จากคุณ : เด็กวัดสะพานใหม่ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 02:44:14

ความคิดเห็นที่ 67 #60   "...CD  เป็นตัวเก็บสำรองข้อมูลชั้นยอด..." ผมว่าถ้าเอาในแง่ของความทนต่อการสูญหายราคาไม่แพง เก็บในเทปแม่เหล็กจะเหมาะกว่าครับ นอกจากนี้ในบรรดาสื่อเก็บข้อมูลทั้งหมดในปัจจุบันที่มีอยู่ Optical - แผ่น CD/DVD Magnetic - เทปแบคอัพ ElectroMagnetic - ฮาร์ดดิสก์ Electronic - แฟลชไดรว์ ถ้าไม่นับต้นทุนในการเก็บรักษา การเก็บแบบ Electronic จะมีอายุเก็บได้นานสุดครับ ไม่ใช่ CD หรือเทป หรือฮาร์ดดิกส์/แผ่นดิสก์ อีกอย่างผมว่าตัวอย่างเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลที่ยกตัวอย่างมา จริงๆ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ซักเท่าไรนะครับ มันล่มหรือโดนแฮคไปก็ไม่ เป็นอะไรมากหรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่อง Data Recovery (คือมีวิธีมากมาย ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเก็บไว้ในอะไร,เก็บแบบไหน ขอเพียงกู้ข้อมูลขึ้นมาให้ได้เหมือนเดิม) แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึง Data Storage อยู่นะครับ ทำความเข้าใจสองคำนี้ก่อนนะครับ Data Recovery กับ Data Storage แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 55 03:11:38 จากคุณ : veronicaz เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 03:03:55

ความคิดเห็นที่ 68 มีคนขำความคิดผมซะงั้น งิงิ เอาเป็นว่าทิ้งข้อมูลทางด้านเทคนิคเอาไว้ก่อน  แล้วมาดูการตลาดกัน ปัจจุบัน CD  ธรรมดา เก็บข้อมูลได้แค่ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา และจุข้อมูลได้ประมาณ 700 mb  ในราคาแผ่นละ 5 บาท แล้วถ้ามีการพัฒนาใหม่เป็น CD รุ่นใหม่ เก็บข้อมูลได้ 50-100 ปี ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา  และจุข้อมูลได้ 2,000 mb ในราคาแผ่นละ 10 บาท  และ CD เคลือบแผ่นพิเศษทำให้แผ่นไม่มีรอยขีดข่วน ถ้าได้สเปกแบบนี้ก็สามารถทำการตลาดได้อยู่น่า   แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 55 07:22:52 จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 07:14:00

ความคิดเห็นที่ 69 เทคโนโลยีอะไรที่มันไฮเทคเกินไป  มันใช้งานอยาก และมักไม่ค่อยคงทน เพราะอุปกรณ์ต่อพ่วงมันเยอะ  ถ้าให้เปรียบเทียมก็คล้ายๆ  อเมริกาทุ่มงบสร้างปากกาอวกาศ  แต่รัสเซียบอก ใช้ดินสอ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 07:18:15

ความคิดเห็นที่ 70 1.รุ้จักแผ่น cd และใช้กัีบคอมพิวเตอร์ จริงๆ คือ แผ่น "ประเทือง 38" 2. ซ์้อ cd rom sony 2x มา จากพันทิพ 2500 บาทมั่ง ข้อเสียคือ มันจะอ่าน แผ่น cd ที่เป็นสีทองไม่ได้ ไม่รู้ทำไม จากคุณ : lazarn เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 08:30:25

ความคิดเห็นที่ 71 ู^ ระบบ Google นี่น้องๆ แมลงสาบ, Umbella Corp. เลยครับ ไฟไหม้พร้อมกัน 10 สาขา ยังไม่เจ๊ง จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 10:49:02

