ความคิดเห็นที่ 1 ปรากฏการณ์ไคเมร่า ไคเมร่า (Chimera) ในตำนานของกรีกเป็นชื่อของสัตว์ร้ายที่มี 3 ชนิดรวมอยู่ในตัวเดียว คือ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นสิงโต ลำตัวเป็นแพะ แต่บั้นท้ายกลับเป็นมังกรหรืองู ซึ่งลักษณะการรวมกันของสัตว์ชนิดนี้เอง ก็นำมาใช้ในการอธิบายกรณีที่คนมีเซลล์ของคนอื่นรวมอยู่ในตัวด้วย ไคเมร่าในมนุษย์ คือ ปรากฏการณ์ที่คนๆเดียวมี DNA จากคนอื่นหรือหลายคนอยู่ในร่างเดียว เช่น ลูกมี DNA ของแม่ แม่มี DNA ของลูก เป็นต้น โดยในที่นี้จะพูดถึง fetal microchimerism คือแม่ลูกมีการแลกเปลี่ยน DNA กันไปมาระหว่างตั้งครรภ์ ถ้าคุณตั้งท้อง เซลล์จากลูกอาจจะเดินทางไปเจริญเติบโตต่อในตัวคุณได้ ซึ่งเซลล์นี้อาจจะเดินทางไปได้หลายแห่ง หรือแม้แต่เป็น stem cell (คือยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเป็นเซลล์อะไร แต่อาจเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้) (รูป: ไคเมร่า) จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:18:55

ความคิดเห็นที่ 2 สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ไคเมร่า วิธีเกิดแบบหนึ่งคือมาจากการตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์เซลล์ของลูกจะเดินทางเข้ามาในตัวแม่ หลังจากนั้นเซลล์นั้นก็จะเดินทางไปเจริญเติบโตต่อที่ใดที่หนึ่งในร่างกายของแม่ อาจเป็นทั้งองค์ประกอบของกระดูก เลือด หรือแม้แต่สมอง ซึ่งปรากฏการณ์นี้อาจเกิดขึ้นในหลายระดับ เช่น แม่เคยตั้งครรภ์ลูกคนแรก ก็มีการแลกเปลี่ยนเซลล์ระหว่างกัน พอคลอดลูกแล้วเซลล์นั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในตัวแม่ ต่อมาพอตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ลูกคนที่สองก็มีโอกาสที่จะได้รับเซลล์จากลูกคนแรก(คนพี่)มาด้วย (รูป: การแลกเปลี่ยนเซลล์ระหว่างตั้งครรภ์ ) จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:19:35

ความคิดเห็นที่ 3 กรณีตัวอย่าง เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริง กรณีแรกมีหญิงคนนึงเป็นโรคไต แล้วต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนไตจากลูกตนเอง ซึ่งทางการแพทย์ถือว่ามีโอกาสน่าจะเข้ากันได้ดีกับผู้ป่วย แล้วต้องมาทดสอบจากลูกของตนเอง ปรากฏว่าไม่ได้ทั้งสองคน ซึ่งสาเหตุก็มาจากปรากฏการณ์ไคเมร่านี้เอง อีกกรณีหนึ่ง คู่แม่ลูกไปตรวจ DNA ผลปรากฏว่า ลูกของตนเองนั้นไม่มี DNA ของผู้เป็นแม่อยู่เลย (ไม่มีการสลับตัวหรือนอกใจ) เหตุการณ์นี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ไคเมร่า ซึ่งสาเหตุของทั้ง 2 กรณีก็มาจากปรากฏการณ์ไคเมร่านั่นเอง โดยในตอนที่แม่อยู่ในครรภ์นั้น(ในท้องของยาย) นั้นเป็นสภาวะแฝดคนละไข่ ในระหว่างการเจริบเติบโต ไข่ใบนึงไปกลืนกินไข่อีกใบ(ยังไม่ทันได้เป็นตัวอ่อน) พอคลอดออกมา คนคนนั้นก็จะมีอวัยวะหรือเซลล์บางอย่างที่มี DNA ของแฝดที่ถูกกลืนไปตอนอยู่ในครรภ์ (ในท้องของยาย) โดยไข่แฝดนั้นก็จะมีชีวิตอยู่โดยเป็นอวัยวะหรือเซลล์ใดเซลล์หนึ่งในร่างกาย และเมื่อผู้เป็นแม่ไปตั้งครรภ์กับพ่อ ลูกที่เกิดมานั้นก็คือลูกของแฝดของแม่ที่ไม่ได้เกิดมานั่นเอง แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 23:06:57 แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 23:06:36 จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:20:19