ความคิดเห็นที่ 72 #69 นั่นมัน Hoax ครับ ดินสอใช้ในอวกาศไม่ได้ ผงคาร์บอนมันจะลอยฟุ้งในตัวยานและอาจก่อเกิดประกายไฟจนเป็นไฟไหม้ได้ จากคุณ : Rey เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 10:57:21

ความคิดเห็นที่ 73 HDD 500 GB หรือ 500,000MB ราคา 2000 บาท(เผื่อให้ด้วย) CD 700MB ราคา 5 บาท ดังนั้น CD 714 แผ่น เท่ากับ HDD 1 ลูก หรือต้องเสียเงินซื้อ 3500 บาท เมื่อเอามาคิดแล้ว 1.CD ต้องใช้ 700 กว่าแผ่น ในการเก็บข้อมูลระดับเท่ากับ HDD 2.ถ้า 1 ใน 700 แผ่นเสีย แปลว่า เสียทั้งหมด 100% แปลว่า โอกาสข้อมูลเสียหาย สูงกว่า HDD เป็นร้อยๆเท่า 3.ถ้าเก็บไฟล์ 500GB ต้องนั่งเปลี่ยนแผ่น 700 กว่าครั้ง ตอนเอาข้อมูลกลับมาใช้ก็เหมือนกัน 4.ราคาแพงกว่า ทั้งการสร้าง การเก็บ การเรียกใช้ เรียกว่าแพ้ทุกทางเลย 5.ถ้ากลัวข้อมูลเสีย ก็สำเนาไว้อีก  2 ชุด และแยกกันเก็บ HDD ทำสองรอบ แต่ cd ต้องทำ เกือบ 1500 ครั้ง 6.ถ้าเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว พบว่า ข้อมูลทีึ่จัดเก็บไป มีความผิดพลาดนิดหน่อย ต้องแก้นิดนึง แล้วจัดเก็บใหม่อีกรอบ CD ต้องเริ่มใหม่หมด และทิ้งของเก่าทั้งหมด HDD ก็เอาตัวเดิมมาใช้เขียนข้อมูลลงไปใหม่จบ ไม่นับ CD RW เพราะว่าอายุมันสั้นกว่า CD ส่วนการเอาไปเทียบกับ data center นั้น เทียบไม่ได้จริงๆเพราะว่า CD ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้นครับ หากเอา CD ไปเขียน data แล้วเราตอบกระทู้นี้ CD มันจะทำงานอย่างไรครับ เพราะว่าข้อมูลเปลี่ยนแปลงไหลเร็วตลอด และการ BACKUP เค้าก็ใช้ HDD ทั้งหมดเพราะว่าปัจจุบัน ความจุเมื่อเทียบกับเม็ดเงินและการดูแลแล้ว ถูกกว่า CD มากๆครับ เรียกว่าเอามาเทียบกันไม่ได้จริงๆ ถ้าจะพูดตรงๆก็คือ CD ตอนนี้ ตกที่นั่งเดียวกับแผ่นเสียง เมื่อยุดที่ CD เริ่มแพร่หลายแล้วนั่นแหล่ะครับ ดังนั้น ถามว่าตอนนี้มันหายไปจากโลกเลยมั้ย ก็ไม่ครับ แผ่นเสียงเรายังหากันได้ ยังมีการซื้อขายกันอยู่ เพียงแต่ว่ามันเริ่มเฉพาะกลุ่มเข้าไปทุกทีๆ ตอนนี้ยังไงก็ยังไม่มีอะไรเทียบ HDD ได้ครับ แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมมองว่า มีโอกาสชนะ HDD มาก ก็คือ SSD นั่นเอง ก็ดูกันต่อไป สงครามยังอีกยาวไกลครับ จากคุณ : ออกกำลัง เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 11:35:29