ความคิดเห็นที่ 4 กรณีในสัตว์ ในสัตว์ชนิดนึงคือ มาโมเซ็ต (ลิงตัวเล็กๆชนิดหนึ่ง) ลูกทุกตัวที่เกิดมาจะเป็นไคเมร่าหมด โดยมาโมเซ็ตมักจะตั้งท้องเป็นแฝด รกที่อยู่ในท้องก็จะเชื่อมรวมกัน เซลล์ก็จะแลกเปลี่ยนกันหมด สมมติว่า มาโมเซ็ตตัวนึงคลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวนั้นก็จะมีเซลล์ของกันและกันอยู่ในตัว เมื่อตัวผู้ 2 ตัวเติบโตและไปผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวอื่น ลูกที่เกิดมาอาจจะไม่ใช่ลูกของตัวน้องแต่เป็นลูกของตัวผู้ตัวพี่ก็ได้ (เช่นเดียวกัน ลูกตัวพี่ก็อาจไปผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวอื่นและให้กำเนิดลูกของตัวน้องแทนที่จะเป็นของตัวพี่) แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะเมื่ออยู่ในกรอบของเผ่าพันธุ์แล้วก็ถือว่าสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ (รูป: ลิงมาโมเซ็ต) จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:20:48

ความคิดเห็นที่ 5 แล้วมันจะเกิดผลอะไรได้บ้าง? อย่างแรกคือ ไม่เกิดผลอะไรเลย (เป็นกลาง) เกิดผลในทางลบ คือเซลล์ของลูกจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของแม่ เกิดการตรวจจับว่ามีเซลล์แปลกปลอมเข้ามา ทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune) เกิดผลในทางบวก เพราะเมื่อได้ stem cell จากลูกมา stem cell เหล่านั้นก็จะเดินทางไปซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายได้ด้วย ซึ่งในผลจากทางบวกนี้พบว่า ผู้หญิงที่เป็นไคเมร่า(ตั้งครรภ์แล้วได้รับเซลล์มาจากลูก) มักจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมต่ำกว่า หรือโอกาสเป็นไขข้ออักเสบต่ำกว่า แต่ในบางรายงานก็มีการตรวจพบว่าโอกาสเป็นมะเร็งในลำไส้อาจจะสูงขึ้น อย่างในกรณีล่าสุดมีการพบว่ามีเซลล์ลูกแทรกอยู่ในสมองของแม่ มีการทดลองกับหญิงที่ตั้งครรภ์ 60 คน ผลปรากฏว่าหญิงที่ได้รับการทดลอง 60% จากทั้งหมด เป็นไคเมร่า โดยบางคนแม้จะวัย 90 กว่าปีแล้ว ก็ยังมีเซลล์ของลูกตัวเองอยู่ในตัว และมีการพบว่าปรากฏการณ์ไคเมร่านี้มีความ "เชื่อมโยง" กับโรคอัลไซเมอร์ คือ พบว่าผู้หญิงที่เป็นไคเมร่าก็จะมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยลงไปด้วย (หมายเหตุ ความเชื่อมโยงที่ว่าคือทั้งสองอย่างมีความเชื่อมโยงกันจริง แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสาเหตุของกันและกัน) ในปัจจุบันปรากฏการณ์ไคเมร่านี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า จะได้ผลบวก ผลลบ หรือเป็นกลาง โดยจำเป็นจะต้องดูเป็นกรณีๆไป (รูป: เซลล์ลูกที่พบในสมองของแม่ โดยสีน้ำเงินคือเซลลูกที่แทรกอยู่ในสมอง) จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:21:33

ความคิดเห็นที่ 6 ข้ออธิบายเชิงวิวัฒนาการ ทฤษฎีสงครามสามเส้า(พ่อ-แม่-ลูก) ทฤษฎีนี้ใช้ในการอธิบายต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ไคเมร่า โดยเริ่มต้นคือ เวลาแม่ตั้งครรภ์ แม่จะได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนเซลล์ คือสามารถเพิ่มความหลากหลายของภูมิคุ้มกัน เพราะเพศหญิงจะได้รับประโยชน์เวลาตั้งครรภ์ เช่น มีภูมิคุ้มกัน x แบบ แต่เมื่อตั้งครรภ์ก็ได้รับภูมิคุ้มกันจากเพศชายด้วย x แบบ ทำให้ภูมิคุ้มกันในเพศหญิงมากขึ้น (x+x แบบ) เหตุการณ์นี้ก็มีในสัตว์เช่นเดียวกันกัน คือตัวเมียจะตั้งครรภ์กับตัวผู้ เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนเซลล์กับตัวอ่อนถึงระดับนึง ก็ทำการแท้งตัวอ่อนนั้นทิ้งไป ซึ่งสถานการณ์นี้เรียกว่า การตั้งครรภ์แบบเห็นแก่ตัว (selfish pregnancy) ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า selfish gene (ยีนส์เห็นแก่ตัว=การแข่งขันในระดับยีนส์) โดยเมื่อเกิด selfish pregnancy แล้ว จะทำให้เพศเมียมีโอกาสไปสืบพันธุ์กับเพศผู้ตัวอื่นๆเพียงเพื่อเอาภูมิคุ้มกันแต่เพียงอย่างเดียว (คือผสมพันธุ์กับเพศผู้เพื่อเอาภูมิคุ้มกัน แล้วแท้งทิ้ง) เมื่อเป็นเช่นนี้ ยีนส์ในฝั่งตัวผู้จึงเริ่มวิวัฒนาการโต้กลับ โดยเซลล์ของตัวผู้ที่ส่งผ่านทางสเปิร์มไปสู่ตัวเมีย จะทำหน้าที่ป้องกันการตั้งครรภ์ครั้งถัดไปหากเซลล์ที่เข้ามาในตัวเพศเมียไม่ใช่เซลล์เดิม หรือตัวผู้ตัวอื่น และทำให้แท้งไป และเป็นที่มาของโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งคาดว่าอาจจะมีผลมาจากวิวัฒนาการโต้กลับของยีนส์ตัวผู้ คือการตั้งครรภ์กับตัวผู้ไม่ใช่ว่าจะได้ประโยชน์อย่างเดียว แต่อาจได้โทษมาด้วย การตั้งครรภ์แบบ selfish pregnancy จึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะในการรับยีนส์แต่ละครั้งก็มีผลเสียตามมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างจึงกลับมาสมดุลกัน ตัวเมียก็ตั้งครรภ์หลายครั้งกับตัวผู้หลายตัวไม่ได้ ตัวผู้ก็จะคัดเลือกตัวเมียที่ไม่ตั้งครรภ์แบบเห็นแก่ตัว (หมายเหตุ ทฤษฎีนี้เป็นเพียงทฤษฎีที่ใช้อธิบาย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน) แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 11:33:07 จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:22:39

ความคิดเห็นที่ 7 ทิ้งท้าย "ถ้าคุณเคยเป็นแม่และเคยมีลูก แม้ว่าลูกคนนั้นยังอยู่รอดหรือไม่ก็ตาม ส่วนหนึ่งของลูกคนนั้นก็ยังหลงเหลืออยู่ในตัวคุณ" และขอฝากประชาสัมพันธ์รายการ witcast อีกนิดครับ รายการ witcast รายการคุยเรื่องวิทย์(ติดตลก) ตอนนี้ออกมาถึงตอนที่ 10 แล้ว ดำเนินรายการโดย คุณแทนไท คุณป๋องแป๋ง(แฟนพันธุ์แท้นักวืทยาศาสตร์โลก) และคุณอาบัน ใครสนใจสามารถติดตามผ่าน podcast หรือโหลดมาฟังได้ที่ http://witcast.wordpress.com/ จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:23:35

ความคิดเห็นที่ 8 โหวดให้ครับ นานๆๆจะเจอของดีแบบนี้ จากคุณ : kulakteam เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:43:37

ความคิดเห็นที่ 9 สาเหตุของทั้ง 2 กรณีก็มาจากปรากฏการณ์ไคเมร่านั่นเอง โดยในตอนที่แม่อยู่ในครรภ์นั้น(ในท้องของยาย) นั้นเป็นสภาวะแฝดคนละไข่ ในระหว่างการเจริบเติบโต ไข่ใบนึงไปกลืนกินไข่อีกใบ(ยังไม่ทันได้เป็นตัวอ่อน) พอคลอดออกมา คนคนนั้นก็จะมีอวัยวะหรือเซลล์บางอย่างที่มี DNA ของแฝดที่ถูกกลืนไปตอนอยู่ในครรภ์ (ในท้องของยาย) โดยไข่แฝดนั้นก็จะมีชีวิตอยู่โดยเป็นอวัยวะหรือเซลล์ใดเซลล์หนึ่งในร่างกาย และเมื่อผู้เป็นแม่ไปตั้งครรภ์กับพ่อ ลูกที่เกิดมานั้นก็คือลูกของแฝดของแม่ที่ไม่ได้เกิดมานั่นเอง ลองแก้ดูครับอ่านแล้วจะได้ไม่งง ------------------------------------------------------------------------------------ คือผมไม่ใช่สายชีวะนะครับ ถ้าผมเข้าใจผิดชี้แนะด้วย อ่านแล้วยังสงสัย ลูกที่เกิดมานั้นก็คือลูกของแฝดของแม่ที่ไม่ได้เกิดมานั่นเอง การตั้งครรภ์คือการที่ไข่ของแม่ผสมกับอสุจิ จริงๆ แล้วต้องเรียกว่าลูกของแม่กับพ่อ แต่ระหว่างอยู่ในครรภ์เกิดการแลกเปลี่ยนเซลล์ของแฝดแม่ที่ไม่ได้เกิดมาด้วย จึงทำให้เด็กมี 2 DNA อย่างนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ มาอ่านอีกทีมีแต่ DNA ของแฝดที่แฝงอยู่ เกิดขึ้นได้ยังไงอย่างนี้งงเต็ก ?? ----------------------------------------------------------------------------------- สำหรับข้ออธิบายเชิงวิวัฒนาการ เหตุการณ์นี้ก็มีในสัตว์เช่นเดียวกันกัน คือตัวเมียจะตั้งครรภ์กับตัวผู้ เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนเซลล์กับตัวอ่อนถึงระดับนึง ก็ทำการแท้งตัวอ่อนนั้นทิ้งไป ซึ่งสถานการณ์นี้เรียกว่า การตั้งครรภ์แบบเห็นแก่ตัว (selfish pregnancy) ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า selfish gene (ยีนส์เห็นแก่ตัว=การแข่งขันในระดับยีนส์) โดยเมื่อเกิด selfish pregnancy แล้ว จะทำให้เพศเมียมีโอกาสไปสืบพันธุ์กับเพศผู้ตัวอื่นๆเพียงเพื่อเอาภูมิคุ้มกันแต่เพียงอย่างเดียว (คือผสมพันธุ์กับเพศผู้เพื่อเอาภูมิคุ้มกัน แล้วแท้งทิ้ง) เมื่อเป็นเช่นนี้ ยีนส์ในฝั่งตัวผู้จึงเริ่มวิวัฒนาการโต้กลับ โดยเซลล์ของตัวผู้ที่ส่งผ่านทางสเปิร์มไปสู่ตัวเมีย จะทำหน้าที่ป้องกันการตั้งครรภ์ครั้งถัดไปหากเซลล์ที่เข้ามาในตัวเพศเมียไม่ใช่เซลล์เดิม หรือตัวผู้ตัวอื่น และทำให้แท้งไป ------------------------------------------------------------------------------------ อันนี้ผมคิดถึงพวกหมาแมวที่สามารถตั้งครรภ์กับพ่อหลาย ๆ ตัวได้ ต้องไม่มีวิวัฒนาการตรงนี้แน่เลย หรือมีสายวิวัฒนาการต่างออกไป  เออ แล้วตอนก่อนวิวัฒนาการท้องแล้วแท้งนี่แท้งยังไง น่าคิด ------------------------------------------------------------------------------------ ขอบคุณนะครับ อ่านสนุกดี แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 21:17:52 จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:55:34