ความคิดเห็นที่ 74 ในปัจจุบัน ด้านความคงทนอยู่ได้นาน - Flash Memory, Magnetic tape, HDD ชนะ CD หมดครับ ด้านความจุต่อ 1 พื้นที่ - ทุกอันก็ชนะ CD หมดเช่นกันครับ ด้านความทนทานต่ออุบัติภัย - Flash Memory, Magnetic tape  ชนะ CD ครับ ด้านความเร็ว - ทุกอันชนะ CD หมดครับ สิ่งที่เป็นจุดเด่นของ CD/DVD ก็คือความสะดวกในการพกพาครับ เมื่อเทียบกับ HDD หรือ Magnetic tape  อันเท่าบ้าน และอีกจุดเด่น (ในสมัยก่อน) คือพื้นที่จุข้อมูลมหาศาล เมื่อเทียบกับ Storage แบบพกพาอย่างอื่น (เช่นแผ่น FDD 3.5 หรือ Zip100) แต่จุดเด่นนี้โดน Flash memory ตีตกไปเรียบร้อยแล้วด้วย Thumb drive อันเล็กท่านิ้วก้อยราคา 200 บาทแต่จุข้อมูลได้เท่า DVD 2 แผ่น "CD รุ่นใหม่ เก็บข้อมูลได้ 50-100 ปี ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา  และจุข้อมูลได้ 2,000 mb ในราคาแผ่นละ 10 บาท  และ CD เคลือบแผ่นพิเศษทำให้แผ่นไม่มีรอยขีดข่วน" มันขัดกันเองเรื่องราคากับคุณสมบัติของมันเลยน่ะครับ จะให้เป็นตามนี้ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากครับ จากคุณ : TohKung121 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 13:52:19

ความคิดเห็นที่ 75 แต่รูปปริญญา ไฟล์หลักเราเก็บใน CD เกรดดีๆ นะ ทุกอย่างยุคนี้ชนะ CD แต่แพ้ไวรัส(ยกเว้นเทป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ out ไปแล้ว) โอกาส HDD ลูกนึงเจ๊ง เราว่าง่ายกว่า CD (ในที่นี้ไม่พูดถึง CD princo หรือพวกเกรดทำลายตนเองได้ในปี 2 ปี) เพลงสะสมก็ CD แต่เพลงฟังแล้วลืม HDD เครื่องเล่น MP3 อะไรที่มีคุณค่าเราเก็บในรูปแบบ CD อะไรต้องการความสะดวก ไฟล์งานเก็บใน flashdrive โดยส่วนตัวไม่เคยมีข้อมูลถึงขั้นต้องเก็บใน HDD ไปๆมาๆ ไม่เคยมานั่ง RIP หนังหรือโหลดหนัง จากคุณ : .. เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 16:04:46 A:118.173.45.117 X: TicketID:351705

ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อไม่นานมานี้เกิดเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยเชื่อมั่นในระบบ CD เท่าไหร่ แผ่น DVD แท้ ตั้งแต่ซื้อมาปี2008 เก็บใส่ตู้ไว้อย่างดี แทบไม่เคยเอามาดู เอามาดูปีนี้แผ่นมันเสียซะงั้น ก่อนหน้านี้เคยเชื่อว่าแผ่นปั๊มจะทนกว่าแผ่นไรท์ เพราะเกมแท้ที่ต้องใช้แผ่นCD ลงหลายๆแผ่น ซื้อมาก่อนปี2005 ปัจจุบันเอามาลงใหม่มันก็ยังใช้ได้ปรกติ แปลว่าระบบแผ่นปั๊มของบริษัทหนังมันห่วยกว่าเกม!? ตอนนี้ผมอาศัยทำ Copy ลง HDD ไว้หลายๆตัวและหลาย Copy แทน ป้องกันความเสี่ยง จากคุณ : แมงแกลบ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 17:11:50