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณที่ช่วยแก้ครับ #9 ขอตอบคำถามตามที่เข้าใจมานะครับ 1. การตั้งครรภ์คือการที่ไข่ของแม่ผสมกับอสุจิ จริงๆ แล้วต้องเรียกว่าลูกของแม่กับพ่อ แต่ระหว่างอยู่ในครรภ์เกิดการแลกเปลี่ยนเซลล์ของแฝดแม่ที่ไม่ได้เกิดมาด้วย จึงทำให้เด็กมี 2 DNA อย่างนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ตอบ เกือบใช่ครับ การได้รับเซลล์ของแฝดของแม่มานั้น เกิดขึ้นตอนปฏิสนธิ ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนระหว่างตอนเป็นตัวอ่อน ประเด็นอยู่ที่เซลล์อสุจิของพ่อนัั้น อาจจะไม่ได้มาผสมกับเซลล์ไข่ของแม่โดยตรง(เพราะแม่เป็นไคเมร่า) แต่ไปผสมกับเซลล์ไข่ของแฝดของแม่แทน (คือ เซลล์ที่เป็นแฝดของแม่ดันไปเติบโตเป็นรังไข่หรือไข่นั่นเอง) 2. อันนี้ผมคิดถึงพวกหมาแมวที่สามารถตั้งครรภ์กับพ่อหลาย ๆ ตัวได้ ต้องไม่มีวิวัฒนาการตรงนี้แน่เลย หรือมีสายวิวัฒนาการต่างออกไป เออ แล้วตอนก่อนวิวัฒนาการท้องแล้วแท้งนี่แท้งยังไง น่าคิด ตอบ ในส่วนที่กล่าวนั้นรวมถึงในสัตว์ด้วย (แต่ผมไม่แน่ใจว่าครอบคลุมขนาดไหน) ในเชิงฮอร์โมน การคลอดนั้นร่างกายจะใช้ฮอร์โมน Prostaglandin (http://en.wikipedia.org/wiki/Prostaglandin) ในการเร่งให้ช่องคลอดบีบตัว ซึ่งเป็นการทำงานในระดับเซลล์ครับ จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:22:55

ความคิดเห็นที่ 11 การ ติดตา ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด ในพืชยืนต้น เช่น ยางพารา ทุเรียน มะนาว มังคุด ลองกอง มะม่วง เป็นไคเมร่า ด้วยไหมครับ จากคุณ : โควี เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:51:24

ความคิดเห็นที่ 12 เคยมีรายงานหรือไม่ว่าอุบัติการณ์ autoimmune disease บางประเภทที่เกิดในหญิงที่เคยมีบุตรแล้วมากขึ้นหรือ สัมพันธ์ปรากฏการณ์นี้ ถ้าบุตรหรือมารดามี DNA ที่มีโรคบางอย่าง มีรายงานหรือไม่ว่า จะทำให้เป็นโรคบางประการที่อาจจะ พบในเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นส่วนมาก พบในอีกอายุหนึ่ง โดยปรากฏการณ์ดังกล่าว ขอความเห็นนะครับ ผมไม่มีความรู้ จากคุณ : sternberg เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:59:09

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นหนังสยองขวัญตรงประโยค "ลูกที่เกิดมานั้นก็คือลูกของแฝดของแม่ที่ไม่ได้เกิดมานั่นเอง" จากคุณ : ด๋อยด๋อย เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:10:01

ความคิดเห็นที่ 14 หว้ากอ นานๆจะมีของดีๆแบบนี้ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:20:35

ความคิดเห็นที่ 15 เจ๋งโครตๆเลยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:02:52

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบ #12 นะครับ รายงาน fetal microchimerism ที่เชื่อมโยงกับ autoimmune disease http://www.nature.com/nrendo/journal/v7/n2/abs/nrendo.2010.216.html http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17437192 อีกคำถามผมอ่านแล้วไม่เข้าใจอะครับ ขอโทษจริงๆ แต่อย่างที่บอกครับว่า ปัจจุบันปรากฏการณ์ไคเมร่านี้ยังหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้ บางอย่างก็มีเป็นแค่ความเชื่อมโยงกันเฉยๆ ไม่ได้เป็นสาเหตุขงกันและกัน เช่น รายงานที่บอกว่าแม่ที่เป็นไคเมร่ามีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์น้อยลง ในที่นี้หมายความว่า ไคเมร่าและโรคอัลไซเมอร์มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไคเมร่าแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรคอัลไซเมอร์ เพราะความเป็นไปได้มีมากกว่านั้น เช่น การเป็นอัลไซเมอร์อาจจะไปทำลายเซลล์ไคเมร่าในร่างกาย ทำให้อีกกลุ่มนึงตรวจพบมากกว่า หรือ อาจจะเป็นเพราะปัจจัยทางพันธุกรรมอื่นๆก็เป็นได้ จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:03:42

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเซล์แฝดแม่รุกคืบในตัวลูก ควบคุมสมองและจิตใจหล่ะ ทำไมไม่ให้ชั้นเกิด แฮ่ เราอาจค้นพบคำตอบของเด็กที่บอกว่าระลึกชาติได้ก้อได้นะ จากคุณ : เทส เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:49:59 A:27.55.3.1 X: TicketID:378274

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าสนใจ ขอแนะนำบทความสนุกๆ เขียนเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ genetic chimera ในคนและในมาร์โมเส็ทครับ https://witcast.wordpress.com/2012/10/23/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%87%E0%B8%97-%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2/ ทำไงให้มันขึ้นเป็นลิงก์ที่คลิกได้หว่า ใครทำเป็นช่วยหน่อยละกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 00:42:16 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 00:40:46 จากคุณ : nomyui (nomyui) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 00:38:42

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : Exis เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 00:53:13

ความคิดเห็นที่ 20 พอบอกว่า โรคแพ้ภูมิมีความเชื่อมโยงกับไคเมร่า ก็รู้สึกเหมือนตาสว่างขึ้นมาเลยค่ะ สงสัยมานาน ทำไมจู่ ๆ คนเราถึงได้ต่อต้านเซลล์ในตัวได้ เพราะเคยมีการแลกเปลี่ยนเซลล์ภายใน มันถึงได้ต่อต้านกันนี่เอง ขอบคุณค่ะ จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 01:09:20

ความคิดเห็นที่ 21 ลิงค์จากความเห็น 18 จากคุณ : i love my boss เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 05:07:31

ความคิดเห็นที่ 22 เยี่ยมจริงๆ จากคุณ : Jedcon เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 07:27:23

ความคิดเห็นที่ 23 ผมว่า   ความรู้นี้ยังไม่ชัดเจน  ต้องรอการศึกษายืนยันมากว่านี้ จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 09:00:13

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วยอธิบายเรื่องแมวไคเมร่าเทียมด้วยครับ จากคุณ : tonjung เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 09:39:38

ความคิดเห็นที่ 25 "สามเส้า" ไม่ใช่ "สามเศร้า" ครับ จากคุณ : Rey เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 10:01:27

ความคิดเห็นที่ 26 เหมือนอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เลยค่ะ สนุกตื่นเต้น จากคุณ : LittleSister เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 10:42:37

ความคิดเห็นที่ 27 ในกรณีที่มีลูกหลายๆ คน ลูกคนท้ายๆ ก็จะมีโอกาสได้รับ DNA จากพี่น้องคนอื่นมาเยอะที่สุดใช่ไหมครับ แล้วมันจะส่งผลต่อสภาพกายภาพบ้างหรือเปล่าเนี่ย จากคุณ : อากิระ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 14:21:21 A:180.180.105.29 X: TicketID:107410

ความคิดเห็นที่ 28 นึกถึงเกมส์นึงในiphoneเลย wonder zoo เปิดสวนสัตย์ออกไปจับมา แล้วเอาต่างชนิดมาผสมกันได้ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 16:01:11 จากคุณ : เซียนหวย เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 15:59:42

ความคิดเห็นที่ 29 ฟังใน witcast แล้วตามมาอ่านอีกทีครับ ^^ ยืนยันว่าของเขาดีจริง จากคุณ : หมูดำแบล๊คไรเดอร์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 17:42:02

ความคิดเห็นที่ 30 คล้ายๆ ซีรีย์หมอเฮ้าส์ ตอนนึงเลยค่ะ เกี่ยวกับแฝดที่ถูกกลืน อารมณ์ประมาณนี้ แต่ความจำสั้น เอามาเล่าไม่ถูกง่า... จากคุณ : cheerydoll เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 17:45:26