ความคิดเห็นที่ 77 ^ ^ ^ DVD มันไม่ทนเท่า CD เพราะ DVD มันมีหลายชั้น แต่ละชั้นติดกันด้วยกาว พอเก็บนาน กาวเสื่อมทำให้เสียความใสระหว่างชั้นไป ก็เลยอ่านชั้นล่างไม่ได้ ส่วน CD แบบปั๊ม มันไม่มีกาว ไม่มีสารเคมีที่จะเสื่อมสภาพแบบ CD-R เลยทนกว่ามาก ถ้าจะเสีย ก็เกิดจากชั้นป้องกันมันลอกออก ทำให้ชั้นสารสะท้อนแสงลอกออกไปด้วย ชั้นป้องกันก็อยู่ด้านสกรีน ถูมากๆก็ลอกออกได้ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 55 18:02:23 จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 17:54:56

ความคิดเห็นที่ 78 เย้ มีคนมาสนับสนุนความคิดเราแล้ว แฟชไดฟ์ ฮาร์ดดิส ดีจริง แต่แพ้ไวรัส เข้าใจว่าระบบ CD เป็นการยิงลำแสงเลเซอร์เพื่อแกะสลักเรซินขนแผ่นอลูมิเนียม เป็น 01010101 ถ้าเราหาอะไรที่ทนกว่าเรซินละ และทำให้ทน ทำให้ราคาถูก มีคนซื้อแน่ๆ อย่างน้อยก็เราคนหนึ่งละซื้อแน่ๆ เพราะมีข้อมูลบางอย่างไม่อยากเก็บในฮาร์ดิส หรือแอนดี้ หรืออับขึ้นโฮสอินเตอร์เน็ตเลย บางครั้งเป็นของส่วนตัว อยากเก็บไว้ดูคนเดียว 555+ บางที่รูปถ่ายเก่าๆ รูปเพื่อนเก่าๆ ถ้าโดนไวรัสเล่นงาน หายแล้วหายเลย แต่แผ่น CD ใครมันจะมาขโมย นอกจากทำหายเอง จากคุณ : 2 (ruddy01) เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 19:26:46

ความคิดเห็นที่ 79 จากประสบการณ์เป็นช่างซ่อมคอมมา เกือบ 10 ปี  พบว่าฮาร์ดดิสลูกค้าเสียบ่อยเหมือนกัน  เกิดแบดเซ็กเตอร์บ้างละ  แผ่นวงจรไหม้ก็มี  ไวรัสลบข้อมูลนี้เจอบ่อย บางที่ใช้ไปนานๆ ฮาร์ดดิสมีเสียงดัง "ต๊อกแต๊กๆ" แล้วบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดิสรับประกัน 3-5 ปีแค่นั้นเอง  พอ 5 ปีขึ้นไปก็ตัวใครตัวมัน ถ้า CD สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้ 50 ปีจริง ก็น่าจะขายได้อยู่  อย่างน้อยไวรัสคงไม่กินข้อมูลบนแผ่น CD จากคุณ : chuk007 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 19:41:50

ความคิดเห็นที่ 80 อยากจะบอกว่า ฮาร์ดดิสเสียๆที่ร้านกองเป็นภูเขาเลย แล้วบริษัทผู้ผลิต  รับประกันฮาร์ดิสแค่ 3-5 ปี เดียวนี้บางรายเอาใหญ่ รับประกันปีเดียวก็มี ลูกค้าบางคนเอาฮาร์ดิสมาให้กู้ข้อมูล เพราะดันไปลองวิชาลงวินโดทับข้อมูลเดิม  ต่อให้เทพแค่ไหนก็กู้ข้อมูลได้ไม่ครบหรอก   บางครั้งเกิดไฟตก ไฟกระชาก ฮาร์ดิสเกิดแบดเซ็กเตอร์ ถ้าข้อมูลไปเก็บอยู่ต้องเซ็กเตอร์นั้น ก็จบแห่ จากคุณ : chuk007 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 19:52:04