ความคิดเห็นที่ 31 คห 13 ไม่ใช่ลูกคนนึงไม่ได้เกิด   แต่น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า คือ แม่ตกไข่พร้อมกัน 2 ใบ ไข่ถูกผสมทั้งคู่  ซึ้งน่าจะโตเป็น เด็ก 2 คน แต่ ไข่อาจจะมาจ๊ะเอ๋  ชนกันแล้วติดกัน สภาพก็เหมือน เซลตัวอ่อนที่กำลังแบ่งตัว ก็เลยกลายเป็นเด็กคนเดียว  แต่มีเซลที่มี DNA 2 แบบ ผสมกันอยู่ (ทีนี้ ก็แล้วแต่ว่า เซลไหน จะวิวัฒนาการไปเป็นเซลสืบพันธุ์ สืบลูกหลานต่อไป) คือ ได้เกิดมาทั้งสองตัวอ่อน  แต่เกิดเป็นคนเดียว จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 18:00:30

ความคิดเห็นที่ 32 อย่างกับเคยดูในCSI เกี่ยวกับคน2DNA ถ้าจำผิดก็ขออภัย จากคุณ : Vincent Tai303 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 18:19:29

ความคิดเห็นที่ 33 แล้วใน chimera เองก็มี DNA ของแม่กับแฝด แม่ด้วยสิ อย่างนี้จะตรวจDNA ของใครล่ะ จากคุณ : โอปอrnm เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 19:33:52

ความคิดเห็นที่ 34 เคยอ่านกรณีแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว ครอบครัวหนึ่งตรวจดีเอ็นเอแล้วพบว่าลูกคนแรกมีดีเอ็นเอไม่เหมือนของแม่ ก็เลยมีปัญหาวุ่นวายกันยกใหญ่ จะว่าโชคดีก็ได้มั๊งที่แม่มีลูกคนที่สองตามมา พอตรวจดีเอ็นเอลูกคนที่สองก็พบว่ามีดีเอ็นเอไม่เหมือนของแม่อีก ครั้งนี้ก็เลยแน่ใจว่าเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นแน่นอน สืบไปสืบมาก็พบว่าตัวของแม่นั้นมีดีเอ็นเอสองชุด โดยที่ดีเอ็นเออีกชุดดันไปอยู่ในส่วนของเซลล์สืบพันธุ์พอดี ซึ่งสาเหตุก็มาจากการมีแฝดซ้อนอย่างที่ได้กล่าวมาในตอนต้นของกระทู้นี่ล่ะ จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:14:37

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลดีๆ เช่นนี้ ขนาดว่าเราอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:24:27

ความคิดเห็นที่ 36 เคยอ่านว่า  คนไข้เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ก็อาจจะมีปรากฎหารณ์ แบบนี้ได้ . กล่าวคือ เวลาตรวจ DNA จะไปเจอ ของ เจ้าของไขกระดูกได้ .. จากคุณ : ทุ่มเท เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:51:10

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านแล้วนึกถึง doctor K ที่แฝดของ K กลายเป็น ตับ รึเปล่าในตัว K จากคุณ : 3N เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 21:43:00

ความคิดเห็นที่ 38 ทำไมผมอ่านแล้วรู้สึกหลอนๆ ยังไงไม่รู้ โดยเฉพาะ คคห.7 จากคุณ : kanada เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 22:10:40

ความคิดเห็นที่ 39 น่าสนใจมากค่ะ จากคุณ : production เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 02:18:38

ความคิดเห็นที่ 40 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 03:33:34

ความคิดเห็นที่ 41 ตาม Fusion มาดูอีกที จากคุณ : chedhopper เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 07:15:51

ความคิดเห็นที่ 42 น่าสนใจมากครับ... คำถาม...   1 ถ้างั้นก็อธิบายว่าทำไมผู้หญิงถึงอายุยืนกว่าผู้ชายด้วยคาเมร่าได้? 2. DNA สองอันมันทำงานร่วมกันได้อย่างไรครับ  เช่น เซลนึงแบ่งไปเป็นรังไข่ อีกเซลมันรู้ได้ไงว่ารังไข่มีแล้ว ไม่ต้องสร้างอีก ไปทำอย่างอื่นดีกว่า? จากคุณ : vrpanda เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 08:13:02

ความคิดเห็นที่ 43 คห 36 จริงค่ะ สามีเพื่อน เป็นมะเร็งไขกระดูก รักษาที่ รพ พระมงกุฎ หมอเอาเซลของลูกสาว เข้าไปแทนที่ เพื่อให้สร้างเม็ดเลือดแทนไขกระดูกเก่า เวลาผ่านไป เค้าบอกว่า ตอนนี้ไปตรวจ dna เลือดเค้ามีโครโมโซมเป็น XX แล้วอ่ะ *** ยืนยันคำว่า สามเส้า ไม่ใช่ สามเศร้า คำว่า เส้า มาจากก้อนเส้า ที่อยู่ที่เตาไฟในคร้ว ตั้งหินเป็นก้อนสามเส้า แล้วหม้อจะตั้งอยู่บนไฟได้ จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 08:43:40

ความคิดเห็นที่ 44 ... ผมเคยเล่น เกมนี้ เวลาพูดถึง ชิเมร่าเมื่อไหรคิดถึงตลอด จากคุณ : moooilza เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 08:48:36

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าแบบนี้ DNA ก็ไม่ใช่ สิ่งที่จะใช้ยืนยันตัวตนได้ 100% มันมีผลกับ นิติวิทยาศาสตร์ มั้ยครับ แล้วกรณีที่ ปลูกถ่ายอวัยวะ ละครับ จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 10:02:35

ความคิดเห็นที่ 46 ขอตอบนะครับ ถ้าข้อมูลผิดพลาดสามารถท้วงติงหรือแก้ไขได้เลยนะครับ หรือถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมด้วยจะขอบคุณมาก (แก้คำผิด จาก สามเศร้า เป็น สามเส้า แล้วครับ) #27 ในกรณีที่มีลูกหลายๆ คน ลูกคนท้ายๆ ก็จะมีโอกาสได้รับ DNA จากพี่น้องคนอื่นมาเยอะที่สุดใช่ไหมครับ ตอบ แล้วมันจะส่งผลต่อสภาพกายภาพบ้างหรือเปล่าเนี่ย น่าสนใจดีครับ ลูกคนน้อง"มีโอกาส"ได้รับเซลล์จากคนพี่ที่หลงเหลืออยู่ในตัวแม่ได้เหมือนกัน แต่ส่งผลต่อกายภาพหรือไม่นั้นผมไม่ทราบ #30 และ #32 เรื่องไคเมร่านี้เคยนำไปสร้างเป็นซีรีย์ House M.D. Season 3, Episode 2 ตอน Cane and Able CSI Season 4, Episode 23 ตอน Bloodlines #33 แล้วใน chimera เองก็มี DNA ของแม่กับแฝด แม่ด้วยสิ อย่างนี้จะตรวจDNA ของใครล่ะ ตอบ DNA จากเซลล์ที่แลกเปลี่ยนกันถือว่าพบเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ก็มีกรณีที่เกิดปัญหาจริงๆอย่างที่ได้เล่ามา #42 1 ถ้างั้นก็อธิบายว่าทำไมผู้หญิงถึงอายุยืนกว่าผู้ชายด้วยคาเมร่าได้? 2. DNA สองอันมันทำงานร่วมกันได้อย่างไรครับ  เช่น เซลนึงแบ่งไปเป็นรังไข่ อีกเซลมันรู้ได้ไงว่ารังไข่มีแล้ว ไม่ต้องสร้างอีก ไปทำอย่างอื่นดีกว่า? ตอบ 1. ไม่จำเป็นเสมอไปครับ อาจเป็นไปได้ทั้ง 2 กรณี 2. น่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไป เพราะตอนตั้งครรภ์ทั้งตัวอ่อนและแม่ยอมรับให้มีการแลกเปลี่ยนเซลล์กันได้ #45 ถ้าแบบนี้ DNA ก็ไม่ใช่ สิ่งที่จะใช้ยืนยันตัวตนได้ 100% มันมีผลกับ นิติวิทยาศาสตร์ มั้ยครับ แล้วกรณีที่ ปลูกถ่ายอวัยวะ ละครับ ตอบ กรณีไคเมร่าอาจจะเป็นแค่เพียงบางเซลล์ครับ ถ้าไปตรวจพบตรงนั้นถึงจะเป็น DNA อื่น ความวุ่นวายของการยืนยันตัวตนนี่เกิดขึ้นจริงจนเอาไปสร้างเป็นซีรี่ย์ใน CSI ในตอน Bloodlines และ House M.D. ตอน Cane and Able ส่วนกรณีปลูกถ่ายอวัยวะ บางคห.บอกว่าได้รับการเปลี่ยนไขกระดูกแล้วมีโอกาสตรวจพบเช่นกัน แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 11:55:53 จากคุณ : valor เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 11:32:30

ความคิดเห็นที่ 47 ผมเลี้ยงลิง มาโมเซ็ต อยู่ เพิ่งจะรู้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : teeaym เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 02:30:37

ความคิดเห็นที่ 48 โหวต ประทับใจโคตร ปล.แล้วสงสัยเรื่องนิติวิทยาศาตร์เหมือนกันค่ะพวกฆาตรกรทั้งหลายที่หลุดลอยนี่จะโชคดีเพราะเป็นเคไมร่าบ้างไหม แล้วเค้าเคยเชคไหมว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของประชากรโลก จากคุณ : รักทะเล เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 09:43:47

ความคิดเห็นที่ 49 มีผลต่อ Group เลือดด้วยไหมครับเช่น พ่อ A แม่ AB แต่ลูก O เพราะไคเมร่า? ในความเข้าใจคือไม่น่าเป็นไปได้ จากคุณ : zeralf เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 15:14:56

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้าดีเอ็นเอไม่ตรง เเล้วต้องตรวจดีเอ็นเอ ส่วนไหนครับ??? จากคุณ : Han Goog เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 19:25:09