ความคิดเห็นที่ 81 #78 ครับ แพ้ได้ไง ในเมื่อแฟลชไดร์ฟถ้าเป็นในรูปของ SD CARD ก็มีสวิทซ์ให้เขียนทับไม่ได้เช่นกัน แถมจุมากกว่าเบากว่าด้วย ผมว่าเก็บที่ไหนก็อยู่ไม่ได้ตลอดไปหรอกครับ ถ้าเก็บที่เดียว เจอไฟไหม้ขึ้นมา แผ่น CD ก็วอดวายหมด ถ้าข้อมูลสำคัญจริงๆ แต่ไม่ได้สำคัญในทางความลับ แต่สำคัญในทางต้องรักษาไว้ การกระจายเก็บเป็นวิธีที่ดีที่สุด - อยู่ใน HDD ทำ ต่อ RAID โหมดที่สำรองข้อมูลดีๆ - ไฟล์ไหนที่ใช้ทำงานอยู่ ใช้โฟลเดอร์ที่เก็บต่อพวกอยู่กับระบบ clound เพื่อ upload ไปสำรองข้อมูลอยู่ตลอดเวลา - ไฟล์ไหนที่ไม่ค่อยได้ช้ทำงานแล้ว เช่น รูปเก่าๆ ก็ copy ลง HDD อีกลูก เอาไปเก็บไว้อีกบ้านนึง แค่นี้น่าจะปลอดภัยมากพอ แต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรอยู่คงกระพันได้ตลอด วันไหนที่พระอาทิตย์หมดอายุไข วันนั้น ก็คงไม่มีอะไรเหลือ . . . . . . . นอกจาก รูปที่คุณถ่ายวันนี้ จะถูกสำรองไว้ในระบบช่วงนั้นที่เขาอพยพย้ายไปดาวดวงอื่นกันได้ทัน (ถ้าชาติพันธุ์ของมนุษย์อยู่ถึงตอนนั้นนะ) ปล.ขอบคุณจขกท.สำหรับความรู้ แต่ผมดันตอบออกไปนอกเรื่องครับ 555+ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 55 22:05:58 จากคุณ : Redrum เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 22:05:24

ความคิดเห็นที่ 82 ปัจจุบันนี้ก็มี NAS ไงครับ ราคาถูกลงมากๆ จากคุณ : bacus เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 04:25:31

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆ จากคุณ : เงาะสีชมพู เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 08:22:04

ความคิดเห็นที่ 84 สามสิบปี นี่เร็วจัง สมัยก่อน ยัง ใช้เครื่อง กรอเทป อยู่เลย จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 11:24:30

ความคิดเห็นที่ 85 กระทู้นี้เจิดมาก จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 17:21:49

ความคิดเห็นที่ 86 เห็นกระทู้นี้แล้วนึกขึ้นได้ว่า ในตู้การ์ตูนผมมี แผ่นเรเซอร์ดิส อยู่ 1 แผ่น เครื่องเล่นหายไปแย้ว ผ่านไปแปปเดียวกลายเป็นของเก่าไปเสียแล้ว จำได้ตอนนั้นตื่นเต้นกับมันมากๆ มีร้านให้เช่าแผ่นด้วย อยู่แถวๆหน้ามหาลัยบูรพา เทียบกับ ipad แล้ว แผ่นมันใหญ่มาก เลยแหะ จากคุณ : Nioka เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 22:12:28

ความคิดเห็นที่ 87 มันไม่ตายหรอกครับ เพราะมันยังมีสายงานที่ต้องการอยู่อย่างเช่นวงการถ่ายภาพ วงการโฆษณา ถ้าส่งภาพให้ลูกค้าจะใส่ HDD แล้วส่งให้ไม่ได้หรอกครับ ต้นทุนมันสูง ไม่ทน พกพาลำบาก มันก็ต้องไรท์ลงแผ่น DVD5/9 CD นี่แหละ(แล้วแต่สเกลงาน)   ให้แฟลชไดร์ขายจิ๊กละบาทค่อยว่ากันครับ จากคุณ : zaskar27 เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 55 15:03:25

ความคิดเห็นที่ 88 ผมก็ชอบ cd เขียนอ่านเร็ว เก็บงานที่ไม่ใหญ่มาก งานสำคัญสำรองไว้ซัก2-3แผ่น ต้นทุน10กว่าบาท   Dvd บางทีเหลือที่เยอะไป เสียดาย จากคุณ : lostman เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 55 16:48:30

ความคิดเห็นที่ 89 ตอนนี้ผมอยากได้ ssd สัก 1 tb  ที่ราคาเท่าๆกะฮาร์ดิส 1 tb ในปัจจุบัน จากคุณ : Honza_Like a ku เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 55 21:02:29

ความคิดเห็นที่ 90 ไม่น่าเชื่อ  แผ่นซีดี  มีอายุ 30 ปีแล้วรึนี่        เท่าที่จำใด้   ผมสัมผัสแผ่น เลเซอร์  ก่อน แผ่นซีดีอีก      (  ผมทำงานร้าน วีดีโอ และร้านผมมี เลเซอร์ดิสให้เช่าด้วย )   ช่วงปียุคปี 2539 เป็นยุคผสมผสานระหว่าง  ม้วนวีดีโอ กับ เลเซอร์ดิส   เห็นมีโฆษณาหนังเลเซอร์ดิสเกลื่อนเลย   (ตอนนั้นยังไม่เห็นแผ่นซีดีซักกะ่แผ่น)  ( แต่ม้วนวีดีโอก้อยังขายสู้เลเซอร์ใด้อยู่  เพราะ  ราคาที่ต่างกันมาก)  เนี่องจากความคมชัดของภาพเละเสียง   แจ๋วกว่าแบบวีดีโอมากก     แล้วช่วงนั้นนี่   สื่อพวกภาพยนต์ทั้งหลายเน้นเสียงแบบ  HI-FI  ด้วย   แผ่นเลเซอร์ดิส เลยกินขาด ม้วนวีดีโอ  อยู่หลายช่วงตัว   แต่เนื่องจากราคาที่แพง มากก  แผ่นละ  2000-4000  ใด้  ใครไม่เงินหนาจริงๆไม่ใด้เอื้อมง่ายๆหรอกครับ  ยกเว้นไปเช่าเอาแผ่นละ 50-100 บาท    แต่ราคาเครื่องเลเซอร์ดิส  ก้อหูฉี่อยู่  เครื่องละ  1 หมื่นอัฟ    ทำให้แผ่นเลเซอร์ดิส  ความนิยมอยุ่กับคนบางกลุ่มที่เงินถึงเท่านั้น     ทำให้ม้วนวีดีโอ  ยังไม่สูญพันธ์หายไปใหน พอแผ่น  ซีดี  หรือ วีซีดี  เข้ามาช่วง 2541   นั่นแหละ    ผมถึงใด้รู้จักแผ่นวีซีดี   และแล้วเพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น  2543 วีซีดีก้อกวาดเรียบบ  ทั้งสื่อภาพยนต์  และ เพลง   และเป็นอวสานของแผ่นเลเซอร์ดิสที่ราคาแพงหูฉี่    และ  การใกล้สูญพันธ์ของม้วนวีดีโอ    ถูกแผ่น วีซีดี  เข้ามาแทนที่จนไม่ใมีใครแทบจะถามหากันอีกแล้ว และตอนนี้ ประเทศไทยเราก้อมีสื่อที่เจ๋งกว่า แผ่นซีดีแล้วนั้นคือ  DVD  และ แผ่นบูลเรย์   ในอนาคต  ถ้า แผ่นบูลเรย์  ราคาถูกกว่านี้   เราอาจจะไม่มีใครถามหาแผ่น ซีดีอีกก้อเป็นใด้ (แก้ไขคำนิหน่อย) แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 55 06:38:50 จากคุณ : RANGER-SUPER64 เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 06:36:41

ความคิดเห็นที่ 91 เรื่องจริงหรือแค่ขำๆ ปากกาอวกาศ จากคุณ : sepianhomo เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 12:51:52

ความคิดเห็นที่ 92 คลื่นลูกใหม่ ไล่หลังคลื่นลูกเก่า... จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 13:07:40