ความคิดเห็นที่ 51 กรณีหญิงทำแท้ง DNA ของเด็กที่ถูกเอาออกไปก็ยังวนเวียนอยู่ในตัวผู้หญิงคนนั้น รอวันกลับมาทวงชีวิตที่ไม่ได้รับโอกาสให้เติบโต ซินะครับ จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 04:23:30

ความคิดเห็นที่ 52 DNA ที่ฝังอยู่ในตัวแม่ แล้วดันไปอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ ก็เหมือนกับ พ่อมีอะไรกับแม่ แต่ลูกที่เกิดดันเป็นลูกของพ่อกับยาย แบบนี้ ถ้าจะสืบหาตัวตนที่แท้จริง คงต้องตรวจหาของพ่อกับของยาย ไม่ใช่ของแม่ ดังนั้น คนเป็นแม่ ก็จะเป็นเพียงคนอุ้มท้องให้ยาย เฉยๆ ... โอ น่าสงสารจับใจ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 05:46:35

ความคิดเห็นที่ 53 นึกถึง The ring, Spiral เลยอ่ะค่ะ จากคุณ : หนิงข้างหอ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 14:13:39

ความคิดเห็นที่ 54 เกิดกับผู้ชายได้มั้ยคะ? แบบลูกได้ดีเอนเอจากแฝดของพ่อน่ะค่ะ แล้วผู้ชายไม่มีโอกาสเป็นคิเมร่าเลยเหรอคะ จากคุณ : Nikomosphere เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 18:26:59

ความคิดเห็นที่ 55 แอบน่ากลัวนะเนี่ย น่าจะเอาไปเขียนพล็อตเรื่องหนังผี เรื่อง "แฝด 2 มหันตภัยไคเมร่า" จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 19:46:37

ความคิดเห็นที่ 56 ทำไมมันดูมั่วๆนะ จากคุณ : BIOTOMNEG เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 55 21:06:55

ความคิดเห็นที่ 57 อย่างน้อยที่สุด กระทู้นี้ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ผมล่ะครับ นั่นคือ "คนหนึ่งคน อาจมี DNA มากกว่า 1 ชุดก็ได้" จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 00:15:01

ความคิดเห็นที่ 58 สุดยอดครับ จากคุณ : น้ำเขียวครีมโซดา เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 07:23:51

ความคิดเห็นที่ 59 นึกถึง คิเมร่าแอ๊นท์ ใน Hunter x Hunter เลยครับ จากคุณ : 9aek (9aek) เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 11:33:40

ความคิดเห็นที่ 60 สุดยอด จากคุณ : scimovie เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 13:05:18

ความคิดเห็นที่ 61 ลักษณะไคเมอราในพืชก็มี เคยเรียนเมื่อไม่นานมานี้ จากคุณ : น้องอ๊อฟ บางแค เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 16:35:02

ความคิดเห็นที่ 62 น่าสนใจมากค่ะ แอบมีงง ต้องอ่านหลายรอบ จากคุณ : After Apple - picking เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 21:43:01

ความคิดเห็นที่ 63 อ่านคร่าวๆ แล้วรู้สึกเหมือนว่ามนุษย์ยังวิวัฒนาการมาไม่สูงพอ จากคุณ : WhiteWolf เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 00:13:43

ความคิดเห็นที่ 64 แทนไท ป๊องแป๊ง อาบัน ผม รักพวกคุณ จากคุณ : westman เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 21:25:45

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นความรู้ที่ควรกระจายให้ทั่ว เพราะใคร ๆ ก็นึกว่า DNA พิสูจน์อัตลักษณ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  น่าอิจฉาเมืองฝรั่ง เพราะไม่ใช่แค่แพร่เป็นความรู้แข็ง ๆ ขึงขัง แต่แปลง/แปลเอาไปเป็นละครซีรี่ย์เรียบร้อย ที่นี้ ความรู้ก็เข้าสู่สาธารณชนได้ไม่ยาก สำหรับเมือไทยซึ่งยังไม่รู้เรื่องนี้ ผมกลัวว่าจะเกิดปัญหา "บ้านแตก" อ่ะ พิสูจน์ลูก แล้วพ่อไม่รับ ฯลฯ แล้วก็ปัญหาในคดีอาชญากรรม ครับ ทีนี้เวลาพิสุจน์ DNA ก็ต้องเอา DNA ของเซลล์ชนิดนั้น ๆ/อวัยวะนั้น ๆ  มาเทียบกันเอง ไม่ใช่เจาะเลือดแล้วเอาไปเทียบกับอสุจิ *อืม...คุณหมอพรทิพย์ ก็น่าจะรู้ข้อมูลชุดนี้อยู่แล้วมั้งเนอะ แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 55 22:43:26 แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 55 22:41:46 จากคุณ : zaffer เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 22:40:27

ความคิดเห็นที่ 66 สนุกคะ ชอบอ่าน ทำเยอะๆนะคะ  จะรอติดตามอ่านต่อไปคะ ขอบคุณคะ จากคุณ : lovertravelmak เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 23:16:41